ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [PeriodEXO]❖KrisLay❖ม่านดอกงิ้ว

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ ๐๘ -เงาหลังเมฆา- ๑๐๐%

    • อัปเดตล่าสุด 2 มิ.ย. 58


     

     

    ม่านดอกงิ้ว

    ตอนที่ ๘

    -เงาหลังเมฆา-

     

    ข่าวการลอบโจมตีองค์ชายสามแพร่สะพัดไปทั่ววังในเวลาไม่ถึงชั่วยาม แต่ไม่มีใครล่วงรู้ถึงกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ เว้นเสียแต่นางในคนของสนมโบราที่บังเอิญเดินเข้าไปได้ยินการสนทนาขององค์หยุ่นฮ้าวและขุนนางคนสนิทหลังสั่งการทหารม้าเร็วจบ

     

    หยุ่นฮ้าวไม่ได้คิดจะช่วยเหลืออู๋ฟาน ไม่ทรงรับสั่งให้ทหารสืบหาตัวกลุ่มโจรที่ลอบทำร้ายอนุชา หมอหลวงที่ควรส่งไปทำการรักษายังทรงรับสั่งเป็นหมอชาวบ้านธรรมดาในโรงหมอ ผู้ถือตนเป็นเจ้านครรับรู้แต่เรื่องของตนสนใจเพียงกำหนดการการคัดเลือกสนมที่ทรงต้องการให้เป็นกำหนดการเดิมทั้งที่เพิ่งสั่งระงับการเตรียมนางในตามสถานการณ์บ้านเมือง

     

    อี้ชิงรู้ว่าสายใยพี่น้องต่างมารดาในรั้ววังนั้นบางเบาเพียงใบ หากแต่นางไม่คิดว่าเยื่อใยนั้นบางจนแทบมองไม่เห็น นางและพี่น้องในสกุลจางแม้ไม่ได้เป็นพี่น้องร่วมเสี้ยวโลหิตยังรักใคร่กันมากกว่าคนในวังนี้เสียอีก

     

    ไม่ได้การล่ะหากหมากในกระดานของอี้ชิงล้มป่วยไม่อาจใช้การได้อีก ชีวิตในวังของนางคงถึงคราววิกฤตแน่ นางต้องหาหนทางช่วยอู๋ฟานแต่วิธีใดเล่าที่จะทำให้นางในจางหลบหนีออกจากวังโดยไม่มีใครจับสังเกตได้ในเวลาอันจำกัด

     

    ....

     


















     

    ชายวัยกลางคนนอนสลบอยู่บนพื้นบ้านตนในสภาพถูกทอดอาภรณ์นอก ผู้ก่อเหตุลอบทำร้ายเจ้าของบ้านยืนมองร่างหมอหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง คำขอโทษถูกเปล่งออกมาจากกลีบปากอิ่มแม้นผู้ถูกกระทำจะไม่ได้ยินมัน

     

    มันเป็นหนทางเดียวที่จางอี้ชิงจะสามารถกระทำได้ในเวลานี้ นางใช้กำลังทรัพย์ที่มีปิดปากทหารเฝ้าประตูก่อนแอบตามทหารผู้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้มาจ้างวานหมอชาวบ้าน เมื่อสบโอกาสท่อนฟืนที่ถูกวางไว้หน้าบ้านถูกจางอี้ชิงหยิบมาจับไว้มั่น สองเท้าเดินย่องเข้าไปฟาดเข้าที่ต้นคอของเหยื่อที่มัวแต่จัดอุปกรณ์รักษาไม่ทันระวังผู้บุกรุก

     

    ชุดหมอหลวงที่ทหารในวังนำมาให้ชายอาชีพหมอสวมใส่ ในเพลานี้มันถูกสวมทับบนร่างสะคราญของนางในในคราบหมอเยาว์วัยแม้นจะดูหลวมโคร่งไปสักหน่อยยามอยู่บนตัวนาง ดวงหน้าที่เคยประทินโฉมจนโสภาบัดนี้ไม่หลงเหลือแม้สีชาด จากนางในจางกลับคืนเป็นนายน้อยแห่งจวนฉางชาเพียงช่วงกระพริบตา

     




     

    “จางอี้ชิง” เสียงเอ่ยขานเรียกเจ้าของนามให้ให้มองอย่างตกใจ ก่อนผ่อนลมหายใจคุมสติจนสงบเมื่อรู้ว่าแขกผู้มาใหม่คือหมินซั่ว

     

    “ท่านออกมาได้เยี่ยงไร?”

     

    “ใช้วิธีเดียวกับที่เจ้าใช้กับทหารพวกนั้น พี่เห็นเจ้าทำลับๆล่อๆตั้งแต่ในวังจึงลอบตามเจ้ามาจนเห็นว่าเจ้าทำร้ายท่านผู้นี้ เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันอี้ชิง?”

     

    “มันมิใช่เรื่องที่ท่านควรกังวลนักท่านพี่กลับไปเถิด หากพี่หญิงรู้ว่าน้องๆนางหายตัวไปมิบอกกล่าวนางไม่สบายใจแน่” อี้ชิงตอบไล่ผู้พี่ มือจับเก็บสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในการเดินทางครั้งนี้ ไม่ลืมพับเก็บภูษาที่เคยสวมก่อนจัดการมัดปมห่อผ้าเตรียมออกเดินทางด้วยมาที่ทหารเตรียมไว้ให้หมอชาวบ้าน

     

    หมินซั่วจับต้นแขนน้องก่อนจะเดินผ่านหน้าตนไว้ “การลงมือเพียงลำพังในเวลานี้หาใช่เรื่องฉลาดไม่ พี่ไม่ยอมปล่อยเจ้าไปคนเดียวไม่ว่าเจ้าจะยอมหรือไม่”

     

    “จางหมินซั่ว ท่านหาใช่บุพการีที่ข้าจะต้องทำตามประสงค์ท่าน เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของข้าหากท่านอยากช่วยนัก ข้าคงต้องของความเมตตาจากท่านสักเรื่อง...ท่านจงกลับวังแล้วหาหนทางปิดเรื่องนี้จนกว่าข้าจะกลับไป” ตัวอีกฝ่ายเองก็รู้ว่าเวลานี้เขาทั้งคู่มีเรื่องเคืองใจกัน แต่หมินซั่วยังจะมาทำตัวเจ้ากี้เจ้าการเพราะความห่วงใยในตัวน้อง แต่กับอี้ชิงผู้ไม่ชอบการบังคับจึงบันดาลโทสะพลางสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุม แล้วออกจากเรือนเก่าโทรมขึ้นไปนั่งควบบนหลังม้าก่อนควบบังคับอาชาขาวมุ่งทะยานไปเบื้องหน้า

     

    หมินซั่วมองตามน้องที่ควบม้าห่างออกไปจนลับตาตน เขารู้นิสัยจอมโวยวายเอาแต่ใจตนของจางอี้ชิงดีจึงไม่คิดโกรธเคือง แต่มีบางสิ่งที่เขาเองเพิ่งรู้...แววตากังวลแลพะวงในเรื่องที่อีกคนปกปิดเขานั้นมันหาได้เคยเกิดกับน้องของเขาไม่ อี้ชิงเป็นคนมั่นใจในตนเองไม่เคยมีความกังวลในสิ่งใดเท่าครั้งนี้มาก่อน จางอี้ชิงเปลี่ยนไปจนตัวเขาเองยังนึกแปลกใจ

     




     

    เรื่องที่จางอี้ชิงกำลังกระทำอยู่คงสำคัญต่อตัวนางมากจริงๆ...






























     

    “เหตุใดหมอหลวงที่ฝ่าบาททรงส่งมารักษาพี่สามถึงได้ล่าช้านัก ต้องรอให้พี่สามถูกพิษแพร่กระจายทั่วร่างจวนเจียนตายไปก่อนหรือไรหมอเทวดาผู้นั้นถึงจะเสด็จมา” องค์ชายหกเอ่ยกับพี่ชาย ซึ่งต่างก็มารอหมอจากเมืองหลวงจนเวลาล่วงเลยถึงแปดข้างแรม

     

    “ตัวเราที่ชำนาญทางกว่าจะถึงยังเกือบสิ้นคืนสี่ คนที่มิเคยเดินทางในสายนี้คงไม่แปลกหากการเร่งเดินทางตามแผนที่จะช้าไปบ้าง” จงต้าใช้เหตุผลเข้าพูด แม้นจะใจร้อนไม่ต่างจากซือชุนแต่หากเขาเปล่งวาจาร้อนเติมเชื้อไฟเข้าไปหมอผู้นั้นคงได้รับโทษโทสะทั้งที่เขาไม่ได้ผิด

     

    เสียงกีบม้ามากกว่าหนึ่งตัวดังจากทิศปากทางเข้าค่ายพักซึ่งจงเหรินได้ขี่ม้าออกไปรออยู่ก่อนแล้ว สร้างความหวังเปรมยินดีกับคนทั้งสองที่ยืนรออยู่หน้าประตู ม้าของจงเหรินควบหยุดอยู่ตรงหน้าเหล่าพี่น้องก่อนร่างสูงจะก้าวลงจากหลังม้าแล้วยื่นสายบังเหียนให้ทหารพามาไปเก็บในคอก จงเหรินหันหลังกลับไปช่วยประคองร่างเล็กที่ใส่สวมอาภรณ์ตัวหลวมโคร่งลงจากหลังอาชาพาหนะ

     

     

    “การเดินทางมีอุปสรรคใดหรือไม่ท่านหมอ...นางในจาง?” องค์ชายสี่หวังถามข่าวคราวการเป็นอยู่ระหว่างทางก่อนถึงค่ายชั่วคราวของสี่องค์ชายตามมารยาทวิสัย แต่เมื่อผ้าคลุมศีรษะถูกปลดลงไปตกอยู่ด้านหลังภาพหมอร่างอ้อนบาง พลันกลายเป็นนางในคนของฮ่องเต้ไปเสียได้

     

    “หม่อมฉันจางอี้ชิง ขออาสาทำหน้าที่รักษาองค์ชายสาม องค์ชายทั้งสองโปรดอนุญาตหม่อมฉันด้วยเพคะ” จางอี้ชิงยิ้มพลางกล่าวขอความเมตตาเสียงเบาแผ่วกับเหล่าพี่น้องของอู๋ฟาน กายงามโค้งคำนับแทนการถอนสายบัวเพื่อไม่ให้เหล่าทหารสงสัยในการมาของนางต้องห้าม

     

    “เอาเถิดๆ จะถามไถ่เจราจาสิ่งใดกันไว้คุยกันทีหลังก็ไม่สาย เพลานี้เจ้าเข้าไปดูอาการองค์ชายเถิด ...เชิญท่านหมอ” จงต้าปัดปัญหาจุกจิกไว้เบื้องหลัง เวลานี้ความเป็นความตายของอู๋ฟานนั้นสำคัญกว่าสิ่งใดอื่น เขาผายมือเชิญนางในในคราบหมอไปยังกระโจมรักษาตัวของอู๋ฟาน แล้วปล่อยให้อี้ชิงทำการรักษาแล้วให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องรอฟังผลอยู่ด้านนอก

     

    อาการของอู๋ฟานนั้นน่าเป็นห่วงกว่าที่จงเหรินเคยคาดการณ์ไว้ อาจเพราะร่างบนเตียงไม่รับการรักษาด้วยยาจากสมุนไพรในทันทีหลังสกัดพิษ ธาตุในตัวจึงอ่อนกำลังเหมือนคนไม่ได้รับข้าวรับน้ำเป็นแรมเดือน

     

    ฝ่ายหมอผู้อาสาเดินทางมารักษาอู๋ฟาน แม้นดวงหน้างามจะยังสงบไม่มีความกังวลใดผ่านสีหน้า แต่เหงื่อพรายกลับผุดขึ้นตามหน้าผากแถบไรผมเผลอไต๋ความเครียดเคร่งที่แสดงออกมาจากด้านใน มือบางที่จับเข็มเตรียมจิ้มจุดกระแสเลือดลมเริ่มสั่นเล็กน้อย นางหวั่นเกรงจะฝังเข็มพลาดโดนพิษที่เกาะข้างเหลือในกระแสเส้นเลือดที่มองเห็นเป็นจุดผื่นแดงอย่างเด่นชัด ซึ่งนางต้องใช้สมาธิและการตัดสินใจขั้นสูงก่อนฝังเข็มลงไปบนร่างองค์ชายหนุ่มเนื่องเหตุมันคือวิธีเดียวที่จะทำให้ยาไหลผ่านผื่นพิษได้มากกว่าปล่อยผ่านดั่งน้ำไหล

     

    “ยังไหวหรือไม่ท่านหมอ” จงเหรินผู้เข้ามาเป็นลูกมือช่วยหยิบจับสิ่งของแทนเหล่าทหารเพื่อกันความลับแตก เอ่ยถามนางในในคราบหมอหลวงผู้ทำการรักษาหลังเห็นท่าว่านางเองอาจจะล้มป่วยไปอีกคน หากยังคงฝืนเพ่งจิตเคร่งเครียดกับการแบ่งธาตุฝังเข็มไปมากกว่านี้

     

    “กระหม่อมยังไหว หากไม่รีบฝังเข็มครบสามสิบสิงจุดองค์ชายสามจะทรงอาการหนักกว่าที่เป็นอยู่ ขอบพระทัยที่องค์ชายทรงเป็นห่วงพะย่ะค่ะ” กลีบปากอิ่มที่เคยระเรื่อเริ่มซีดจางสีเลือดเพราะความเครียดและขาดการพักผ่อนจากการเดินทางมาเป็นเวลาหลายวัน นางเปล่งวาจาหวานแหบพลางพยายามขยับยิ้มสู้แม้เรี่ยวแรงจะเริ่มเพลียแลเหนื่อยล้าลงไปทุกขณะ

     

    เห็นคนเป็นหมอรั้นจะรักษาคนที่ยังหมดสติบนเตียงนั้นให้ได้จงเหรินก็ทำได้เพียงถอยออกมามาพลางถอนหายใจหนัก นี่นะหรือคือการกระทำเพราะหวังผลของจางอี้ชิง คิดว่าคนยืนมองอยู่ตรงนี้จะดูไม่รู้หรืออย่างไรกันว่านางเอกละครงิ้วผู้ทะนงนั้นรู้สึกเช่นไรกับพี่ชายของเขา

     

    จางอี้ชิงไม่รู้ซึ่งความต้องการของใจตนพอๆกับอู๋ฟานที่ถึงรู้ก็เมินเฉยกับสิ่งที่อยู่ในใจนั้น ทั้งสองมีความเสน่หาที่ตรงกันแต่ต่างหันหลังและก้าวเดินในทางตรงข้าม มันน่าปล่อยให้อยู่เพียงลำพังสองคนในผืนป่าล้อมเขานี้นัก เผื่อความลำบากและความใกล้ชิดจะทำให้คนทิฐิสูงทั้งสองยอมหันมองความเป็นจริงเรื่องนี้บ้าง

     

     




























     

    เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาในกระโจมคุมนักโทษเรียกความตื่นตระหนกจากเจ้าโจรตัวน้อยที่ริอาจคิดการใหญ่หลบหนีออกจากค่าย เขารีบไพล่มือไปด้านหลังสาละวนพันโซ่ตรวนรอบข้อมือแล้วใส่กุญแจที่เพิ่งสะเดาะได้กลับเข้าที่ อีกนิดเดียวเขาก็สามารถออกไปจากที่นี่ได้แล้วแท้ๆ เจ้าก้างชิ้นโตก็เข้ามาขวางได้ถูกเพลาจริง

     

    “คิดหนีหรือเจ้าโจร?” คำถามดั่งรู้ทันไม่อาจทำให้โจรดั่งกล่าวแสดงพิรุธใด มิหนำซ้ำยังชูคอเชิดหน้าไม่เกรงกลัวอีกฝ่าย

     

    “หากข้าคิดหนีจริง เจ้าจะทำอะไรข้าได้?” วาจาย้อนกลับเรียกรอยยิ้มหยันจากบุรุษผู้เป็นองค์ชาย ซือชุนเอื้อมจับตะเกียงเพลิงบนโต๊ะมาถือ แล้วเดินเข้าไปหาเจ้าโจรปากดีก่อนย่อตัวนั่งลงตรงหน้าโจรตัวน้อย

     

    “นั่นสิ... คนว่องไวปานลิงลมเช่นเจ้าหากหนีไปเพลานี้ข้าคงตามจับเจ้าไม่ได้ง่ายๆเช่นคราวก่อน แต่ข้าเองก็มีวิธีให้เจ้ายอมกลับมารับโทษได้ง่ายกว่าที่จะตามติดประกาศจับ” ประโยคกำกวมของซือชุนเริ่มมีผลกับชายชุดดำ ดวงตากลมวาวที่เคยแข็งกร้าวกำลังสั่นดั่งเกรงในบางสิ่ง

     

    “เจ้าจะทำสิ่งใด?” โจรตัวน้อยเอ่ยถามต่อ แม้นใจจะพอล่วงรู้ถึงกลอุบายที่องค์ชายหกจะใช้ล่อตนกลับเข้ากรงแต่ก็ไม่กล้าปักใจเชื่อในสิ่งที่คาดเดา

     

    “เมื่อใดที่เจ้าหนีออกไปจากที่นี่ เมื่อนั้นคนสกุลลู่ทุกคนต้องพบจุดจบโทษฐานคิดสังหารแม่ทัพของกวางโจว” ซือชุนจงใจเน้นสกุลผู้เป็นต้นเหตุการณ์ลอบสังหาร ให้นักโทษผู้เหลือรอดได้สดับชัดเจน

     

    “จะ...เจ้ารู้?”

     

    “ใช่ และข้าก็รู้ว่าเจ้าเป็นใคร...คุณชายลู่หาน”

     

    “...” โจรน้อยนามลู่หานก้มหน้ายอมจำนนต่อคำพูดของอีกฝ่าย

     

    “ข้าต้องขอโทษด้วยที่ปฏิบัติต่อคุณชายลู่ได้ไม่ดีนัก อีกเดี๋ยวทหารจะพาเจ้าไปยังที่พักใหม่...อย่างน้อยก็เป็นการให้เกียรติใต้ท้าวฝ่ายกรมภาษีลู่เจียงฮั่นเป็นครั้งสุดท้าย” ร่างสง่าลุกขึ้นเต็มความสูง เขาแสยะยิ้มสะใจกับหายนะที่เขากำลังหยิบยื่นให้พวกโอหังที่อาจหาญกล้าเล่นกับอสรพิษ

     

    “อย่า...อย่าทำอะไรพ่อของข้า องค์ชายข้ายอมแล้วข้ายอมท่านทุกอย่าง ได้โปรดปล่อยพวกเขาไป” ลู่หานขยับกายนั่งท่าคุกเข่าขอความเมตตาจากร่างสูงให้ยอมยกโทษไม่เอาความบิดา

     

    “ไว้ข้าจะรับไว้พิจารณา” องค์ชายหนุ่มตอบกลับไปเพียงเท่านั้น เขาหันหลังเดินออกจากกระโจมท้ายค่าย เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องฟังสิ่งใดจากบุตรสกุลลู่อีกต่อไป

     

    หากเปรียบอู๋ฟานคือจ้าวกองทัพของกวางโจว อู๋ซือชุนผู้น้องก็เปรียบดั่งเมตตาเทพของชาวราษฎร์ มันไม่บ่อยครั้งนักที่องค์ชายหกอู๋ซือชุนจะลงมือทำสิ่งใดๆอย่างไร้ซึ่งเมตตา กับขุนนางลู่เขาตามสืบมานานจนแน่ชัดถึงความชั่วและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเกมพลัดบัลลังก์มังกร

     




     

    ดังนั้นจะให้ยกโทษให้กับกบฏแผ่นดินมันจะมิง่ายไปหน่อยหรือ?
















     

    องค์ชายทั้งสามกลับมานั่งรวมกันอีกคราในที่พักขององค์ชายอู๋ฟาน ส่วนนางในจางในคราบหมอหลวงหนุ่มยังคงเฝ้าดูผลการรักษาอยู่หลังม่านกั้นส่วนห้องบรรทม จงเหรินมองน้องชายตนที่เอาแต่นั่งเงียบผิดวิสัยองค์ชายอารมณ์ขันอย่างซือชุน แม้กระทั่งจงต้ายังรู้สึกถึงความผิดแปลกในตัวอนุชา

     

    “เจ้ามีสิ่งใดทุกข์ใจอยู่หรือน้องหก?”

     

    “ข้าหาได้มีสิ่งใดเป็นทุกข์ไม่ ขอบพระทัยพี่สี่ที่ทรงห่วง” ผู้เป็นน้องโค้งศีรษะให้เชษฐาเป็นการขอบคุณ ก่อนเอื้อมมือหยิบจอกชามาจิบดื่มแล้วพาเปลี่ยนเข้าบทสนทนาใหม่ “พี่ห้า อาการพี่สามเป็นเช่นไรบ้าง?”

     

    “หมอหลวงจางบอกว่าท่านพี่ปลอดภัยแล้วไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง เหลือเพียงแค่รอให้เขาฟื้นซึ่งอาจใช้เวลาถึงสองวัน” จงเหรินยอมละความสงสัยเรื่องของน้องชายอธิบายผลการรักษาแทนหมอจำเป็น ที่ยังคงรั้นฝืนกายจะอยู่เฝ้าคนป่วยไม่ยอมกลับที่พักตน จนสภาพร่างกายนางในตอนนี้เริ่มน่าเป็นห่วงกว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงเสียอีก

     

    “นับว่าเป็นข่าวดี” จงต้าระบายยิ้มผ่อนคลายใจกับเรื่องของเชษฐา “แล้วเรื่องนางในจางเล่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดนางถึงมาที่แห่งนี้ได้?”

     

    จงเหรินพยักหน้าตอบรับคำถามผู้พี่ เขารู้ว่าพี่น้องทั้งสองจะต้องถามสองวันที่เขาและจางอี้ชิงขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรที่จะใช้รักษาเขาจึงไต่ถามเรื่องนี้ไว้ก่อนจะเดินทางมาถึงค่าย เพื่อจะได้เป็นผู้ส่งสารแทนนางในบทหมอหลวงหลังม่านสีหม่นที่ไม่มีเพลาพอจะออกมาเล่ากล่าวด้วยตนเอง

     

    “นางบอกข้าว่านางแอบไปได้ยินฝ่าบาทรับสั่งให้นำหมอชาวบ้านมารักษาพี่สามแทนหมอหลวงที่อยู่ประจำในวัง เมื่อเป็นเช่นนั้นนางจึงแอบออกนอกวังแล้วผลัดเปลี่ยนตัวกับหมอผู้นั้นก่อนจะขโมยแผนที่เพื่อมาที่นี่”

     

    “ฝ่าบาททรงทำเกินไปแล้ว!! พี่สามจงรักภักดีต่อพระองค์มากเช่นนี้เหตุใดทรงดูแคลนสิ้นไร้สายใยของพี่น้อง” จงต้าเอ่ยเสียงดังลั่นเนื่องนึกเคืองโกรธในตัวผู้เป็นพี่ใหญ่ และเป็นถึงเทพแผ่นดินแต่ไร้ซึ่งเมตตาต่ออู๋ฟานซึ่งเปรียบดั่งชาวราษฎร์ผู้หนึ่งในความปกครองพระองค์

     

    เขาส่งสาสน์แจ้งให้ทรงทราบแน่ชัดแล้วถึงอาการจากพิษขั้นสูง แต่พระองค์กลับทรงส่งหมอชาวบ้านภูมิน้อยตามมีอยู่มารักษาองค์ชายสามนั่นไม่ต่างกับการส่งเพชฌฆาตมาฆ่ากันด้วยปลายเข็ม นอกจากจะไม่ใช่ให้ดีขึ้นซ้ำจะทำให้แย่ลงจนสิ้นชีพเพราะการรักษาที่ผิดจุดของหมอที่ไม่รู้ทางรักษารีดพิษร้าย

     

    “ไร้สัมพันธ์พี่น้องในวังหลวง ไร้ญาติมิตรสนิทใจเมื่ออยู่สูง” ซือชุนพร่ำเปรยบทกวีเตือนใจพี่ ให้กระจ่างถึงสัจธรรมแน่แท้ในรั้ววัง

     

    “ถึงอย่างไรข้าก็มิอาจปล่อยให้พี่สามถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว ข้าจะกลับวังหลวงส่วนเรื่องทางนี้ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าจัดการได้” จงต้าพูดทิ้งประโยคก่อนลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินออกจากกระโจมใหญ่ของอู๋ฟาน

     

    “ข้าหวังว่าจะไม่มีสงครามราชวงศ์ ในเพลาที่มีข้าศึกล้อมชิงแผ่นดินอยู่เช่นนี้” จงเหรินกล่าวเปรย พลางมองตาหลังจินจงต้าที่เร่งรุดไปยังคอกพักม้า

     

    “บ้างทีสงครามที่เราเผชิญอยู่อาจเป็นเพียงฉากบังหน้า ของมังกรปลอมที่ต้องการกำจัดมังกรจริง” วาจาของซือชุนเรียกสายตาของผู้ที่มองจินจงต้าควบม้าออกนอกค่ายจนลับตา ให้หันกลับมามองตน

     

    “เจ้ารู้สิ่งใดมาซือชุน?”











     

    ย่างเข้าเช้าวันที่สองจางอี้ชิงยังคงเฝ้าดูอาการของอู๋ฟานอย่างใกล้ชิด นางแทบไม่กินแทบไม่นอนแม้จินจงเหรินจะตามเข้ามาคุมการกินการนอนของนางอยู่บ่อยครั้งแต่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ฝืนได้ ทุกชั่วยามนางคอยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำหมาดๆมาเช็ดตัวให้บุรุษหนุ่ม คอยเลือกภูษาใส่สบายก่อนส่งให้ทหารนำไปผลัดเปลี่ยนให้ร่างสูง ทั้งป้อนยาป้อนน้ำข้าวอุ่นแม้นอีกฝ่ายจะแทบไม่ดื่มกินในสิ่งที่นางเพียรเติมเต็ม

     

    ลืมสิ้น...จางอี้ชิงลืมสิ้นซึ่งแผนการความเป็นใหญ่ จิตใจของนางเพลานี้อ่อนไหวดั่งที่ไม่เคยเป็นหลังได้เห็นการบาดเจ็บของอู๋ฟาน ดั่งวิชารักษาที่ได้ร่ำเรียนพร้อมชานเลี่ยจะกล่อมเกลาให้นางเกิดจรรยาบรรณในจิตใจ จางอี้ชิงหวังเพียงให้บุรุษตรงหน้าหายจากพิษแผลแล้วตื่นจากนิทราแสนดำดิ่ง






     

    หวังเพียงอู๋ฟานตื่นขึ้นมาอีกครา...






     

    “อึก...” เสียงสะอึกกลืนพร้อมแรงขยับปลายนิ้วที่อี้ชิงสัมผัสอยู่ ปลุกรอยยิ้มสดใสราวเหมยผลิกลีบที่ห่างหายไปหลายวันแต่งแต้มบนดวงหน้างาม

     

    “อู๋ฟาน...อู๋ฟานท่านได้ยินข้าหรือไม่?” ฝ่ามืออุ่นประคองแก้มตอบของบุรุษบนเตียงตั่งพร้อมกระซิบถามเรียกสติ ดั่งอีกฝ่ายรับรู้ในน้ำเสียงนางเขาขยับพักตร์แตะตอบฝ่ามือแทนเปล่งคำ

    “องค์ชายห้า องค์ชายหก องค์ชายสามฟื้นแล้วพะย่ะค่ะ!” จางอี้ชิงวิ่งเปิดม่านออกไปบอกข่าวกับสององค์ชายที่ทรงงานอยู่อีกมุมหนึ่ง ก่อนกลับเข้ามายืนอยู่ปลายเตียงโดยมีองค์ชายทั้งสองตามเข้ามานั่งคุกเข่าให้สูงเสมอเตียงที่ผู้เป็นพี่บรรทม

     

    “ท่านพี่ ข้ากับน้องหกมาเยี่ยมท่านขอรับ” จงเหรินบอกกล่าวการมาของตนกับน้องชาย กับผู้เป็นพี่ที่ยังไม่ได้รู้สึกตัวดีนัก

     

    “อ...อี้..อ...อี้ชิง” ชื่อที่ถูกเปล่งจากริมฝีปากแห้งผาก ทำสองพี่น้องหันมองสตรีผู้เป็นเจ้าของชื่อ ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วหลีกทางให้คนที่อู๋ฟานเรียกหา

     

    “ข้าอยู่นี่ค่ะ” อี้ชิงเดินเข้าไปนั่งบนเตียง พร้อมจับมือหนามาประคองกอบกุมไว้

     

    “ดูท่านพี่สิน้องหก ตื่นมาแทนที่จะถามถึงน้องกลับเรียกหาสตรี” องค์ชายหกเย้าแหย่ผู้เป็นพี่และนางในจิตใจของอู๋ฟาน ถ้าไม่ป่วยปางตายกันไปข้างคงไม่รู้ซึ้งถึงเสียงหัวใจเท่าครานี้






     

    ในที่สุดอู๋ฟานก็ล่วงรู้ใจตนเสียที...






     

    “ท่านพี่ ข้าว่าเราออกไปกันก่อนเถิด” ซือชุนยิ้มแฝงความนัยน์ส่งถึงสตรีผู้อาจเป็นว่าที่ชายาองค์ชายสามในภายหน้า จนเจ้าของดวงหน้างามต้องผลินหน้าซ่อนความอาย

     

    “เอาสิ ออกไปดื่มน้ำชากันเถิดน้องหก” จงเหรินยอมเดินออกไปตามคำชวนของอู๋ซือชุน ปล่อยให้แม่นกน้อยอยู่กับจ้าวอินทรีตามลำพัง

     

    “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง หิวหรือไม่?” อี้ชิงเอ่ยถามคนป่วย แต่ไร้เสียงตอบรับจากร่างสูงที่กลับเข้าสู่นิทราอีกครา

     

    กลีบปากงามระบายยิ้มอย่างเป็นสุขในใจหลังเห็นอู๋ฟานดีขึ้นตามคาดหวัง มือบางจัดผ้าห่มถึงอกก่อนลุกจากเตียงแล้วเดินออกไปเตรียมสำรับให้อู๋ฟาน

     

     












     

    ---------------------------

    ช่วงนี้ทำงานพิเศษเพื่อซื้อบั้มเลยไม่มีเวลาปั่นฟิค
                 อีกทั้งเพิ่งได้ฤกษ์ออกไปซื้ออะแดปเตอร์ใหม่555
                 ถ้าไรต์พลีสไม่มาทวง ข้าน้อยก็สารภาพจากใจเลยว่าลืมพล็อตไปแล้ว
                 นี่รื้อสมองคุ้ยกรุเก่าเพื่อไรต์พลีสมายไอดอลเลยนะ (ขอแฮ่นแซบๆสักตอนนะคะ คึคึ)


                 -เข้าเรื่อง-
                 พี่ฟานเข้ารู้ใจตัวเองแล้วนะ แม่นางชิงอ่ะรู้ยัง?
                 พี่ซือชุน น้องลู่เขายอมนะพี่อ่ะอย่ายอม-..-5555


     

    ยังไงก็ฝากติดตามต่อไปด้วยนะคะ ฝากเม้นติชม และแท็กด้วยจ้า #ม่านดอกงิ้ว








    (c) Chess theme
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×