ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [PeriodEXO]❖KrisLay❖ม่านดอกงิ้ว

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ ๗ -แผนครองบัลลังก์- ๑๐๐%

    • อัปเดตล่าสุด 6 มี.ค. 58


     

     

    ม่านดอกงิ้ว

    ตอนที่ ๗


    -แผนครองบัลลังก์-


     

    แม้ตะวันฉายแสงถึงกลางเขาแล้ว แต่จางอี้ชิงยังคงอยู่ในที่พำนักขององค์ชายสาม หลังอาบน้ำผลัดเปลี่ยนชุดที่อู๋ฟานนำมาให้เสร็จ อี้ชิงก็จัดแจงเปลี่ยนผ้าปูเตียงและผ้าห่มผืนใหม่ระหว่างรออู๋ฟานกลับมาจากการประชุมทัพ ก่อนหอบยกผ้าเปื้อนรอยรักเมื่อคืนวันไปใส่ในตะกร้าหวายรอนางกำนัลที่มีหน้าที่ดูแลมารับไปซักต่อ

     

    ร่างสะคราญนั่งลงบนเตียงปูฟูกนุ่มพักเรียกแรงกลับคืนหลังสะสางงานเรือนเสร็จ ในหัววุ่นเวียนคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนบัลลังก์กษัตริย์ ที่อนาคตตำแหน่งฮ่องเต้อาจจะไม่ใช่หยุ่นฮ้าวอีกต่อไป นั่นเท่ากับว่าที่อี้ชิงเพียรทำมาทั้งหมดศูนย์เปล่า เมื่อเปลี่ยนผู้สืบทอดบัลลังก์ขึ้นครองราชย์อี้ชิงก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกเช่นกัน นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่จางอี้ชิงเป็นกังวน

     




     

    เพราะสิ่งที่เป็นปัญหาคือนางไม่รู้ว่าใครจะได้ขึ้นบัลลังก์เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป?






     

    ในวังหลวงองค์ชายยศใหญ่ๆใช่ว่าจะมีน้อยซะที่ไหน แต่ละองค์ต่างมีดีเด่นสูสีไม่น้อยหน้า มีเด่นชัดเกินหน้าองค์ชายคนอื่นใดเห็นจะมีองค์ชายสองสื่อเยวี่ยน องค์ชายสามอู๋ฟาน และองค์ชายหกซือซุนที่ปราดเปรื่องทั้งเรื่องงานราชและการรบ แต่ก็ไม่อาจมองข้ามองค์ชายองค์อื่นที่เก่งกาจไม่แพ้กันทั้งองค์ชายสี่จินจงต้า องค์ชายห้าจินจงเหริน หรือแม้แต่องค์ชายสิบสองน้องเล็กสุดอย่างป๋ายเซียน

     

    คิดคาดเดาความเป็นไปได้ของผู้หวังครองราชย์นั้นยากนัก แต่คนที่ไม่หวังนั่งบัลลังก์นี่คงต้องยกให้องค์ชายสามอู๋ฟานเสียกระมัง น่าเสียดายนักที่อู๋ฟานไม่หวังเป็นใหญ่ครองแผ่นดิน ไม่อย่างนั้นอี้ชิงคงได้นั่งสบายๆรอแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ไม่ต้องมานั่งหัวหมุนนับหนึ่งใหม่อย่างในเวลานี้

     

    เสียงสนทนาหน้าที่พักปลุกอี้ชิงจากวังวนเรียกสติกลับมารับมือกับความเป็นจริงตรงหน้า นางพยายามปั้นรอยยิ้มหวานเล่นตบตาต้อนรับร่างสูงเข้ามาในที่พำนัก กายงามลุกจากเตียงเดินเข้าไปหาบุรุษเพศในชุดเกราะทรงสง่า

     

    “นี่เจ้าเก็บห้องเองเลยหรืออี้ชิง?” อู๋ฟานมองห้องหับที่เคยรกกลับมาสะอาดเอี่ยม พลางถอดชุดเกราะนักรบออกจากตัวโดยมีร่างบางเข้ามาช่วยปลดถอด

     

    “ข้าทำเอง ต้องขอโทษด้วยที่ทำโดยพลการ” อี้ชิงตอบเสียงแผ่วเกรงอีกฝ่ายไม่ชอบใจในสิ่งที่ทำไป

     

    “โธ่... ใยเจ้าต้องมาขอโทษข้าเล่าคนดี เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดนี่แต่เจ้าไม่น่ารีบรุดมาทำงานเรือนให้เหนื่อยตัวเจ้าเลย อีกประเดี๋ยวนางกำนัลจากในวังก็มาทำความสะอาดให้แล้ว” เห็นหญิงสาวทำหน้าหงอยก็อดดึงร่างระหงเข้ามากอดปลอบเสียไม่ได้ คนในอ้อมนี่ก็อ้อนซบเสียจนองค์ชายผู้เคร่งขรึมเช่นเขาแทบหลุดยิ้มกับความน่ารักชวนมอง

     

    “ใจจริงข้าแค่ตั้งใจจะรื้อ...รื้อเปลี่ยนผ้าปูเตียง แต่ไหนๆก็ทำงานแล้วเลยลงมือช่วยปัดกวาดทั้งกระโจม” คนในอ้อมกอดตอบอ้อมแอ้มอย่างขัดเขิน ซึ่งก็ทำให้เข้าใจในรูปประโยคว่าอี้ชิงต้องอายแค่ไหน ถ้าต้องทนนั่งมองคราบรักและโลหิตพรหมจรรย์บนเตียงตั่งอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะมีคนมาเก็บ

     

    “เอาเถอะๆ เจ้าอยากทำอะไรก็สุดแล้วแต่เจ้าเถิดยอดรัก” อู๋ฟานจูบหน้าผากมนก่อนคลายกอด “นี่สายมากแล้ว เราออกไปร่วมโต๊ะทานข้าวกับพี่น้องข้ากันเถิดอี้ชิง”

     

    “ปกติท่านไม่ได้ทานที่นี่หรอกหรือ?”

     

    “แล้วแต่โอกาสเสียมากกว่า วันนี้เรายังต้องหาลือกันเรื่องการศึกกันอีก จึงถือโอกาสอยู่ร่วมโต๊ะอาหารเช้ากันเลย”

     

    “ถ้าเช่นนั้นท่านรีบไปร่วมโต๊ะเสวยกับเหล่าองค์ชายเถิดองค์ชายสาม มีข้าไปนั่งร่วมวงด้วยคงดูแปลกพิลึก ที่จู่ๆก็มีนางในของฝ่าบาทเข้าไปร่วมโต๊ะกับพวกเขา อีกทั้งอาจจะทำให้พวกท่านพูดคุยกันได้ไม่สะดวกนัก ข้าขอกลับไปทานที่ตำหนักพี่โบราจะดีกว่า” อี้ชิงตอบปฏิเสธน้ำใจนั้น ถึงเนื้อในแท้อยากจะไปร่วมโต๊ะจับพิรุธความเคลื่อนไหวของเหล่าองค์ชายมากเพียงใด

     

    แต่อี้ชิงต้องจำใจไม่รับคำชวนนั้นด้วยเหตุผลที่ว่าจู่ๆ ดันมีนางในที่ไม่ได้เข้าออกผ่านประตูหน้าค่ายให้ผู้ใดรับรู้มาอยู่ในที่พำนักของอู๋ฟานมันคงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก จะให้เป็นเด็กสิบเอ็ดปีเศษอย่างองค์ชายป๋ายเซียนยังดูรู้ถึงความสัมพันธ์ลับของนางและอีกฝ่าย ถ้าว่าที่ฮ่องเต้นั้นรู้เห็นเส้นทางแห่งอำนาจของนางคงได้ลดขั้นเหลือแค่ตำแหน่งชายาขององค์ชายสาม

     

    “ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะไปส่งเจ้าที่ประตู” ฝ่ามือหนาผายเชิญร่างงามเดินออกไป ก่อนที่ตนจะเดินตามประกบข้าง เพื่อส่งหญิงสาว ณ ประตูหลังของค่ายหลวง











     

    หลังอี้ชิงเดินจากไปในเขตหญ้าสูงจนลับสายตา เหล่าพี่น้องร่วมบิดาต่างมารดรก็ต่างทยอยออกมาจากที่หลบซ่อน มองทางโล่งเปล่าที่เคยมีสตรีสาวเดินย่ำผ่านเมื่อครู่ก่อน

     

    “นี่น่ะหรือแม่ยอดสุดสวาทของท่านกับพี่ใหญ่ งดงามไร้ที่ติสมคำลือ” องค์ชายห้าจินจงเหรินเอ่ยชมว่าที่พี่สะใภ้

     

    “สวยแต่รูปสิไม่ว่า” ผู้เป็นพี่สี่ร่วมมารดาจินจงต้าเอ่ยขัดคำชมน้อง

     

    “แล้วนี่พวกท่านแค้นเคืองอะไรนางกันนัก ถึงได้ทำตัวเป็นบุรุษเพศสองชอบนินทาหญิงเนื้อแท้ ช่างไม่เป็นสุภาพบุรุษกัยเสียจริง” จบคำวิจารณ์ด้วยองค์ชายซือซุน ที่เรียกสายตาพี่ทั้งสองให้หันมองอย่างคาดโทษบุคคลที่เคยเสนอตัวเป็นลูกคู่แต่บัดนี้กลับเปลี่ยนฝ่ายคำมาว่าโทษกัน

     

    “ข้าก็ไม่ได้แค้นอะไรนางนักหรอกน้องหก แค่ไม่พึงใจสักเท่าไหร่ที่นางมาทำตัวหว่านพืชหวังผลกับพี่สาม ทั้งที่ท่านพี่ของพวกเราออกจะรักหลงนางเสียเพียงนี้” จงเหรินอธิบายลบคำสบกระทบ พลางมองผู้เป็นพี่ที่ยังคงยืนนิ่งฟังน้องๆโต้ตอบกันไม่เอ่ยขัด

     

    “นั่นก็เรื่องของพี่สามและนางละครสาวผู้นั้น พวกท่านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับพวกเขาสักนิดจะเดือดร้องกันทำไม กลับกระโจมใหญ่กันเถิดพี่สองรอคุยกับเราอยู่” ซือซุนตัดบทสนทนา ก่อนเดินนำเหล่าพี่ชายกลับกระโจมว่าราชการเพื่อหาลือเรื่องงานต่อ

     

    ซือซุนไม่ใช่พวกจะเมินเฉยเรื่องพี่น้อง แต่เขาแค่คิดว่าเรื่องนี้ถึงอู๋ฟานจะนำมาบอกเล่าคลายทุกข์ให้ฟังเพื่อขอคำปรึกษาเรื่องเกมรักกับพวกเขา แต่นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายที่เขาจะกลับไปจัดการเองมิใช่หรือ พวกที่รับฟังก็มีน่าที่แค่ให้คำปรึกษาไม่ใช่ไปยุยงให้ผัวเมียเขาแตกกัน

     

    คนพวกนี้นิสัยกล้าแกร่งหยาบกระด้างเหมือนเมื่ออยู่ในศึกรบ เรื่องศึกรักที่ควรมองอย่างละเอียดอ่อนกลับมองผ่านเป็นเรื่องง่ายอ่อนวิเคราะห์ เห็นทีหลังจบศึกใหญ่ครั้งนี้องค์ชายหกอู๋ซือซุนคงต้องพาพี่ๆไปเปิดหูเปิดตาที่หอนางโลมเสียกระมัง จะได้รู้รสชาติของมนต์มายาสตรีร่างสะโอดสะองเสียบ้าง





















     

    การกลับเข้ามาในวังด้วยชุดสตรีชาวบ้านของนางในจางไม่ได้เป็นที่สะดุดตาเท่าไรนัก แน่แหละว่าถึงจะอยากเข้ามาหาเรื่องนางในผู้หยิ่งยโสจากเมืองป่า ก็ไม่มีใครกล้าพอเพราะนางผู้นี้มีฝ่าบาทคอยหนุน ได้แต่มองส่งด้วยสายตาริษยาในอำนาจที่นางได้มาทั้งที่ยังคงฝึกร่วมกับนางในคนอื่นๆ

     

    “จางอี้ชิงเจ้าไปไหนมา ตามกำหนดแล้วเจ้าควรจะมาถึงตำหนักพี่แต่เช้าตรู่แล้วไม่ใช่หรือ?” จางโบราซักถามน้องทันทีที่ร่างโปร่งเดินเข้ามาในเขตตำหนักนาง

     

    “ข้าแค่ออกไปทำในสิ่งที่ข้าควรทำเจ้าค่ะ แล้วเจี่ยเจี้ยเล่าไปเฝ้าฮองเฮาวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ริมฝีปากอิ่มระบายยิ้ม มือที่ถือห่อผ้าชุดนางในยื่นส่งให้นางกำนัลนำไปซัก ก่อนเดินไปนั่งพักเหนื่อยที่เก้าอี้มุมข้างหน้าต่าง

     

    “วันนี้พี่ไม่ได้ไปเข้าเฝ้าฮองเฮา พี่ต้องอยู่รอรับของขวัญจากท่านย่า”

     

    “ของขวัญจากท่านย่า?”

     

    “ออกมาสิ” โบราหันไปบอกใครสักคนในห้องตน

     

    ร่างโปร่งงามในชุดคุณชายสมฐานะก้าวเดินออกจากห้องบรรทมสนมจาง ริมฝีปากจิ้มลิ้มวาดยิ้มอย่างดีใจที่ได้เจอกับอี้ชิงอีกครา ต่างกับอีกฝ่ายที่เพ่งมองกลับจนหัวคิ้วขมวดยุ่งอย่างนึกสังหรณ์ใจในความตั้งใจของผู้เป็นย่า ที่ส่งของกำนัลเป็นชายงามร่างสะคราญมายังกวางโจว

     

    “ท่านพี่หมินซั่ว?”

     

    “ดีใจหรือไม่อี้ชิง ท่านย่าและท่านพ่ออยากให้หมินหมินมาอยู่กับเราที่นี่ซึ่งฝ่าบาทก็อนุญาตแล้ว ทั้งยังทรงให้หมินซั่วอยู่ตำหนักพี่ น่าเสียดายนักที่พี่ใหญ่และชานเลี่ยอยู่ชายแดน ไม่อย่างนั้นพวกเราห้าพี่น้องคงได้มารวมตัวพูดคุยกันให้หายคิดถึง” โบราระบายยิ้มดีใจที่ในชาตินี้นางได้พบเจอพี่น้องร่วมจวนอีกครา ถึงจะไม่ได้เจอครบทั้งหมดนี่ก็ถือว่าเป็นบุญของจางโบรามากเหลือเกิน

     

    “ใช่...ข้าดีใจ”

    ...แต่จะดีใจมากกว่านี้ถ้าการมาของพี่สามไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝง

     

    ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อว่าคนรักสันโดษอย่างจางหมินซั่วจะนึกพิศวาสรั้ววัง ปากบอกว่าท่านย่าขอท่านพ่อสั่ง คนอย่างหมินซั่วเคยทำอะไรที่ฝืนใจซะที่ไหน ถ้าไม่อยากอยู่ยังไงก็หาทางปฏิเสธได้ แต่นี่กลับยอมเดินเข้ามาเป็นนกในกรงทองอย่างง่ายดาย อี้ชิงเชื่อในลางสังหรณ์ของตนว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น

     

    “นี่ก็จวนจะถึงยามเว่ยแล้ว เรายังไม่ได้ทานอะไรกันเลย พี่จะให้นางกำนัลจัดอาหารที่ศาลาในสวนดีหรือไม่?” ผู้เป็นพี่ขอความเห็นกับน้องๆที่ยังคงมองหน้ากันนิ่ง โดยไม่รู้ถึงความมาคุในบรรยากาศระหว่างหมินซั่วและอี้ชิง

     

    “ข้าแล้วแต่พี่หญิงขอรับ” หมินซั่วตอบ รอยยิ้มหวานที่เคยมีกลับแห้งสนิทเพราะสายตาของผู้เป็นน้องสุดท้องจ้องมองอยู่

     

    “ข้าอย่างไรก็ได้” อี้ชิงตอบให้จบเรื่อง ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปยังห้องรับรองที่เคยอาศัยอยู่ก่อนเข้ารับการฝึกเพื่อผลัดเปลี่ยนอาภรณ์

     

    ฝ่ายหมินซั่วก็ได้แต่ระลอบถอนหายใจกับความเปลี่ยนแปลงในตัวน้องที่คุ้นจะจมลงสู่กิเลสบัวใต้ตม ยิ่งทะเยอทะยานมักมากในอำนาจจิตใจอี้ชิงยิ่งถลำละแวงผู้อื่นมาช่วงชิงสิ่งเหนือความสามารถจะไขว่คว้า

     

    แล้วนี่หมินซั่วควรจะทำเยี่ยงไรต่อไปดี?































     

    สงครามฝั่งชายแดนเริ่มขยับตอบโต้กันบ้างแล้ว แต่ยังไม่รุนแรงเท่าความระหองระแหงในราชสำนัก เมื่อเหล่าขุนนางต่างแบ่งพรรคฝ่ายแตกแยกไร้ความสามัคคี ยิ่งมีเรื่องความเห็นที่ไม่ตรงกันในคุณสมบัติและการกระทำของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่ทรงนิ่งนอนใจกับข้าศึกชายแดนใต้เข้ามาเกี่ยวด้วยแล้ว ยิ่งเพิ่มความระส่ำให้กับบัลลังก์มังกรของหยุ่นฮ้าว

     

    ฝั่งผู้บุญชาการทางการรบก็หยิบยกเรื่องนี้มาพูดคุยกันในกระโจมใหญ่ มีทั้งคนที่ไม่กล้าเสนอความคิดเห็นใดแม้ไม่เลื่อมใสในการปกครองเมืองของหยุ่นฮ้าว และพวกสนับสนุนอนุชาองค์อื่นขึ้นเปลี่ยนบัลลังก์ซึ่งผู้ถูกยอมรับในยามนี้เห็นจะมีเพียงองค์ชายอู๋ฟานที่ยังคงปฏิเสธตำแหน่งฮ่องเต้

     

    “พวกเจ้านี่ขยันถือหางข้ากันดีนัก อยากเห็นข้าถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏแผ่นดินรึ?” อู๋ฟานกล่าวระบายความหงุดหงิดใจ เมื่อต้องทนฟังคำรบเร้าถือยอของเหล่าน้องชาย ระหว่างร่วมควบม้าเดินทางเคลื่อนขบวนทัพไปสมทบชายแดน

     

    “ถ้าพี่สามคือกบฏ พี่ใหญ่ก็ทรราชแล้วกระมัง มีฮ่องเต้แคว้นใดบ้างที่ขุนนางต่างส่ายหน้าหนี พวกที่ยังเยินยอถือห่างก็ไม่ใช่เพราะลูกหลานเขาเป็นชายาของฝ่าบาทหรอกหรือ?” ซือซุนออกความคิดเห็น

     

    “น้องหกพูดถูก ถ้าพี่สามคิดอยากนั่งบัลลังก์มีรึว่าขุนนางในวังจะไม่สนับสนุนท่าน” จงต้าสนับสนุนซือซุน หวังเป็นฝืนสุมไฟแห่งอำนาจให้อู๋ฟานนึกกระหายอยากใคร่ครอง

     

    “ถ้าท่านคิดนั่งบัลลังก์จริงพี่สะใภ้หมาดๆของพวกข้าคงได้สบายตามไปด้วย” คนหลุดการหลุดงานอย่างจงเหรินเอ่ยเย้าถึงพี่สะใภ้นางใน

     

    “ถ้านางยังหวังในตำแหน่งก็ให้นางยกตนถวายฮ่องเต้องค์นั้นเถิด ข้าไม่คิดหวังจะคว้ายศใหญ่มัดกายนาง” องค์ชายหนุ่มตอบเสียงคงมั่น

     

    ขากระทุ้งกายม้าเร่งเคลื่อนตัวไปด้านหน้าหนีคำหยอกปนเร่งเย้าถือหางของอนุชาทั้งสาม หากเขายังทนควบม้าเทียบเสมอสามหน่อวันนี้ทั้งวันจนกว่าจะถึงจุดพักเห็นทีจะโดนพวกองค์ชายไม่ยอมโตเหล่านี้ซักไซ้จนหูชาเป็นแน่

     









     

    “ฮี้!!!

     

    ม้าพาหนะต่างร้องเสียงหลงสองขาหน้ายกสูงตกใจกับสิ่งตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆสงบลงหลังผู้ควบขับบนหลังมันปลอบประโลมขวัญ เพียงอีกไม่กี่สิบศอกจะถึงที่พักกลางทางที่ทหารฝ่ายนำทางจัดกำหนดไว้แล้วแท้ๆ แต่เส้นทางนั้นกลับไม่ราบรื่นดั่งที่คาดการณ์ เมื่อมีเหล่าชายฉกรรจ์ชุดดำปกปิดใบหน้านับร้อยคนกระโจนออกจากป่าหญ้าเข้ามายืนล้อมกองทัพทหารหลายพันนาย

     

    นั่นไม่ใช่ปัญหาหากคนพวกนี้เป็นเพียงโจรกระจอกหวังปล้นเสบียงผู้ผ่านเส้นทาง แต่จากการคาดคะเนคนที่หาญกล้ามาล้อมทัพทหารของสี่องค์ชายแห่งกวางโจวเพียงร้อยนั้นย่อมไม่ธรรมดา หากไม่ใช่พวกจอมยุทธอริบ้านเมืองก็อาจเป็นพวกมือสังหารจากแคว้นฮั่นซุ่มโจมตี

     

    “พวกเจ้าต้องการสิ่งใด?” อู๋ฟานเอ่ยถามหนึ่งในกลุ่มโจรชุดดำท่าทีสงบ นัยน์ตาแม้เรียบนิ่งแต่กลับระวังภัยรอบด้านหากถูกโจมตีลับหลัง

     

    “ต้องการเจ้าและทหารเจ้ามาเป็นสมุนข้า จะให้ข้ารึไม่เล่าเจ้าองค์ชายลูกเมียน้อย?” ชายร่างหนาใหญ่ที่คาดว่าคงเป็นหัวหน้ากลุ่มชุดดำเอ่ยวาจาหยาบเหยียดไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง

     

    “สามหาว!! เจ้ากล้าดียังไงเอ่ยวาจาเช่นนี้กับพี่ข้า!” ซือซุนชักดาบออกมาจับถือมั่น พลางชี้ปลายดาบไปที่หน้าไอ้หัวหน้าโจรปากกล้า

     

    “พวกเจ้าทุกคนไม่ใช่เจ้าเหนือหัวข้า ข้าจะพูดพล่อยไร้ความเคารพยกหางใดๆนั่นย่อมเป็นสิทธิ์ของข้า ฮ่าๆๆ” เจ้าคนโฉดไร้สำนักเกรงเชื้อเทพ มันหัวเราะร่าโดยมีเหล่าลูกน้องผสมโรงเยาะเย้ย

     

    “บังอาจนัก! บอกข้ามาบัดเดี๋ยวนี้ว่าใครส่งพวกเจ้ามาที่นี่” องค์ชายเลือดร้อนสุดในขบวนอย่างซือชุนยังคงตะเบ็งเสียงซักไซ้

     

    “ไว้พวกเจ้าใกล้จะตายเป็นผีเฝ้าป่าเมื่อใด เมื่อนั้นข้าย่อมยินดีจะตอบคำถามที่เจ้าใคร่รู้ ลงมือ!!” ทันทีที่มีคำสั่งจากหัวหน้าใหญ่ เหล่าคนชุดดำก็เข้าปะทะกับองค์ชายทั้งสี่และเหล่าพลทหารอย่างหาญกล้าไม่กลัวตาย

     

    และตามที่อู๋ฟานคาดการณ์ไว้คนพวกนี้เก่งทั้งเรื่องคมดาบและพลังยุทธ ตวัดดาบฟาดอากาศเพียงพริบตาเหล่าทหารที่เคยรุมล้อมต่างบาดเจ็บล้มตายกันเกลื่อนพื้น อู๋ฟานที่ไม่ถนัดเรื่องมนต์ดำของขลังอะไรนักก็พลอยพลาดท่าหัวหน้าใหญ่ของมันอยู่หลายครั้ง ส่วนองค์ชายองค์อื่นๆก็ต่างยุ่งอยู่กับส่วนของตนไม่มีเวลาพอจะหันมองพี่น้องคนอื่นหรือเหล่าทหารว่าจะมีใครบาดเจ็บหรือสิ้นชีพไปมากน้อยเท่าใดแล้ว

     

    “พี่ห้าท่านทำอะไรสักอย่าสิ!” ซือชุนที่เริ่มจะต้านพลังลมพิษของมือสังหารตรงหน้าไม่ไหว ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากจงเหรินผู้มีวิชาพลังยุทธมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง

     

    จงเหรินชักดาบออกจากโจรที่เขาเพิ่งสังหารไป จงเหรินกำหนดสมาธิร่ายมนต์ที่เคยร่ำเรียนมาก่อนตวัดดาบอาบอายเวทฟาดฝันเหล่าคนชุดดำให้รับพิษซึมเฉือนเนื้อล้มตายเกลื่อนทับศพทหารที่เพิ่งลาลับไป

     

    “อ๊าก!!!” หัวหน้าจอมโอหังล้มตัวคุกเข่าลงตรงหน้าองค์ชายสามแห่งกวางโจวหลังถูกผลพลอยจากวิถีดาบ ก่อนล้มตัวนอนตายกับธรณีในที่สุด

     

    “เดี๋ยวยังเหลืออีกคน!” จงต้าชี้ไปที่ชายชุดดำอีกคนที่หลบหนีเข้าไปในป่า

     

    “ข้าจะไปตามตัวมันเอง” ซือชุนเอ่ยอาสาแล้ววิ่งตามเข้าไปในนั้น

     




     

    เวลาล่วงเลยผ่านไปสองเค่อ ทุกคน ณ ที่นั้นต่างช่วยกันคัดแยกศพทหารขึ้นเกวียนเตรียมนำไปฝังนะจุดพักชั่วคราว และยกลากซากศพพวกชุดดำนำไปกองในที่โล่งเตรียมจุดไฟเผาในระหว่างรออู๋ซือชุนกลับมาจากไล่ล่าโจรชุดดำ การถูกโจมตีในครั้งนี้ทำให้ทัพหลวงเสียทหารโดยสูญเปล่าไปมากพอตัว หากซือชุนจับผู้เหลือรอดคนสุดท้ายนี้ได้พวกเขาคงจะได้คิดบัญชีกับตัวการแทนพี่น้องทหารได้สาสม

     

    “ท่านพี่ น้องหกกลับมาแล้วขอรับ” จงเหรินเอ่ยเรียกเหล่าพี่ชายที่แยกไปดูแลความเรียบร้อยให้กลับมารวมตัวกัน เพื่อรอสอบสวนชายชุดดำหนึ่งเดียวที่ยังเหลือรอด

     

    “ผู้หญิงรึ?” จงต้าเอ่ยถาม หลังเห็นใบหน้างามหวานดั่งสตรี ไหนจะขนาดตัวที่เล็กกว่าชายทั่วไปของโจรฝีมือกล้าอย่างชัดเจน หลังอีกฝ่ายถูกปลดผ้าปิดปาก

     

    “ข้าเป็นผู้ชาย!” เจ้าโจรตัวน้อยตะเบ็งกลับสบมองบุราผู้บังอาจหยามเพศตนตาแข็งกร้าว

     

    “อ้อ...พ่อชายชาตรี ข้าต้องขออภัยเจ้าจริงๆ” จงต้ายกสองมือขึ้นเหนือศีรษะแกล้งยอมแพ้จำเลยตัวน้อย

     

    “ฮ่าๆ แกล้งคนมันบาปนะพี่สี่” เหมือนจะปรามพี่ร่วมมารดา แต่รอยยิ้มบนหน้านั้นใครก็มองรู้ว่าจงเหรินสมทบคำผู้พี่แกล้งเจ้าโจรหน้างาม

     

    “หึๆ พวกเจ้าเลิกเล่นกันได้แล้ว เราต้องสอบสวนชายผู้นี้มิใช่รุมหัวแกล้งเย้าเรื่องความงามเกินชายของเขา” อู๋ฟานเอ่ยปรามแต่ไม่วายเสริมทัพความหรรษา

     

    “พวกท่านนี่จริงๆเลย” ซือชุนแค่นยิ้มกลั้นหัวเราะกับความตลกแม้เพิ่งผ่านการรบขนาดย่อมมาหมาดๆของเหล่าพี่ชาย ก่อนหันมามองชายข้างกายที่เขาจับมัดมือไพล่หลังคุมตัวเป็นเชลยรอโทษทัณฑ์ “บอกชื่อแซ่ของเจ้ามาเด็กน้อย”

     

    “ข้าไม่บอก” จำเลยยังดื้อรั้นไม่ยอมทำตามคำสั่งผู้คุม

     

    “เจ้านี่ช่างรั้นนัก ถ้าจับมัดขาห้อยหัวแขวนไว้บนคานประตูค่ายจนเลือดลงหัวตายไปเองเจ้าว่าดีรึไม่?” จงเหรินย้อนถามโจรปากดีที่ยังคงถือดีเชิดหน้าต่อต้านเขาไม่ยอมก้มสำนึกผิด

     

    ของเขาสอนกันมาดีจริงๆ...

     

    “ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก” อู๋ฟานพูดสรุปหลังยืนคาดคั้นกันนานแต่ไม่ได้สิ่งใดตอบกลับ “ซือชุน คงต้องวานเจ้าช่วยจัดการเสียแล้ว”

     

    “ยินดีเป็นอย่างยิ่งขอรับพี่สาม” สองพี่น้องร่วมสายเลือดต่างยิ้มให้กันอย่างเข้าใจในความหมายของการฝากฝัง ซึ่งสำหรับสององค์ชายก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเดายากนักเขาทั้งสี่สนิทผูกพันกันมากกว่าพี่น้ององค์อื่นเหตุใดจะมองพี่น้องคู่นี้ไม่ออกว่าคิดสิ่งใดกัน

     









     

    ขบวนทัพขยับเคลื่อนตัวกันอีกครั้งโจรตัวน้อยถูกสายเชือกในมือซือชุนกระตุกเร่งให้เดินตามม้าของเขา การเดินทางในครั้งใหม่นี้ยังไม่ทันผ่านยามเซินดีก็มีอันต้องหยุดพักกันกะทันหัน เมื่อองค์ชายสามเกิดหมดสติตกจากหลังม้าจงต้ารีบลงจากม้าไปตรวจดูอาการผู้พี่

     

    “ท่านพี่สามเป็นอย่างไรบ้างพี่สี่?” จงเหรินรีบลงจากหลังม้าตามมาดูอาการ โดยมีซือชุนตามมายืนอยู่ข้างกันหลังฝากทหารคุมเชลยไว้

     

    “พี่สามถูกวางยา แต่ข้าบอกไม่ได้ว่าคือพิษใด” จงต้าสีหน้าเครียดขรึมหลังจับจุดชีพจรที่แปรปรวนเสียจนเกรงว่าผู้เป็นพี่จะกระอักเลือดเร่งพิษพล่าน

     

    จงเหรินผู้พอรู้เกี่ยวกับยาพิษศาสตร์ยุทธภพ จับข้อมือที่จงต้าเคยตรวจอาการมาเป็นผู้ตรวจเอง “มันเป็นพิษงูดำ จะออกฤทธิ์ช้าให้ผู้ถูกพิษไม่รู้ทันสังเกต ก่อนเข้าซึมตามกระแสเลือดดั่งงูพิษจ้องฉกเหยื่อ”

     

    “แล้ววิธีรักษาพี่สามเล่า?” ซือชุนเร่งถามอย่างร้อนใจเป็นห่วงพี่ชายตน

     

    “ต้องใช้ลมปราณสกัดพิษออกจากร่างกาย แต่ตอนนี้ข้าคงต้องหาจุดผ่านพิษก่อน สิ่งที่ยังฝังเข้าผ่านอาจยิ่งแพร่กระจายพิษให้เข้าสู่จุดสำคัญได้หากไม่รีบนำออก แล้วจึงใช้ยารักษาอีกทีซึ่งต้องใช้สมุนไพรจากบนเขาซึ่งข้าไม่แน่ใจนักว่าต้องใช้สิ่งใดบ้าง เห็นทีต้องตามหมอจากในวังมาช่วยวินิจฉัยให้พี่สามอีกที” คำบอกเล่าของจงเหรินทำเหล่าพี่น้องหน้าเสียไปตามๆกัน แต่ก็ต้องรั้งสติรักษากำลังใจทหารไม่ให้เสียขวัญเรื่องแม่ทัพใหญ่

     

    จงต้าขอตัวไปสั่งการทหารปลูกกระโจมทัพชั่วคราวเพื่ออยู่รักษาอู๋ฟานและให้ม้าเร็วแยกไปส่งข่าวให้แก่ค่ายชั่วคราวทางหน้า อีกส่วนก็ย้อนกลับไปแจ้งข่าวยังวังหลวง และเกณฑ์หมอที่ยังหนุ่มสาวพอเดินทางได้เป็นพันลี้มารักษาองค์ชายสาม

     

    “พี่สามจะหายดีใช่หรือไม่พี่ห้า?” ซือชุนถามเสียงแผ่ว

     

    “ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักน้องหก...” จงเหรินก้มหน้าหลบสายตาแสนคาดหวัง เขาเองก็อยากตอบได้เต็มคำนักว่าอู๋ฟานต้องหายดีแน่ แต่ในสถานการณ์ศึกนอกชักศึกในเช่นนี้จะหาหมอมารักษาทันท่วงทีนั้นยากนัก

     

    ได้แต่หวังว่าปวงเทพจะเมตตาในชะตาของอู๋ฟาน...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

      

     

     






























    ----------------------------------------------------------
    ศัพท์ในพาร์ท
    ยามเว่ย= ๑๓.๐๐-๑๕.๐๐น.
    เค่อ= ๑เค่อ เท่ากับ ๑๕ นาที
    ยามเซิน = ๑๕.๐๐-๑๗.๐๐น.




    ขออภัยที่อัพช้ามากๆๆๆๆๆ
    พอดีเกิดเหตุอแดปเตอร์ไหม้แล้วยังไม่มีเวลาไปซื้อ
    เลยต้องมาอาศัยคอมน้องและคอมที่ทำงาน
    จึงขออนุญาตอัพช้าจนกว่าจะมีงบประมาณไปซื้ออแดปฮับ

    ฝากแท็กรัวๆ #ม่านดอกงิ้ว






     

       

    (c) Chess theme
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×