คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ ๐๖ -ไต่สวน-
ม่านดอกงิ้ว
ตอนที่ ๖
-ไต่สวน-
ตำหนักมู่ตานในยามซื่อมากด้วยบุปผางามจากตำหนักต่างๆ ที่มาเข้าเฝ้าสตรีอันดับหนึ่งแห่งวังหลัง ในวันนี้ดูจะเคร่งเครียดยิ่งกว่าทุกวัน ข่าวการสังหารนางในหลานสาวของเสนาบดีมากอำนาจทำให้ต้องเร่งการไต่สวนเพื่อหาตัวผู้กระทำผิด รักษาสมดุลการปกครองของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เหล่านางสนมทั้งมีศักดิ์และไร้ยศต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงไม่อิดออดแสร้งป่วยไข้ ไม่ก็อ้างงานอ้างลูกหลีกเลี่ยงการพบเจอบรรดาอนุชายานางอื่นเฉกวันก่อนๆ
ฮองเฮาบนบัลลังก์ทองสลักโบตั๋นงามกวาดสายพระเนตรจับกริยาพิรุธหลุด แต่ละนางยังคงนิ่งเฉยไร้เสียงสนทนาใดๆ พระโอษฐ์แต้มชาดสีสดสวยยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนร่ายบทสนทนาพาทีตามประสาเมียหลวงผู้อารี “นานหลายวันนักที่มิได้เห็นผกาชาติจากวังหมื่นฮวามารวมตัวกันพร้อมเพรียงเช่นนี้ เหม่ยเหม่ยทั้งหลายคงสบายดี?”
“ฮองเฮาหนียงเหนี่ยง เป็นบุญของพวกสนมที่ฮองเฮาทรงห่วงใยไถ่ถาม สนมทั้งหลายสบายดีเพคะ เพียงแค่บางนางอาจติดการงานในตำหนัก จึงไม่สามารถเข้าเฝ้าฮองเฮาได้ตามกฎวัง ขอฮองเฮาเหนียงเหนี่ยงโปรดทรงลงโทษสนมด้วย” คำกราบทูลแทนบรรดาดาสนมจากสนมยศสูงสุด เป็นสัญญาณให้นางสนมทั้งหลายต่างลุกออกมายืนออหน้าพรมเดิน แล้วทิ้งตัวนั่งคุกเข่าศีรษะโขกพื้นขอประทานบทลงโทษจากสตรีบนบัลลังก์
จางโบราแม้สีหน้าจะแสดงบทสำนึกตาม ในใจกลับยิ้มสนุกกับละครวังหลังฉากใหญ่ ที่ชายาเอกแกล้งถามเหมือนห่วงใย แต่เนื้อความแท้แล้วหลอกด่าว่าไม่มีมารยาทไม่รู้เคารพกฎบ้านผัว ส่วนเมียรองผู้ชื่นชอบการเอาหน้าก็ชูโรงสมทบบทให้พวกตัวประกอบทั้งหลายรีบดาหน้าออกมารับโทษทัณฑ์ ทั้งที่ความเป็นจริงหญิงอันดับหนึ่งบนบัลลังก์ก็ไม่ได้อยากเสด็จมาเจอหน้า และเสวนากับพวกเมียๆยศต่ำให้เป็นหอกตำใจนัก พอๆกับอนุทั้งหลายที่ผลัดกันมาผลัดกันหาย เพราะไม่อยากทนสู้ความริษยาข่มรัศมีของสตรีร่วมสามีเช่นกัน
“เราเป็นครอบครัวเดียวกันฮองเฮาเช่นข้าไม่ต่างอะไรกับพี่สาวของพวกเจ้า พี่สาวจะใจดำลงโทษน้องๆเพราะต่างมีกิจงานได้อย่างไรเล่า ลุกกลับไปนั่งที่กันเถิดเหม่ยเหม่ยทั้งหลาย” พระหัตถ์งามผายยกเอ่ยอนุญาตให้พวกนางสนมกลับประจำที่
“เป็นพระกรุณาเพคะ/พะย่ะค่ะฮองเฮา” ทั้งหมดโค้งต่ำขอบคุณในพระเมตตา ก่อนกลับประจำเบาะนั่งของตน
สดับฟังประโยคก่อนหน้าก็นึกขันบอกเป็นพี่สาวในครอบครัวกลับใช้คำ ‘ฮองเฮาเช่นข้า’ แล้วยังแทนตัวเหล่าสนมว่า ‘เหม่ยเหม่ย’ พี่น้องร่วมครอบครัวที่ใดกันยังใช้คำแบ่งยศวรรณะให้รู้ว่าใครเป็นใคร เหมือนจะบอกทางอ้อมว่าอย่าคิดตีตนเสมอพระนาง และอย่าคิดหาข้ออ้างมาเลี่ยงหลีกกฎวังข้ามหัวนาง
วาจาละมุนหวานปนพิษสังหารสมเป็นไจ้จงฮองเฮาเสียจริง...
“จางผินเหม่ยเหม่ย...ได้ข่าวว่าในบรรดานางในที่เข้าฝึกน้องชายของเหม่ยเหม่ยสามารถฝึกปรนตนได้ดีนัก จนท่านอาจารย์บางวิชาศาตร์ถึงกับยกให้เขาเป็นผู้สอนเพื่อนนางในด้วยกันแทนตัวอาจารย์เอง” พอกลับเข้าที่ได้ไม่ทันไร หยางกุ้ยเฟยก็เปิดกล่องละครใหม่พุ่งบทไปยังพี่สาวของนางในจางอี้ชิง ผู้เป็นที่น่าจับตาในตอนนี้
และคงจะเป็นการเปิดฉากเข้าเรื่องการฆ่านางใน...
จางโบรายิ้มให้หญิงผู้เปิดประเด็นถาม “หยางกุ้ยเฟยเหนียงเหนี่ยงคงจะฟังข่าวมาผิดแล้วกระมัง น้องของสนมยังอ่อนในหลายวิชานักจะมีเด่นเพียงด้านรำละครงิ้ว ที่ว่าได้สอนเพื่อนนางในสนมมีความเห็นว่าน้องของสนมอาจเพียงได้ออกไปกระทำเป็นตัวอย่าง”
“ทายาทตระกูลจางช่างถ่อมตนนัก...หากมีโอกาสเหนียงเหนี่ยงคงได้เห็นน้องชายของเหม่ยเหม่ยแสดงงิ้วขึ้นชื่อให้ได้ชมเป็นบุญตา” เล่นงานผู้พี่ไม่ได้หยางกุ้ยเฟยจึงแสร้งเอ่ยชมความนอบน้อมแสนไต่เต้า และคาดหวังจะได้เห็นกลเดชของว่าที่สนมคนใหม่ในไม่ช้า
สนมยศผินยกยิ้มตอบอีกครั้ง มือบางเอื้อมรับถ้วยชาจากนางกำนัลคนสนิทมาจิบดื่ม แอบลอบถอนหายใจคำรบใหญ่อุส่าห์พลางกายดั่งกิ้งก่าแต่ยังถูกอสรพิษพุ่งเป้าได้ ดีที่ยังไม่มีใครล่วงรู้ว่าจางอี้ชิงในเพลานี้เป็นหญิงสาวเพราะอำนาจฮ่องเต้ช่วยปิดปากพวกเกี่ยวข้อง หากถึงวันหนึ่งวันใดได้รู้ความลับกัน พวกนางๆทั้งหลายคงรวมหัวกลั่นแกล้งไม่ให้น้องนางไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข
“พูดถึงเรื่องนางใน ข่าวการลอบฆ่าหลานสาวใต้เท้าฟ่ง ฮองเฮาเหนียงเหนี่ยงมีข้อสงสัยใดบ้างเพคะ” เมื่อมีคนชักนำก็ต้องมีคนสุมฟืน สนมยศผินขั้นสองรองจากจางโบรารีบทูลถามสตรีบนบัลลังก์
คงเตี๊ยมกันมาแล้วสินะทั้งฮองเฮา หยางกุ้ยเฟย และหว่านผิน นี่คงกะจะยัดข้อสงสัยให้จางอี้ชิงยิ่งมีมูลเหตุให้ชักนำตั้งมากมาย ทั้งความโปรดจากฮ่องเต้ และความสามรถในหลายสิ่งที่เหนือกว่านางในคนอื่น โบรายอมรับว่าสกุลจางอยากให้จางอี้ชิงได้เข้าวังและมียศสูงยกหน้าถือตาครอบครัว แต่นางเชื่อว่าคนตระกูลจางที่อุปถัมภ์นางแต่อ้อนออกไม่ใช่พวกลอบกัดสังหารใคร และจางอี้ชิงเองถึงแม้จะแสดงละครเก่ง เจ้าอารมณ์ไปบ้างแต่ไม่คิดทำร้ายคนถึงชีวิตแน่
จะมีก็แต่นางพวกนั้นเสล่อหาเรื่องเข้าตัวเอง!
“นั่นสินะ...ดรุณีจากสกุลต่างๆนั้นมากมายหลายจริต ข้าเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ถึงเรื่องคนร้าย ในบรรดาพวกเราคงมีเพียงจางผินและลุ่ยฉางจ้ายที่มีน้องเข้าร่วมเข้าฝึกครั้งนี้ด้วย” ฮองเฮาเกริ่นนำก่อนวาดสายตามาหยุดที่จางโบรา “จางผินเหม่ยเหม่ยในฐานะที่เจ้าได้เข้าเขตอบรมไปเยี่ยมเยือนนางในจางอยู่บ่อยครั้ง เหม่ยเหม่ยมีความเห็นใดหรือไม่?”
ถูกโยนบทมาโบราก็จำต้องน้อมรับไม่ปลีกเลี่ยงให้ตั้งประเด็นสงสัย “ทูลฮองเฮา จริงที่สนมไปเยี่ยมน้องหลายครั้ง เขตอบรมนางในนั้นมีการอารักขาแน่นหนาผลัดเปลี่ยนทหารยามทุกสองยาม สนมไม่สามารถคาดเดาได้เช่นกันเพคะว่าคนร้ายฝ่าด่านทหารยามเข้าไปได้อย่างไร”
พอจบคำให้การทุกคนต่างอยู่ในความเงียบ หากมีใครเผลอถือตนเป็นประเภทกินปูร้อนท้องโพล่งปากเอ่ยถามจางโบราว่า ‘การพูดเช่นนี้แสดงว่านางสงสัยคนในวัง’ จากที่ข้อกล่าวหาจะมุ่งไปที่สองพี่น้องจากสกุลจาง คงได้ข้อสรุปกันทันทีว่าผู้จ้างนักฆ่านั่นคือใคร
“เจ้าพูดก็มีเหตุผล” นายเรือผู้เป็นใหญ่ในท้องสมุทรเอ่ยกลับลำเรือเข้าตั้งหลัก เมื่อเจอคลื่นยักษ์ยากฝ่าทะลุลำ “นี่ก็สายมากแล้ว สนมทั้งหลายกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าเองก็ต้องกลับไปดูองค์หญิงน้อยเช่นกัน”
“สนมขอทูลลา”
นางสนมต่างทยอยออกจากตำหนักตามลำดับยศศักดิ์ โบราที่ออกมาเป็นคนที่สามเดินสงบไม่รีบรุดเร่งกลับตำหนักดั่งใครสักคนในบุปผานั้นคาดหวัง นางหยุดพูดคุยถามทุกข์สุขกับสนมไร้ยศสองนางที่ต้องรอเดินกลับหลังขบวนสนมตามยศจากไป เพราะไม่มีเกี้ยวพาหนะประจำตำแหน่ง ก่อนเดินไปนั่งบนเกี้ยวของตนเมื่อขบวนพระชายาชั้นกุ้ยเฟยทั้งสองเคลื่อนตัวไป
“นายหญิงจะไปพบนายน้อยเลยหรือไม่เจ้าคะ?” ยังไม่ทันได้เคลื่อนขบวนดีนางกำนัลผู้ติดตามเอ่ยถามขึ้นอย่างห่วงใยไม่ดูสถานที่ จึงถูกนัยน์ตาของนายสาวตวัดสบให้สงบปาก
อยู่กันมาตั้งหลายปีนางกำนัลผู้นี้เหตุใดถึงไม่รู้ใจโบราเลยสักนิด เมื่อนางไม่มีเรื่องร้อนใจอันใดที่จำเป็นต้องรีบรุดไปหาจางอี้ชิงแล้วทำไมต้องรีบไปหาเร็วกว่าที่เคยกระทำเล่า เผลอๆหากโผล่หน้าไปเขตนางในในเวลานี้ หรือรอจนวันพรุ่งแล้วค่อยรุดเยี่ยมเยือน ข้อกล่าวหาต่างๆจะได้ถูกมองว่ากระทำจริงดั่งคำยัดเหยียด สู้อยู่เฉยๆแล้วไปหาน้องในยามเย็นเหมือนทุกวัน ดูจะเป็นการกระทำที่ปกติไม่มีพิรุธใดให้จับผิดจะดีกว่า
จางโบรามองนางสนมโดยรอบให้แน่ใจว่าไม่มีใครทันได้ยินคำปากพล่อยจากคนของนาง ก่อนถอนหายใจหนัก แล้วกล่าวสั่งทหารยกเกี้ยว “กลับตำหนัก”
การจากไปของนางในฟ่งเป็นที่รับรู้กันทั้งเขตนางใน ทุกคนต่างให้คำให้การเป็นเสียงเดียวกันว่าก่อนนางในผู้นั้นก่อนจะถูกสังหาร นางได้เข้าไปยื้อแย่งกำไลหินจากนางในจางอี้ชิง ซึ่งเป็นเครื่องประดัยที่ฝ่าบาททรงประทานให้นาง จึงทำให้ทหารผู้รับหน้าที่ไต่สวนสาวความย้อนไปถึงนางในคนอื่นที่เสียชีวิตไป ทุกนางล้วนตายพร้อมของประทานต่างชนิดที่ถือติดตัว จึงสรุปสาเหตุกันได้สองกรณีว่านักฆ่าต้องการจะสังหารคือผู้ที่ถือครองของมีค่าจากเจ้าเหนือหัวตามใบสั่ง และการว่าจ้างฆ่าเพื่อชิงสิ่งของประทานมายึดครองอีกถอดหนึ่ง
หลังทหารสอบสวนจากไปเหล่านางในยังคงใช้ชีวิตกันตามปกติไม่เอาข้อสงสัยใดมาย้อนถามปรึกษากัน ทุกคนต่างมีความลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย แล้วเตรียมตัวเข้าเรียนในวิชาของวันนี้ แม้แต่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการตายเจ้าของสิ่งมีค่าในมือนางในผู้ล่วงลับก็ยังมีทีท่าสงบ ไม่ตื่นกลัวหรือแสดงอารมณ์ใดแม้ลึกๆจะกังวลและสงสัยอะไรหลายๆอย่างตั้งมากมาย
ถ้าฆาตกรนั่นต้องการสังหารผู้ถือครองของประทานจริง แสดงว่าผู้อยู่เบื้องหลังต้องการกำจัดเสี้ยนหนามที่กำลังจะเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ คนๆนั้นฐานะในวังไม่ใช่เล่นๆแน่ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถกระทำการได้เงียบสงบ และเล็ดรอดสายตาเหล่าทหารลอบเขต เผลอๆฆาตกรนั่นอาจเป็นหัวหน้านางกำนัลคนใดคนหนึ่ง และทหารยืนยามเสียด้วยซ้ำ ภายภาคหน้าหากพวกมันได้รู้ว่าใครคือเจ้าของตัวจริง มีหรือว่าปลายดาบจะไม่หันทิศมาจี้ต้นคอจางอี้ชิง
หรือไม่ตอนนี้พวกมันก็คงรู้ตัวแล้ว....
“ฉลาดไปก็มักตกเป็นเหยื่อของผู้ฉลาดกว่า หากแสร้งโง่เง่าก็มักจะถูกมองเดียดฉันท์ยิ่งกว่าเดนสัตว์ไร้ศักดิ์ศรี กลเกมวังหลังยากจะงัดเด่นให้กระจ่างเป็นตัวตน ต้องแสร้งโง่ผลัดฉลาดหลอกล่อเหยื่อ” ริมฝีปากงามหยุดกลอนวาจา ก่อนหันมองหญิงที่นั่งบนโขดหินริมธารข้างกายนาง “เมื่อเช้าที่เข้าเฝ้าฮองเฮา พี่อยากให้เจ้าได้เห็นสงครามชิงดีชิงเด่นของเหล่าสตรีหลังม่านมุกเสียจริง ผลัดกันแบ่งผลัดกันรับบทสนทนาร่วมมือทำลายเราเสียแยบยล”
“พวกนางคงยัดเหยียดความผิดให้ข้า หวังบีบเราทั้งคู่ออกจากวัง แล้วเจียเจี้ยทำเช่นไรกันเหล่าบุปผากายหนามรึ พวกนางถึงยอมปล่อยให้ท่านเดินเหินไม่สะกดรอยตามเอาเรื่อง?” จางอี้ชิงยิ้มกับภาพในจินตนาการที่พอวาดนึกออกว่าละครหน้ากากนางสนมนั้นเข้มข้นเพียงใดนางเองก็อยากร่วมชูโรงสวมโขน ทั้งอยากเห็นพระพักตร์โฉมสะคราญของฮองเฮาว่าจะงดงามซ่อนพิษร้ายขนาดไหน
“แค่พูดไปตามความจริงที่พี่รู้...เจ้าเล่าวันนี้มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับเจ้าบ้าง?” ยักไหล่มนอย่างไม่ใส่ใจนัก มือบางแกว่งก้านดอกหญ้าให้เกสรหลุดลอยไปกับสายลม
“มีทหารเข้ามาไต่สวนทำให้ต้องยกเลิกการเรียนของวันนี้ ...เจียเจี้ยข้าสงสัย...”
“สงสัยสิใดหรือน้องพี่?”
“ข้าสงสัยว่าคนที่ฆาตกรต้องการจะสังหารอาจเป็นข้า มิใช่พวกนางในเหล่านั้น”
จางโบราเบิกตากว้างอย่างตกใจ นางหันมองรอบธารอุทยานเขตนางในเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีนางใน หรือเหล่าข้าราชบริพารคนอื่นอยู่แถวนี้ “ทำไมเจ้าพูดเช่นนั้นเล่า?”
“ท่านก็รู้ว่านางในที่ถูกฆ่าล้วนถือครองของประทานจากฝ่าบาทที่มอบให้แก่ข้า เท่าที่ข้าสังเกตมาหลายต่อหลายครั้งหากคนร้ายต้องการสังหารผู้ได้รับความโปรด และของกำนัลจากฮ่องเต้จริง คนที่ควรจะถูกสังหารคือข้ามิใช่หรือ?” น้ำเสียงที่บอกเล่ากับพี่สาวไม่มีความประหม่าหวั่นเกรงในชะตากรรมอนาคต เพราะนางเองก็ตั้งท่าพร้อมรับมือกับศัตรูในเงามืดอยู่เช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ต้องเป็นคนในวัง...” โบราเกริ่นเอ่ยเพียงเท่านั้นให้รู้กันเพียงสองพี่น้อง ไม่เอ่ยนามผู้ต้องสงสัยที่นางแน่ใจว่าบงการ
“และอาจจะเป็นคนเดียวกันกับที่เคยส่งโจรไปทักทายข้าถึงหอหยกขาว ...ชีวิตข้าสักจะไม่ปลอดภัยเสียแล้วสิ” พาณีหวานพูดติดตลก ริมฝีปากยกยิ้มขันกับความคิดที่สวนทางของตนและผู้พี่
อี้ชิงคิดต่างจากโบรา...ผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุดในเวลานี้คือไจ้จงฮองเฮา แต่ใช่ว่าผู้บงการแผนสังหารนางในจะเป็นสตรียศสูงผู้นั้น นางก็แค่ต่อบทให้เพิ่มน้ำหนักข้อสันนิษฐานของโบราเพื่อปิดบังบางอย่างก็เท่านั้น ถ้าเป็นไจ้จงจริงหญิงผู้นั้นคงไม่คิดจ้างนักฆ่าให้เสียเวลาไปกับการลอบสังเวยแพะรับบาปให้เปลืองแรง หากใช่นางก็คงจะดูโง่เขลาเกินกว่าเหตุที่ปล่อยให้นักฆ่าสังหารนางในสกุลฟ่งผู้มีอิทธิพลต่อวังหลวง
ผู้อยู่เบื้องหลังคือใครสักคนที่ไม่รู้จักจางอี้ชิง ไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ที่สานต่อจากฉางชา คนผู้นั้นรู้เพียงวิธีการตัดไฟแต่ต้นลมสังหารสตรี ชายงามทุกคนที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ จึงเป็นเหตุให้อี้ชิงต้องปิดบังความสงสัยนี้ไม่ให้โบราล่วงรู้ นางเกรงว่าพี่สาวจะเก็บเอาไปสืบสาวหาโจรให้มันรู้ตัวก่อน
ส่วนตัวฮองเฮาหลังม่านมุกก็แค่นางชูโรงคู่ปรึกษาแก้สถานการณ์ให้อยู่เหนือ ยืมมือตัวบงการที่ฆ่าพลาดมาไล่ต้อนผู้ไม่รู้เรื่องราวให้รับโทษแทนพวกของนาง ซึ่งใครเล่าจะได้รับอภิสิทธิ์นี้เท่าพี่น้องบ้านจางที่ได้รับความโปรดในขณะนี้ การโยนความผิดและตั้งข้อกล่าวหาว่าพวกนางต้องการกำจัดเสี้ยนหนามหวังบัลลังก์หงส์ เป็นอะไรที่แสนลงตัวเพราะเข้ากับนิสัยทะนงหวังสูงของอี้ชิงเสียเหลือเกิน ยังดีที่จางโบรามีไหวพริบเอาตัวรอดเก่งไม่โง่เออออเหมือนสนมนางอื่น ไม่อย่างนั้นได้สิ้นชีพทั้งโคตรเหง้าตระกูลจางแน่
หากถึงเวลาต้องกำจัดจริงคนที่อี้ชิงจะเลือกปลิดชีพไม่ใช่นางในไร้ปัญญาพวกนี้แน่ๆ...
กลางดึกของอีกวันหอนางในเงียบสงัดไร้เสียงเดินเหินของเหล่าผู้เข้าฝึกระเบียบ เว้นเสียแต่นางในจางที่ลุกจากฟูกอุ่นย่องเบาผ่านเพื่อนนางในที่หลับฝันหวานเข้าไปผลัดเปลี่ยนชุดในห้องเสื้อ พอตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครรู้สึกตัวตื่นมาเห็นนาง กำแพงที่เป็นดั่งประตูลับหลังกองผ้าป่านสีสวยก็ถูกเปิดออกอี้ชิงเดินเข้าไปในอุโมงค์มืด จับชามตั้งเทียนไขขึ้นมาจุดไฟก่อนปิดประตูแล้วเดินไปตามเส้นทางลับที่มุ่งไปสู่ค่ายฝึกทหารของวังหลวง
ถ้านับรวมครั้งนี้คงจะเป็นครั้งที่แปดแล้วหลังล่วงรู้กลไกลลับของหอนางในจากจากสหายนางใน ครั้งแรกนางเดินทางมาพร้อมสหายนางในซึ่งมีพันธะกับนายทหารผู้หนึ่ง แต่เพราะกฎมณเฑียรบาลจึงทำให้เขาทั้งสองไม่อาจครองรักกัน คนหนึ่งจำต้องมาเป็นนางในเพื่อรักษาชีวิตครอบครัวอีกคนก็จำต้องเข้าเกณฑ์ทหารตามกฎแคว้น
และเพราะรักต้องห้ามที่ลอบกลับมาพบเจอ ทำให้อี้ชิงได้อานิสงส์พบเจอสหายสูงศักดิ์ที่หายหน้าหายตาไปถึงครึ่งแรมปี จากนั้นเป็นต้นมาอี้ชิงจึงได้ลอบใช้เส้นทางนี้มาพบองค์ชายสาม มันไม่ใช่แค่การพบปะแลกเปลี่ยนเรื่องราวรอบเจ็ดพันแสงของทั้งสอง แต่มันนำมาซึ่งแผนการกองกำลังหนุนของอี้ชิงที่หวังผลจากฝีมือการรบและวิทยายุทธจากอู๋ฟาน นางทำเฉกเช่นที่ไจ้จงฮองเฮาเคยกระทำหวังให้อู๋ฟานไปขัดขวางนางถึงฉางชา ต่างกันเพียงแค่อี้ชิงใช้วิธีมารยาซื้อใจชาย
หากบุรุษรักหญิงใดหมดใจแล้ว ไม่ว่าจะร้องขอดาวเดือนหรือภาสกรแรงกล้ามีหรือจะหามาให้ไม่ได้...
ปล่องหน้าผาสูงคือสุดปลายทางจากวังหลวงถึงค่ายทัพเพียงภูผากั้น สองเท้าก้าวเดินไปตามทางเรียบลงไปยังหน้าประตูหลังค่ายทหาร นายทหารประจำกองหลังเปิดประตูค่ายต้อนรับหญิงสาวอย่างรู้งาน อี้ชิงยิ้มขอบคุณทหารผู้นั้นก่อนเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นชินก่อนหยุดยืนหน้ากระโจมที่พักขององค์ชายอู๋ฟาน
หญิงสาวถอดหมวกคลุมศีรษะตกไปด้านหลังพลางส่งสัญญาณห้ามไม่ให้ทหารหน้าที่พำนักส่งเสียงบอกกล่าวคนข้างใน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มเข้าใจพร้อมกระซิบพูดคุยเรื่องท่านแม่ทัพอู๋ที่ดื่มตั้งแต่ตะวันเพิ่งคล้อยต่ำอย่างเริ่มสนิทคุ้นเคยกับนายน้อยจาง ก่อนขอตัวตะเวรโดยรอบเพื่อความเป็นส่วนตัวของคนทั้งสอง
ร่างสะคราญเข้ามาในกระโจมอุ่นนางถอดเสื้อคลุมไปแขวนไว้ยังมุมห้อง แล้วพาสองเท้าก้าวเบาแผ่วเข้าหาบุรุษในชุดลำลอง ที่นั่งดื่มสุราหันหลังให้นางบนเบาะปักไหมเลื่อมลายพยัคฆ์ไม่ทันสังเกตผู้มาเยือน
“ดื่มสุรารสคนเดียวแต่หัววันเช่นนี้ ทรงมีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรือเพคะองค์ชาย” เสียงหวานเอ่ยทักคนในห้องให้รู้ตัว มือบางเอื้อมฉวยจอกสุราในมืออีกฝ่ายมาถือครองก่อนนั่งลงบนเบาะนุ่มข้างๆกัน
“มาหาข้าในชุดสตรีวังหลวงเช่นนี้ เขารู้กันแล้วหรือไรว่าเจ้าไม่ใช่นายน้อยจางแล้ว” ไม่มีคำตอบจากองค์ชายหนุ่ม แต่เป็นคำถามหลังเห็นสหายต่างชนชั้นสวมอาภรณ์นางในสาวมาพบเขาในวันนี้
“ยังไม่รู้ แต่ถึงจะสงสัยก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม”
“เพราะอาญาจากฮ่องเต้สินะ” อู๋ฟานยกยิ้มก่อนแย่งจอกสุราในมือหญิงงามมายกดื่ม
อี้ชิงในคราบหญิงสาวทั้งใบหน้าและรูปร่างดูงามเข้าเค้าโครงเสียทุกส่วน ยิ่งสวมใส่ชุดนางในที่เน้นเผยช่วงไหล่เนียนมนและเนินอก ต่อให้ปากแข็งว่าเป็นชายงามผ้าดันอกอย่างไรก็ไม่อาจตบตาคนมองได้ ใครต่างก็มองออกว่านางคือสตรีหาใช่นายน้อยดั่งกล่าวอ้าง แต่เพราะรับสั่งจากฝ่าบาทให้ปกปิดเป็นความลับจึงจำต้องหลับหูหลับตาเรียกนายน้อยกันไป
เขาเองก็อยากรู้ว่าหลังอุส่าฝ่าฟันด่านคัดเลือกต่างๆมาได้แล้ว นางในจางจะสามารถผ่านด่านดูตัวที่ฮองเฮาและเหล่าสนมมียศเป็นผู้คัดสรรได้หรือไม่ เห็นว่าทั้งฮองเฮาและพระสนมต่างมีเล่ห์เหลี่ยมเล่นงานนางในไม่ซ้ำแบบ ยิ่งมารู้ว่าอี้ชิงโกหกเรื่องนามเพศพวกนางจะเล่นงานสาวน้อยผู้นี้เยี่ยงไรกัน?
อู๋ฟานทำได้เพียงแค่อยากรู้ แต่ไม่อาจยืนอยู่เฉยแล้วมองนางถูกรังแกต่อหน้าต่อตาได้...
“ใช่ดั่งท่านกล่าว แต่คำสั่งของฝ่าบาทช่วยข้าได้แค่ปกปิดนามเพศแท้ หาทำให้ข้ารอดพ้นจากมือสังหารไม่” ได้จังหวะอี้ชิงก็ตีหน้าเศร้าหงอย หงายจอกสุราในถาดกลมก่อนถือกาเทน้ำเมาใส่จอกตนแล้วยกดื่ม
“รู้เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ยังคิดอยากจะเป็นชายาเขา” อู๋ฟานต่อบท เรื่องในวังก็พอรู้ความเคลื่อนไหวอยู่บ้างแม้เขามาประจำการที่ค่ายทัพ เห็นว่าเป็นคดีเกี่ยวข้องกับอี้ชิงก็นึกห่วงว่าสหายตัวน้อยจะมีอันตราย แต่อู๋ฟานไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือใดๆอี้ชิงได้เมื่อเจ้าตัวยังยืนกรานจะเดินบนถนนโรยคมหนาม
“ถ้าคนที่โง่เขลาเรื่องศาสตราและการเมืองเช่นข้าสามารถทำสิ่งอื่นตอบแทนคุณบุพการีได้ ข้าคงขอเลือกแต่งกับคนที่รักและมีเพียงข้าแม้เพียงฝัน” อี้ชิงช้อนตามองอีกฝ่ายสื่อความหมายในใจนาง
ชายไร้ฝีมือทางการรบและไม่ปราดทางการราชไม่ต่างกับสตรีสาวรอบัญชาแต่งงานกับบุรุษที่บิดาเลือกสรร เพื่อยกหน้าถือตาตระกูลซึ่งเป็นสิ่งที่หญิงสาวและชายงามควรกระทำแทนคุณบุพการี ยิ่งได้เป็นสนมฮ่องเต้แล้วอำนาจมากมายที่จะได้มาย่อมคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
แน่นอนว่าถ้าอี้ชิงเลือกได้จริงนางจะเลือกเป็นฮองเฮามากกว่าการมานั่งฝึกเป็นว่าที่สนมในตอนนี้...
“อี้ชิง ข้า...” เสียงทุ้มอึกอัก รู้สึกอยากต่อยปากตัวเองที่เผลอพูดจาให้ร้ายอีกคน โดยไม่ทันคิดไม่รักษาน้ำใจนาง
“ช่างเถิด องค์ชายจะมองว่าข้าเป็นพวกมักใหญ่ใฝ่สูงหาได้แปลก ในเมื่อข้ากระทำตนเช่นนั้นตั้งแต่อยู่ฉางชา แต่ข้าอยากให้พระองค์รู้ว่าข้าไม่ได้เต็มใจเข้าไปอยู่ในวังหลัง ทุกสิ่งที่ข้าทำนั้นล้วนเพื่อครอบครัวและบ่าวไพร่ในจวนจาง” ละครอีกหนึ่งฉากถูกตีบทจนแตกยับด้วยม่านน้ำตาที่ไหลผ่านปรางนวล ใช่...นางไม่ต้องการเป็นสตรวังหลังสิ่งที่นั่งไขว่คว้าคืออำนาจคุมหมื่นฮวา
“อย่าร้องไห้เลย ข้าเข้าใจเจ้าแล้วอี้ชิง” เรียวนิ้วเกลี่ยหยาดน้ำตาให้หืดหายจากใบหน้านาง ช่างเป็นจังหวะแสนจงใจเหมือนพลั้งเผลอเมื่อสายตาสองคู่มาบรรจบสบมองกัน ยิ่งไปกว่านั้นความห่างไกลของใบหน้ากลับขยับระยะเข้าหาจนริมฝีปากแตะสัมผัสกันเพียงแผ่ว
บุรุษหนุ่มเป็นฝ่ายผละใบหน้าออกห่างอย่างแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ ทำให้อี้ชิงต้องผละถอยตามจริตที่ควรทำแม้นึกเสียดายที่แผนล่ม “เรา...เรามาดื่มกันต่อเถิด”
อี้ชิงรินสุราให้สหายหนุ่มและของตนก่อนยกจอกขึ้นดื่มหวังแก้สถานการณ์ชวนเก้อเขิน ฝ่ายอู๋ฟานก็รับไมตรีนั้นพลันผันเปลี่ยนเรื่องพูดคุยมากมายเหมือนจำนวนกาสุราที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งสองต่างสนุกสนานกับเรื่องราวผ่อนคลายความกังวลในปัญหามากมายที่สุมหัวแทบลืมเวลาของวันใหม่
“นี่ก็ใกล้จะเช้าสางแล้วเจ้ารีบกลับวังเสีย ก่อนที่ใครจะรู้ว่านางในคนโปรดของฝ่าบาทหายตัวไป” อู๋ฟานเอ่ยเตือนนางในตัวน้อยหลังมองสีท้องฟ้าผ่านผ้ากั้น
“ไม่ ข้าจะอยู่ดื่มกับเจ้า!” เสียงหวานพร่าฤทธิ์เมาสำแดงเดชด้วยสรรพนามแทนตัวอีกฝ่ายอย่างสนิท ซึ่งไม่ได้ทำให้อู๋ฟานแปลกใจนักยิ่งรู้สึกพอใจด้วยซ้ำ เพราะทุกครั้งเมื่อร่วมดื่มกันนิสัยเป็นการเองของอี้ชิงก็ออกฤทธิ์เสียชินชา
“เจ้านี่เป็นคนยังไงกันจางอี้ชิง เดี๋ยวยโสเดี๋ยวมึนเป๋อข้าสักจะตามอารมณ์เจ้าไม่ทันแล้วนะ” เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้าคนเมา เขาดื่มแต่หัวค่ำแค่รู้สึกมึนเล็กน้อยไม่ยักจะเมามายได้เท่าอี้ชิง อย่างว่าอู๋ฟานผ่านจอกเหล้ามานับพันๆจอก แต่อี้ชิงเพิ่งได้ลิ้มรสน้ำเมาเมื่อไม่กี่เดือนดี จะให้คอแข็งไม่สะท้านของเมาเช่นเขาได้อย่างไร
“จะยโสหรือป้ำๆเป๋อๆล้วนคือข้า... อยู่ที่ว่าในเวลานั้นจางอี้ชิงผู้นี้จะเลือกสวมหน้ากากใด”
“แล้วตอนนี้เจ้าเลือกสวมหน้ากากใดต่อหน้าข้ากันอี้ชิง?”
“ทรงใช้ใจมองสิองค์ชาย หากใช้เพียงสายตาท่านก็ไม่สามารถมองเห็นในสิ่งที่ข้าต้องการจะสื่อถึง นั่นทำให้เรามีอคติต่อกันมานับแต่แรกพบ” อี้ชิงยกยิ้มแสนหวานเชื่อม ปลายนิ้วเลื่อนแตะไล้แก้มสากลากลงจรดปลายคาง ถึงจะไม่ใช่คนกร้านโลกผ่านมือชายใดแต่บทละครร้อยๆเรื่องและน้ำเมารสเลิศ ช่วยสร้างความมั่นใจเพียรแสดงเสน่ห์ยั่วยวนอีกฝ่ายอย่างเดียงสาสมบทบาท
“ข้า... ข้ามองเจ้าไม่ออกจริงๆ” อู๋ฟานเริ่มสับสนว่าเพลานี้ตนกำลังเมาสุราหรือน้ำคำสาว รู้สึกตาพร่ามัวไปกับรอยยิ้มหวานหยดและท่าทางงดงามยามขยับกาย ก้อนเนื้อสูบฉีดชีวิตเต้นระรัวยิ่งกว่ากลองศึก สีหน้าอาการเริ่มควบคุมให้สงบลงยากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อู๋ฟานไม่แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขาแต่ที่รู้มันเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ชิดจางอี้ชิง
“เช่นนั้นข้าคงต้องแสดงออกทางการกระทำให้ท่านได้เห็นแล้วล่ะอู๋ฟาน” ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มเย้ายวน อี้ชิงพลิกตัวยืนชันเข่าคลานขยับไปคร่อมทับตักแกร่ง สองมือนุ่มทาบทับสองข้างแก้มก่อนโน้มใบหน้าเข้าประทับจูบอ่อนโยนตามสัญชาตญาณไร้ทักษะ
จูบเพียงแตะสัมผัสค่อยๆถูกเรียวลิ้นชื้นแต่กลีบผกาให้เบิกทาง แล้วสอดลิ้นเข้าควานกวาดหยาดน้ำหนาวในโพลงปากมาดูดดื่ม อู๋ฟานก็เพียงบุรุษเพศคนหนึ่งไม่ต่างอะไรกับราชสีห์เจอเหยื่อ ยิ่งเหยื่อตัวน้อยเต็มใจป้อนเนื้อหนังถึงปากแม้เพราะความเมาหรือจงใจก็ตาม เขาก็จะกลืนกินเนื้อหวานนี้เต็มคำอิ่ม
มือบางเปลี่ยนจากประคองแก้มเป็นสอดคล้องรอบลำคอย่นระยะความใกล้ชิดให้แนบแน่น แม้จะไม่ประสาเรื่องจุมพิตแต่หลังได้เรียนรู้จากอีกฝ่าย อี้ชิงก็สามารถตอบสนองจูบร้อนแรงนี้ได้ดีเยี่ยม จูบดูดดื่มจบลงด้วยเสียงครางฮือจะขาดใจจากคนบนตัก อู๋ฟานผละจูบเก็บเกี่ยวหยาดน้ำใสมุมปากอิ่ม
ปมสายคาดเอวถูกปลดคลายอาภรณ์ลื่นมือที่เคยรัดทรวดทรงกลับคลายรูปล่นลงไปกองบนตัก เผยความงามละเอียดในรูปกายสาวพรหมจรรย์ประจักษ์แก่สายตาองค์ชายหนุ่ม มือหนาไล้ผิวกายจากสะโพกคอดถึงหัวไหล่เนียน ตาคมสบมองเจ้าของร่างงามตรงหน้าดั่งต้องการจะจดจำแก้วตาหวาน และถามความต้องการของอีกฝ่ายอีกครั้ง ซึ่งคำตอบคือรอยยิ้มและการประทับจูบ
หาใช่เพียงมอบการมอบกายเพราะเมามาย จางอี้ชิงต้องการค้นใจอู๋ฟานให้แน่ชัดด้วยกายหญิง นางใคร่รู้ว่าทุกค่ำวันที่เพียรสานสัมพันธ์ให้อีกฝ่ายรับรู้มัน จะสามารถเซาะเกราะหินกล้าเข้าไปถึงใจอู๋ฟานได้เพียงใด?
แสงอรุณสาดส่องกระทบกระโจมปลุกคนเพิ่งหลับใหลเพียงหนึ่งชั่วยามให้ลืมตาตื่นรับพันแสงสาย อี้ชิงพลิกกายหันเข้าหาร่างกำยำที่โอบกอดตนอยู่ แก้วตากลมประกายแสงมองรูปหน้าหล่อเหลาปานเทพวาดยามนิทราอย่างชื่นชมปนสังเวช เทพบนฟ้าทรงประทานความหล่อสง่าให้อี้ฟานเหตุไฉนกลับทรงลืมเรื่องปรีชาการไตร่ตรอง รูปงามแต่โง่เขลาเล่ห์เหลี่ยมหญิงช่างประทานมาสมดุลกันเสียจริง
“ข้าลืมตาได้หรือยังยอดรัก” คำถามหยอดคำหวานจากผู้ถูกลอบมอง เรียกรอยยิ้มหวานหยดแสนสร้างเสน่ห์ของผู้จับจ้องใบหน้า
ริมฝีปากอิ่มหุบยิ้มก่อนโน้มจุมพิตมุมโอษฐ์ฉ่ำ แม้อี้ชิงจะมีร่องรอยความอายประดับใบหน้า แต่เพราะต้องเล่นละครตบตาหมากกระดานตัวใหญ่จึงต้องแกล้งสงบไม่ตื่นเขิน “ทรงตื่นบรรทมได้แล้วเพคะ”
“เจ้านี่หายเมาทีไรความห่างเหินคืบคลานเสียทุกที เมื่อคืนรู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่ากระทำสิ่งใดไว้บ้าง?”
“โธ่...อี้ชิงแค่แกล้งท่านเล่นอย่างแง่งอนสิอู๋ฟานของอี้ชิง” อี้ชิงเอ่ยออดอ้อนยิ้มขำกับสีหน้าบึ้งตึงของแม่ทัพผู้น่าเกรงขามแห่งกวางโจว กายงามยันตัวตะแคงศอกเท้าเตียงศีรษะอิงฝ่ามือไม่ทันระวังผ้าแพรลื่นที่ล่นลงเกือบเปลือยอก “ถึงข้าจะเมาก็ใช่ว่าจะไม่รู้การกระทำตน ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำสิ่งใดและข้าเต็มใจมอบให้ท่าน”
“คารมนางละครช่างหวานลื่นหูน่าลุ่มหลง...” นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมสีดำขลับทัดใบหูหวังมองรูปหน้างามให้เต็มตา ไม่วายหยอกแกล้งหญิงเดียงสากล้าป้อนเนื้อราชสีห์ โดยกระตุกผ้าห่มหลุดจากร่างระหงเผยสัดส่วนไร้อาภรณ์เป็นอาหารตาในเช้านี้
“อ๊ะ! องค์ชายอู๋ฟานคนบ้า” อี้ชิงรีบนอนคว่ำปิดเรือนร่างส่วนหน้า ไม่ให้คนฉวยโอกาสได้แทะโลมผ่านดวงเนตร ใบหน้างามหลังสิ้นฤทธิ์สุราแดงก่ำอย่างเขินอายไม่หลงเหลือความกล้าอยู่อีกแล้ว
“เมื่อคืนข้าเห็นหมดแล้วน่า... เจ้ายังจะอายอะไรอีกเล่าแม่นกน้อย” อู๋ฟานพลิกกายคร่อมทับร่างที่นอนคว่ำ พลางแกล้งกระซิบใกล้ใบหูจนอีกคนต้องย่นคอหนี
“อื้อ...องค์ชายสามพอได้แล้ว ข้าต้องกลับตำหนักพี่โบราแล้วนะ” เสียงหวานปรามคนตัวโตที่หวังจะต่อรอบเช้า อู๋ฟานนี่ยังไงกันตอนจะให้อิดออดเป็นสุภาพบุรุษเสียเหลือเกิน พอได้แล้วกลับกินได้แทะโลมดีจนตัวอี้ชิงจะพรุนบุบสลายอยู่รอมร่อ
“กลับตำหนักสนมผิน? วันนี้ไม่มีฝึกนางในหรอกหรือ?”
“ถ้ามีข้าคงนอนอยู่ตรงนี้กับท่านจนสายโต่งไม่ได้หรอก นับจากนี้พวกข้าคงต้องหยุดเรียนกันอีกยาวแต่พวกเรายังต้องอยู่ในวังห้ามกลับเรือน ท่านน่าจะรู้ดีว่าเพราะสิ่งใด”
“สงครามชิงแคว้น...” อู๋ฟานต่อบทหญิงสาว พอต้องกลับมาพูดถึงเรื่องการศึกความเครียดที่ถูกระงับด้วยสุราเมื่อวันวานกลับตีรื้อชวนปวดหัวอีกระรอกใหญ่
หญิงข้างกายรับรู้ถึงความเครียดขึงในราชกิจของอีกฝ่าย จึงยกมือขึ้นทาบแก้มหวังช่วยประโลมอารมณ์ “อย่าเครียดไปเลยองค์ชายสาม ข้าเชื่อว่าศึกครั้งนี้เราต้องมีชัยเหนือข้าศึก”
“ศึกนอกแคว้นข้าไม่หวั่นเลยยอดรัก แต่ศึกในวังนี่สิที่ข้ากังวล” คำบอกเล่าทำคนใต้ร่างชะงัก ก่อนผลินหน้ามองคนเอ่ยเพื่อขอคำอธิบายให้กระจ่าง “ศึกต่างแคว้นแค่ฉากบังหน้า สงครามแท้จริงนั้นคือการช่วงชิงบัลลังก์องค์หยุ่นฮ้าว”
อู๋ฟานบอกกล่าวไปตามตรงไม่ปกปิดเรื่องภายในราชสำนัก เขาไม่เห็นความเสียหายหากอี้ชิงได้ล่วงรู้อย่างมากแค่บอกเล่าต่อพี่สาวซึ่งฐานะของจางโบราไม่มีสิทธิ์กระทำการใดเพื่อช่วยสวามีได้แน่ อีกสิ่งที่เขาคิดบอกไปเพราะต้องการจะดูปฏิกิริยาหลังอาจต้องชวดบัลลังก์ฮองเฮาในฮ่องเต้พระองค์นี้ อู๋ฟานอยากรู้ว่าหญิงที่มอบกายพรหมจรรย์แสนมีค่านี้หวังสิ่งใดอื่นอีกหรือไม่นอกจากหัวใจรักที่เขามีให้นาง
ยอดผาสูงยังยากเอื้อมมือถึง...
...จิตใจคนย่อมยากจะหยั่งเห็นในเนื้อแท้
-------------------------------------------------------------------
ความหมายของศัพท์ในพาร์ท
ยามซื่อ= ๙.๐๐-๑๑.๐๐ น.
เหม่ยเหม่ย=สรรพนามแทนตัวหญิงมียศที่มีอายุน้อยกว่า (น้องสาว)
เหนียงเหนี่ยง=สรรพนามแทนตัวของหญิงมียศที่มีอายุมากกว่า (พี่สาว)
ลำดับยศสนม
มีเอกสารอ้างอิงเรื่องชื่อยศลำดับเยอะมาก แต่ไรต์ตัดเอาแค่ลำดับยศใหญ่ๆนะคะ
ชายาเอกแบ่งเป็น๒ลำดับ ๑.หวงกุ้ยเฟย(มีได้๑คน-)
๒.กุ้ยเฟย(มีได้๒คน :ในเรื่องคือ หยางกุ้ยเฟย และ?)
ชายารองแบ่งเป็น๒ลำดับ ๑.เฟย(มีได้๔คน-)
๒.ผิน(มีได้๔คน :ในเรื่องคือ จางผิน[โบรา] หว่านผิน)
และสนมแบ่งเป็น๓ลำดับ ๑.กุ้ยเหริน(มีได้นับไม่ถ้วน)
๒.ฉางจ้าย(มีได้นับไม่ถ้วน : ในเรื่องคือ ลุ่ยฉางจ้าย)
๓.ต้าอิง(มีได้นับไม่ถ้วน)
-------------------------------------------------------------------------------
ฮิ้วววววว เขาได้กันแล้ว5555
สรุปอี้ชิงจะได้เป็นฮองเฮามั้ยเนี่ยทะไมเราทำมันยุ่งยากจัง
ไหนจะคนจ้างฆ่านางอีก โอ....ปวดเฮด
ยังไงก็ฝากด้วยนะฮับ
#ม่านดอกงิ้ว
ความคิดเห็น