คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ ๐๕ -มายาวังหลวง-
ม่านดอกงิ้ว
ตอนที่ ๕
-มายาวังหลวง-
วังหลวง...นอกกำแพงอิฐแดงก่อจบด้วยกระเบื้องหยักราคาแพงดูสวยสง่าแลสูงส่งยากจะหมิ่นเกียรติราชนิกุลแห่งปวงเทพ ปุถุชนใดเล่าจะล่วงรู้เนื้อแท้ความจริงหลังกำแพงวัง เหล่าพี่น้องริษยาซึ่งอำนาจ พวกขุนนางไขว่คว้าหวังซึ่งบารมี แม้แต่ชายาหลวงก็ยิ่งกว่าสตรีหอโคมเขียว ทั้งหมดล้วนเป็นคลื่นมรสุมใต้น้ำลึกอยู่ใต้กำมือมหาราชซ่อนปิศาจในคราบเทพที่เรียกขานกันว่า ‘ฮ่องเต้’
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ ฮองเฮาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ” ราชขันทีประจำพระองค์เข้ามากล่าวรายงานเจ้าเหนือหัวที่ประทับทรงงานอยู่ในตำหนักพระองค์เอง
“อืม ให้พระนางเข้ามา” สุระเสียงทุ้มขานสั่ง พระเนตรคมยังกวาดอ่านฎีกาในมือไม่ละจาก
ร่างระหงของสตรีอันดับหนึ่งแห่งวังหลวงก้าวเดินอย่างสง่าเข้ามาในตำหนักสวามี ก่อนย่อกายทำความเคารพเจ้าเหนือหัวและสามีในสมรส “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”
“ลุกขึ้นเถิดฮองเฮา อยู่กันเพียงสองคนไม่ต้องมากพิธีไป” ฮ่องเต้ลุกจากที่ประทับเข้าไปประคองร่างงามของชายาเอกให้ลุกขึ้นแล้วเดินเคียงคู่กันไปนั่งบนแท่นประทับข้างหน้าต่าง
พระโอษฐ์ฉ่ำปานกลีบเหมยกุ้ยสีแดงสดยิ้มละมุนหวานดุจแก้วพิมพ์ หวังประดับพระทัยองค์หยุ่นฮ้าวช่วยผ่อนคลายความตรึงเครียด “ฝ่าบาททรงงานหนักแต่หม่อนฉันยังรั้นจะเข้าเฝ้าจนพระองค์ต้องละวางงาน หม่อมฉันช่างเป็นฮองเฮาที่แย่นัก”
“ไม่เลยชายารัก ความเครียดของข้ามลายหายเพราะเจ้ามาให้ข้าได้เห็นหน้า ควรเป็นข้าเสียมากกว่าที่เป็นสามีไม่เอาไหนวันๆมัวแต่ยุ่งกับบ้านเมืองไม่มีเวลาให้เจ้าและองค์หญิงน้อย” พระหัตถ์หนากระชับกอดกายงามเข้าแนบอก ร่ายคำหวานปั่นใจหงส์ให้หลงมนตร์มายารัก
“หม่อมฉันและองค์หญิงน้อยเข้าใจฝ่าบาทเพคะ” ไจ้จงเอ่ยรับดำริมือบางยกทาบอกแกร่งหวังส่งผ่านความรักและห่วงหา
มายาละครแห่งวังหลวงคิดหรือว่ามีเพียงเหล่าสตรีนางในแสดงได้ บุรุษผู้ปกครองนี่สิสวมโขนคุณธรรมยอดเยี่ยมกว่ามิเช่นนั้นฮองเฮาคู่บัลลังก์แลเหล่านางสนมน้อยใหญ่คงไม่ลุ่มหลง และยอมถวายกายใจสวามิภักดิ์ต่อเขา แม้ต้องแลกด้วยอารมณ์ริษยาแห่งอำนาจและความโปรดจนเกิดเรื่องวุ่นวายคอยฟ้องกล่าวอยู่ประจำตามประสาสตรีเพศที่มักให้สามีให้ความสำคัญตนมากกว่าใคร
“ว่าแต่ชายาข้า เจ้ามาหาข้าในเวลานี้มีเรื่องด่วนใดหรือ?” หว่านวาจาเกี้ยวใจสาวพอเป็นพิธี ฮ่องเต้หนุ่มตรัสดึงนางคู่บัลลังก์เข้าการงาน
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันทราบมาว่าน้องชายของพระชายาจางผินจะมาร่วมอบรมงานวังก่อนสอบคัดเลือกนางใน เขาเป็นถึงน้องของหนึ่งในสนมยศพระชายาที่พักควรต่างจากเหล่าลูกหลานขุนนางอื่น อีกทั้งพี่น้องไม่ได้พบหน้ากันนานคงอยากอยู่ใกล้ชิดกันหากหม่อมฉันมีความเห็นจะให้จางอี้ชิงพักตำหนักพระชายาจาง ฝ่าบาททรงเห็นสมควรหรือไม่เพคะ”
สดับฟังแล้วก็น่าขันนึกว่าเขาดูเป็นฮ่องเต้ที่โง่เขลาถึงขนาดไม่รู้หรือไงว่า ‘หม่อมฉันทราบมาว่า’ ความหมายแท้จริงนั้นคือ ‘หม่อมฉันไปสืบมาว่า’ เมื่ออยากเห็นภาพสามีโง่ไม่รู้ความคิดฮองเฮานักเขาก็พร้อมจะยกยิ้มอบอุ่นไหลไปตามเรื่อง
“ก็ดี พรุ่งนี้ก็เข้าอบรมกับหัวหน้านางกำนัลให้เขาพักกับพระชายาจางผินตามที่ฮองเฮาเสนอเพียงหนึ่งราตรีคงไม่เป็นไร ข้าคงต้องฝากฮองเฮาช่วยดูแลเรื่องที่พักของจางอี้ชิงแล้ว”
“เพคะฝ่าบาท เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลาไปจัดการเรื่องเครื่องใช้สำหรับส่งให้จางผินที่ตำหนักมู่หลันเพคะ” หัวหน้าใหญ่แห่งวังหลังผละกายย่อคำนับแล้วเดินจากบุรุษปกครองแคว้น
หยุ่นฮ้าวมองตามแผ่นหลังสตรีชุดสีฉูดฉาดราคาแพงสมฐานะมิอาจคาดเดาความคิดองค์บุตรเทพผู้นี้ได้ ไจ้จง...จินไจ้จงฮองเฮาผู้เสมือนมารดาแห่งแผ่นดินฉาบฉวยด้วยความดี จะมีสักกี่คนล่วงรู้ความร้ายลึกที่ซ่อนพิษหลังม่านมุก เพราะความเหมาะสมในฐานะ และเพราะชาติกำเนิดของนางเป็นคุณแก่บ้านเมื่อทุกยุคสมัยกาลจึงทำให้กษัตริย์หนุ่มเช่นเขามิอาจละเมิดกฎมนเทียรบาลหากยังต้องการรักษาแผ่นดินเกิด มิเช่นนั้นตำแหน่งฮองเฮาในวันนี้คงมิใช่นาง
ล้อเกวียนเคลื่อนเข้าเขตวังหลังหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘วังหมื่นฮวา’ แหล่งพำนักที่สตรีสวยสะคราญและชายงามล้วนยินยอมแลไม่ยินยอมจะพักพิงร่วมใช้หนึ่งสวามีกับบุปผานับหมื่นพันธุ์ในวังหลัง ผู้โดยสารร่วมเดินทางในรถม้าเปิดม่านทอดมองแวดล้อมที่มีต้นมู่หลันส่งกลิ่นหอมหวาน ปลูกรอบดั่งรั้วบ้านล้อมตำหนักงามไม่เด่นเกินยศฐา แลเห็นกายระหงเจ้าของตำหนักมณฑาหอมยืนรอรับน้องร่วมสาบานหน้าเรือนแล้วยกยิ้มอย่างดีใจ
ทันทีที่รถหมดจอดสนิทหน้าที่พำนักของจางโบราพระชายารองชั้นสองยศผิน ร่างสูงสง่าขององค์ชายสามแห่งแคว้นกวางโจวลงจากรถม้าก่อนยื่นมือรอรับมือนวลบางเพื่อค้ำประคองให้กายงามลงเหยียบธรณีวังหลวงได้คงมั่น
“คาราวะองค์ชายสามเพคะ” ทั้งชายาและธารกำนัลต่างย่อคำนับบุรุษเชื้อกษัตริย์ รอจนหัตถาหนาแบยกอนุญาตให้ลุกยืนตามปกติสองพี่น้องจึงเดินเข้ามากอดกันด้วยใจคะนึงถึง “พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกินอี้ชิง”
“ข้าก็คิดถึงเจี่ยเจี้ย” จางอี้ชิงซุกหน้ากับลาดไหล่ผู้เป็นพี่พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
ภาพพี่น้องโอบกอดแสนรักใคร่สร้างความประทับใจให้เหล่านางกำนัลผู้เฝ้ามองน้ำตาซึม นายหญิงแสนอาภัพทั้งบุพการีที่ด่วนเสียแต่ยังดีมีผู้รับอุ้มชูเป็นบุตรหลาน ไหนจะความรักที่ต้องแย่งชิงหัวใจมังกรราชร่วมกับหมื่นผกามากฤทธิ์เดช วันนี้เห็นผู้เป็นนายยิ้มและมีความสุขอีกคราคนเป็นบ่าวจะไม่ตื้นตันตามได้เยี่ยงไร บางคนถึงกับสะอื้นไห้จนนายแห่งหอมู่หลันต้องผละกายจากน้องนาง หัตถ์งามล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อยื่นให้นางกำนัลสาว
“นู๋ปี้ขอบคุณเจ้าค่ะนายหญิง” หญิงรุ่นสาวเอ่ย ยื่นมือไปรับผ้ามาซับน้ำตาตน
โบรายิ้มให้สาวใช้อย่างเอ็นดูก่อนหันไปหาอนุชาของสวามีเพื่อกล่าวขอบคุณเรื่องเป็นธุระรับส่งน้องของนาง “สนมขอขอบพระทัยองค์ชายสามเพคะ องค์ชายทรงเมตตาสนม สนมซึ้งในพระคุณยิ่งนักหากมีกิจใดให้สนมช่วยโปรดบอกเถิดเพคะสนมยินดี”
“หาได้เป็นหนี้บุญคุณอันใดไม่ ข้าทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาท หากชายาจางต้องการจะขอบคุณคงต้องไปกราบทูลกับฝ่าบาทด้วยตัวเจ้าเอง” อู๋ฟานกล่าวแจกแจงความจริงไม่รับหนี้บุญคุณจากพี่สะใภ้ “ข้าคงต้องกลับแล้ว ชายาจางและน้องชายจักได้พูดคุยและพักผ่อนกัน”
ขบวนรถม้าขององค์ชายอู๋ฟานเคลื่อนห่างไปจนลับตา สองพี่น้องสกุลจางเดินเล่นผ่อนคลายในสวนมู่หลันแทนการเข้านอนพักผ่อนในตำหนัก ไร้นางกำนัลแลขันทีผู้ติดตามความเป็นปุถุชนระหว่างโบราและอี้ชิงจึงมีให้เห็นเพียงสองคน
“ฝีมือการแสดงละครของเจ้าดีขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่พี่เห็น...คงเพราะเจ้าโตขึ้นพัฒนาฝีมือไปมากขึ้นและมนตร์บำเพ็ญจากท่านย่าที่ทำให้พี่รู้สึกแปลกตาไป” เสียงหวานปานระฆังแก้วเอ่ยชมทั้งบทมายา และความงามหลังเปลี่ยนกายเป็นเด็กสาวดั่งที่รู้ข่าวคราวจากหมอหลวงจาง
อี้ชิงยิ้มรับคำชม ละสายตาจากผกางามหันมองผู้เป็นพี่ “พี่หญิงก็ใช่ย่อย ไม่ได้เล่นละครเสียนานการแสดงยังดีเยี่ยม ความงามของพี่ก็ยังคงไม่สร่างคลาย”
สองพี่น้องยิ้มให้กันอย่างรู้ความหมายของคำชม ต่างฝ่ายต่างมีฝีมือในการแสดงดีเลิศไม่มีผู้ใดจะเล่นแทนให้เหมือนได้ โบราถนัดบทนิ่งน่าเกรงขามแต่อี้ชิงถนัดในบทอ่อนหวานชวนหลงใหล ว่ากันว่าอย่าคบหากับนางละครแลอย่าเชื่อใจเสน่ห์หลังม่านแดงให้ง่ายนัก
ยิ่งพวกเล่นบทหวานเรียกน้ำตาน่าเห็นใจแต่ภายในซ่อนพิษร้ายหาล่วงรู้...
“รู้หรือไม่ เจ้านั้นโชคดีกว่าหญิงใดที่องค์ชายสามทรงเมตตารับเจ้าเป็นสหาย นอกจากพี่น้องพระองค์พี่ก็ไม่เคยเห็นองค์ชายสนใจเสวนากับสตรีนางใดแม้แต่สนมของพระองค์เอง” โบราเปลี่ยนเรื่องสนทนาของพี่น้อง มือบางเอื้อมเด็ดมณฑางามมาถือครองไว้ในมือ
“ใช่ค่ะ เป็นบุญของข้าที่องค์ชายทรงเอ็นดู” หญิงสาวยิ้มรับวาจาแฝงความหมายของผู้พี่
เป็นพี่น้องกันมาร่วมสิบปีเหตุใดจะไม่รู้ว่าเนื้อแท้น้องนางเป็นเช่นไร จะสงสารก็แต่องค์ชายอู๋ฟานแห่งกวางโจวที่อุส่าห์นิ่งขรึมไม่หลงกลมายานางระบำใดมาหลายปีแต่พลาดท่าตกหลุมพรางมายางิ้วจากฉางชา กว่าจะรู้ถึงมารยาน้องสาวนางคงเป็นวันที่อี้ชิงยืมบ่าองค์ปีนป่ายขึ้นที่สูง
ไม่เสียแรงที่นางฝากความหวังและความแค้นไว้ที่จางอี้ชิง...
“บุรุษแม้นใจอ่อนให้กับน้ำตาสาว หากวันใดเขาได้ล่วงรู้ความเท็จแท้ในภายหลังความเมตตาจะแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดปลิดชีพเจ้า ในวังหลังนี้เจ้าจงระวังตนอย่าอวดฉลาดให้มากและอย่าทำโง่ให้โดนเหยียบ ความอดทนและพลิ้วไหวตามสายน้ำจะทำให้เจ้าได้สิ่งที่ปรารถนา” นางเอ่ยเตือนสติและสอนเรื่องวงกตแห่งวังหลังให้น้องได้เรียนรู้ก่อนพบเจอเหตุเรื่องจริงในวงกตมากพิษร้าย
“เจ้าค่ะ ข้าจะจำไว้” อี้ชิงสวมกอดพี่สาวอีกครั้งเรียกกำลังใจจากคนในครอบครัวเพียงคนเดียวในเวลานี้ที่อยู่ข้างกายนาง
วันนี้มีรับสั่งให้จุดโคมที่หอมู่หลัน...
จางโบราไม่ได้แสดงท่าทีดีใจเช่นเหล่านางกำนัลที่ต่างวุ่นวายกับการปัดกวาดตำหนักต้อนรับฝ่าบาทที่ไม่ได้เสด็จมายังหอมู่หลันนานนับเดือนจนเป็นที่โจษจันว่าจางโบราคือสนมนอกสายพระเนตรยิ่งกว่านางสนมไร้ยศ หยุ่นฮ้าวฮ่องเต้ตรัสจุดโคมที่ตำหนักนางแล้วยังไง? พระองค์ไม่ได้อยากจะเสด็จมาหานางเสียหน่อยบุคคลที่ฝ่าบาทต้องการทอดพระเนตรคือจางอี้ชิงมิใช่จางโบรา มันไม่ได้เกินความคาดการณ์ของโบราสักเท่าไหร่นางบอกปัดเหล่านางกำนัลที่ตั้งท่าจะเข้ามาประทินโฉมให้ผู้เป็นนายเปลี่ยนไปปัดแต่งให้อี้ชิงแทน ส่วนตัวนางจัดการความเรียบร้อยด้วยตัวเองก่อนเดินออกไปถือโคมแดงรอรับเสด็จท่ามกลางความแปลกใจของธารกำนัลในตำหนักหอม
เพราะผู้เป็นฉากหน้าไม่ได้แต่งตัวเฉิดโฉมดั่งสนมที่มีหน้าที่ถวายงานควรทำ นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนและสวมเสื้อคลุมตัวบางซึ่งเรียบง่ายดั่งทุกวันมายืนรอรับฝ่าบาทเพื่อส่งเสด็จให้กับผู้เป็นน้องที่นั่งรออยู่ในห้องนาง ขบวนเสด็จหยุดหน้าตำหนักตามหมายกำหนดการ เจ้าแผ่นดินลงเกี้ยวประทับเดินเข้ามายังที่หนักของจางผินพร้อมด้วยราชขันทีและทหารติดตาม
“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ” เจ้าของหองามย่อตัวคำนับตามตามเนียมปฏิบัติ ดวงหน้าลออที่ก้มต่ำไม่แสดงความยินดียินร้ายในการเสด็จเสด็จเยือน จนพระหัตถ์เอื้อมประคองกายนางให้ลุกยืนจึงได้เห็นรอยยิ้มงามประดับดวงหน้าโสภา
“สนมรักเหตุใดเจ้าไม่รอข้าในเรือนเล่า ออกมาตากลมเช่นนี้หากเจ้าเกิดไม่สบายจะทำเช่นไร” คำตรัสดั่งห่วงหาเสียเต็มประดา แม้นภายนอกยังยิ้มรับปั้นขวยเขินแต่ในใจหญิงสาวกลับเบ้เหยียดมิหลงวาจาหวานจากบุรุษต้องห้ามผู้โอบกอด
“มันเป็นสิ่งที่สนมควรทำเพคะฝ่าบาท หากการกระทำของสนมทำให้ฝ่าบาททรงเป็นห่วงสนมขออภัยเพคะ” หญิงสาวยื่นโคมในมือส่งต่อให้นางกำนัล ตั้งท่าจะคุกเข่าโค้งมอบขออภัยโทษแต่อีกฝ่ายกับประคองกายนางขึ้นยืนดั่งเดิม
“ข้าห่วงเพราะรักโปรดจำไว้...ข้างนอกอากาศเริ่มหนาวแล้ว เข้าไปข้างในกันเถิดสนมรัก” ฮ่องเต้หนุ่มโอบเอวขอดบางเข้าไปในห้องโถงของตำหนัก โดยมีขันทีและนางกำนัลของตำหนักตามเสด็จเข้าไปเพื่อรอรับใช้หลังผ่านช่วงเวลาฉันสามี
“ฝ่าบาท...” เสียงหวานของอีกหนึ่งสตรีในห้องหับ ทำเจ้าของยศนามเผลอคลายมือจากเอวภรรยารองหันมองร่างโปร่งงามในชุดสตรีสาวสีบริสุทธิ์ย่อตัวโค้งต่ำทำความเคารพตน
“น...นี่...” แม้จะมั่นใจในรูปร่างหน้าตาที่คุ้นตาแต่ไม่กล้าฟันธงจนเอื้อนเอ่ย
เด็กสาวตรงหน้าช่างเหมือน...
“เพคะ จางอี้ชิงบุตรสาวแท้ๆของจางอี้ถวีเจ้าเมืองฉางชาเพคะ” สนมสาวแนะนำเพศยศจริงของผู้เป็นน้อง
“บุตรสาวเช่นนั้นรึ?”
คำทวนถามที่ส่งผลให้อี้ชิงเล่นบทต่อจากพี่สาว กายระหงรีบคุกเข่าหมอบตัวหัวโขกพื้นสมบทบาทที่ตระเตรียม ทั้งน้ำเสียงขลากลัวโทษและคำแทนตัวให้สมกับอาศัยค้างแรมในวังหลวง “พระ...พระอาญาไม่พ้นเกล้า หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยโทษที่โกหกฝ่าบาทเรื่องเพศแท้ เป็นเพราะแต่เด็กหม่อมฉันนั้นอ่อนแอท่านย่าจึงให้หม่อมฉันแต่งกายเป็นชายและให้เรียกว่านายน้อยเพื่อเสริมดวงแก้เคล็ดเพคะ”
“ลุกขึ้นเถิด...คนเรามักยึดถือโชคชะตาและคำชี้แนะจากเทพพระเจ้า มิใช่ความผิดของเจ้าเลยเด็กน้อยที่จะทำตามคำเทพสอน” สุระเสียงแสนเอ็นดูเอ่ยดำรัสไม่ทรงตั้งข้อสงสัยใดอีก จางอี้ชิงลุกขึ้นยืนตามคำอนุญาตดวงแก้วงามยังก้มต่ำไม่กล้าสบมองพระพักตร์เจ้า จนฮ่องเต้ต้องเอ่ยเย้าผ่านพี่สาวนาง “ดูสิสนม น้องเจ้าไม่ว่าจะเจอะเจอกันกีครั้งครานางยังคงก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบมองข้าเสียที”
“อี้ชิงเป็นเด็กขี้อายเพคะ สนมต้องขอโทษแทนน้องด้วย”
“ไม่หรอกสนมรัก ข้าไม่ถือสาน้องเจ้าหรอก” หัตถ์หนาเอื้อมแตะบางมนก่อนหันกลับไปพูดคุยกับเด็กสาว “นี่ก็ดึกมากแล้ว เดินทางมาไกลเจ้าควรไปพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
“เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันทูลลา” อี้ชิงโค้งตัวลา ลอบยิ้มตอบพี่สาวก่อนเดินออกจากห้องนอนผู้เป็นพี่แล้วหันกลับไปปิดประตูให้เจ้าของ
จางโบรามองตามน้องสาวจนปิดประตูลับไปพลันละสายตามามองพระเนตรสีนิลที่ยังคงมองไปยังบานประตูที่ปิดสนิท เพราะคิดถึงสิเน่หาสาวงามพรหมจรรย์จากเมืองป่าแต่ไม่อาจกระทำตามใจองค์ฮ่องเต้หนุ่มจึงทำได้เพียงมองเด็กสาวลับตาไป ริมฝีปากกระจับสวยยกยิ้มอย่างพอใจในผลที่เกินคาด ยิ่งเห็นก็ยิ่งต้องการ ยิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งต้องการไว้ครอบครองจนละลืมเมียอื่นนางใดไว้ด้านหลัง นี่แหละสันดานบุรุษเพศที่แพ้มารยาหญิง
ในภายภาคหน้าหากวังหลังได้สนมจากหอนางงิ้วมาเล่นละครแย่งสามีรักเพิ่มอีกหนึ่งคงน่าสนุกพิลึก...
นี่วังหลวงหรือแหล่งคัดเลือกประกวดธิดาเมืองบุปผา? ชายงามหญิงโสภาจากทั่วทุกสารทิศต่างแคว้นเมืองมารวมตัวกันอยู่หน้าตำหนักมู่ตานของฮองเฮานับร้อยพัน ความงามที่ขนมาประชันกันไม่น่ากลัวเท่าเส้นสายลูกท่านหลานขุนนาง แต่ละนางประวัติชาติสกุลดีๆกันทั้งนั้น บางคนก็ผ่านการร่ำเรียนในวังเป็นนางกำนัลฝึกหัดกันมาแล้ว มีสิบให้ร้อยมาพนันเลยว่าพวกอดีตนางกำนัลผ่านการทดสอบได้สบายๆ ถึงอี้ชิงจะมีสกุลช่วยหนุนอยู่อันดับต้นกริยาไหวพริบก็มีมารดาองค์หญิงเก่าช่วยอบรมพอรู้บ้าง แต่เอาเข้าจริงก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี
“เจ้ากลัวหรือจิ้งจอกน้อย?” คำถามแกมหยอกเย้า เรียกสายตาจากผู้ถูกขนานนามว่าจิ้งจอกตวัดมองชายชาตรีเพียงหนึ่งเดียวในฝูงสกุณาโสภา
“ใครกลัวกัน องค์ชายทรงมองผิดแล้วพะย่ะค่ะ” คุณหนูจางในร่างนายน้อยย้อนกลับหน้างอง้ำไม่พอใจและไม่คุ้นชินกับฉายาเฉพาะระหว่างตนกับองค์ชายหนุ่ม ตั้งแต่เดินทางร่วมกันนับหลายวันความสนิทระหว่างตนกับอู๋ฟานก็มากขึ้นจนอีกฝ่ายถึงกับโปรดตั้งฉายาตามความรู้สึกคราแรกเมื่อแรกพบ
‘จิ้งจอกน้อย’
มันเพราะตรงไหนกัน?
“นั่นสิ ข้าคงมองผิดไปจริงๆ คนอย่างนายน้อยจางนะหรือจะกลัวสิ่งใดเป็น” อู๋ฟานยกยิ้มให้ผู้กล้าจากเมืองป่า ที่ยังคงยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าตำหนักไม่ขยับกายไปไหนนานนับนาที “ประเดี๋ยวหัวหน้านางกำนัลก็จะมาตรวจระเบียบแล้ว รีบไปเข้าแถวสิ”
อี้ชิงเกิดความลังเลชั่ววูบหนึ่งก่อนพยักหน้ารับแล้วเดินไปต่อแถวว่างหลังเหล่าผกาแรกแย้มพร้อมประดับวัง อู๋ฟานมองภาพเด็กสาวในคราบหนุ่มน้อยที่เขาพยายามจับผิดตั้งแต่ส่งราชโองการมอบต่อร่างบาง จางอี้ชิงผู้ยากอ่านความคิดนั้นตกลงคิดเช่นไรกับพิธีคัดเลือกนางสนมนี้กันแน่ หากไร้ใจแสวงใฝ่เหตุไฉนไม่ร้องขอให้เขาช่วยเหลือตน แต่ถ้านางต้องการตะเกียกตะกายปืนเขาสูงแล้วเหตุใดต้องทำหน้าลำบากใจให้เห็นกัน
ใจสตรีนางโลมยังเห็นชัดกว่าใจนางละครมากหน้าโขน...
“ฟ้าดินเป็นพยาน! พี่ข้ายืนมองสาวงาม ดรุณีน้อยนางใดที่ต้องตาองค์ชายสามผู้นี้กัน” อู๋ซือชุน หรือองค์ชายหกโอรสร่วมมารดาสนมในฮ่องเต้องค์ก่อนอุทานทักผู้พี่อย่างแปลกใจเหลือคณา เนตรเหยี่ยวดุคมไม่แพ้กันกวาดมองหญิงงามชายลอออรหาผู้ครองใจองค์ชายไร้สิเน่หาในความงามเช่นอู๋ฟาน
“เรื่องของข้าน่าน้องหก” แสร้งปัดเสียงรำคาญใจแล้วเดินจากเขตมาลีนานาพันธุ์เบี่ยงความสนใจของซือซุน “แล้วนี่เจ้าเพิ่งมาจากที่ใดน้องชาย”
รอยยิ้มสนุกจากบุรุษรุ่นน้องที่เดินอยู่ข้างกันค่อยๆจางลง จนเรียบนิ่งเมื่อนึกถึงสิ่งที่เพิ่งไปพูดคุยก่อนกลับวัง “ข้าออกไปตรวจยามหน้าประตูเมือง นายทหารม้าเร็วในความดูแลของแม่ทัพจางอี้เซรินส่งข่าวมาจากชายแดนใต้ สารลับบอกว่าแคว้นฮั่นซุ่มเคลื่อนไหวใกล้ฝั่งเราอาจจะเกิดศึกในไม่ช้า”
“เรื่องเช่นนี้ใหญ่เหตุใดเพิ่งบอกพี่ จะรอให้เกิดศึกสงครามก่อนหรือไร?”
“เฮอะ ผู้ปกครองแคว้นเขายังสบายพระทัยไม่เดือดร้อนจะเตรียมการ แล้วพี่สามจะมาโมโหข้าไปทำไมกัน” ซือชุนกล่าวประชดพาดพิงผู้เป็นถึงเจ้าครองเมือง อุส่าห์กลับมากราบทูลอย่างร้อนใจแต่ฮ่องเต้กับให้รอดูท่าทีต่อไม่มีการเตรียมทัพใดจนกว่าจะสิ้นงานหมื่นฮวาชมบุปผา ให้พูดตามประสาชาวบ้านก็จนกว่าพี่ท่านจะได้อนุนางในมาเชยชมข่มความกลัวในสงคราม
นี่หรือมังกรเทพแห่งกวางโจว...
“ฝ่าบาททรงทำเช่นนั้นก็ถูกแล้วจะตื่นตูมให้ราษฎรแตกตื่นไปทำไม สู้สร้างสถานการณ์ให้สงบตบตาศัตรูแล้วซุ่มเตรียมแผนตั้งรับพร้อมรบหากฉุกเฉิน แคว้นฮั่นเคลื่อนไหวเช่นนี้แล้วไม่น่าเกินเดือนห้าก่อนพิรุณศึกต่างแคว้นได้เกิดขึ้นแน่” อู๋ฟานคาดเดาเหตุการณ์ตามยุทธศาตร์การศึก และถ้าเป็นเช่นเขาว่าจริงสงครามคงได้เกิดก่อนงานหมื่นฮวาจะถูกจัด องค์หยุ่นฮ้าวผู้ไม่เคยจับหอกดาบนั้นคาดการณ์ง่ายๆหวังสบายตน คงคาดว่าทัพข้าศึกจะเข้าตีหลังงานงามเมื่อถึงคราวนั้นก็ยกกองทัพกวางโจวที่เตรียมพร้อมอยู่เสมอเข้าสู้ฟันซึ่งมันไม่ง่ายดั่งที่ทรงวินิจฉัยการศึก แต่เพราะไม่อยากให้น้องสิ้นความเคารพในเชษฐาต่างมารดาจึงพูดแง่ดีลบอคติของซือชุน
“ข้ายี่สิบแล้วนะพี่สาม มิใช่เด็กเตาะแตะที่ท่านใช้นิทานมากล่อมหลอกให้ข้าเชื่อได้ จะอย่างไรก็ช่างเถิดข้าจะไปประชุมแผนกับแม่ทัพกองหนุน รอฝ่ายทัพหน้าของแม่ทัพจางส่งข่าวมาอีกครั้ง ฝั่งทัพหลวงของท่านจะทำเช่นไรค่อยว่ากันอีกที ข้าขอตัว” องค์ชายหนุ่มโค้งลาพี่ชายแล้วเดินเปลี่ยนทิศไปยังคอกม้าหลวงเพื่อเรียกม้าออกควบไปสนามฝึกศาสตรา
การคัดหน้าตาพันธุ์ผกาคือบททดสอบแรกการเข้าฝึกระเบียบวัง ผ่านด่านแรกได้เจอด่านสองที่หินกว่าคือการถอดอาภรณ์ให้นางกำนัลอาวุโสตรวจผิวพรรณส่วนใน และส่วนสุดท้ายทดสอบพรหมจรรย์สาว ใครผ่านทั้งสามด่านได้ แล้วไปเจอการฝึกระเบียบและบางสิ่งที่โหดร้ายจนเวลาเลยผ่านถึงสัปดาห์ ทุกนางล้วนค่อยๆเปลี่ยนความสดใสกลายเป็นหญิงสาวอีกนางที่มีแววตานิ่งไร้แสงสกาว ท่าทีสงบ เรียบร้อย สำรวมกริยาและความคิด
แม้กระทั่งกับตัวอี้ชิงเอง...
ใครจะคิดว่าคนถือตนไม่หวั่นเกรงสิ่งใดจะพลิกตนเป็นคนเงียบไม่ชูหัวหยิ่งผยอง จางโบราที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนน้องบ่อยๆยังอดแปลกใจไม่ได้ นางเป็นชายาที่ไม่ได้เข้ารับการอบรมเช่นหนุ่มสาวเหล่านี้จึงไม่รู้เบื้องลึกความลับหลังประตูห้องฝึก แต่ดูจากความเปลี่ยนแปลงของอี้ชิงคงถูกฝึกโหดพอตัว
“อี้ชิง เจ้าไม่สบายหรือให้พี่ตามชานเลี่ยมาดูอาการไหม?”
“ไม่ขอรับ ข้าสบายดีเจียเจี่ยอย่าได้ห่วงไป” อี้ชิงหันมายิ้มคลายความทุกข์ใจของพี่สาว
เพราะนางในที่เข้ารับการอบรมไม่สามารถออกจากเขตตำหนักชั้นนอกได้ จึงไม่สามารถปริปากระบายทุกข์ให้ญาติฟัง จะมีใครกล้าเล่าความโหดร้ายในห้องพักนางในในเขตอันตรายนี้กัน เกิดคนก่อเรื่องราวมาได้ยินจะพาลเดือดร้อนทั้งพี่น้อง ขึ้นชื่อว่าความลับคนในห้ามปากพล่อยคนนอกห้ามเสล่อรู้มิเช่นนั้นคงได้จบชีพไม่รู้ตน
“ถ้าเจ้าพูดมาเช่นนั้นพี่ก็จะไม่เซ้าซี้” ถึงจะยังห่วงใยแต่นางเลือกจะเชื่อให้น้องสบายใจจึงไม่กล่าวถามอะไรต่อ หัตถ์งามหยิบกำไลหินสีจากถุงผ้าสีสดใบเล็กออกมายื่นให้น้อง “ฝ่าบาททรงประทานให้เจ้า รับไปสิ”
อี้ชิงมองกำไลเส้นเล็กนั่นอย่างใจชื้น องค์หยุ่นฮ้าวยังทรงเห็นนางในสายพระเนตร ไม่เสียแรงที่อดทนฝึกมานานถึงสัปดาห์ นางรับของสวยงามนั้นมาถือไว้อย่างถนอม มองความวาวประกายในมือพร้อมระบายยิ้มเป็นสุข
“ข้าฝากขอบคุณฝ่าบาทด้วยขอรับ พระองค์ทรงมีเมตตากับข้าเหลือเกิน”
“ได้สิพี่จะทูลพระองค์ให้”
“ท่านพี่ได้ข่าวองค์ชายสามบ้างหรือไม่ขอรับ?”
คำถามไม่ได้ตั้งใจจะออกมาจากปากมากกว่าควรเก็บเป็นความคิด ทำคนฟังเบิกตาโตสบมองอย่างแปลกใจ แม้กระทั่งคนพูดเองยังต้องยกปลายนิ้วแตะริมฝีปากอดตกใจกับคำพูดตนไม่ได้เช่นกัน บุรุษที่อี้ชิงเคยพร่ำบอกว่าไม่ชอบหน้าหนักหนาเหตุไฉนวันนี้กลับถามถึง
หรือเพราะเพียงเขาหายหน้าไปนานจึงอยากรู้ตามประสาคนรู้จักกัน?
“องค์ชายทรงอยู่คุมการฝึกซ้อมทหารใหม่ที่ค่ายทัพ พระองค์ไม่ได้บอกเจ้าหรือ?”
“ไม่ขอรับ ข้าไม่ได้พูดคุยกับเขาหลายวันแล้ว”
“อืม เช่นนั้นพี่ขอตัวกลับแล้วนะอี้ชิง เจ้าดูแลตนเองดีๆเล่า” มืองามยกลูบกลุ่มเกศาดำขลับของน้อง ส่งความห่วงใยที่นางมีถึงอีกฝ่าย
“เจียเจี่ยก็เช่นกันขอรับ”
สองพี่น้องสวมกอดกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่โบราจะผละกายออกแล้วเดินจากไป อี้ชิงหันตัวกลับเข้าที่พักซึ่งเป็นห้องโล่งกว้าง มีเพียงฟูกนอนและโต๊ะกระจกของนางในแต่ละคนวางเรียงกันตลอดทางยาวจนสุดผนังอีกฝั่ง ยังไม่ทันได้นั่งบนฟูกนอนชั่วคราวให้เบาะร้อนจางอี้ชิงจำต้องลุกยืนอีกครั้ง กลุ่มนางในประมาณห้าคนเดินเข้ามายืนค้ำหัว ทุกนางจิกสายตามองอี้ชิงสลับกำไลงามในมือ
หญิงคนกลางในกลุ่มนางในกระชากสิ่งในมืออี้ชิงมาถือครอง “สวยดีนี่ ข้าขอได้หรือไม่นางในจาง”
“ไม่ได้ กำไลนั่นมีคนให้ข้ามาไม่ใช่ของส่วนตัวที่จะยกให้ใครง่ายๆ” อี้ชิงตั้งท่าจะแย่งกลับคืนมา แต่ถูกนางในอีกสี่คน ทำตัวดั่งกำแพงขวางไม่ให้นางชิงไปได้
“อะไรกัน เขาให้เจ้าก็แปลว่าตอนนี้มันคือของเจ้าแล้วนี่ ทำไมจะยกให้ข้าไม่ได้เล่า” หญิงคนนั้นพูดจบก็เดินออกไปจากที่พัก มีสหายสมุนอีกสีนางตามออกไป ไม่มีใครทันเห็นรอยยิ้มมุมปากจากคุณชายผู้อ่อนแอในสายตาของพวกนาง
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮ่องเต้ทรงประทานสิ่งของแล้วถูกนางในขี้อิจฉาแย่งชิงไป และไม่ใช่ครั้งแรกที่ไม่มีใครรู้ว่าจุดจบของนางในนิสัยนักเลงพวกนั้นมีจุดจบเช่นไร นับจากวันนั้นล่วงเลยถึงสี่คืนนางในที่เคยแย่งชิงกำไลหินจากอี้ชิงได้หายตัวไปอย่างสาบสูญ ไม่มีใครถามหรือสงสัยว่านางไปที่ใดแม้กระทั้งสหายทั้งสี่ยังคงเงียบกระทำกิจวัตรตนตามปกติไม่มีใครพูดถึงนางผู้นั้น
เพราะลึกๆในใจทุกคนต่างสมน้ำหน้าและดีใจที่กำจัดมารแย่งตำแหน่งได้อีกหนึ่ง...
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าใครคือเจ้าของแท้จริงของกำไลเส้นนี้?” สตรีในชุดดำย้อนถามบุรุษร่วมแผนสังหารนางใน ที่อ้างตนเป็นเจ้าของกำไลประทานจากฮ่องเต้
“จางอี้ชิง ของประทานทุกสิ่งที่เหล่านางในถือครองล้วนเป็นของจางอี้ชิง” นักฆ่าผู้ไปตามสืบหาเจ้าของตัวจริงของสิ่งสมอ้างเหล่านี้รายงานหญิงผู้ร่วมงาน
“จางอี้ชิงรึ?”
บทสนทนาที่ไม่ได้มีเพียงพวกเขาที่รับรู้กันเพียงสอง แต่มีใครอีกคนซุ่มหมอบฟังคำดั่งสารภาพอยู่หลังพุ่มไม้ตัดแต่ง แม้ไม่เห็นหน้าผู้อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของเหล่านางในตัวเด่นแต่ก็พอคาดการณ์ได้ว่าทั้งสองไม่ใช่คนอื่นไกลจากนอกวัง ฟังจากน้ำเสียงพูดคุยและฝีมือการสังหารที่แยบยลหาเป็นที่ผิดสังเกต ย่อมเป็นคนในที่รู้ทิศทางทุกซอกมุมในวัง
...และในไม่ช้าเหยื่อสังเวยพิธีคัดเลือกสนมต้องเป็นจางอี้ชิงที่กำลังพูดถึงอย่างแน่นอน
-ความหมาย-
-นู๋ปี้ = สรรพนามแทนตัวของนางกำนัล
-มู่หลัน = ดอกมณฑาม่วง
-ผิน = ตำแหน่งสนม ยศพระชายารอง ชั้นสอง
-----------------------------------------------------------------------------
ครบแล้วคับท่าน
ที่จริงเราปรับจนบทยาวปาไปสามสิบหน้าเลยตัดไปไว้ตอนที่๖
ตอนนี้เริ่มเปิดม่านชีวิตการคัดเลือกสนมแล้วนะนาย
ตอนหน้าหรือไม่ก็ถัดไปคงได้เริ่มงานหื่น-..-
เราพูดแค่นี้แหละไปละ
เม้นๆโหวตๆ ฝากแท็กติชมเราด้วยนะ #ม่านดอกงิ้ว
ความคิดเห็น