คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ ๐๒ -ล่วงรู้-
ม่านดอกงิ้ว
ตอนที่ ๒
-ล่วงรู้-
ประภากรผ่านพ้นจวนห้าวันบุรุษที่อี้ชิงเคยช่วยไว้ ณ บัดนี้อาการของเขาดีขึ้นไม่เหลือเคล้าชายร่างสูงที่ใบหน้าและเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลรอยช้ำ เป็นเวลาล่วงเลยถึงสองวันที่ชายแปลกหน้าอยู่รักษากับอี้ชิงหลังจากนั้นก็กลับที่พักตน และกลับมาเรือนผู้ว่าอีกคราในฐานะสหายต่างถิ่นของนายน้อยจาง
เจ้าบ้านตัวบางไม่เคยรู้เรื่องราวของสหายต่างบ้านนอกจากนามว่าอาเทา และเหตุที่ทำให้ทั้งสองได้เจอกันเป็นเพราะอาเทาถูกนักเลงเจ้าถิ่นรุมซ้อมรีดไถเงิน ถึงจะไม่รู้ว่าทุกสิ่งที่เพื่อนใหม่บอกเล่านั้นจะเท็จจริงมากน้อยสักเพียงใด แต่จางอี้ชิงก็เลือกจะเก็บความสงสัยนั้นไว้จนกว่าชายข้างกายจะเปิดใจและยอมบอกด้วยตนเองและเพราะเวลานี้จางอี้ชิงมีเพียงสิ่งเดียวที่คิดถึงและต้องการจะรับรู้ทุกข์สุขของใครคนหนึ่ง
“เจ้าเหม่อคิดสิ่งใดอยู่หรืออี้ชิง?” อาเทามองเสี้ยวหน้านวลหวานของสหาย แก้วตาใสหน้าจับจ้องทอดมองใบพืชร่วงหล่นสู่พื้นดินอยู่นานจนเกิดเป็นความเงียบระหว่างเขาทั้งสอง
“ข้ากำลังคิดถึงใครคนหนึ่งอยู่” กลีบระเรื่อปานเหมยฮวาชมพูหวานแย้มยิ้มเล็กน้อย หัตถาบางจับกาน้ำชาบรรจงรินใสถ้วยชาลายครามงานวิจิตร ก่อนวางกาชาลงบนโต๊ะแล้วยื่นถ้วยน้ำอุ่นให้สหายหนุ่ม
คนที่จางอี้ชิงคะนึงเป็นถึงโอรสเทพทั้งสูงส่งและมากด้วยบารมี คนนอกที่ไม่รู้เนื้อแท้นายน้อยจางคงมองว่ามันเกินความสามารถของคนตัวเล็กเดินดินจะอาจเอื้อมไปเคียงคู่ หากเผลอพลั้งพูดทะนงดั่งเช่นพาทีกับมารดาเห็นทีจะถูกเพื่อนผิวเข้มหัวเราะเยอะเป็นแน่แท้
“คนๆนั้นคงสำคัญกับใจเจ้า มิเช่นนั้นนายน้อยจางคงไม่เหม่อรำพึงหาทุกนาที” กระตุกยิ้มบางไร้สีหน้าจะสื่ออารมณ์ให้อีกฝ่ายเห็นเด่นชัด
“นี่เจ้าแง่งอนข้าหรืออาเทา?” อี้ชิงย้อนถามบุรุษร่างสูง เอียงศีรษะทอยิ้มงอนง้อน่าเอ็นดูเสียจนคนนึกเคืองต้องหลุดยิ้มกว้างกับท่าทีไร้เดียงสาของนางเอกงิ้วผู้เลอโฉม
“สหายข้าน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ใครจะงอนได้ลงคอเล่า” ไม่ว่าเปล่านิ้วเรียวยกเกลี่ยแก้มเนียนปลั่งมิอาจหักห้ามใจไม่ให้สัมผัสผิวเนื้อหอมของชายงามที่รู้จักไม่กี่วัน
สายตาสองคู่สบประสานทอดมองกันท่ามกลางความคิดที่แปลกต่าง หนึ่งรู้สึกเพิกเฉยและอีกหนึ่งที่หวั่นไหว ชายงามผู้เป็นที่หมายปองของเหล่าบุรุษกล้าไม่รู้สึกใจสั่นไหวเฉกอีกฝ่ายเป็น
จางอี้ชิงดุจ*เหมยกุ้ยสีสดหอมน่าเด็ดชมแม้เรือนกายรายล้อมด้วยหนามคม...
“นายน้อยขอรับ” เสียงเรียกขานของพ่อบ้าน ผละดรรชนีละห่างปรางเนียนอย่างให้เกียรติ
“ว่าอย่างไรพ่อบ้านผิง” นายน้อยของบ้านเอ่ยพาณีไม่สะดุดคำ ดั่งเรื่องเมื่อชั่วครู่เป็นเพียงจินตนาการในร่ายนิยายกลอน
“คนของฝ่าบาทมาขอพบขอรับ”
ห้าวันที่ไม่อาจไปพบเพราะแผนการของบิดาเพียงได้ยินคำว่าฝ่าบาท ร่างระหงก็ลุกขึ้นยืนด้วยใจแสนเต็มตื้นคะนึงหา ไม่รีรอเอ่ยคำใดกับบ่าวไพร่จางอี้ชิงรีบสาวเท้าเดินออกจากศาลาใต้ต้นใหญ่ไปหาคนที่ฮ่องเต้ส่งมาพบตน และเผลอลืมใครอีกคนที่ยังคงนั่งทอดมองแผ่นหลังบางเดินจากไม่เหลียวแลมาอำลา
“ค..คาราวะองค์ชายอู๋ฟาน” อาจเพราะความเร่งรีบและไม่นึกคิดว่าฝ่าบาทจะส่งอนุชามาหาตน กายงามรีบโค้งคำนับองค์ชายร่างสูงสง่าดูมากระเบียบ
“เชิญตามสบาย ว่าแต่คนเมืองป่าเช่นเจ้ารู้จักข้าด้วยหรือนายน้อยจาง?” คำถามฟังดูแคลนเรียกความเคืองใจจากร่างที่ยังโค้งคำนับตน
“พะย่ะค่ะ พี่อี้เซรินเคยนำภาพวาดของพระองค์มาให้ข้าน้อยชม” อี้ชิงยืดตัวตรงตอบคำถามอนุชาเจ้า กายางามยังคงรักษาความเรียบเฉยอดทนไม่ตอบโต้บุรุษปากร้ายเช่นอู๋ฟาน
“อ้อ พี่ชายเจ้าเตรียมการดีทีเดียว” โอษฐ์ได้รูปยกยิ้มเหยียดหยันปานเห็นความทะเยอทะยานไม่เจียมตนในตัวของอี้ชิง
“...” ไร้คำแก้ต่างใดๆอี้ชิงจะนำมาพูดแย้งคำสบประมาทนั้น จะภาพวาดพระพักตร์ของฮ่องเต้ ฮองเฮาและเหล่าองค์ชายในวังหลวงล้วนเป็นข้อมูลที่อี้ชิงจำต้องจดจำเพื่อเส้นทางสู่การเป็นใหญ่ดั่งที่อีกฝ่ายประเมินค่า
แต่คนอย่างจางอี้ชิงไม่ใช่คนที่ยอมอยู่นิ่งยิ่งถูกมองเห็นเนื้อในยิ่งต้องดิ้นรนเพื่อเหยียบย่ำคำดูแคลน...
“ฝ่าบาทมีกระแสรับสั่งให้ข้ามารับเจ้าไปค่ายประพาส องค์ชายสามให้เกียรติมารับเจ้าถึงจวนผู้ว่าจางหวังว่าจะไม่ปฏิเสธข้านะจางอี้ชิง” กล่าววาจาเสียดแทงใจหวังเรียกอารมณ์ในส่วนลึกของอีกฝ่ายให้ปรากฏ แต่อี้ชิงยังคงนิ่งเฉยปานคำพูดนั้นเป็นเพียงบทสนทนาธรรมดาสามัญ
“ข้าขอเวลาเก็บของสักประเดี๋ยว...หวังว่าองค์ชายจะไม่เคืองโกรธ” ภายใต้ความใสซื่อแสนเจียมตนริมฝีปากสีหวานวาดยิ้มท้าอำนาจตอกกลับชายปากร้าย
“ชายที่เจ้าถวิลหาเมื่อครู่คือหยุ่นฮ้าวฮ่องเต้สินะ” คำถามจากบุรุษผู้ถูกเผลอลืมทำเจ้าของห้องร่างงามสะดุ้งตกใจ หันมองเพื่อนต่างถิ่นที่เข้าออกห้องตนเป็นว่าเล่น
“อาเทาเจ้าทำข้าตกใจแทบแย่ เจ้าไม่ได้บาดเจ็บเช่นวันแรกที่เราเจอกันอย่าเข้าออกห้องข้าดั่งเป็นห้องของเจ้าเองได้หรือไม่” อี้ชิงหันไปเอ็ดสหายร่างสูงพลางจัดเก็บข้าวของที่จำเป็นของตนต่อ
“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าจางอี้ชิง” อาเทาไม่ฟังคำติเตือนหากแต่เน้นย้ำคำถามตนที่เอ่ยไปเมื่อก่อนหน้า นัยน์ตาสีนิลกาลมองภาพวาดดวงพักตร์หล่อสง่าดุจสวรรค์สร้างของฮ่องเต้แห่งนครหลวง ที่กางแผ่บนโต๊ะกลมกลางห้องกว้างเป็นหลักฐานในการยืนยันคำตอบชิ้นดีเลยทีเดียว
“ใช่...ข้าต้องรีบไปแล้ว ขอโทษที่วันนี้พาเจ้าเที่ยวชมงานอีกคืนไม่ได้” หากปัดคำก็รั้งจะต้องต่อบทกันยาว ยอมรับไปตามความจริงเสียดีกว่าต้องหลอกเพื่อนและใจตน
“อืม ขอโทษที่ข้าเข้าห้องเจ้าโดยพลการ” ใบหน้าคมก้มต่ำซ่อนบางสิ่งไม่ให้อีกฝ่ายทันมองเห็น ร่างสูงก้าวเดินออกจากห้องที่เคยพักเมื่อวันเจ็บป่วยเพื่อกลับที่พักตน
บุรุษร่างสูงทั้งคนด้านนอกและกำลังจะออกจากเรือนผู้ว่าจางต่างสบมองกันอย่างต้องการซึ่งคำตอบว่าเหตุใดต่างฝ่ายต่างมายืน ณ ที่ตรงนี้ อาเทาเข้าใจในเหตุได้เร็วกว่าว่าอู๋ฟานคือผู้ที่ฝ่าบาทส่งมารับตัวจางอี้ชิง แต่ด้านอู๋ฟานกลับมึนงงที่เห็นบุรุษตรงหน้าในเมืองต่างถิ่น
“ข้าเพียงแค่มาเที่ยวชมงานเทศกาลของฉางซา องค์ชายคงมิห้ามคนต่างแคว้นเช่นข้าเข้าเขตท่าน” กระแสเสียงทุ้มเอ่ยส่งความมั่นใจว่าอู๋ฟานไม่ได้คิดผิด
“ข้ามิบังอาจเอ่ยห้าม โปรดอภัยให้ข้าที่เผลอเลอไม่ได้ถวายบังคมพระองค์...หวงจื่อเทาฮ่องเต้” อู๋ฟานโค้งเล็กน้อยดั่งเริ่มเข้าใจในสถานการณ์ปลอมกายเป็นสามัญ
“ดีแล้วที่เจ้าไม่คุกเข่าให้เราในตอนนี้ และข้าขอให้เจ้าแสร้งทำไม่รู้จักข้าได้หรือไม่องค์ชายสาม?”
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท” บุรุษยศต่ำกว่าโค้งรับคำขอของฮ่องเต้ต่างแคว้น เพื่อเชื่อมมิตรผูกการค้าและแรงทหาร
ค่ายที่พักของฮ่องเต้ดูจะแปลกตากว่าครั้งแรกที่อี้ชิงมาพร้อมบิดา ในเวลานี้ทุกกระโจมพักและลานหน้าบัลลังก์เรียบร้อยพร้อมใช้งานเสียจนนึกว่าเมืองใหม่ นายน้อยจางลงจากรถม้าพร้อมองค์ชายหนุ่มก่อนแยกย้ายกลับกระโจมตนเพื่อเตรียมเข้าเฝ้าฝ่าบาทในยามเย็น
“ไปอยู่บ้านหลายวันเป็นอย่างไรบ้างอี้ชิง?” อี้จวี้ทักทายลูกชายที่เข้ามาในกระโจมพักด้วยท่าทีบึ้งตึงไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
“สบายดีขอรับท่านพ่อไม่มีผู้ใดอยู่บ้านนอกจากบ่าวไพร่” สะโพกผายกระแทกตัวลงนั่งบนเบาะนุ่มหวังระบายอารมณ์กรุ่นโกรธที่ทนเก็บ
“นี่เจ้าปะทะคารมกับองค์ชายอู๋ฟานมาสินะ” ผู้เป็นบิดามองท่าทีของลูกแล้วรอบยิ้มอย่างนึกขัน จางอี้ชิงผู้เก็บอาการเก่งแสดงละครเยี่ยมสมฉายาบัดนี้กลับเดือดดาลเพราะวาจาองค์ชายผู้ไร้พิษ
“จะผู้ใดอีกเล่าท่านพ่อทั้งวางท่าทั้งปากร้าย คิดว่าตนเป็นองค์ชายแล้วเหยียบย่ำคนธรรมดาได้ดั่งใจหรือไร” คิ้วเรียวขมวดยุ่งเมื่อต้องนึกถึงบุรุษร่วมเดินทางเมื่อช่วงครู่
“คนเรามักมีจุดอ่อนเป็นของตน องค์ชายอู๋ฟานจุดอ่อนของเขาอยู่ที่วัตถุด้านอกซ้ายหากเจ้าค้นพบสิ่งนั้นได้คนที่เหยียบย่ำเจ้าจะเป็นทาสไร้คำค้าน” คำแนะนำมากแผนการเปลี่ยนใบหน้าพริ้มพรายที่เคยโมโหร้ายแย้มยิ้มถูกใจ
การได้อู๋ฟานเป็นพรรคพวกเป็นสิ่งที่คุ้มค่าควรเสี่ยงอยู่ไม่น้อย...
“นายน้อยจาง” เสียงทหารหน้ากระโจมพักเรียกสายตาสองคู่ให้หันมาสบมองกัน ก่อนที่อี้ชิงจะเดินออกไปพบทหารตามคำเรียก
“นายทหารมีสิ่งใดจะบอกกล่าวข้าเล่า?” พาณีหวานเอื้อนเอ่ยถามทหารหนุ่มผู้มาส่งข่าว
“เรียนนายน้อยจาง ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้ท่านเข้าเฝ้าที่กระโจมประทับขอรับ” นายทหารโค้งตำรายงานสารจากเหนือหัวถึงชายงามตรงหน้า
“ขอบใจ ขอเวลาข้าเตรียมตัวประเดี๋ยวแล้วข้าจะออกไปพบพระองค์” อี้ชิงกล่าวทิ้งท้ายก่อนกลับเข้าที่พักเพื่อบอกกล่าวกับบิดา “ฝ่าบาทประสงค์ให้ข้าไปพบเพลานี้ขอรับ”
“ไปเถิดลูกพ่อ แล้วอย่าลืมทุกแผนที่เราวางไว้” มือหยาบตามอายุวัยลูบแก้มเนียนปลั่งส่งแรงใจให้ลูกชายเพียงคนเดียว แล้วเดินออกจากกระโจมเพื่อให้เวลาอี้ชิงได้ผลัดเปลี่ยนชุดไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท
ร่างนวลหงในอาภรณ์ใหม่พรมกลิ่นหอมย่างก้าวเข้าเขตที่ประทับ อี้ชิงหยุดยืนหน้ากระโจมของฮ่องเต้รอนายทหารเข้าทูลรายงานการมาของตน รอเพียงครู่ทหารที่เข้าไปทูลฝ่าบาทเดินกลับออกมาพร้อมเปิดม่านหนักให้อี้ชิงเข้าไปด้านใน
แก้วตาวาวใสกวาดมองการตกแต่งที่ประทับที่ดูโอ่อ่าปานขนทุกสิ่งในวังมาประดับกระโจมใหญ่ กำไลหยกบนโต๊ะกลางห้องดึงดูดสายตาซุกซนให้หยุดมอง อี้ชิงเดินเข้าไปหยุดมองสิ่งนั้นใกล้ๆด้วยความรู้สึกที่ตีรวนในใจหนึ่งอยากทำแค่มองแล้วชื่นชมแต่อีกใจกลับหลงใหลคิดครอบครอง
“เจ้าชอบหรือไม่จางอี้ชิง” คำกระซิบแผ่วข้างหู ทำอี้ชิงสะดุ้งตื่นจากภวังค์แสนสับสนก่อนหันไปสบมองเจ้าของเสียงทุ้มที่ไม่รู้ว่ามาประทับซ้อนหลังตนตั้งแต่เมื่อไร
“ฝะ..ฝ่าบาท” กายงามรีบขยับตัวรักษาระยะที่สมควร ใบหน้าพริ้มพรายผละหลบดวงเนตรที่จ้องมองกลัวอีกฝ่ายจะเห็นสีระเรื่อบางบนปรางแก้ม
“ว่าอย่างไรเจ้าชอบมันไหม?” ฝ่าบาทยิ้มเอ็นดูความประหม่าน่าแกล้งหยอกของโฉมงามตัวเล็กกว่า พระหัตถ์หนาหยิบกำไลสีแดงปะปนขาวขึ้นชูอยู่ระดับสายตาให้อี้ชิงได้เห็นชัด
“ชอบพะย่ะค่ะ” เสียงหวานตอบรับคำถามนั้นตามสัตย์จริง
และต้องแสร้งปั้นหน้าไม่อยากได้สิ่งๆนั้น...
“ข้าให้เจ้า” ฮ่องเต้หนุ่มจับมือบางนุ่มขึ้นมาหวังจะสวมใส่ประดับข้อมือสวย หากแต่เจ้าของมือกลับชักกลับเข้าหาลำตัว
“ไม่พะย่ะค่ะฝ่าบาท มันมากเกินไปข้ามิอาจรับไว้ได้” อี้ชิงโค้งกายอย่างแสดงบทเจียมตนไม่คิดรับหยกชิ้นงามมากค่านั่น
“ไม่มีสิ่งใดในใต้หล้าที่ล้ำค่าเท่าเจ้าจางอี้ชิง” ตรัสน้ำเสียงหนักแน่นพลางจับข้อมือบางขึ้นมาสวมใส่ดั่งตั้งพระทัยไว้อีกครา “ดูสิ หยกงามชิ้นนี้แม้อยู่บนข้อมือเจ้ายังมิสามารถงดงามได้ดั่งเจ้า”
“ฝ่าบาทชมข้าเกินจริงอีกแล้วนะพะย่ะค่ะ” แก้มปลั่งสีแดงฉ่ำเอียงหลบพระเนตรพราวเลห์เหลี่ยม “ถึงอย่างไรข้าน้อยก็ขอขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงประทานของชิ้นนี้แก่ข้า”
“ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่างอี้ชิง ขอแค่เจ้าอยู่กับข้าไม่หนีกลับบ้านเฉกเช่นก่อน” วรกายกำยำเคลื่อนใกล้กายนวลหอม สองแขนแกร่งโอบกอดเอวคอดบางเกินบุรุษให้แนบชิดไร้แสงผ่าน
“ฝ..ฝ่าบาท ปล่อยข้าเถิด” เจ้าของร่างลออขยับกายให้หลุดจากอ้อมกอดอุ่น แม้ใจเพียรเรียกหาไอ้อุ่นนี้จากบุรุษผู้สูงศักดิ์หากต้องห้ามปรารถนาแสร้งหวงตัว
“เจ้านี่ช่างดื้อนักเด็กน้อยถามสิ่งใดมักชอบตอบไม่ตรงกับข้าถาม หากเจ้าไม่ตอบคำถามข้าอย่าหวังว่าข้าจะปล่อยให้เป็นอิสระแม่นกน้อย” คำตรัสมากเล่ห์กลหยุดคนที่เคยดิ้นขืนให้สยบยอม นาสิกโด่งรั้นเกลี่ยปัดปรางนวลใสทำนกน้อยในอ้อมกอดอินทรีเบิกตาตื่นตกใจกับสัมผัสแม้นผิวเผิน
“ข้า...ข..ข้ามีเหตุจำเป็นที่ต้องกลับอีกอย่างหากยังรั้นจะอยู่พาฝ่าบาทเสด็จเที่ยวเล่นละทิ้งงานเกรงพระองค์จะถูกเหล่าขุนนางครหานินทา โปรดทรงยกโทษให้ข้าด้วยพะย่ะค่ะที่ข้าผิดสัญญาในคืนนั้น” ปั้นบีบหยาดวาวใสเอ่อร้นรอบขอบตา ช้อนแก้วตามองบุรุษมากยศหวังออดอ้อนให้หายเคืองโกรธตน
“ใครจะโกรธเจ้าลงเล่าเด็กน้อยข้ากลับกลัวเสียมากกว่า...” ดรรชนีเกลี่ยไล้แก้มก่อนจรดลงปลายคาง “กลัวข้างกายข้าจะไร้เจ้า”
“เจอกันเพียงหนึ่งราตรีฉายจะหวั่นไหวต่อกันมากน้อยเพียงใดยากหยั่งรู้ เกรงน้ำคำของฝ่าบาทจะเป็นเพียงลมอ้อล้อแมลงปอปีกบางให้ถลาตามวาโย” กลีบปากได้รูปยกยิ้มขำคำเกี้ยวพาชักจูงใจชวนโอนอ่อน
“กษัตริย์เช่นข้าหาใช่เรื่องง่ายที่จะเจอผู้ต้องใจ ชายาของข้าแต่ละคนล้วนต้องผ่านการเห็นชอบจากเหล่าขุนนางในราชวงศ์แม้แต่พี่สาวเจ้า” คำตรัสถึงเหล่าชายาทั้งชายหญิงฉุกความเคืองจากคนฟังอยู่ไม่น้อย แต่ต้องแกล้งปั้นหน้าเศร้ายามต้องนึกหวนถึงพี่สาวนอกสายเลือด
“หากพี่โบราได้ยินเข้าคงเสียใจไม่น้อย” พารีหวานรำพึงแผ่วก้มหน้าต่ำสวมบทโศก
“ข้าขอโทษที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วทำให้เจ้าไม่สบายใจ” นัยน์ตาคู่คมสบมองดวงหน้าแสนเศร้าหมองแม้ไม่รู้ว่าคนในอ้อมกอดพระองค์นั้นคิดสิ่งใดอยู่ “ตอนนี้ เวลานี้ มีเพียงเจ้ากับข้า อย่านำพาเรื่องของใครอื่นมาทำเจ้าเศร้าหมองได้หรือไม่อี้ชิง”
“...” ความเงียบคือคำตอบที่อี้ชิงสามารถกระทำได้ในตอนนี้ ถึงใจจะอยากหัวเราะรื่นระเริงกับชัยชนะที่ตนอยู่เหนือเหล่าชายาของฮ่องเต้แต่ต้องแกล้งแสดงเศร้าให้ทรงเห็นใจและลุ่มหลง
“อย่าเงียบสิ...นี่เจ้าโกรธข้าหรืออี้ชิง” เห็นชายงามนิ่งเงียบพระทัยองค์พาลใจเสีย หยุ่นฮ้าวเอ่ยคำง้อสกุณาในอ้อมกอดอย่างที่ไม่เคยทำกับหญิงชายชายาใดในวังหลวง
“ข้ามิบังอาจโกรธเคืองฝ่าบาทพะย่ะค่ะ มีแต่จะตื้นตันที่ฝ่าบาททรงเมตตาเด็กบ้านป่าเช่นข้า” อี้ชิงเงยหน้าขึ้นมองพระเนตรสีเข้มที่สบมองตนอยู่ก่อนหน้า
ความเงียบโรยราโปรยรายรอบแรงดึงดูดชักจูงสองดวงพักตร์เคลื่อนเข้าหา ไออุ่นร้อนจากนาสิกเป่ารดแก้มเรื่องามแต่ยังไม่ทันแตะสัมผัสชิมกลีบปากหยุ่นสีเหมยหวานเจ้าของริมฝีปากที่ฮ่องเต้หนุ่มหวังลิ้มลองผละเมินหลบจุมพิต พระโอษฐ์เข้ารูปพักตร์จำต้องเปลี่ยนมาลิ้มชิมปรางแก้มรัญจวนหอม
“ทำไม?” บุรุษเทพผละดวงหน้ามาสบมองโฉมงามผู้ปฏิเสธจูบจากพระองค์
“ข้าขอเวลาพะย่ะค่ะ ข้าไม่อยากเป็นเพียงขนมหวานให้ฝ่าบาทเสวยอิ่มเพียงข้ามคืนแล้วตีจากกลับเข้าวัง” อี้ชิงข่มใจที่เต้นแรงให้สงบแลเนียนนิ่งวางตัวหลอกชวนหลง
“ได้...ข้ารอเจ้าได้เสมอจางอี้ชิงและข้าพร้อมจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นความจริงใจที่ข้ามีต่อเจ้า” ในที่สุดฝ่าบาทก็ยอมปล่อยกระต่ายน้อยออกจากพันธนาการแสนอุ่นแม้ใจจะเสียดายร่างหอมนี้
“ข้าน้อยขอตัวกลับที่พักพะย่ะค่ะ ทูลลาฝ่าบาท” อี้ชิงโค้งลากษัตริย์หนุ่มก่อนเดินออกจากกระโจมใหญ่
ร่างโปร่งงามออกจากกระโจมประทับรอยรองเท้ายังไม่ทันได้เจือจาง ฝ่ายคนที่เฝ้าสังเกตการนอกเรือนพักขยับกายเดินตามชายลออไปตามเส้นที่อีกฝ่ายย่างก้าวผ่านอย่างไม่กลัวว่าอี้ชิงจะล่วงรู้ สองเท้าเรียวหยุดยืนนิ่งหมดความอดทนกับเงาสูงที่เล่นตามถึงที่พัก ร่างเล็กหันตัวกลับไปสบมององค์ชายหนุ่มเป็นเชิงถามว่ามีกิจใด
“กำไรหยกเลือดหงส์เครื่องเคียงคู่มงกุฎทองแห่งฮองเฮา...คงใช้มารยามามากสินะถึงได้สิ่งต้องห้ามมาครอบครอง” นัยน์ตาคมเพ่งมองกำไลหยกชิ้นงามก่อนตวัดสายตาขึ้นมาสบมองอีกฝ่าย
“ฝ่าบาททรงประทานให้ข้าหาใช่มารยาแย่งมาดั่งคำครหา” แม้จะผูกใจเจ็บกับวาจาชายสูงศักดิ์แต่อี้ชิงยังคงวางตัวตามยศฐาไม่รั้นตอกอารมณ์ให้ไฟลุก
“หากไม่ใช้มารยาให้ลุ่มหลงมีหรือฝ่าบาทจะหลงใหลยกหยกเอกเนื้องามนี้ให้เจ้า ชายหยำฉ่าก็คงใช้วิชานางโลมเปลื้องทรัพย์สิน” ร่างสูงกระตุกยิ้มเย้ยใบหน้างามที่งอง้ำเพราะเกรี้ยวโกรธ
“ข้าเป็นนางละครมิใช่ชายหยำฉ่า ข้าขายศิลปะร่ายรำไม่ใช่ร่างกายดั่งที่พระองค์ทรงตัดสิน” อี้ชิงรู้ว่าถึงจะพูดไปพันร้อยประโยคกลอนถ้าอู๋ฟานไม่ใส่ใจจะฟังตนมันก็แค่เศษฝุ่นที่ปลิวคลุ้งคละอากาศ ร่างงามขยับตัวหันกลับหวังเข้ากระโจมไม่อยากต่อปากคำแต่ก็ถูกมือหยาบใหญ่ข้อแขนไว้ไม่ให้เมินหนีตน
“เจ้าไม่มีสิทธิ์หันหลังให้ข้า” อี้ฟานดึงกระชากร่างเล็กให้ขยับใกล้ เหล่าทหารและนางกำนัลต่างหันมองเหตุวิวาทขององค์ชายและนายน้อยแต่ไม่มีผู้ใดอาจหาญกล้าเข้ามาแยกทั้งคู่
“พระองค์ต่างหากที่อย่ายุ่งกับข้า หากพลั้งทำข้าโกรธความลับเรื่องหยกมู่ตานถึงพระกรรณฝ่าบาทแน่” เสียงหวานเอ่ยขำขู่ที่เบาเพียงกระซิบผ่านให้ได้ยินเพียงสองคน
“เจ้า...”
“มู่ตานฮวา...ราชินีแห่งแมกไม้สูงสง่าบัลลังก์ทอง พู่หยกโบตั๋นสัญลักษณ์ของฮองเฮา วันหน้าวันหลังองค์ชายสามควรย้ายที่เก็บจากอกซ้ายหรือไม่ก็หาผ้าพันเสียก่อนที่ใครจะทันเห็น” แก้วตาซุกซนปรายมองรอยหยักนูนบนอกซ้ายแค่ปราดเดียวแม้ไม่เห็นเนื้อในจริงอี้ชิงก็รู้แล้วว่ามันเป็นพู่หยกโบตั๋น
พู่หยกเป็นตัวแทนบรรดายศของเชื้อพระวงศ์และเหล่าชายา ต่างสี ต่างลักษณะ แล้วแต่ความโปรดและสมควร สิ่งแทนชีวิตและดวงใจของผู้เป็นเจ้าของหากสิ่งนี้ตกอยู่ในมือของผู้ใดคนๆนั้นย่อมสำคัญกับเจ้าของมัน ยิ่งเมื่อหยกโบตั๋นตกเป็นของชายอื่นนอกเหนือสวามีหรือทายาทไม่ใช่ชู้แล้วจะเป็นฐานะอื่นใดได้
“หากเจ้ากล้าทูลฟ้องฝ่าบาท ข้าตามมาฆ่าเจ้าแน่จางอี้ชิง” อู๋ฟานเอ่ยขู่เสียงเข้มก่อนผละจากไปเสียเอง
อี้ชิงมองแผ่นหลังกว้างที่เดินลับหายเข้าเขตใน กลีบปากงามยกยิ้มสะใจที่สามารถล่วงรู้ความลับของอู๋ฟาน เป็นดั่งคำที่บิดาตนพูดไว้ไม่มีผิดองค์ชายอู๋ฟานไม่ใช่ผู้มีพิษสงที่เขาควรระวังหากแต่เป็นสตรีเจ้าของหยกมู่ตาน ไจ้จงฮองเฮาสตรีสูงศักดิ์ที่ยากจะต่อกรและโค่นล้มลงบัลลังก์แต่มันไม่ยากเกินความสามารถของอี้ชิง
ถึงกระนั้นก็ไม่ควรเหิมเกริมไปแหวกหญ้าให้งูตื่นเพราะถ้าฮองเฮารู้แล้วไหวตัวทันย้อนสาดพิษโต้กลับคนที่เดือดร้อนจะเป็นตนและครอบครัวแทน อี้ชิงเปลี่ยนเส้นทางจากเดินเข้าพักกระโจมตนไปยังที่พักของบิดาเขายืนรอนายทหารเข้าไปรายงานการขอเข้าพบก่อนเข้าไปหลังได้รับคำอนุญาตนั้น
“มาหาพ่อมีเรื่องใดจะเล่าให้พ่อฟังหรืออี้ชิง” อี้ถวี้ลุกออกจากเก้าอี้ทำงานมายืนข้างบุตรชายก่อนจะพากันไปนั่งเก้าอี้พิงหลังสลักลายสวย
“ฮองเฮามอบพู่หยกโบตั๋นแก่องค์ชายสามพวกเขาลักลอบซ่อนชู้กัน” อี้ชิงบอกเล่าเรื่องราวเมื่อช่วงครู่และคำคาดการณ์ของตนให้บิดาล่วงรู้ไว้เพื่อหาทางกันภัยในภายหลัง
“เจ้าอย่าริอาจพูดพล่อยๆนะอี้ชิง การหมิ่นเบื้องสูงทั้งเจ้าและข้าจะถูกประหารเสียบหอกคู่” ชายชรามองบุตรปากดีที่กล้าพูดถึงหญิงเบื้องสูงในเรื่องเลวทรามเกินยอมรับ
“ข้ามิได้ดูหมิ่นนะขอรับ ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าจุดอ่อนขององค์ชายอู๋ฟานคือวัตถุบนอกซ้ายและเมื่อครู่ข้าเพิ่งมีเรื่องต่อศึกวาจากับเขามา ข้าเห็นมันข้าเห็นหยกโบตั๋นของฮองเฮาถ้ามิใช่คบชู้เพื่อดึงพวกแล้วจะเป็นอื่นใดได้อีกเล่า?” ฝ่ายอี้ชิงยังยืนยันคำพูดตน ทั้งท่าทีและสีหน้าของอู๋ฟานหากไม่ใช่หยกแทนยศมารดาแผ่นดินจริงมีหรือจะร้อนรนขู่ฆ่าแล้วรีบเร่งเดินจากปิดวาที
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแผนต่อไปของเราคงต้องพับเก็บก่อน ขืนเผยตนเล่นคุมหมากใหญ่จะพลาดถูกเก็บกวาด” อี้ถวีลูบเครายาวอย่างพินิจแปลเปลี่ยนแผน
“ขอรับ เราต้องล้มแผนนั้นจนกว่าข้าจะเข้าวังและได้ขึ้นเป็นชายาค่อยพลิกกลับมาเปิดหมากต่อ” อี้ชิงเห็นด้วยกับความคิดบิดาถึงแผนใหม่จะล้าช้าแต่มันปลอดภัยกว่าจะคิดบุกทั้งที่กำลังน้อย
“จริงสิ ยาและผงอาบที่ท่านย่าเจ้าให้ไว้ใกล้หมดหรือยังอี้ชิง?” ผู้ว่าจางเอ่ยถามเรื่องหูกยากับลูกชายอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้
“จวนจะหมดแล้วขอรับ ท่านพ่อให้ให้คนไปรับมาเพิ่มหรือ?”
“ไม่ใช่ อีกสามวันหมินซั่วจะพาท่านย่ามาหาเจ้าที่บ้าน” อี้ถวีส่ายหน้าปฏิเสธคำไถ่ถามพลางตอบขยายความ
“อ้อ..” อี้ชิงพยักหน้าเข้าใจ การที่ผู้เป็นย่าลงจากเขางดบำเพ็ญบุญมาหาตนถึงในเมืองย่อมเป็นเรื่องดี นั่นเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จในการเริ่มก้าวขึ้นบันไดวังอีกก้าวของอี้ชิงก็ว่าได้
ข่าวลือเรื่องอี้ชิงอาจจะได้เป็นว่าที่สนมคนใหม่ของฮ่องเต้แพร่สะพัดทั่วค่ายประพาสและลามไปไกลถึงวังหลวง ยิ่งเห็นฮ่องเต้พระราชดำเนินชมเมืองชมไม้พร้อมคุณชายจางทุกเช้าวันไหนจะกำไลหยกเลือดหงส์บนข้อมือขาวข่าวที่ว่าอาจคิดกันไปเองยิ่งแน่ชัดไร้ข้อกังขา ขุนนางที่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ต่างเริ่มมีปฏิกิริยามีทั้งฝ่ายสนับสนุนและไม่เห็นชอบ ส่วนสองพ่อลูกสกุลจางที่เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ก็ยังคงนิ่งเฉยวางตัวในกรอบตนไม่เชิดหยิ่งหรือเบ่งข่มอำนาจดูเหิมเกริมให้เหล่าสภาองคมนตรีนึกชิงชัง
วันนี้อี้ชิงจำต้องขอทูลลากลับไปพบผู้เป็นย่าที่อุส่าลงเขาบำเพ็ญบุญมาเยี่ยมตนหนึ่งวัน ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ทหารจัดอาชาเดี่ยวตามความต้องการของอี้ชิงที่อยากกลับเรือนไปพบย่าตนเร็วๆแทนที่จะนั่งรถม้าแสนเอื่อยเฉื่อยและยุ่งยาก ร่างโปร่งใบหน้าสะคราญหวานในชุดคุณชายตระกูลสูงสีฟ้าอ่อนเดินออกจากกระโจมพักแล้วก้าวฉับไปยังหน้าประตูค่ายอย่างเร่งรีบ อี้ชิงจับอานม้าเตรียมขึ้นขี่แต่เท้ายังไม่ทันขึ้นเยียบที่วางเท้าก็ถูกมือปริศนาฉุดกระชากให้หันมาประจันกัน
“นั่นเจ้าจะไปไหน?” อู๋ฟานเอ่ยถามเสียงเข้มดุ
“กลับเรือนขอรับ องค์ชายสามมีสิ่งใดจะเรียกใช้ข้าหรือขอรับ?” ถึงจะไม่พอใจที่อีกฝ่ายยังเวียนวนคอยจับผิด แต่เพราะวิชามายาละครแสดงสีหน้าซื่อบริสุทธิ์ที่ล่ำเรียนตั้งแต่เด็ก จึงทำให้อู๋ฟานไม่ทันเห็นแววตาไม่สบอารมณ์ตน
“อ้อ...ข้าก็ว่าจะเข้าไปชมงานประจำปีของเมืองเจ้าเช่นกันเห็นว่าวันสุดท้ายมีการแสดงพิเศษจากโรงละครแม่เจ้า เช่นนั้นเราออกไปด้วยกันสิจะได้ไม่สิ้นเปลืองกำลังม้า” อู๋ฟานไม่รีรอฟังคำค้านตัดน้ำใจ เขาปีนขึ้นไปนั่งบนหลังอาชาสีเข้มขลับก่อนยื่นมือไปโอบจับร่างโปร่งขึ้นนั่งซ้อนด้านหน้าแล้วควบม้าวิ่งฝุ่นตลบท้าย
คนที่ถูกมัดมือชกนั่งเป็นหุ่นให้เขาควบม้าส่งกลับบ้านได้แต่ทำหน้านิ่งแม้นไม่พอใจในใจลึก ก็ภาวนาขอให้อู๋ฟานอยากออกไปชมการแสดงปิดงานอย่างปากว่า แต่ถ้าหากองค์ชายผู้นี้ลอบซ้อนแผนคิดตามไปสืบความลับตนก็อย่าหาว่าอี้ชิงร้ายกาจก็แล้วกัน
------------------------------------------------------
*เหมยกุ้ย=ดอกกุหลาบ
ไม่อยากเม้นก็กรุณาโหวตในตอนนั้นๆ หรือติดแท็ก #ม่านดอกงิ้ว
ความคิดเห็น