ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [PeriodEXO]❖KrisLay❖ม่านดอกงิ้ว

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่๐๑ -ใจเพียรรัก-

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.พ. 58


     

     

    ม่านดอกงิ้ว

    ตอนที่ ๑




    -ใจเพียรรัก-




     

    ฉางซาเมืองเกษตรกรรมแหล่งอาหารสำคัญของทุกเมืองในแคว้นหลวงมีผู้ดูแลเมืองนามว่าจางอี้ถวี เมื่อครั้งเพิ่งสมรสกับบุตรสาวของสนมไร้ยศเขาและนางต่างไม่มีบุตรธิดาจึงรับเลี้ยงเด็กกำพร้าสี่คน อี้เซริง โบรา จินหมินซั่ว และพู่ชานเลี่ย

     

    เมื่อบุตรบุญธรรมคนสุดท้องเติบโตได้สามปีเศษฮูหยินจางจึงตั้งครรภ์ บุตรชายของทั้งคู่เป็นคนร่างงามผิวพรรณดี ใบหน้าน่าเอ็นดู ทายาทแท้ๆหนึ่งเดียวของผู้ว่าจางอี้ถวี

     


     

    จางอี้ชิง





     

    สิบหกปีผ่านไปสามในสี่บุตรบุญธรรมต่างได้ดิบได้ดีในการงาน พี่คนโตสอบจองหงวนเข้าวังเป็นขุนนาง ส่วนชานเลี่ยเลือกเรียนศาสตร์การแพทย์ได้รับความดีความชอบจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันให้บรรจุเป็นหมอหลวงผู้มีอายุน้อยที่สุด ด้านยุนโบราเข้าสอบคัดเลือกนางกำนัลและได้เป็นพระชายาชั้นผิน

     

    จะเหลือก็แต่จินหมินซั่ว และบุตรชายแท้ๆจางอี้ชิงสองบุรุษงามผู้ไม่ฝักใฝ่เอาดีงานในวังทางด้านใดเป็นพิเศษ หมินซั่วรักสันโดษไม่ชอบอะไรที่ฝืนใจตนเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน ส่วนอี้ชิงรักในศิลปะการร่ายรำชอบเป็นจุดสนใจต่อผู้พบเห็นจนผู้เป็นแม่พาเข้าทำการแสดงในโรงละครที่นางเป็นเจ้าของ

     

    ความงดงามทั้งรูปพักตร์และกายาของนางเอกละครงิ้ว เป็นที่ล่ำลือไปทั่วแคว้นจนเหล่าบุรุษทุกชนชั้นต่างประสงค์มานั่งชมการร่ายรำเป็นบุญตาดูสักครั้งว่าที่ว่างามนั้นจะงามเลิศดุจนางอัปสรเหมือนปากว่าจริงหรือไม่

     

    เจ้าของร่างพริ้มพรายในชุดแพรพรรณสีหวานชายงามผู้เป็นที่กล่าวขานของบุรุษทั่วถิ่นแคว้น กำลังก้าวเดินไปตามทางลาดยาวเพื่อเข้าพบบิดาตามคำสั่งก่อนจบสำรับเย็น มือสวยกอบกำหลวมยกขึ้นเคาะประตูไม้สีสดขออนุญาตเข้าไปในห้องทำงานมากเอกสาร

     

    “เข้ามา” เสียงเอ่ยหลังม่านประตูกล่าวอนุญาตให้บุตรเพียงคนเดียวของสกุลจางเข้าพบ

     

    “ท่านพ่อเรียกข้ามาพบมีเรื่องอันใดหรือขอรับ?” จางอี้ชิงยืนโค้งคำนับบิดา แล้วไถ่ถามถึงเหตุเรียกพบตามลำพัง  

     

    “อี้ชิงวันนี้เจ้าต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทกับพ่อ เรื่องแสดงละครที่หอหยกขาวเว้นไปก่อน” คำสั่งจากหัวหน้าครอบครัวหามีใครสามารถคัดค้านได้

     

    “ขอรับท่านพ่อ” ตัวผู้ถูกออกคำสั่งจำต้องพยักหน้ารับคำบุพการีไร้คำเลี่ยง

     

    การติดตามบิดาไปว่าราชการกับฮ่องเต้และเหล่าขุนนางเป็นเรื่องปกตินับตั้งแต่อี้ชิงเติบโตมา ผู้เป็นบิดาหวังให้เขาซึมซับงานราชการแผ่นดิน หากโตขึ้นอีกสักปีเขาเพียรค้นพบว่าตนต้องการเข้ารับราชการตามพี่ๆจะได้รู้งานไม่อายใคร

     

    แต่สิ่งที่ซ่อนไว้ภายในใจไม่อาจบอกเล่าให้ผู้เป็นพ่อรับฟังได้คือเขาไม่มีความรู้สึกหลงใหลในงานตัวอักษรบนหน้ากระดาษนั่นเลยสักนิด ยิ่งเห็นม้วนงานมากมายที่พ่อและเหล่าพี่ชายขนกลับมาทำที่บ้านความเบื่อหน่ายยิ่งฉายชัดไม่นึกอยากแตะต้องมัน

     

    แล้วมีหรือว่าบิดาจะไม่รู้ความคิดลูก...

     

    “เจ้าติดตามพ่อไปว่าราชการตั้งแต่เด็กเคยเข้าเฝ้าเพียงฮ่องเต้พระองค์ก่อน ยังไม่เคยพบฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้เป็นสวามีพี่สาวเจ้า เช่นนั้นก็ถือโอกาสนี้เข้าเฝ้าและทำการแสดงถวายพระองค์ด้วยเจ้าจะว่าอย่างไร?”

     

    “หากท่านพ่อเห็นว่าสมควรข้าก็พร้อมจะกระทำตามประสงค์ขอรับ” เจ้าของเสียงหวานใสปานสกุณาน้อยเอ่ยกล่าวกลับ ริมฝีปากได้รูปสวยยกยิ้มแย้มผกาอย่างรู้ใจบิดา

     

    “ดี พ่อหวังว่าเจ้าจะทำให้ฮ่องเต้ทรงพอพระทัย” เจ้าเมืองจางยิ้มรับพึงพอใจในความฉลาดรู้ของบุตรชายร่างงาม

     

    จางอี้ชิงบอบบางเกินกว่าจะจับดาบล้มข้าศึกได้เยี่ยงอี้เซริง แต่ความเฉลียวฉลาดหาน้อยหน้าชานเลี่ย และความงามดั่งบุปผาก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโบรา เมื่ออี้ชิงไม่สามารถรับราชการผลักดันให้อี้ถวียิ่งใหญ่ได้ก็มีอีกหนึ่งทางที่ร่างโปร่งงามจะสามารถกระทำเพื่อแทนคุณบุพการี

     

    ถวายตัวกับฮ่องเต้...











     






     

    พ่อลูกสกุลจางพักค้างแรม ณ ค่ายประพาสเขตชานเมืองฉางซาของหยุ่นฮ้าวฮ่องเต้รวมเพลานี้อาจคงเป็นสี่ราตรีกาล นายน้อยจางอี้ชิงยังไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าองค์แผ่นดินเหตุเนื่องจากราชกิจมากมายต้องแก้ไข และพระองค์มีพระประสงค์เรียกตัวให้เข้าเฝ้าเพียงเหล่าขุนนางและเจ้าเมือง

     

    เมื่อยังไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าบุรุษงามแห่งฉางซาจึงใช้เวลาว่างที่ตนมีฝึกร่ายรำพร้อมเหล่านักดนตรีอีกส่วนหนึ่งจากโรงละคร โดยหวังว่าไม่ช้าก็เร็วอี้ชิงจะได้รำถวายต่อหน้าพระพักตร์ก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จกลับวังหลวง

     

    ร่างอรชรเรือนผิวนวลร่ายรำตามท่วงทำนองเสียงบรรเลง กายอ่อนช้อยพลิ้วไหวดั่งไผ่ไหวต้องลม หากไม่ทราบแต่ก่อนหน้าว่านั่นคือชายคงหลงคิดว่าคนตัวอ่อนตามทำนองเพลงเป็นสตรีรึนางฟ้าเพียรร่ายรำบวงสรวงเทพใต้แสงจันทรา

     

    แม้นเวลานี้ร่างโปร่งงามอยู่ในชุดฝึกซ้อมผ้าสีจืดไร้สีแต้ม แต่ความลออทั้งดวงหน้าและเรือนกายยังคงเด่นสะดุดเนตรให้แลมองดั่งภมรต้องเกสรบุรุษเพศต้องใจกายางาม

     

    “นั่นใคร?” พาณีหวานเอื้อเอ่ยถามพลันผลินดวงพักตร์หันมองเงาร่างลึกลับหลังต้นไม้ใหญ่

     

    “ขออภัยที่ข้ามารบกวนการฝึกซ้อมของนายน้อย” ร่างกำยำสูงสง่าในชุดบุรุษสามัญชนเผยตัวตนต่อหน้าอี้ชิง หัตถ์หนายกโบกให้เหล่าสาวใช้และนักดนตรีปลีกเลี่ยงออกไปจากบริเวณ

     

    “หาได้รบกวนไม่ การฝึกของข้าไม่มีอะไรพิเศษจนต้องปิดบังใคร ว่าแต่ท่านคือ...?” นายน้อยนักระบำเอ่ยปลอบปัดคำขอโทษ พลางถามถึงชื่อแซ่ของบุรุษตรงหน้าที่สามารถบอกไล่นางกำนัลเหล่านั้นให้พ้นเขตแดนได้ ชายผู้นี้ดูเพียงสบตาแรกก็รู้ได้ว่าเขายศสูงเกินกว่าจะเป็นแค่คุณชายยศเดียวกัน

     

    “ข้ามีนามว่าเจิ้งหยุ่นฮ้าวเป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้พบเจ้า นายน้อยจางอี้ชิง” ชายร่างสูงกว่ากล่าวทักทายอย่างผูกมิตร




     

    เจิ้งหยุ่นฮ้าว?

     

    ฮ่องเต้




     

    “ข้าน้อยขออภัยฝ่าบาท ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่” ร่างพริ้มพรายรีบคุกเข่าโน้มศีรษะจรดแผ่นดินเกรงในอำนาจเจ้าแผ่นดิน

     

    “ลุกขึ้นเถิดนายน้อยเจ้ามิได้ทำผิดในสิ่งใด เจ้าไม่เคยมีโอกาสเข้าพบข้าหาใช่ความผิดที่ไม่รู้ว่าหน้าตาข้าเป็นเช่นไร” หยุ่นฮ้าวเข้าประครองกายบางให้ลุกขึ้นยืน อัจฉราช่วยเกลี่ยเศษไม้ใบหญ้าแห้งออกจากเกศานุ่มชวนสัมผัส

     

    “แต่ข้าน้อยก็ไม่สมควรกระทำเยี่ยงนั้นกับพระองค์” อี้ชิงก้มหน้าแทบชิดอกไม่กล้าเงยหน้าสบพระพักตร์ฮ่องเต้เช่นครู่ก่อน

     

    “เจ้าอย่าคิดมากไปเลยนายน้อยจาง หากต้องการไถ่โทษที่คิดว่าบังอาจล่วงเกินข้าเจ้าคงต้องพาข้าเดินชมเมืองฉางซาของเจ้าเสียแล้วล่ะอี้ชิง” ปลายนิ้วเรียดจรดคางเรียวยกใบหน้าที่ก้มต่ำให้เงยขึ้นสบมองตน

     

    รอยยิ้มอบอุ่นจากฮ่องเต้หนุ่มฉายชัดในม่านแก้ว ใจดวงน้อยเต้นระส่ำแทบทะลุเด่นออกนอกอกเสียงโครมครามดังก้องในกายากลัวเหนือเกินว่าฝ่าบาทจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของอี้ชิง

     

    “ข...ข้าว่าฝ่าบาทให้ท่านพ่อพาเสด็จจะดีกว่า ถึงข้าน้อยจะเป็นคนในฉางซาแต่หาได้รู้เรื่องในเมืองตนมากนัก” ดวงหน้างามแต้มสีฉ่ำหันเหสายตามองต้นพืชอีกฟากฝั่ง พระพักตร์สง่างามของฮ่องเต้คือสิ่งต้องห้ามที่อี้ชิงไม่ควรคิดสบมอง

     

    “ข้าไม่ต้องการเดินชมเมืองเพื่อการงาน แต่ข้าอยากเดินเที่ยวเฉกสามัญชนเจ้าไปกับข้ามิได้หรือจางอี้ชิง” กษัตริย์หนุ่มละหัตถ์จากคางเสี้ยวลงไปกอบกุมมือนุ่มน่าถนอม

     

    “พะย่ะค่ะฝ่าบาท ข้าน้อยจะพาชมเมืองตามพระประสงค์” จางอี้ชิงตอบยินยอมอย่างไม่อาจขัดบัญชาเจ้า

     

    นายน้อยจางในชุดคุณชายสมฐานะเดินเคียงข้างองค์กษัตริย์ที่ปลอมกายเป็นสามัญ หยุ่นฮ้าวเดินไปตามถนนย่านการค้าที่ครึกครื้นเนื่องจากเป็นคืนเทศกาลโคมไฟ พลางสดับฟังอี้ชิงเล่าเรื่องราวความเป็นมาของตรอกซอยจนมาถึงทะเลสาบที่พักผ่อนก่อนกลับค่าย

     

    ในตอนนี้สิ่งรอบตัวหาได้อยู่ในความสนใจของหยุ่นฮ้าว เขาเลิกมองการค้าขายของชาวบ้านมานานเพียงใดไม่อาจบอกชั่วยามได้ รู้เพียงแค่ความสนใจทั้งหมดของร่างสูงอยู่ที่หนุ่มน้อยข้างกายตน กลิ่นหอมละมุนจากกายลอยแตะพระนาสิกดุจบุปผาพันธุ์หายากดึงดูดใจชวนใกล้ชิด ดวงหน้างามกายเนียนนุ่มทั้งกริยาและการพูดเจรจาทุกองค์ประกอบที่อี้ชิงมีไม่เพียงแค่แตกต่างจากบุรุษงามทั่วไป

     

    สตรีสาวทั่วทั้งแคว้นยังไม่อาจต้องพระทัยหยุนฮ้าวฮ่องเต้ได้เท่าจางอี้ชิง...
     

    “ทะเลสาบใสสกาวดุจดวงดาว เปรียบตัวเจ้าดั่งเดือนเด่นกลางดารา” คำตรัสเรียกกลีบผกาแย้มยิ้มแต้มสีแก้ม ดวงหน้าที่เคยทอดมองผืนนทีกว้างก้มต่ำซ่อนความอาย

     

    “ฝ่าบาทนอกจากจะทรงเป็นกษัตริย์มากคุณธรรมแล้ว ยังทรงเป็นนักกวีเจ้าบทกลอนพระองค์ทรงพระปรีชาหาผู้ได้เทียบเท่าได้” พาณีหวานเอ่ยชมเสียงผ่าวแผ่วไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรแพรวพราวใจ

     

    “ข้าหวังว่าราตรีหน้าเราจะได้พบกันอีกครั้งจางอี้ชิง” สุระเสียงแผ่วกระซิบข้างใบหูเสมือนคำเว้าวอนจากบุรุษสูงศักดิ์

     

    “พะย่ะค่ะ ในคืนหน้าข้าจะเข้าเฝ้าพระองค์ตามพระประสงค์” อี้ชิงข่มดวงใจให้สงบไม่เต้นรัวเกินจำเป็น พลางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม  

     


     

    แม้นความหวานมากจริตคือเล่ห์กล

    แต่ใจคนหาปรุงแต่งบังคับได้

    จางอี้ชิงหลอกลวงเขาเพียงรูปกาย

    แต่ดวงใจกลับคะนึงหลงรักองค์ราชัน

























     

    กลางดึกในคืนนั้นฮ่องเต้เสด็จมาส่งชายงามด้วยองค์เองถึงหน้ากระโจมที่พัก หลังจากนั้นไม่เกินครึ่งชั่วยามจางอี้ถวีก็ตามมาหารือกับบุตรรักเรื่องแผนการที่ลุล่วงของวันนี้

     

    “ดี...เจ้าทำได้ดีมากจางอี้ชิง” เสียงแหบชราเอ่ยชมบุตรชายนางละคร ผู้แสดงบทไร้เดียงสาเมื่อแรกพบตบตาฝ่าบาทได้ดีไร้ที่ติฉิน

     

    “ข้าต้องขอบคุณท่านพ่อที่คิดอุบายกล่อมฝ่าบาทให้ทรงวางพักราชกิจแล้วเสร็จออกไปเจอข้าที่ศาลา” อี้ชิงโค้งรับคำชมโดยไม่ลืมเยินเยอคำกลับ

     

    “ฮ่าๆๆๆ ก่อนฝ่าบาทเสด็จมาส่งเจ้าถึงที่พักพระองค์ได้ตรัสสิ่งใดกับเจ้าบ้าง?” อี้ถวีเอ่ยถามเพื่อคิดแผนการต่อไป

     

    “คืนพรุ่งนี้ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้ข้าเข้าเฝ้าพระองค์อีกครั้งขอรับ” คำบอกเล่าไม่คิดปิดบังบิดาเรียกรอยยิ้มพอใจจากชายชราได้มากยิ่ง

     

    ในเมื่อฮ่องเต้มีพระประสงค์เรียกพบบุตรตนในอีกคืนเช่นนี้ ไม่ต้องรอลุ้นให้มากความเขาก็รู้แน่ชัดแล้วว่าหยุ่นฮ้าวฮ่องเต้หมายปองอี้ชิง เส้นทางความรุ่งโรจน์ของจางอี้ถวีช่างราบรื่นไร้ขวากหนามเสียจริง

     

    “วันรุ่งขึ้นเจ้ากลับเรือนเถิดอี้ชิง หลังพลบค่ำจงกลับไปแสดงในโรงละครของแม่เจ้าเช่นวันเก่า” เจ้าเมืองผู้มากเล่ห์เอ่ยแผนการขัดพระประสงค์ไม่เกรงในโทษทัณฑ์

     

    “ต...แต่ว่าท่านพ่อ...” กลับเป็นอี้ชิงอี้ที่อยากคัดค้านแผนการสิ้น ทั้งกลัวในอาญาและถวิลหาอยากเข้าเฝ้าฮ่องเต้หนุ่มดั่งใจเพียรเรียกร้อง

     

    “เจ้าควรกระทำตัวให้มากค่า หากยังคงเที่ยวทำตามประสงค์ของฝ่าบาทในไม่ช้าเจ้าจะกลายเป็นของด้อยค่าน่าเบื่อเร็ว ทำตามที่พ่อสั่งจางอี้ชิงแล้วฝ่าบาทจะยิ่งต้องการเจ้ามากขึ้นอีกร้อยเท่า” อี้ถวีเอ่ยสั่งเสียงเด็ดขาด ซึ่งร่างงามทำได้เพียงยิ้มรับแผนบิดาที่มากด้วยเหตุผล

     

    หากการห่างกันเพียงไม่กี่วันแล้วฝ่าบาทหลงใหลยิ่งมากขึ้น

    จางอี้ชิงจะกลั้นทนความคะนึงให้ผ่านพ้นหนึ่งวัน....











     

    ในวังหลวงใช่สงบดั่งกำแพงที่กั้นเขตชั้นวรรณะยิ่งเมื่อฮ่องเต้ไม่อยู่ประทับบัลลังก์ทองเหล่าอนุชาและขุนนางต่างรวมกลุ่มแบ่งพรรคฝ่าย แม้แต่องค์ชายสองผู้รักษาการแทนฝ่าบาทยังคิดคดวางแผนชิงบัลลังก์หวังอำนาจ

     

    เพลานี้สำหรับสตรีผู้เป็นใหญ่เคียงข้างสวามีไม่มีสิ่งใดที่พระนางกลัวเท่าพระทัยของฮ่องเต้ ยิ่งเห็นทหารเร็วจากฉางซามารายงานความเคลื่อนไหวใจที่พยายามข่มให้นิ่งเย็นกลับเดือดระอุทุกครั้งคราว วรกายงามบนพระที่นั่งลุกเสด็จไปมาในตำหนักเพื่อคิดแผนตัดเสี้ยนหนามมารหัวใจ

     

    ไจ้จงฮองเฮาผู้เคยสงบนิ่งบนบัลลังก์ราชินีบัดนี้แทบทำลายข้าวของทุกชิ้นงามในตำหนัก พระนางทั้งกังวลและเคืองโกรธที่ขนาดเสด็จประพาสไกลยังป่าเขายังมีบุรุษงามให้ต้องพระทัยเก็บกลับวัง

     

    “ทรงพระทัยเย็นก่อนเพคะฮองเฮา พระองค์ทรงกริ้วอยู่เช่นนี้ก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรอกเพคะ” นางกำนัลวัยใกล้ฝั่งผู้เป็นพี่เลี้ยงของฮองเฮาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์เอ่ยเตือนสติ

     

    “ข้าหงุดหงิดยิ่งกำจัดสตรีสาวชายงามทุกนางในใต้หล้ามากเท่าใดฝ่าบาทก็ทรงไม่รู้จักพอมากเท่านั้น นี่ทรงเสด็จประพาสไกลถึงเมืองป่ายังไม่วายต้องพระทัยบุตรเจ้าเมือง แล้วเจ้าจะให้ข้าทนนิ่งเฉยอย่างไรอีกปู้ซิน” กระแสเสียงพราวหวานระบายทุกความในใจกับพี่เลี้ยง พลันน้ำพระเนตรวาวใสก็คลอเคล้าเอ่อล้นขอบม่านตาอย่างไม่อาจอดกลั้นได้

     

    “โธ่...ฮองเฮาของหม่อมฉันอย่าทรงกันแสงเลยเพคะ ในเมื่อพระชายาและนางสนมองค์อื่นๆเรายังจัดการได้เหตุใดแค่เด็กเมืองป่าจะเกินประปรีชาของพระองค์ หม่อมฉันว่าพระองค์ควรเสด็จไปขอความช่วยเหลือจากองค์ชายอู๋ฟานนะเพคะฮองเฮา” คำแนะนำเรียกพระพักตร์มนงามเปื้อนหยาดน้ำตาให้หันมองพี่เลี้ยงชราที่ส่งยิ้มให้กำลังใจ และไจ้จงก็แย้มพระสรวลเห็นชอบในคำพูดนางกำนัล

     

    “พระองค์คงจะทรงทราบเรื่องฝ่าบาทและบุตรชายเจ้าเมืองฉางซาถึงได้เสด็จมาหาข้าในเวลานี้” เสียงทุ้มจากบุรุษเชื้อพระวงศ์ลำดับสองเอ่ยกับหญิงสาวยศพี่สะใภ้ใหญ่

     

    เรื่องความต้องใจเพียงข้ามคืนของหยุ่นฮ้าวฮ่องเต้และบุตรชายเจ้าเมืองฉางซาเพียงแรกเห็นคนทั้งคู่เพ่งสบตา เหล่าขุนนางนายทหารในค่ายประพาสก็ตั้งกลุ่มเล่าลือเรื่องว่าที่สนมองค์ใหม่จนกระฉ่อนมาไกลถึงวังหลวง เมื่อเหล่าอนุชาในวังที่ไม่สนใจเรื่องรักใครของพระเชษฐายังรู้ข่าวก็ไม่แปลกที่ฮองเฮาผู้ส่งทหารคอยสอดแนมจะรู้มากยิ่งกว่า

     

    “ใช่ ข้าต้องการให้เจ้ากำจัดจางอี้ชิง” สตรีสาวตรัสตามสัจจริงไม่คิดเล่นมารยาใด

     

    “จะให้ข้าทำสิ่งใดอีกหรือฮองเฮาฆ่าจางอี้ชิงหรือปลุกปล้ำเป็นอนุ?” องค์ชายหนุ่มแสร้งถามสิ่งที่พระนางทรงประสงค์

     

    เขารู้แก่ใจว่าฮองเฮาผู้งามเลิศไม่มีทางให้บรรดาอนุชายาของฮองเต้ได้ตายสบายแน่ นางเหล่านั้นไม่เป็นหมันก็ถูกกล่อมให้คบชู้ หรือไม่ก็อาจส่งไปเป็นสนมให้เหล่าองค์ชายในวัง

     

    “หากเจ้าพึงพอใจในความงามของชายผู้นั้นจะเอามาเป็นสนมก็สุดแล้วแต่เจ้า แล้วถ้าไม่ชอบพอเขาก็จัดการป้อนยาดั่งสนมชายในวังเสีย” กระแสรับสั่งพร้อมยิ้มร้ายส่งถึงผู้ใต้บัญชาที่จำต้องน้อมรับไม่อาจหลีกเลี่ยงความประสงค์

     







































     

    “บุตรชายเจ้าเล่าใต้เท้าจาง อี้ชิงไม่สบายหรือเหตุใดจึงไม่มาร่วมทานอาหารเช้ากับข้า” กระแสตรัสถามจากฮ่องเต้ หยุดมือที่ถือตะเกียบของเหล่าขุนนางที่ร่วมทานอาหารเช้ากับฝ่าบาท

     

    บิดาของชายงามที่ฮ่องเต้ประสงค์ให้ทหารไปตามมาร่วมด้วยวางตะเกียบลงบนโต๊ะสำรับตนก่อนยกมือคำนับเพื่อทูลเหตุแสร้งจริงที่ร่างงามไม่สามารถมาปรากฏต่อหน้าพระพักตร์ในเช้านี้ได้

     

    “ทูลฝ่าบาท จางอี้ชิงต้องไปซ้อมแสดงงิ้วในเย็นนี้เนื่องเหตุนักแสดงสำรองเกิดป่วยกะทันหัน บุตรชายข้าจึงจำต้องกลับเรือนตั้งแต่เมื่อเช้าตรู่พะย่ะค่ะ”

     

    “เอาเถอะๆ ข้ายังพักอยู่ที่นี่อีกหลายวันไว้เจอกันวันหลังก็ไม่สาย” ทรงตรัสเหมือนไม่รู้สึกทุกข์ร้อนวรกาย แต่พระองค์ก็ไม่อาจทรงปิดสายตาของจางอี้ถวีที่ลอบมองพระพักตร์ฮ่องเต้พร้อมแย้มยิ้มดั่งผู้มีชัย

     









     

    ชายกำยำร่างสูงผิวกร้านแดดสวมเสื้อแสงราคาแพงบ่งบอกชาติตระกูลดียืนหันมองคนรอบกายในตลาดกลางเมืองฉางซา เทศกาลโคมไฟต้นฤดูวสันต์อบอุ่นสำหรับบุรุษต่างเมืองช่างเป็นเทศกาลที่น่าเที่ยวชมนัก แต่เพราะเขาไม่ใช่คนในท้องถิ่นและไม่ได้ศึกษาภูมิศาสตร์ในเมืองเขียวชอุ่มนี้จึงจำต้องเดินเข้าไปถามสถานที่น่าเที่ยวชมกับพ่อค้าริมทางเดิน

     

    “สำหรับคุณชายยังหนุ่มยังแน่นเช่นท่านน่าจะลองไปนั่งดูงิ้วที่โรงละครหยกขาว โรงละครนี่เป็นหอขึ้นชื่อเรื่องเริงรื่นของเมืองฉางซาได้ไปนั่งชมการแสดงของนายน้อยจางแล้วคุณชายจะติดใจ” คำแนะนำที่เรียกรอยยิ้มจากชายต่างเมืองอยู่ไม่น้อย

     

    เขาโค้งขอบคุณคำแนะนำนั้นก่อนเดินไปตามเส้นทางที่พ่อค้ากลางคนชี้บอกมา โรงละครหยกขาวที่ตัวเขาเองก็ได้ยินชื่อเสียงมาอยู่บ้างแต่เคยคิดที่จะเข้าชมอย่างจริงจัง เห็นทีวันนี้คงต้องลองนั่งชมกันเสียหน่อยจะได้รู้ว่านางเอกละครงิ้วที่เลื่องลือนั้นแสดงยอดเยี่ยมเพียงใดกัน

     

    “คุณชายรูปหล่อจะรับสุราและอาหารเลยไหมเจ้าคะหรือรับเฉพาะสุราและสาวงาม” หญิงสาวร่างอวบอัดย่างกรายเข้ามาคลอเคลียชายต่างถิ่นอย่างจริต

     

    “ข้าขอแค่น้ำชาและอาหารขอรับแม่นาง” เสียงทุ้มตอบปัดแววตาเย้ายวนร่วมสังสรรค์พร้อมรอยยิ้มสุภาพบาง หญิงสาวผู้เล้าโลมเมื่อครู่หน้าตึงไปชั่วครู่ก่อนกระแทกเท้าเดินไปสั่งอาหารมาให้ลูกค้า

     

    ชายหนุ่มส่ายหน้าระอาหญิงรุ่นกร้านโลกก่อนเดินไปนั่งยังโต๊ะว่างที่สาวโรงละครอีกนางเรียนเชิญให้นั่งพัก ดวงตาสีเข้มกวาดมองสถานที่โรงละครที่มีลูกค้าเป็นชายชาตรีนั่งดื่มลิ้มสุราโดยมีสตรีนุ่งห่มอาภรณ์หมิ่นเหม่อคอยป้อนคอยพัดวีระหว่างรอชมการแสดง

     

    ริมฝีปากได้รูปปานเทพวาดยกยิ้มขอบคุณสาวใช้ที่นำอาหารและน้ำชามาจัดวางบนโต๊ะกลม มือหนาจับกาเทน้ำชาใส่ในถ้วยใบเล็กยังไม่ทันจะได้จิบความกรุ่นหอมเสียงดนตรีพลิ้วหวานก็บรรเลงเปิดม่านละคร ทุกสายตาจับจ้องไปยังนางระบำชุดสีแดงสดหลังจากนั้นเพียงไม่นานการแสดงได้เริ่มต้นขึ้น

     

    ถ้าไม่มาเห็นกับตาในวันนี้เขาคงไม่หลงเชื่อคำล่ำลือนั่นอีกนาน นางเอกงิ้วไม่เพียงแต่จะส่งอารมณ์ให้คู่ละครต่อบทเจรจาได้ดีเยี่ยม นางยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ให้เหล่าผู้ชมรู้สึกตามดั่งเป็นคู่ละครร่วมต่อบท

     

    อาหารบนโต๊ะไร้ความหมายไปในทันใดเขาไม่มีความอยากอาหารหน้าตาน่ารับประทานเท่าสนใจนางเอกงิ้วร่างพลิ้วงามตรงหน้า แม้เครื่องหน้าจะแต่งแต้มสีจัดตามแบบละครงิ้วหากพินิจถึงเนื้อในหน้าแท่นแสดงดูสวยงามอยู่ไม่น้อยไปกว่าใคร

     

    ความงดงามที่อยากเดินเข้าไปทายทัก....

     









     

    “เจ้าแสดงได้ดีมากนกน้อยของแม่” นายหญิงแห่งโรงละครรีบเข้าประคองจับบุตรชายสุดรักมานั่งพักเปลี่ยนอาภรณ์ถอดโขนงิ้วหลังการแสดงของวันนี้จบลงด้วยดี

     

    “หากไม่ได้ท่านแม่เคี่ยวเข็ญสั่งสอนข้า การแสดงในวันนี้คงออกมาไม่ดีเยี่ยมเป็นแน่” เสียงหวานอวยชมผู้เป็นมารดาและอาจารย์สั่งสอนวิชามายาละคร

     

    “หาใช่เพียงเพราะวิชาที่แม่สอน อีกหนึ่งคือพรสวรรค์และความสามารถที่เจ้ามีจางอี้ชิง เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นนางละคร” หญิงชราเอ่ยตื้นตันกับหยกชิ้นงามที่นางขัดเกลามาตั้งแต่วัยเยาว์

     

    “และเกิดมาเพื่อเป็นฮองเฮาแห่งนครหลวง” คำต่อเติมแสนทะนงสร้างความตกใจให้คนฟังพลอยใจสั่นระแวงภัยจะถึงตนและคนพูด

     

    “อี้ชิงเจ้าไม่ควรพูดเช่นนี้ในที่มวลหมู่มาก หากคนของวังหลวงได้ยินเข้าเจ้าจะเดือดร้อนต้องอาญา” กระซิบเสียงเอ็ดเตือนบุตรคนเล็กแห่งสกุลจาง ที่ริตีปีกสลัดคราบวิหกน้อยเป็นหงส์สวยชั่วข้ามคืนหลังเข้าเฝ้าเสด็จองค์ราชา

     

    “เหตุใดต้องกลัวอาญาเล่าท่านแม่ ในห้องนี้มีเพียงข้า ท่านและคนงานโรงละครที่วุ่นวายช่วยผลัดเปลี่ยนชุดนักแสดงไม่มีใครใส่ใจคำพูดของเราหรอก” จางอี้ชิงยังระเริงกับถ้อยคำไม่ทุกข์ร้อนเหมือนมารดาที่ได้แต่ยืนดูตนลบเครื่องแต่งด้วยใจห่วง

     

    จะโทษเพียงนายน้อยจางก็คงจะไม่ถูกหากเขาไม่ได้รับคำกล่อมคอยยุยงสนับสนุนจะผู้เป็นบิดาจางอี้ชิงคงไม่หลงใหลในวิมานของวังหลวง ความทะเยอทะยานอยากอยู่เหนือกว่าที่เป็นอยู่ทำให้คุณชายจางวัยเพียงสิบห้าในตอนนี้คิดแปลเปลี่ยนฐานะขึ้นยศสูงกว่าจะขึ้นสูงได้ถึงเพียงนั้นเด็กน้อยต้องเผชิญสิ่งใดหารู้ไม่

     

    “คืนนี้เจ้าจะกลับค่ายประพาสของฝ่าบาทหรือไม่อี้ชิง?”

     

    “ไม่ขอรับ คืนนี้ข้าจะกลับบ้านท่านแม่เล่าจะกลับกับข้าหรือค้างที่นี่”

     

    “แม่จะค้างที่นี่ หมินซั่วไปเยี่ยมท่านย่ายังไม่กลับเจ้าอยู่เรือนคนเดียวได้ใช่ไหมอี้ชิง”

     

    “ท่าแม่เรือนเราบ่าวไพร่อยู่กันเยอะทหารเวรยามก็มีไม่เห็นมีสิ่งใดน่าห่วงเลย ข้าขอตัวไปเปลี่ยนชุดขอรับ” กลีบปากงามยกยิ้มส่งมอบหวังมารดาจะคลายห่วง ก่อนหยิบเสื้อผ้าตนที่พับวางอยู่ข้างกันแล้วลุกขึ้นเดินเข้าห้องหับเพื่อผลัดเปลี่ยนเตรียมกับเรือน

     









     

    รถม้าของนายน้อยจางแล่นผ่านตรอกผู้คนพลุกพล่านจนมาถึงทางโล่งก่อนถึงจวนผู้ว่า เสียงม้าร้องดังก้องเหมือนมันกำลังตกใจก่อนเวียนนั่งจะหยุดสนิทไร้แรงสั่น

     

    “เกิดอะไรขึ้น?” เสียงหวานเอ่ยถามคนคุมบังเหียนม้าก่อนเปิดผ้าออกดูสิ่งภายนอกให้หายข้องใจ

     

    อี้ชิงไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยตอบตน กายงามลงจากรถม้าแล้วเดินไปยังสิ่งกีดขวางม้าของตนไม่ให้เดินทางได้ ร่างบุรุษสภาพยับเยินปานถูกใครรุมซ้อมมานับสิบนอนสลบบนพื้นดิน อี้ชิงนั่งลงข้างๆร่างไร้สติก่อนพลิกหน้าให้เห็นแจ้งเผื่อจะเป็นคนในเมืองนี้ แต่ยิ่งเพ่งพินิจมากเท่าไรก็ไม่เคยคุ้นกับใบหน้าหล่อเหล่าที่มากด้วยบาดแผล

     

    “นายน้อยขอรับ เราจะทำอย่างไรกับชายผู้นี้ดีขอรับ” คนคุมม้านั่งลงข้างๆนายน้อยตนพลางเอ่ยถามความเห็นจากผู้เป็นนาย

     

    “ข้าจะพาเขากลับไปรักษาที่บ้าน เจ้าช่วยข้าพยุงที” อี้ชิงเอ่ยตัดสินใจก่อนจะช่วยหิ้วปีกพยุงร่างกำยำนี้ขึ้นไปนอนบนรถม้าแล้วเดินทางกลับเรือน

     




























     

    สามราตรีสี่พันแสงไร้เงาลออที่หยุ่นฮ้าวเฝ้ารอคอย พระองค์นึกฉุนเฉียวสิ่งรอบกายที่ทำให้ไม่สามารถไปไหนได้ตามใจหมาย ทั้งงานราชกิจและหารือต่างรุมเร้าไร้หนทางปลีกกายพัก ครั้นตรัสถามบิดาของชายงามที่ทรงระลึกถึงได้เพียงคำตอบซ้ำคำเดิมว่าอี้ชิงนั้นยุ่งกับงานงิ้ว

     

    ยุ่งจริงหรือจงใจแกล้งให้พระองค์คะนึงหา...

     

    “ฝ่าบาททรงอารมณ์ไม่ดีจนเห็นชัด ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดที่ทำให้พระองค์หม่นหมองพระทัยหรือไม่พะย่ะค่ะ” เสียงคุ้นกรรณาไม่ละพระเนตรจากกองงานช้อนสบมองก็รู้ได้ว่าใครเอ่ยคำถาม

     

    “เจ้ามาที่นี่มีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่น้องสาม” พระปุจฉากลับไม่ตรัสตอบคำถามเหมือนคำห่วง พระเนตรคมอ่านรายงานในสมุดใหญ่

     

    “เมืองฉางซาลือกันนักว่าอากาศแวดล้อมนั้นดีนัก ข้าก็อยากมาดูให้เห็นเป็นบุญตาฝ่าบาทคงไม่พระทัยร้ายไล่ข้ากลับวังหลวง”

     

    “แน่ใจหรือว่าอยากมาพักผ่อนในเมืองป่ามิใช่เพราะใครส่งเจ้ามา”

     

    สองพี่น้องต่างมารดาสบมองกันและกันอย่างรู้แจ้งถึงความคิดของอีกฝ่าย พระโอษฐ์แย้มยิ้มดั่งนึกขันคำโกหกที่ไม่เนียนเอาเสียเลยของอนุชาผู้ไร้ซึ่งเค้าของนักกวีชอบธรรมชาติ อยู่กันมาร่วมสามสิบปีเหตุไฉนหยุ่นฮ้าวจะไม่รู้นิสัยสันดานลึกของเหล่าองค์ชายร่วมบิดา

     

    อู๋ฟานรักระเบียบอยู่ในกรอบของรั้ววังเดียดฉันท์ความแร้นแค้นแสนลำบากในป่าเขา ถึงจะไม่รู้แน่ชัดว่าผู้ใดบงการอยู่เบื้องหลังแต่คนๆนั้นสามารถสั่งให้อู๋ฟานมาถึงที่นี่ได้ถ้าไม่ใช่เพราะอำนาจก็อาจเพราะแรงสิเน่หา

     

    แต่การแกล้งโง่ก็จะช่วยให้พบต้นเหตุอันแท้จริง...

     

    “หึ ไหนๆก็มาแล้วหากข้าอยากวานเจ้าให้ไปหาใครคนหนึ่งเจ้าพอจะทำให้ได้รึไม่น้องสาม?” ตรัสหยั่งเชิงรอคำตอบรับน่าพอพระทัยจากผู้น้อง

     

    “พะย่ะค่ะ ข้าน้อมรับบัญชา”

     

    และแน่แท้ว่าอู๋ฟานมิอาจขัดบัญชาฮ่องเต้...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     




























     

    -----------------------------------------------------
     

    หลังอัพครึ่งแรกมีคำถามกันทันทีเลย

                 "ฮ่องเต้เป็นสามีของพี่สาวไม่ใช่หรอ?"
                 -ก็ใช่ แต่โบรากับอี้ชิงไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆนะนายลืมแล้วอ่อ?
            อีกอย่างพี่น้องจะแท้จะจริงก็มีสามีคนเดียวกันได้จ้า นี่ยึดตามแบบละครพีเรียดเลย

              "อี้ชิงไม่ใสหรอ?"
            -จากที่อัพครึ่งหลังน่าจะรู้แล้วเนอะ






               ขอบคุณที่อ่านฟิคเรานะที่รัก!!!




     

    (c) Chess theme
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×