ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำแหน่งฮ่องเต้ยัดเยียดให้ผู้หญิงก็ได้หรอ?

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ ๖ ล้มหมอนนอนเสื่อ

    • อัปเดตล่าสุด 28 มี.ค. 60


    หลังออกจากหอสราญรมย์ชมเดือนก็ถูกพี่ชายอุ้มพาตัวกลับมาที่จวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินโดยมีบรรดาบ่าวรับใช้พากันมายืนออรออยู่ก่อนแล้ว แม้จะมีสีหน้าอิดโรยแต่เมื่อเห็นเธอ พวกเขาก็ฉีกยิ้มกว้างเอ่ยต้อนรับอย่างยินดี คนทั้งกลุ่มมุงเข้ามาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเธอกันเสียงดังเซ็งแซ่

    หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เธอไม่คิดว่าคุณหนูหานลู่จะเป็นที่รักของบรรดาบ่าวไพร่ในบ้านถึงเพียงนี้ คนที่มีทั้งพ่อและพี่ชายที่รักและตามใจยิ่งกว่าอะไรควรจะโตมาเป็นคุณหนูขี้วีนเอาแต่ใจตัวเองจนคนรอบข้างเอือมระอาเหมือนที่เธอเคยเห็นในละครสิ ทว่านี่กลับไม่ใช่ สีหน้าและแววตาพวกเขาเป็นของจริง ไม่ได้เสแสร้งเสริมแต่งขึ้นมาแม้แต่น้อย ไม่เชื่อก็ดูเอาเถิด ขนาดถูกหานลู่ถังกราดมองตาเขียวปั๊ด พวกเขายังไม่หนีหายไปไหน เพียงแต่เก็บปากเก็บคำแล้วเดินตามสองพี่น้องมาเงียบๆ แต่ก็ยังไม่วาย แอบลอบมองคุณหนูหานลู่อย่างเป็นห่วงเป็นใยอยู่เป็นระยะ

    แม้จะนึกฉงนแกมทึ่งอยู่มาก แต่เธอก็ไม่หมกมุ่นกับมันนานนัก ชมเดือนยังไม่ลืมสถานการณ์ของตัวเอง เธอรู้ดีว่าตนไม่ใช่คุณหนูเล็กแห่งจวนแม่ทัพอันแสนเกรียงไกร ไม่ใช่หานลู่อวี้คนที่พ่อและพี่ชายรักดั่งแก้วตาดวงใจ และในเมื่อเป็นคนละคน จะท่วงท่าการเดินหรือน้ำเสียงยามเอื้อนเอ่ยจำนรรจา สำหรับคนใกล้ชิดที่เฝ้ามองร่างนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะสังเกตุเห็นความแตกต่างได้จากการมองเพียงปราดเดียว แล้วนี่ยังเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเกิดเป็นลูกใครไม่เป็น ดันมาเกิดเป็นบุตรีคนเล็กของท่านแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินเข้าเสียอีก ชายแดนเวลานี้ก็ไม่สงบ หากถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสปายสวมรอยเข้ามาสอดเนมความลับทางการทหาร..ต่อให้มีสักสิบชีวิตก็คงไม่พอ ตายน่ะเธอไม่กลัวเท่าไหร่ แต่ทัณฑ์ทรมานก่อนตายนี่สิที่น่าหวาดผวา

    ฟันขาวสะอาดของหญิงสาวขบแน่นเพื่อระงับอาการอกสั่นขวัญแขวนที่ทำให้มือเท้าชาหนึบ

    ไม่พบเด็ดขาด...หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร...สำหรับสองพ่อลูกตระกูลหานลู่คู่นี้ เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง!

    ท่านพี่ข้ารู้สึกไม่สบาย...” ชมเดือนรีบออดอ้อนเสียงอ่อนระโหยอยู่ในอ้อมกอดพี่ชาย ทั้งยังเพิ่มความสมจริงเข้าไปด้วยการแกล้งคอพับคออ่อนซุกศีรษะกับอกแน่นๆของอีกฝ่ายไปด้วย ร่างใหญ่โตราวๆสองเมตรกว่าของพี่ชายชะลอฝีเท้าลง ก้มลงมาใช้สายตากึ่งปลอบกึ่งขอร้องกล่าวกับเธอ  

    "ทนสักเดี๋ยวได้หรือไม่? ไปพบท่านพ่อก่อน"

    "แต่ท่านพี่...ข้าเจ็บหน้าอก"  ชมเดือนกระซิบบอกเสียงเบาหวิว ฟังคล้ายเจือเสียงหอบหายใจอยู่ในที เพียงแต่ว่าหนนี้เธอไม่ได้เสแสร้ง แต่เจ็บที่หน้าอกจริงๆ อาการเดียวกันกับครั้งก่อนคล้ายโรคประจำตัวกำเริบ แต่หนนี้ยาวนานและเจ็บปวดกว่าชนิดเทียบกันไม่ได้

    มือน้อยยกขึ้นกุมอก เริ่มหอบหายใจหนักและมีสีหน้าทุกข์ทรมานจนหานลู่ถังหน้าเสีย เขาเร่งฝีเท้าไปที่เรือนนอนของน้องสาวขณะที่ปากก็ร้อนรนตะโกนสั่งให้บ่าวไพร่ที่เดินตามมาไปเรียกหมอและแจ้งหานลู่เจวี่ยผู้เป็นบิดาให้รับทราบ

    ชมเดือนพยายามคงสติตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้สลบเมือดไปตอนหานลู่ถังวางร่างเธอลงนอนบนเตียงพอดี

    จัดถัดจากนั้นประมาณครึ่งเค่อ หานลู่เจวี่ยก็รีบร้อนมาถึง เขาสาวเท้าเข้าไปในห้อง ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองร่างเจ้าของห้องที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ใบหน้าพริ้มเพราขาวซีดไร้สีเลือด ยิ่งเมื่อประกอบเข้ากับรูปร่างผอมบางเจ้าตัวก็ยิ่งดูเปราะบางราวกับจะแตกสลายหายไปต่อหน้าต่อตาเขาได้ทุกเมื่อ

    แม้นตัวหานลู่เจวี่ยรู้ดีที่สุดว่าบุตรสาวไม่ได้อ่อนแอ นางมีเลือดของตระกูลหานลู่ไหลเวียนอยู่ในกายเข้มข้นยิ่งกว่าผู้ใด แต่กระนั้นภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็ยังทำให้คนเป็นพ่อ..ทำให้ท่านแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินผู้ห้าวหาญรู้จักความกลัวเป็นครั้งแรก เขาหวาดกลัวสิ่งที่ตัวเองพร้อมจะแลกเพื่อให้นางรอดและหวาดกลัวสิ่งที่พร้อมจะทำลายหากเสียนางไป

    ประมาณสองเค่อถัดมาหมอชราในชุดคลุมยาวสีเขียวอ่อนก็เร่งรุดเดินทางมาถึง ไม่ต้องรอให้ใครสั่งท่านหมอก็พุ่งไปที่ข้างเตียงคนป่วยแล้วจับชีพจรตรวจอาการเจ้าของลำแขนผอมบางทันทีคล้ายคุ้นเคยอยู่แล้ว ท่านหมอทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่สักพักก่อนสีหน้าจะดำทะมึนลง สายตาเหลือบมองสองพ่อลูกหานลู่ที่ยอมมองอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องด้วยความหนักใจ

    พอเหลือบมองบ่อยเข้าหานลู่ถังจึงนึกเอะใจ ร่างสูงใหญ่สาวเท้าก้าวฉับๆเข้าไปหาหมอชราในทันใด เอ่ยถามอย่างไม่สบายใจแกมร้อนรน

    “ท่านหมอ น้องสาวข้าเป็นอย่างไรบ้าง”

    “คือ...” หมอชราอึกอัก ท่าทางลำบากใจไม่น้อย ลำพังการแจ้งข่าวร้ายกับครอบครัวผู้ป่วยก็ยากจะเอ่ยปากยิ่งแล้ว ยิ่งมีบุรุษร่างกายสูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นสองคนมายืนส่งสายตากดดันลิ้นเขาก็ยิ่งแข็งทื่อ

    พอผู้สูงวัยนิ่งเงียบกรอกตาล่อแล่กคล้ายนกหวาดกลัวเกาทัณฑ์ หานลู่ถังก็ยิ่งคิดจินตนาการไปไกล เขาจึงคว้าไหล่ผอมบางขกๆๆองท่านหมอแล้วเขย่าเร่งเร้าเอาความจริงจนชายชราหัวสั่นหัวคลอน

    หานลู่เจวี่ยที่ยืนสังเกตุการณ์อยู่เงียบๆมานานแล้วมองลูกชายตัวโตของตนอย่างอ่อนใจ นี่ถ้าปล่อยให้มันเขย่าท่านหมอชรารูปร่างผอมบางเช่นนั้นไปเรื่อยๆเกรงกว่าคงคอหักก่อนจะได้รู้เรื่อง

    “พอได้แล้ว คิดว่าหมอเก่งๆหาง่ายนักหรือไง” ท่านแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินเอ่ยปรามเสียงเรียบ เจ้าลูกชายจึงหยุดชะงักแล้วค่อยๆวางร่างท่านหมอชราลงอย่างเบามือ ทั้งไม่ลืมช่วยจัดคอเสื้อที่ยับย่นของอีกฝ่ายให้เข้าที่

    หมอชราไอโขลกอย่างน่าสงสาร แต่ก็ไม่กล้าอึกอักอีกรีรออีก เขารีบเอ่ยชี้แจ้งด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

    “พวกท่านรู้ว่าตั้งแต่ถูกช่วยกลับมาจากพวกกบฏ ร่างกายคุณหนูเล็กก็อ่อนแอลงมาก แต่ที่ยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเช่นทุกวันนี้ก็เพราะได้พลังลมปราณช่วยพยุงเอาไว้” ดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาของท่านหมอจ้องสองพ่อลูกนิ่งงัน “นางอยู่มาได้นานขนาดนี้คือปาฏิหารย์...เรื่องนี้พวกท่านเองย่อมรู้แก่ใจดี”

    “แล้วอย่างไร” หานลู่เจวี่ยถามเสียงขรึม หมอชราก้มหลบสายตาคมกล้าจากยอดคนทั้งสอง มือสองข้างที่กุมกันไว้เริ่มบิดไปมาอย่างอึดอัด ก่อนกระซิบชี้แจงเสียงแหบแห้ง

    “...พลังลมปราณของคุณหนู...หายไป”

    “อะไรนะ!!!” หานลู่ถังอุทานเสียงดังลั่น ถลาเข้ามาจะจับท่านหมอเขย่าอีกครั้ง แต่ได้หานลู่เจวี่ยยกมือห้ามไว้เสียก่อน ชายหนุ่มตัวโตจึงต้องล่าถอยออกไปอย่างเสียมิได้

    “เป็นไปได้อย่างไร” ท่านแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินกอดอกขมวดคิ้วถาม

    หมอชราได้แต่ช้อนสายตามองชายผู้มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าตนหลายเท่าด้วยแววตาหวาดหวั่น

    ตุบบ!!

    เข่าสองข้างของท่านหมอกระแทกคุกเข่าลงกับพื้น ร่างผอมบางหมอบกราบคนตรงหน้าด้วยสำนึกในความผิดพลาดของตนอย่างสุดซึ้ง ชายชราไม่หวาดกลัวความตายเท่าใดนัก แต่ทัณฑ์ทรมานอันเป็นที่เลื่องลือของท่านแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินนี่สิ ว่ากันว่าเชลยเพียงได้ยินชื่อเขา เก้าในสิบล้วนเปิดปากบอกเล่าความจริงโดยผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่ต้องออกแรงเลยแม้แต่น้อย

    “คราที่คุณหนูเล็กถูกช่วยกลับมาจากกบฏ ข้าน้อยหลงคิดว่าพิษที่ติดตัวคุณหนูกลับมาถูกถอนออกหมดแล้ว ไม่มีหลงเหลืออยู่ในร่างนางอีก ความไม่รอบคอบในอดีตทำให้วันนี้วรยุทธ์และพลังลมปราณของคุณหนูหานลู่ถูกพิษที่แฝงอยู่ในกายทำลายสิ้น ขอท่านแม่ทัพโปรดลงโทษด้วย”

    “พิษที่แฝงอยู่ในกายเช่นนั้นหรือ? อธิบายมาให้ละเอียดซิ” หานลู่เจวี่ยสั่ง

    “ข้าคาดว่ายาที่ได้มาจากพวกกบฏไม่ใช่ยาถอนพิษ พวกมันเพียงแต่ทำให้พิษในร่างกายคุณหนูหลับใหลเป็นการชั่วคราว และจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอาละวาดอีกเมื่อถูกกระตุ้น”

    “ท่านจะบอกว่ามีผู้ไม่หวังดีใช้ตัวยาบางอย่างกระตุ้นพิษในกายนางอย่างนั้นหรือ?” ท่านแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินถามเสียงเย็น แววราวโรจน์กระพริบวาบผ่านดวงตาซึ่งสุขุมเยือกเย็นอยู่เป็นนิจ

    ชายชราพยักหน้า “โชคดีที่ร่างกายของคุณหนูเริ่มปรับตัวให้คุ้นชินกับพิษชนิดนี้บ้างแล้ว ความร้ายกาจของมันจึงถูกภูมิในตัวนางกดเอาไว้ส่วนนึงและไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตอีก ทว่า...” หมอชราเหลือบสายตามองร่างบอบบางที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงด้วยสายตาเวทนาแกมเสียใจ “ร่างกายของนางจะอ่อนแอมาก...จนอาจไม่สามารถลุกจากเตียง...ไปชั่วชีวิต”

    สองพ่อลูกหานลู่เมื่อรับฟังก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง รู้สึกราวฟ้าผ่าลงมากลางใจ

    “ต้องมีวิธี..ท่านต้องมีวิธีรักษานางสิท่านหมอ”

    เป็นหานลู่ถังอีกเช่นเคยที่ขาดสติพุ่งเข้าไปกล่าวกับหมอชราด้วยสีหน้าแววตาอ้อนวอนก่อน

    หานลู่อวี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงก็จริงอยู่ แต่นางก็ยังสามารถผึกฝนวรยุทธ์ ออกท่องโลกกว้าง กินเหล้าเคล้านารีและเล่นสนุกกับบรรดาอนุทั้งฝูงของนางตลอดคืนได้อย่างไม่เคยติดขัดแม้แต่น้อย จู่ๆจะมาบอกว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นจะไม่มีอีกแล้วและต้องใช้ทั้งชีวิตที่เหลือนอนป่วยอยู่บนเตียงน่ะหรอ? จะให้เขาบอกน้องสาวตัวเองได้อย่างไร!!!

     

    _______________________________________________

    หายหัวไปเลยไรท์ขอโทษจริงๆ ใกล้สอบแล้ว การบ้านเยอะมากกก สต็อกที่เขียนตุนไว้ก็หมดอีก ฮรืออออออ

    รักคนอ่านนะคะ ขอบคุณที่ติดตาม

    ป.ล. เดี๋ยวไรท์จะกลับไปรีไรท์ตอนที่ 5 เนอะ รู้สึกภาษาห่วยมาก ถ้ามันแจ้งเตือนไม่ต้องเข้ามาดูก็ได้ 

    ป.ล2 ไรท์อ่านทุกคอมเมนต์น้า รอว่างกว่านี้หน่อยแล้วจะมาตอบน้าาาาา

    จรลีล่ะจ้า อาทิตย์หน้าสอบมิดเทอมแว้วววว T^T

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×