คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ ๕ นางโลมจำเป็น
ชมเดือนแต่งตัวเสร็จก็ถูกสั่งให้นั่งรออยู่แต่ในห้องไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหน
และเพราะไม่ได้ขัดขืนเสื้อผ้าและรองเท้าของเธอจึงยังอยู่ดีและถูกพับวางอย่างเรียบร้อยไว้ในลิ้นชักภายในห้อง
เช่นเดียวกับตั๋วแลกเงินที่เธอซุกแอบไว้ในพื้นรองเท้า ไม่นานประตูก็ถูกผลักเปิด
เด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสามปีเดินเข้ามาแจ้งหญิงสาวว่าเธอถูกเรียกตัวไปรับแขก
ชมเดือนถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
แต่ไม่นานก็ตั้งสติได้
เธอยิ้มรับแกนๆแล้วลุกขึ้นเดินตามอีกฝ่ายไปโดยไม่มีท่าทีกระวนกระวายให้เห็น
แม้ในใจยามนี้จะสบถสาบานสาปส่งไอ้ผ้าคลุมปริศนาที่ตนพบในโลกหลังความตายเสียงขรม!
สร้างบุญทำกุศลมารดาเจ้าสิ!!! ทำดีแล้วตอบแทนกันแบบนี้เรอะ!!!!
สาวใช้ตัวน้อยพาเธอเดินลัดเลาะผ่านระเบียงไปยังห้องส่วนตัวห้องนึง
ระหว่างทางก็พูดคุยกระซิบเสียงเบาว่าอยู่ที่นี่ชมเดือนจะใช้ชื่อเจียวมี่
แล้วจึงหมุนตัวเดินหายไปอีกทาง
ชมเดือนยืนนิ่งไว้อาลัยให้ตัวเองอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง
ถึงโลกที่เธอจากมา การมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งไม่นับเป็นเรื่องใหญ่โต
แต่เธอก็พอจะคาดเดาได้ว่าสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วคงเป็นเรื่องคอขาดบาดตายไม่ใช่น้อยที่นี่
แต่จะให้มานั่งตีโพยตีพายเอาป่านนี้ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
มีแต่ต้องปรับเปลี่ยนแผนการใหม่เท่านั้น
อย่างน้อย...ถ้าต้องรับแขกจริงๆก็ขอให้เป็นคนเดียวไปจนกว่าเธอจะคิดหาทางออกจากที่นี่ได้
ดังนั้นชมเดือนจึงหมายมาดว่าจะทำตัวให้ดี อย่างไรมีคนชอบก็ย่อมดีกว่ามีคนชัง
คิดได้ดังนั้น
มือบางก็จับบานประตูเลื่อนเปิดออก
ร่างระหงส์ก้าวเข้าไปในห้องก่อนจะหันกลับมาเลื่อนประตูปิดอย่างเบามือ ท่วงท่าสง่างามนุ่มนวล
ที่ทำเป็นอย่างแรกคือการกวาดตาสำรวจห้อง
นอกจากหน้าต่างทรงแปดเหลี่ยมบานใหญ่ โต๊ะเตี้ยที่อัดแน่นไปด้วยสุราอาหาร
เบาะรองนั่งและของประดับล้ำค่าไม่กี่ชิ้น ดูๆไปก็คล้ายห้องรับรองธรรมดา
ไม่ใช่คล้ายจะเป็นห้องหอที่เธอจะถูกบังคับให้ขายเนื้อหนังมังสาแต่อย่างใด
ในใจจึงโล่งไปเปราะหนึ่ง
“เจียวมี่คารวะคุณชาย” ชมเดือนย่อตัวลง
มือสองข้างแตะกันน้อยๆเหมือนที่เคยเห็นดารานักแสดงทำในชาติก่อน
สีหน้าราบเรียบไม่บอกอารมณ์แต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้างขัดตา
“แม่นาง...เชิญนั่ง”ชายหนุ่มที่นั่งร่ำสุราอยู่ริมหน้าต่างมีอายุประมาณยี่สิบปลายๆ
รูปร่างผอมบาง คิ้วกระบี่ นัยตาหงส์คมกริบ
แลดูฉลาดล้ำลึกหากแต่ก็เจ้าเล่ห์อยู่ในที...โหนกแก้มชัด ผิวพรรณขาวกระจ่าง
รวมๆแล้วถือว่าเป็นบุรุษที่หล่อเหลาเป็นอย่างมาก เขาผายมือไปอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ
“ขอบพระคุณ คุณชาย” ร่างบอบบางค่อยๆลากอาภรณ์รุ่มร่ามที่สวมอยู่ไปทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม
ช้อนสายตาขึ้นสบดวงตาเจ้าเล่ห์ล้ำลึกสีดำสนิทดังผืนรัตติกาลครู่หนึ่งแล้วเบนหลบอย่างช้าๆไปที่กาสุราบนโต๊ะ
มือขาวนวลเนียนราวสลักขึ้นมาจากหยกบรรจงหยิบมันขึ้นมารินใส่จอก
ก่อนจะยกมันให้อีกฝ่าย
ชายหนุ่มผู้นั้นเอื้อมมือมารับจอกสุราไปถือเงียบๆ
....ครู่หนึ่งจึงยกขึ้นจิบ
“สีตาของเจ้าแปลกดีนะ”
พอได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้นมาเช่นนั้น
คนที่กำลังครุ่นคิดหาทางส่งข่าวไปให้พ่อกับพี่ชายที่ไม่เคยพบหน้าอยู่ในภวังค์ของตัวเองจึงมีอันต้องดึงสติกลับมาสนใจอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้
เธอช้อนสายตาขึ้นมองสบเขา
“เจ้าค่ะ” ร่างเล็กรับคำเสียงละมุ่น
แล้วก้มหน้าหลบสายตาอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ?” เขาแสร้งหยอกถามเสียงสูง
ดวงตาสีฟ้าอมเทาจึงช้อนขึ้นสบชายหนุ่มอีกครั้งตอบอ้อมแอ้มเสียงเบา
“ข้าชวนคุยไม่เก่ง”
ริมฝีปากหนากระตุกน้อยๆคล้ายเด็กได้ของเล่นถูกใจ
ความขัดแย้งระหว่างดวงตาคมดุและท่าทางอายม้วนของโฉมสะคราญตรงหน้ากระทำออกมาได้น่าเอ็นดูนัก
เจิ้งหาวระบายยิ้มเจ้าเล่ห์
ร่างสูงโน้มลงมาจนชิดแล้วเอ่ยกระซิบ“เอาน่าพยายามหน่อย มันจะแย่แค่ไหนกันเชียว”
เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ชมเดือนนิ่งอึ้งไป...เธอจ้องมองรอยยิ้มเหมือนอ่านออกเหมือนรู้ทันของอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ
เรื่องวุ่นวายที่พบเจอตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาทำเอาเธอผวาไม่กล้าไว้ใจใครง่ายๆ
ยิ่งคนท่าทางเจ้าเล่ห์น้ำนิ่งไหลลึกเช่นนี้เธอยิ่งระแวง
แม้ตอนนี้ทางที่ง่ายที่สุดคือหาใครสักคนไปแจ้งจวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินเรื่องสถานการณ์ของเธอ
แต่ให้ตายอย่างไรก็เอ่ยขอความช่วยเหลือจากคนจรงหน้าไม่ออก
พลันหญิงสาวหวนนึกถึงนายทหารตัวโตคนนั้น
ถ้าเขารอดชีวิต ตอนนี้พ่อกับพี่ชายก็น่าจะรู้เรื่องแล้ว แต่หากไม่...
ทันใดนั้นริ้วความรู้สึกผิดบาปแล่นขึ้นมาจุกอยู่ภายในอก
เพราะความซื่อจนโง่ของเธอแท้ๆเขาถึงต้องเดือดร้อน เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็สุดรู้
เธอยังจะโง่งี่เง่าไปยิ่งกว่านี้ได้อีกไหม
“คุณชาย ข้าควรเรียกท่านว่าอะไร” ชมเดือนถามเสียงอ่อน
ตัดสินใจรอดูท่าทีอีกฝ่ายไปก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้ง
“แซ่เจิ้ง ชื่อคำเดียวว่าหาว” เขาตอบ
ชมเดือนพยักหน้ารับเรียบๆ
ไม่โปรยยิ้มเรี่ยราดแต่ก็ไม่ได้เย็นชา บรรยากาศเจือความอ่อนละมุนขุมหนึ่งที่ทำให้ไม่ดูห่างเหินเกินไปจนเป็นการเสียมารยาทกับคู่สนทนา
“คุณชายเจิ้ง ท่านมาที่นี่เป็นครั้งแรกหรือเจ้าคะ”
“ถูกต้องแล้ว”
“ท่านจองห้องส่วนตัวที่แพงที่สุดในหอ ทั้งยังสวมใส่อาภรณ์ชั้นเลิศ
เกรงว่าจะร่ำรวยมากกระมัง ไม่ทราบว่าคุณชายเจิ้งทำกิจการอะไรหรือเจ้าคะ” ชมเดือนเดาส่งจากข้าวของและการตกแต่งภายในห้อง
เจิ้งหาวเลิกคิ้วน้อยๆ
เอ่ยเสียงเย็น “หอสราญรมย์อบรมเจ้าให้รู้จักสอดรู้เรื่องส่วนตัวของแขกเช่นนี้รึ?”
มุมปากเขากระตุกเป็นรอยยิ้มข่มขวัญ
"เจ้าว่าข้าควรรายงานเรื่องนี้ให้เจ้าหอทราบดีหรือไม่?"
ประโยคที่เพิ่งได้ยินผ่านหูทำเอาชมเดือนนั่งตัวเกร็ง
ความเย็นเฉียบไล่ขึ้นมาจากปลายนิ้ว
ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆแต่ก็มีนัยข่มขู่ชัดเจน
เขารู้ว่าเธอหวาดกลัวที่สุดคือการถูกโยนออกไปกลางวงผู้ชายทั้งฝูง
ถ้าทำให้ลูกค้ากระเป๋าหนักอย่างเขาไม่พอใจ
เจ้าหอที่ซื้อเธอมาก็จะพลอยไม่พอใจไปด้วย หากเป็นเช่นนั้นแล้ว
ชีวิตในหอสราญรมย์ของชมเดือนยังจะสงบสุขอยู่ได้หรือ?
เธอมีดีแล้วอย่างไร กำไรไม่มียังพออภัยให้ได้
แต่ทำนางขาดทุนแบบนี้คงยากจะปล่อยเธอไว้
น่าแค้นเหลือเกินที่บุรุษผู้นี้จับจุดเธอได้ชะงัดนัก
ชมเดือนเผยอริมฝีปากน้อยๆ
แทบไม่คล้ายกิริยาของคนที่หัวใจเพิ่งหล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่มแม้แต่น้อย ศีรษะเล็กก้มลงพองามจนเส้นผมที่คลอเคลียหัวไหล่บางทิ้งตัวลงเคลียผิวแก้มขาวซีด
เอ่ยเสียงเย็นใส “ข้าเสียมารยาทกับคุณชายแล้ว”
กล่าวจบก็แอบปาดเหงื่อร้องฮู่วในใจ
เส้นขนในกายลุกชันไปหมด ตอนนี้ตีให้ตายเธอก็ไม่ยอมติดหนี้บุญคุณอะไรเขาเด็ดขาด
คนแบบนี้เกรงว่าจะเรียกเก็บหนี้แบบทบต้นทบดอกกับเธอจนเกินคุ้มแหงๆ!
ชมเดือนระบายลมหายใจออกมาอย่างอ่อนระโหย
ตัดสินใจจะอยู่ต่ออีกสักวัน
เรื่องที่เกิดขึ้นทำเอาชมเดือนขยาดไม่นึกอยากประจบแขกร้ายกาจผู้นี้อีก
เมื่อเธอไม่ชวนคุยเขาก็นิ่งเงียบ
ต่างคนต่างก็ทอดมองท้องฟ้ายามราตรีซึ่งพร่างพราวไปด้วยประกายแสงระยิบระยับของดวงดารา
สายลมที่พัดเอื่อยหอบเอากลิ่นอายอันสะอาดบริสุทธิ์ของสายน้ำและผืนป่ามากระทบนาสิกประสาท
ร่างเล็กบางในอาภรณ์งดงามกำลังรินสุราใส่จอกของบุรุษหนุ่มผู้คาดเดาความคิดได้ยาก
บรรยากาศเหมาะเจาะแก่การนั่งจิบสุราชมจันทร์ยิ่ง...
“!” ดวงตากลมโตกระพริบปริบๆเมื่อจู่ๆก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนในอกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
แต่เพียงชั่วขณะเดียวก็สลายหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่
คืนต่อมา
"...."
ทั้งที่คิดไว้แล้วว่าจะขอให้แขกคนต่อไปของตนช่วยเหลือ
แต่ทำไมคนที่นั่งเอกขเนกจิบสุราพิงกรอบหน้าต่างอยู่ตรงหน้ากลับเป็นเจิ้งหาวอีกแล้วล่ะ!
ชมเดือนพยายามกดข่มอารมณ์เดือดาล มือขาวผ่องเลื่อนบานประตูปิดสนิทแล้วก้าวเข้าไปนั่งตำแหน่งเดิม
หญิงสาวกัดฟันตีสีหน้าเรียบเฉยจนแก้มกระตุกขณะที่มือรินสุราเติมให้อีกฝ่ายไปด้วย
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ๆ
นัยตาหงส์ก็หันมาจดจ้องเธอด้วยประกายรู้ทัน
ฉีกยิ้มยะเยือกที่ทำเอาขนสันหลังหญิงสาวลุกชัน
“หลงคิดมาเสียนานว่าคุณหนูเล็กแห่งจวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินผู้มีอนุนับสิบจะรูปงามเป็นหญิงเหนือชาย...”
คำพูดที่กล่าวออกมาลอยๆคล้ายไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรของอีกฝ่ายทำเอาผู้ถูกพาดพิงถึงกับผงะนั่งไม่ติดพื้น!
จะข่มขู่อะไรเธออีกล่ะไอ้คนร้ายกาจนี่!
นัยน์ตาคมกริบของคนที่ถูกสัพยอกว่าร้ายกาจในใจแสร้งทำมองสำรวจเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยแหย่เสียงกรุ่มกริ่ม
“..ไม่คิดว่าที่แท้แล้วกลับเป็นโฉมสะคราญผู้หนึ่งเลยทีเดียว”
สีหน้าที่เพียรระงับอยู่เป็นนานของหญิงสาวซีดลงเรื่อยๆ
“ท...ทำไม...” เธอเผยอปากพยายามจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก
ได้แต่เบิกตามองอีกฝ่ายอย่างโง่งม นั่งเป็นบื้อใบ้ให้ตัวเองขายหน้าอยู่เป็นนาน
กระทั่งประตูถูกพังเละ เกิดเสียงโครมดังสนั่นพื้นสะเทือนก็ยังไม่หายช็อค
“อวี๋เอ๋อ!!!” เสียงๆหนึ่งตะโกนขึ้นก่อนเงาร่างสูงใหญ่กำยำของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังเศษซากที่เคยเป็นประตูมาก่อน
เขามีใบหน้าคมกร้าน ดวงตารูปเม็ดอัลมอนด์คมกริบดุดัน เหลี่ยมกรามแข็งแกร่ง
อาภรณ์สีดำสนิทโบกสะบัดยามเจ้าตัวสาวเท้ายาวๆเข้ามาประชิดชมเดือนที่ร่างเล็กบางกว่าหลายเท่า
ร่างใหญ่โตคุกเข่าลงตรงหน้า
มือหยาบเป็นตุมไตของอีกฝ่ายประคองจับฝ่ามือบอบบาง
ดวงตาสีดำสนิทมองสบมาเต็มไปด้วยความห่วงใยกระทั่งน้ำเสียงที่หลุดออกมาจากลำคอก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนละมุนละม่อม
“อวี้เอ๋อ พี่ชายมารับ”
ฝ่ายชมเดือนพอได้สติก็ช้อนสายตาขึ้นมองชายตัวโตที่เรียกตนเองว่าพี่ชายเบื้องหน้า
ตระกูลหานลู่ดูท่าจะมีกรรรมพันธุ์ตาดุกันทั้งบ้าน
“ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”เขาเอ่ยถามร้อนรน
“ข้าไม่เป็นไร” ชมเดือนยิ้มบางๆตอบ
แต่กระนั้นดวงตาคมดุของคนตัวโตก็ยังมองมาอย่างห่วงกังวล
ร่องรอยความไม่สบายใจฉายชัดบนใบหน้าคมกร้านจนชมเดือนนึกตื้นตันอยู่ในใจ
“กลับไปให้ท่านหมอตรวจอาการก่อน พี่ถึงจะวางใจ” หานลู่ถังเอ่ยรวบรัด
เขาปล่อยมือเล็กแล้วขยับเข้ามาอุ้มหญิงสาวขึ้นกิริยาทะนุทนอมยิ่ง
“นี่ๆๆ พวกเจ้าลืมข้าที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ไปแล้วรึ” น้ำเสียงยียวนเอ่ยที่ขัดขึ้นมากลางปล้อง
ทำให้หานลู่ถังที่หมุนตัวเดินไปถึงประตูแล้วชะงักเท้าเขาหันกลับมามอง
เขาค้อมศีรษะอย่างขอไปที เอ่ยทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเฉยชาหมางเมินเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านอาจารย์เหิง..” พูดจบก็จ้ำเท้าหายลับไปจากครรลองสายตาแทบจะในทันที
ปล่อยให้ชมเดือนชะเงอคอมองชายผู้ร้ายกาจผู้นั้นด้วยกิริยาปากอ้าตาถล่น
อาจารย์!? ให้คนบุคลิกแบบนั้นเป็นเป็นอาจารย์
อนาคตของชาติจะไม่น่าเป็นห่วงเรอะ?!
________________________________
คนเม้นเยอะเลยรีบปั่นส่งให้ก่อนตอนหนึ่ง ขอบคุณที่ติดตามนะค้าาา
ความคิดเห็น