ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำแหน่งฮ่องเต้ยัดเยียดให้ผู้หญิงก็ได้หรอ?

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๒ อิ่น หลิน เป้ย

    • อัปเดตล่าสุด 5 มี.ค. 60


    จวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน

    ชมเดือนหมุนตัวกลับแล้วเดินทอดน่องจากมา ในขณะที่หัวก็ขบคิด

    ถ้าให้เดา เธอคงเป็นลูกสาวคนเล็กของท่านแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน เกรงว่าคงเปี่ยมยศศักดิ์มากบารมีไม่น้อย ชีวิตนับจากนี้ก็คงจะสุขสบายนั่งกินนอนกินไม่ต้องทำมาหากินอะไรให้เหนื่อยยาก ถึงวัยออกเรือนก็แต่งให้ลูกหลานผู้ดีมีสกุลนิสัยใช้ได้สักคนให้เขารับช่วงดูแล ยุคสมัยแบบนี้เรื่องผัวเดียวเมียเดียวคงไม่ต้องหวัง ถ้าทำได้ก็อยากอยู่บนคานให้พ่อแม่เลี้ยงดูไปจนแก่ผมขาว แต่ถ้าไม่มีทางเลือกจริงๆหญิงสาวก็ไม่ขัดข้อง ขอแค่สามีให้เกียรติเธอ  จะมีอนุเมียรองสักสิบยี่สิบคนเธอก็ไม่สน แค่ต่างคนต่างอยู่ไม่มาระรานสร้างความรำคาญก็พอ

    เดินเล่นชมเมืองได้ไม่นานชมเดือนก็เจอตลาดคนเดินท่าทางคึกคักแห่งหนึ่ง เธอจึงสาวเท้าเดินเข้าไปสำรวจด้วยดวงตาเป็นประกายฉายแววซุกซน  เดินไปได้สักพักก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่งนั่งหงอยอยู่เบื้องหลังโต๊ะที่วางกระดาษและพู่กันเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้าเป็นชมเดือนในชาติภพก่อนก็คงทำเพียงยักไหล่เดินเลยผ่านไปอย่างไม่คิดสนใจให้มากความ แต่คำพูดของชายในชุดคลุมสีดำก่อนมาที่นี่ทำให้เท้าของเธอหยุดชะงัก ถอนหายใจเบาๆแล้วเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าอมทุกข์ ชมเดือนคิดเอาเองว่าตนคงพูดอ่านเขียนภาษาของโลกนี้ได้และเอ่ยทักออกไป

    “เจ้าขายอะไรรึ?” พอเห็นเธอเดินเข้าไปหา เด็กคนนั้นก็ฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาฉายแววซาบซึ้งยินดีเสียจนชมเดือนรู้สึกคันยุบยิบ

    “เขียนจดหมาย วาดภาพ แต่งกาพย์แต่งกลอน ข้าน้อยทำได้หมดสุดแล้วแต่คุณหนูจะสั่งขอรับ” ได้ยินเช่นนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดวาบในหัว ชมเดือนยิ้มแล้วทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่เด็กหนุ่มกระวีกระวาดยกมาให้

    “งั้นวาดภาพเหมือนให้ข้าสักใบได้หรือไม่?”

    “ได้ขอรับได้” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มยิงฟัน ขณะโค้งประหลกๆให้ ชมเดือนได้แต่ยกมือโบกห้ามแล้วยื่นเงินหนึ่งตำลึงเงินส่งให้อีกฝ่าย

    “พอหรือไม่?” เด็กหนุ่มส่ายหัวดิก ดันมือที่ยื่นไปของชมเดือนกลับอย่างสุภาพ

    “มากไปขอรับ มากไป ข้าน้อยรับไม่ไหว” ได้ยินดังนั้นหญิงสาวก็ยิ้มอย่างชื่นชม ยัดเงินใส่มือของอีกฝ่ายแล้วยิ้มบางๆ

    “เช่นนั้นก็ช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับประเทศนี้ให้คนต่างถิ่นเช่นข้าฟังเสียหน่อยเป็นอย่างไร ถ้าคิดว่ายังไม่พอก็ช่วยแนะนำโรงเตี๊ยมที่เสิร์ฟอาหารเลิศรสให้ข้าด้วยสักที่” นิ่งคิดไปครู่หนึ่งเจ้าตัวก็กลับมาส่ายหน้าปฏิเสธเธออีกครั้ง

    “อย่างไรก็ไม่ได้ขอรับ เงินจำนวนนี้ครอบครัวข้ากินใช้ได้เป็นเดือน จะอย่างไรก็มากเกินไปอยู่ดี”

    “ข้าพอใจจะให้เสียอย่างเจ้าก็อย่าได้มีปัญหาอีกเลย ข้าไม่เดือดร้อนแล้วเจ้าจะมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนข้าทำไม” ชมเดือนเอ่ยตัดรำคาญ เด็กหนุ่มคนนั้นมีสีหน้าลังเล แต่ดูท่าว่าที่บ้านคงขัดสนจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆถึงได้ยอมพยักหน้าตกลง คุกเท้าโขกศีรษะขอบคุณเธอแล้วจึงกลับไปนั่งประจำที่ ส่งยิ้มสว่างไสว

    “เช่นนั้นวันนี้ข้าน้อยจะวาดรูปคุณหนูอย่างสุดฝีมือเลย” ชมเดือนอดหัวเราะเบาๆกับท่าทีขึงขังน่าเอ็นดูของอีกฝ่ายไม่ได้

    “เอาเถิด วาดให้เหมือนก็แล้วกัน” เด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน กระชับพู่กันในมือแน่นแล้วเริ่มสะบัดพู่กันลงบนกระดาษด้วยท่าทางคล่องแคล่วพริ้วไหวจนชมเดือนที่ลอบมองอยู่รู้สึกเพลิดเพลินไปด้วย เส้นสายที่ค่อยๆเชื่อมโยงกันจนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาล้วนให้ความรู้สึกเปี่ยมพลังมีชีวิตชีวา แค่มองก็สัมผัสถึงความหลงใหลของเด็กหนุ่มที่มีต่อการวาดภาพได้อย่างชัดเจน ชมเดือนกระตุกยิ้มละมุน ทอดถอนใจออกมาเบาๆ

    นี่สิน้าวัยรุ่น...เต็มเปี่ยมไปด้วยปณิธาน ความฝัน และพลังที่จะก้าวไปข้างหน้า...เห็นแบบนี้แล้วก็ทำเอาเธอรู้สึกแก่ลงไปเลยน้า

    “อืมมม แผ่นดินใหญ่แบ่งออกเป็นสามแคว้นใหญ่ๆคือ อิ่น หลิน เป้ย แคว้นอิ่นของเรามีอาณาเขตเล็กที่สุดในบรรดาสามแคว้น แต่ก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสรรพยากรทางธรรมชาติ และเพราะทางใต้มีอาณาเขตติดกับทะเล เมืองท่าของเราจึงเป็นศูนย์รวมการค้าที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน แม้แต่ประเทศหรือเกาะที่อยู่ห่างไกลออกไปโพ้นทะเลยังต้องแวะเวียนมาทำการค้าที่นี่เขียวนะขอรับ” ใบหน้าสะอาดสะอ้านของอีกฝ่ายฉายแววภาคภูมิใจ มันน่ารักน่าชังเสียจนชมเดือนอดใจไม่ไหวต้องโน้มตัวออกไปขยี้หัวอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว

    “คุณหนู!...” เด็กหนุ่มเงยหน้าจากกระดาษขึ้นมาทำแก้มป่องจนหญิงสาวหัวเราะร่า เธอหดมือกลับมา อมยิ้มถามอย่างอารมณ์ดี

    “เจ้าชื่ออะไร” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นจัดผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงของตัวเองก่อนตอบ

    “ข้าน้อยซือเป่าขอรับ”

    “อืมมมมม อาเป่า เล่าต่อสิ...” ซือเป่าย่นจมูกใส่เธอก่อนจะก้มหน้าลงไปวาดภาพเหมือนของชมเดือนต่อ ปากก็ขยับเล่าเรื่องอย่างลื่นไหล

    “ที่ๆเราอยู่คือแคว้นอิ่น เมืองที่เราอยู่ชื่อหยางเหมย อยู่เหนือขึ้นมาจากเมืองท่าอันโด่งดังไม่มาก อืมมม...อะไรอีกนะ ตอนนี้เป็นรัชสมัยของฮ่องเต้เจิ้งเจี๋ย แผ่นดินยามนี้นับว่าสงบสุขร่มเย็น ด่านทางทิศตะวันออกติดกับทะเลทรายเป็นแคว้นเป้ย มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสามแคว้นแต่มีอาณาเขตกว่าครึ่งเป็นทะเลทรายไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์เท่าไหร่ โจรชุกชุม แต่กระนั้นก็ไม่อาจดูแคลนทหารของเป้ย ลือกันว่าพวกเขาโหดเหี้ยม มีระเบียบวินัยเป็นเลิศ ไม่เกรงกลัวความตาย อึดเกินมนุษย์อีกทั้งไปมาไร้ร่องรอย แม้จะไม่ได้อุดมสมบูรณ์เหมือนอิ่นแต่ก็เป็นแหล่งแร่ทองคำและโลหะที่ใหญ่ที่สุดในสามแคว้น แคว้นหลินมีอาณาเขตใหญ่เป็นอันดับสอง มีลักษะเป็นที่ราบลุ่มอยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันตก ในอิ่นนี้ที่เกิดการปะทะกันบ่อยๆก็มักจะเป็นแถบชายแดนสามทิศ หนึ่งคือตะวันออกที่ติดกับเป้ย เพราะมีภูมิประเทศเป็นทะเลทรายชาวบ้านที่อยู่แถบชายแดนจึงมักจะถูกบุกปล้นชิงอยู่เนื่องๆ สองคือด่านทางเหนือที่ติดกับภูเขา ลือกันว่าอากาศที่นั่นเย็นเสียดกระดูก นอกด่านมีพวกชนเผ่าพื้นเมืองอาศัยอยู่ แต่ก็เป็นดินแดนแร้นแค้นแห้งแล้งจนไม่อาจอยู่ได้ ชาตินิยมรุนแรงไม่ยอมสยบอยู่ใต้ฝ่าเท้าใคร รบชิงดินแดนกับเรามาเกือบสิบปีแล้ว ที่สุดท้ายคือด่านทางใต้ที่ติดกับทะเล โจรสลัดชุกชุมนัก ดักซุ่มปล้นชิงเรือสินค้าของเราเป็นประจำ แต่ในช่วงห้าหกปีหลังจากท่านแม่ทัพทักษิณรับตำแหน่งควบคุมดูแลด่านทางใต้พวกโจรก็ไม่กล้ากำเริบเสิบสานดักปล้นชิงเรือสินค้าของอิ่นอีก น่าจะประมาณนี้ล่ะขอรับ”

    หลังจากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันถูกคอ ซือเป่าเล่าให้ฟังว่าเขามาจากครอบครัวชาวบ้านธรรมดาๆที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่พ่อแม่ก็พยายามทำงานส่งเสียเขาที่สอบติดสำนักศึกษาหลวงอย่างสุดความสามารถ ซือเป่าเองก็ออกมารับจ้างเขียนภาพแต่งกลอน หารายได้เล็กๆน้อยๆช่วยเหลือทางบ้านอีกแรง นอกจากตัวเองแล้วเด็กหนุ่มมีน้องสาวที่กำลังป่วยและพี่ชายบ้ากล้ามที่ตอนนี้ทำงานอยู่สำนักคุ้มภัยชื่อดังอีกคน คุยกันเพลินๆภาพเหมือนของชมเดือนก็วาดเสร็จพอดี

    หญิงสาวรับกระดาษแผ่นบางมาพินิจดูครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มสดใส

    “เหมือนมาก ฝีมือไม่เลวเลยอาเป่า ขอบคุณนะ” ซือเป่าพอได้รับคำชมก็ก้มหน้าซ่อนสองแก้มที่แดงระเรือ เอ่ยตอบเสียงเบา

    “เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว...”

    ชมเดือนยิ้มรับอย่างร่าเริง พับกระดาษแผ่นนั้นเก็บเข้าอกเสื้อก่อนจะลุกขึ้นยืดบิดตัวคลายเมื่อย

    “คือว่า....” ซือเป่ารีบเงยหน้าเอ่ยเรียกหญิงสาวที่กำลังจะผละออกไปไว้

    ชมเดือนชะงักแล้วหันกลับมาเลิกคิ้วน้อยๆ แล้วอมยิ้มเป็นเชิงถามได้อย่างน่าเอ็นดูจนอีกฝ่ายถึงกับชะงักไปพริบตาหนึ่ง แล้วจึงละล่ำละลักหาเสียงตัวเองจนเจอ “ข..ข้าน้อยขอทราบชื่อของคุณหนูได้หรือไม่ขอรับ?”

    เห็นใบหน้าจริงจังที่แดงน้อยๆของอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ

    เธอยังไม่รู้ชื่อตัวเองเลย...แล้วจะให้ตอบได้อย่างไร

    รำพึงรำพันกับตัวเองเสร็จริมฝีปากอิ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มทะเล้น “เอาเป็นว่าถ้าครั้งหน้ามีวาสนาได้พบกันอีก ข้าจะบอกแล้วกัน” เธอบอกปัดอีกฝ่ายอย่างเนียนๆ ยกมือผอมบางขึ้นโบกลา ก่อนจะเร้นหายไปในถนนที่ฝูงชนพลุกพล่าน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×