คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๒ อิ่น หลิน เป้ย
‘จวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน’
ชมเดือนหมุนตัวกลับแล้วเดินทอดน่องจากมา ในขณะที่หัวก็ขบคิด
ถ้าให้เดา
เธอคงเป็นลูกสาวคนเล็กของท่านแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน เกรงว่าคงเปี่ยมยศศักดิ์มากบารมีไม่น้อย
ชีวิตนับจากนี้ก็คงจะสุขสบายนั่งกินนอนกินไม่ต้องทำมาหากินอะไรให้เหนื่อยยาก ถึงวัยออกเรือนก็แต่งให้ลูกหลานผู้ดีมีสกุลนิสัยใช้ได้สักคนให้เขารับช่วงดูแล
ยุคสมัยแบบนี้เรื่องผัวเดียวเมียเดียวคงไม่ต้องหวัง
ถ้าทำได้ก็อยากอยู่บนคานให้พ่อแม่เลี้ยงดูไปจนแก่ผมขาว
แต่ถ้าไม่มีทางเลือกจริงๆหญิงสาวก็ไม่ขัดข้อง ขอแค่สามีให้เกียรติเธอ จะมีอนุเมียรองสักสิบยี่สิบคนเธอก็ไม่สน
แค่ต่างคนต่างอยู่ไม่มาระรานสร้างความรำคาญก็พอ
เดินเล่นชมเมืองได้ไม่นานชมเดือนก็เจอตลาดคนเดินท่าทางคึกคักแห่งหนึ่ง
เธอจึงสาวเท้าเดินเข้าไปสำรวจด้วยดวงตาเป็นประกายฉายแววซุกซน
เดินไปได้สักพักก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่งนั่งหงอยอยู่เบื้องหลังโต๊ะที่วางกระดาษและพู่กันเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ถ้าเป็นชมเดือนในชาติภพก่อนก็คงทำเพียงยักไหล่เดินเลยผ่านไปอย่างไม่คิดสนใจให้มากความ
แต่คำพูดของชายในชุดคลุมสีดำก่อนมาที่นี่ทำให้เท้าของเธอหยุดชะงัก
ถอนหายใจเบาๆแล้วเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าอมทุกข์
ชมเดือนคิดเอาเองว่าตนคงพูดอ่านเขียนภาษาของโลกนี้ได้และเอ่ยทักออกไป
“เจ้าขายอะไรรึ?” พอเห็นเธอเดินเข้าไปหา
เด็กคนนั้นก็ฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาฉายแววซาบซึ้งยินดีเสียจนชมเดือนรู้สึกคันยุบยิบ
“เขียนจดหมาย วาดภาพ แต่งกาพย์แต่งกลอน
ข้าน้อยทำได้หมดสุดแล้วแต่คุณหนูจะสั่งขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดวาบในหัว
ชมเดือนยิ้มแล้วทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่เด็กหนุ่มกระวีกระวาดยกมาให้
“งั้นวาดภาพเหมือนให้ข้าสักใบได้หรือไม่?”
“ได้ขอรับได้” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มยิงฟัน
ขณะโค้งประหลกๆให้ ชมเดือนได้แต่ยกมือโบกห้ามแล้วยื่นเงินหนึ่งตำลึงเงินส่งให้อีกฝ่าย
“พอหรือไม่?” เด็กหนุ่มส่ายหัวดิก
ดันมือที่ยื่นไปของชมเดือนกลับอย่างสุภาพ
“มากไปขอรับ มากไป ข้าน้อยรับไม่ไหว”
ได้ยินดังนั้นหญิงสาวก็ยิ้มอย่างชื่นชม ยัดเงินใส่มือของอีกฝ่ายแล้วยิ้มบางๆ
“เช่นนั้นก็ช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับประเทศนี้ให้คนต่างถิ่นเช่นข้าฟังเสียหน่อยเป็นอย่างไร
ถ้าคิดว่ายังไม่พอก็ช่วยแนะนำโรงเตี๊ยมที่เสิร์ฟอาหารเลิศรสให้ข้าด้วยสักที่”
นิ่งคิดไปครู่หนึ่งเจ้าตัวก็กลับมาส่ายหน้าปฏิเสธเธออีกครั้ง
“อย่างไรก็ไม่ได้ขอรับ
เงินจำนวนนี้ครอบครัวข้ากินใช้ได้เป็นเดือน จะอย่างไรก็มากเกินไปอยู่ดี”
“ข้าพอใจจะให้เสียอย่างเจ้าก็อย่าได้มีปัญหาอีกเลย
ข้าไม่เดือดร้อนแล้วเจ้าจะมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนข้าทำไม” ชมเดือนเอ่ยตัดรำคาญ
เด็กหนุ่มคนนั้นมีสีหน้าลังเล
แต่ดูท่าว่าที่บ้านคงขัดสนจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆถึงได้ยอมพยักหน้าตกลง
คุกเท้าโขกศีรษะขอบคุณเธอแล้วจึงกลับไปนั่งประจำที่ ส่งยิ้มสว่างไสว
“เช่นนั้นวันนี้ข้าน้อยจะวาดรูปคุณหนูอย่างสุดฝีมือเลย”
ชมเดือนอดหัวเราะเบาๆกับท่าทีขึงขังน่าเอ็นดูของอีกฝ่ายไม่ได้
“เอาเถิด วาดให้เหมือนก็แล้วกัน”
เด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน กระชับพู่กันในมือแน่นแล้วเริ่มสะบัดพู่กันลงบนกระดาษด้วยท่าทางคล่องแคล่วพริ้วไหวจนชมเดือนที่ลอบมองอยู่รู้สึกเพลิดเพลินไปด้วย
เส้นสายที่ค่อยๆเชื่อมโยงกันจนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาล้วนให้ความรู้สึกเปี่ยมพลังมีชีวิตชีวา
แค่มองก็สัมผัสถึงความหลงใหลของเด็กหนุ่มที่มีต่อการวาดภาพได้อย่างชัดเจน
ชมเดือนกระตุกยิ้มละมุน ทอดถอนใจออกมาเบาๆ
นี่สิน้าวัยรุ่น...เต็มเปี่ยมไปด้วยปณิธาน
ความฝัน และพลังที่จะก้าวไปข้างหน้า...เห็นแบบนี้แล้วก็ทำเอาเธอรู้สึกแก่ลงไปเลยน้า
“อืมมม แผ่นดินใหญ่แบ่งออกเป็นสามแคว้นใหญ่ๆคือ
อิ่น หลิน เป้ย แคว้นอิ่นของเรามีอาณาเขตเล็กที่สุดในบรรดาสามแคว้น แต่ก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสรรพยากรทางธรรมชาติ
และเพราะทางใต้มีอาณาเขตติดกับทะเล เมืองท่าของเราจึงเป็นศูนย์รวมการค้าที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน
แม้แต่ประเทศหรือเกาะที่อยู่ห่างไกลออกไปโพ้นทะเลยังต้องแวะเวียนมาทำการค้าที่นี่เขียวนะขอรับ”
ใบหน้าสะอาดสะอ้านของอีกฝ่ายฉายแววภาคภูมิใจ มันน่ารักน่าชังเสียจนชมเดือนอดใจไม่ไหวต้องโน้มตัวออกไปขยี้หัวอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว
“คุณหนู!...” เด็กหนุ่มเงยหน้าจากกระดาษขึ้นมาทำแก้มป่องจนหญิงสาวหัวเราะร่า
เธอหดมือกลับมา อมยิ้มถามอย่างอารมณ์ดี
“เจ้าชื่ออะไร” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นจัดผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงของตัวเองก่อนตอบ
“ข้าน้อยซือเป่าขอรับ”
“อืมมมมม อาเป่า เล่าต่อสิ...” ซือเป่าย่นจมูกใส่เธอก่อนจะก้มหน้าลงไปวาดภาพเหมือนของชมเดือนต่อ
ปากก็ขยับเล่าเรื่องอย่างลื่นไหล
“ที่ๆเราอยู่คือแคว้นอิ่น เมืองที่เราอยู่ชื่อหยางเหมย
อยู่เหนือขึ้นมาจากเมืองท่าอันโด่งดังไม่มาก อืมมม...อะไรอีกนะ
ตอนนี้เป็นรัชสมัยของฮ่องเต้เจิ้งเจี๋ย แผ่นดินยามนี้นับว่าสงบสุขร่มเย็น
ด่านทางทิศตะวันออกติดกับทะเลทรายเป็นแคว้นเป้ย
มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสามแคว้นแต่มีอาณาเขตกว่าครึ่งเป็นทะเลทรายไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์เท่าไหร่
โจรชุกชุม แต่กระนั้นก็ไม่อาจดูแคลนทหารของเป้ย ลือกันว่าพวกเขาโหดเหี้ยม
มีระเบียบวินัยเป็นเลิศ ไม่เกรงกลัวความตาย อึดเกินมนุษย์อีกทั้งไปมาไร้ร่องรอย
แม้จะไม่ได้อุดมสมบูรณ์เหมือนอิ่นแต่ก็เป็นแหล่งแร่ทองคำและโลหะที่ใหญ่ที่สุดในสามแคว้น
แคว้นหลินมีอาณาเขตใหญ่เป็นอันดับสอง มีลักษะเป็นที่ราบลุ่มอยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันตก
ในอิ่นนี้ที่เกิดการปะทะกันบ่อยๆก็มักจะเป็นแถบชายแดนสามทิศ
หนึ่งคือตะวันออกที่ติดกับเป้ย
เพราะมีภูมิประเทศเป็นทะเลทรายชาวบ้านที่อยู่แถบชายแดนจึงมักจะถูกบุกปล้นชิงอยู่เนื่องๆ
สองคือด่านทางเหนือที่ติดกับภูเขา ลือกันว่าอากาศที่นั่นเย็นเสียดกระดูก
นอกด่านมีพวกชนเผ่าพื้นเมืองอาศัยอยู่ แต่ก็เป็นดินแดนแร้นแค้นแห้งแล้งจนไม่อาจอยู่ได้
ชาตินิยมรุนแรงไม่ยอมสยบอยู่ใต้ฝ่าเท้าใคร รบชิงดินแดนกับเรามาเกือบสิบปีแล้ว
ที่สุดท้ายคือด่านทางใต้ที่ติดกับทะเล โจรสลัดชุกชุมนัก
ดักซุ่มปล้นชิงเรือสินค้าของเราเป็นประจำ
แต่ในช่วงห้าหกปีหลังจากท่านแม่ทัพทักษิณรับตำแหน่งควบคุมดูแลด่านทางใต้พวกโจรก็ไม่กล้ากำเริบเสิบสานดักปล้นชิงเรือสินค้าของอิ่นอีก
น่าจะประมาณนี้ล่ะขอรับ”
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันถูกคอ
ซือเป่าเล่าให้ฟังว่าเขามาจากครอบครัวชาวบ้านธรรมดาๆที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร
แต่พ่อแม่ก็พยายามทำงานส่งเสียเขาที่สอบติดสำนักศึกษาหลวงอย่างสุดความสามารถ
ซือเป่าเองก็ออกมารับจ้างเขียนภาพแต่งกลอน หารายได้เล็กๆน้อยๆช่วยเหลือทางบ้านอีกแรง
นอกจากตัวเองแล้วเด็กหนุ่มมีน้องสาวที่กำลังป่วยและพี่ชายบ้ากล้ามที่ตอนนี้ทำงานอยู่สำนักคุ้มภัยชื่อดังอีกคน
คุยกันเพลินๆภาพเหมือนของชมเดือนก็วาดเสร็จพอดี
หญิงสาวรับกระดาษแผ่นบางมาพินิจดูครู่หนึ่ง
ก่อนจะยิ้มสดใส
“เหมือนมาก ฝีมือไม่เลวเลยอาเป่า ขอบคุณนะ”
ซือเป่าพอได้รับคำชมก็ก้มหน้าซ่อนสองแก้มที่แดงระเรือ เอ่ยตอบเสียงเบา
“เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว...”
ชมเดือนยิ้มรับอย่างร่าเริง พับกระดาษแผ่นนั้นเก็บเข้าอกเสื้อก่อนจะลุกขึ้นยืดบิดตัวคลายเมื่อย
“คือว่า....” ซือเป่ารีบเงยหน้าเอ่ยเรียกหญิงสาวที่กำลังจะผละออกไปไว้
ชมเดือนชะงักแล้วหันกลับมาเลิกคิ้วน้อยๆ
แล้วอมยิ้มเป็นเชิงถามได้อย่างน่าเอ็นดูจนอีกฝ่ายถึงกับชะงักไปพริบตาหนึ่ง
แล้วจึงละล่ำละลักหาเสียงตัวเองจนเจอ “ข..ข้าน้อยขอทราบชื่อของคุณหนูได้หรือไม่ขอรับ?”
เห็นใบหน้าจริงจังที่แดงน้อยๆของอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ
เธอยังไม่รู้ชื่อตัวเองเลย...แล้วจะให้ตอบได้อย่างไร
รำพึงรำพันกับตัวเองเสร็จริมฝีปากอิ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มทะเล้น
“เอาเป็นว่าถ้าครั้งหน้ามีวาสนาได้พบกันอีก ข้าจะบอกแล้วกัน”
เธอบอกปัดอีกฝ่ายอย่างเนียนๆ ยกมือผอมบางขึ้นโบกลา
ก่อนจะเร้นหายไปในถนนที่ฝูงชนพลุกพล่าน
ความคิดเห็น