ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำแหน่งฮ่องเต้ยัดเยียดให้ผู้หญิงก็ได้หรอ?

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๓ อดีต (แก้คำผิดค่า)

    • อัปเดตล่าสุด 6 มี.ค. 60


    ชมเดือนที่เดินเล่นจนท้องหิวเลี้ยวเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ตกแต่งอย่างมีรสนิยมแห่งหนึ่ง พอทรุดตัวลงนั่งก็สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์จัดอาหารขึ้นชื่อของที่นี่มาให้สามอย่างกับหมั่นโถอีกหนึ่งชุด

    พอเสิร์ฟชาให้เธอเสร็จเสี่ยวเอ้อร์ก็ค้อมปลกๆแล้ววิ่งไปบริการโต๊ะอื่นต่อ

    ระหว่างเติมท้องที่เปล่าว่างเธอก็ถือโอกาสนั่งพักขาไปด้วย ในใจคิดหาทางสืบสาวข่าวคราวความเป็นมาของตัวเองอยู่เงียบๆ ตอนนี้ชมเดือนรู้แค่ว่าตัวเองเป็นคุณหนูคนเล็กของจวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินเท่านั้น แต่สถานการณ์ในบ้านเป็นอย่างไร มีพี่น้องร่วมบิดาคนอื่นอีกไหม หรือแม้แต่เป็นที่โปรดปรานหรือเปล่า เธอล้วนมืดแปดด้าน

    ในเมื่อถูกส่งมาแล้ว จะสวมรอยเล่นเป็นคนอื่นทั้งทีเธอก็ต้องเอาให้เนียนกริ๊บไม่ส่อพิรุธให้ใครจับผิดได้

    แน่นอน...เพราะเธอยังไม่อยากถูกจับมัดกับเสาแล้วเผาทั้งเป็นน่ะสิ!

    คิดไปคิดมา  ในหนังแนวจอมยุทธ์ที่เคยดูเมื่อชาติก่อน ถ้าพูดถึงเรื่องข่าวสารก็ต้องยกให้พรรคกระยาจกของขอทานน้อยใหญ่ที่กระจายตัวกันอยู่ทุกหัวมุมถนนหรือไม่ก็พวกโจรวิ่งราวลักเล็กขโมยน้อยที่พอมีเส้นสายกับพวกคนในวงการใต้ดินอยู่บ้าง แค่เอารูปเหมือนของเธอส่งให้ ให้เงินอีกนิดหน่อยก็น่าจะพอกระมัง

    ตอนที่เข้าโรงเตี๊ยมมา ชมเดือนเหมือนเห็นเด็กชายใบหน้ามอมแมมคนหนึ่งเข้าพอดี ลองไปหยั่งเชิงดูสักหน่อยก็คงไม่มีอะไรเสียหาย

    ตัดสินใจได้ดังนั้นหญิงสาวก็ยกมือเรียกเก็บเงิน ก่อนจะสวมหมวกปีกกว้างที่มีผ้าโปร่งบางปักลวดลายงดงามขึ้นสวมคลุมใบหน้า เธอซื้อมาระหว่างทางเพื่อตัดรำคาญยามบรรดาพ่อค้าแม่ค้าร้านตลาดเอาแต่เบิกตาจ้องดวงตาสีประหลาดของเธอกันตาไม่กระพริบ ผู้ใหญ่พวกนี้ไม่รู้จักเก็บอาการกันเสียเลย สู้เด็กหนุ่มอายุน้อยอย่างซือเป่าก็ไม่ได้

    มือบางหยิบหมั่นโถวอีกสามลูกที่กินเหลือสอดเก็บไว้ในแขนเสื้อก่อนจะเดินอ้อยอิ่งออกมากวาดสายตามองหาร่างของขอทานน้อย เธอพบเด็กชายนั่งสงบเสงียมอยู่อีกฝั่งของถนน ดวงตากลมโตฉ่ำน้ำชวนให้คนสงสารคู่นั้นปลุกสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่หลับใหลอยู่ในตัวชมเดือนขึ้นมา ร่างบางจึงสาวเท้าตรงไปหาพร้อมรอยยิ้มละมุน

    “ขอทานน้อย...อายุเท่าไหร่แล้ว กินอะไรมาหรือยัง?” ดวงตากลมโตเบนมาสบเธอ มีแววเศร้าสร้อยแฝงอยู่เต็มเปี่ยม

    “พี่สาว แม่ของข้าป่วยหนักอยู่ที่บ้าน ข้าคุกเข่าอ้อนวอนหน้าร้านขอร้องให้เถ้าแก่จัดยาให้แม่ข้าสักชุดอยู่ครึ่งวัน พวกเขาก็ตีข้า บอกว่าของซื้อของขายจะเอามาให้เปล่าๆได้อย่างไร ทั้งขู่จะตีให้ตายถ้าไปขวางหน้าร้านอีก...ฮึก...” เสียงเล็กๆสั่นสะท้านอย่างสิ้นหวัง ร่างน้อยๆสะอื้นฮั่กอย่างน่าสงสาร เด็กชายยื่นมือมาจะคว้าชายเสื้อเธอแต่ก็ชะงักหดมือกลับด้วยกลัวว่าจะทำให้เสื้อผ้าราคาแพงของพี่สาวแสนดีสกปรก “พี่สาวอุตส่าห์เป็นห่วง...ช่างแสนดียิ่งนัก“ พูดจบก็ยกยิ้มอ่อนแรงส่งให้ทำเอาชมเดือนใจสั่นไปหมด

    “ค่ายาจะสักเท่าไหร่กัน เดี๋ยวพี่สาวออกให้เอง” ดวงตาสีครามแปลกตาฉายแววอ่อนหวานปลอบปละโลมขณะหยิบหมั่นโถวจากแขนเสื้อออกมายัดใส่มือของเด็กชาย “เจ้าบอกคุกเข่ามาครึ่งวันคงยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง นี่พี่สาวให้” ขอทานน้อยเงยหน้าจ้องมองหญิงสาวอย่างซาบซึ้ง กัดหมั่นโถวทั้งน้ำตา รีบเคี้ยวแล้วยัดที่เหลือเข้าปากกลืนอย่างรวดเร็วแล้วราวกับกลัวจะมีใครมาแย่งไปจากมือก่อนจะเงยหน้ามองเธอ

    “พี่สาว...แม่ข้านอนป่วยลุกไปไหนไม่ได้ ถ้าข้าไม่รีบกลับมื้อนี้คงต้องอดแน่ๆ” พูดจบก็ชะงักไปเหมือนนึกอะไรได้ สีหน้าจะปรากฏแววร้อนรนขึ้นมา “แต่ข้าต้องไปร้านยา...” ชมเดือนเห็นแล้วก็นึกเห็นใจอีกฝ่ายนัก มือบางลูบศีรษะมอมแมมของเด็กชายอย่างไม่มีท่าทีรังเกียจเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงที่เอ่ยอ่อนโยนระรื่นหูยิ่ง

    “บ้านเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าจะไปร้านยาแล้วให้คนเอาไปส่งให้”

    “แต่พี่สาว...สมุนไพรที่เป็นตัวยาซับซ้อนยิ่งนัก มีเกือบยี่สิบชนิด จำนวนก็แตกต่าง ข้าเขียนอ่านไม่เป็นจึงได้แต่ท่องจำเอาไว้ พี่สาวจะลำบากหรือเปล่า?” ขอทานน้อยมองเธออย่างหวาดๆ ก้มหน้างุดอย่างเกรงอกเกรงใจ

    นิ่งคิดครู่หนึ่งชมเดือนก็ตอบ “เช่นนั้นบอกชื่อโรคมาก็แล้วกัน ข้าจะให้เถ้าแก่จัดให้ตามสมควร”

    เด็กชายส่ายหน้า ช้อนสายตาร้อนรนมองสบเธอ แล้วตอบอย่างกล้าๆกลัวๆ มือที่กุมกันบิดไปมา บ่งบอกว่าเขาไม่ใคร่สบายใจนัก

    “สมุนไพรบางตัวหากแม่ข้ากินเข้าไปแล้วจะป่วยหนักกว่าเดิม ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใช้เทียบข้าที่ข้ามีเท่านั้น...” ชมเดือนถอนหายใจเบาๆ คำพูดขู่ของคุณลุงชุดคลุมที่เตือนให้ทำดีแล่นซ้ำในหัวอีกครั้ง

    “เอาเถิดๆ บ้านเจ้าอยู่ที่ไหนข้าจะซื้อของกินมุ่งหน้าไปก่อน ถ้าอดมื้อกินมื้อในยามที่ร่างกายอ่อนแอแบบนี้ข้าเกรงว่าอาการของแม่เจ้าจะทรุดหนักลงกว่าเดิม” พูดจบก็ปลดถุงเงินที่ห้อยอยู่ข้างเอวส่งให้เด็กชาย “เท่านี้คงพอค่ายากระมัง”

    มือเล็กๆยื่นมารับถุงเงินไปกอดไว้ ดวงตากลมโตมองเธออย่างเทิดทูนและซาบซึ้งใจ ร่างน้อยๆคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณเธอ

    “พี่สาว ขอบคุณท่านมาก บุณคุณครั้งนี้ต่อให้ต้องเป็นวัวเป็นม้าข้าก็จะตอบแทนท่านแน่” ชมเดือนส่ายหน้าน้อยๆ มือหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดใบหน้าสกปรกมอมแมมของเด็กชายจนสะอาด ถอยออกมาก้าวหนึ่งก่อนจะยกยิ้มหวาน

    “เอาล่ะ บ้านเจ้าอยู่ที่ใด”

    “หมู่บ้านหนานเอ๋อเลยประตูเมืองทิศตะวันออกไปหน่อยขอรับ บ้านของข้าอยู่ติดลำธารท้ายหมู่บ้าน” ชมเดือนพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยมเพื่อสั่งอาหารอีกชุด

    ชมเดือนก้าวเร็วๆแล้วคลำทางไปยังประตูเมืองทิศตะวันตามคำบอกของเด็กชาย ทหารเฝ้าประตูเมืองเห็นเธอที่ถอดหมวกปีกกว้างออกมาพัดคลายร้อนก็รีบทำความเคารพ แล้วก้าวเท้าเข้ามาเธออย่างรวดเร็ว เอ่ยถามอย่างนอบน้อม

    “คุณหนูหานลู่...แม่นางน้อยตัวคนเดียวเดินทางออกนอกเมืองเช่นนี้อันตรายนัก องครักษ์ของท่านล่ะขอรับ” หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ

    หานลู่...คือชื่อของเธออย่างนั้นสินะ

    “ไม่ได้เอามา”

    “คุณหนูเล็ก...” นายทหารคนนั้นครางออกมา น้ำเสียงเกือบจะอ้อนวอน “ใครๆก็รู้ว่าท่านเป็นแก้วตาดวงใจของท่านแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน...ความปลอดภัยของท่านเป็นเรื่องสำคัญมาก” พูดจบก็ยืนขวางเธอไว้ เจตนาชัดเจนที่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้เธอผ่านไปได้

    แต่แน่นอนว่าเธอย่อมไม่ยอมปล่อยผ่านรายละเอียดเล็กๆน้อยๆอย่างเรื่องที่ตนเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินไปแน่ แต่หญิงสาวก็รีบดึงตัวเองกลับเข้าประเด็นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

    ชมเดือนถอนหายใจออกมา ช้อนสายตาคมดุมองนายทหารร่างยักษ์ แต่ก็ยังใช้โทนเสียงนุ่มละมุนเอ่ยโน้มน้าวอีกฝ่ายอย่างใจเย็น “ข้ากำลังจะไปทำความดีช่วยเหลือคน เจ้าก็อย่าขวางข้าเลย ทำเช่นนี้มันบาปนะ”

    “คุณหนูเล็ก คราก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว อย่าทำเช่นนี้เลย” ชมเดือนนึกสะดุดใจกับคำพูดของอีกฝ่ายไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจจะไม่ขุดคุ้ยเพราะเธอมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ จึงเชิดหน้าขึ้น

    “ข้ารับปากคนๆหนึ่งไว้แล้ว ลูกสาวท่านแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินควรเป็นคนตระบัดสัตย์เช่นนั้นหรือ”

    ยามได้จ้องมองดวงตาคมดุงดงามที่ฉายแววดื้อรั้นยอมหักไม่ยอมงอเด่นชัดนั่นแล้ว นายทหารร่างโตก็ได้แต่ทอดถอนใจ

    “เช่นนั้นท่านรอข้าสักเดี๋ยว” คิ้วพระจันทร์เสี้ยวโค้งขึ้นน้อยๆ ขณะมองตามร่างสูงใหญ่ของทหารเฝ้าประตูผู้นั้นวิ่งออกไปอีกทางแล้วกลับเข้ามา เขาฉีกยิ้มอ่อนน้อม คว้าห่อผ้าที่ห่ออาหารกลางวันไปถือไว้เสียเอง “ข้าออกเวรพอดี คุณหนูคงไม่รังเกียจหากมีข้าร่วมทางไปด้วย”

    มองใบหน้าดึงดันของอีกฝ่ายหญิงสาวก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะออกปากปฏิเสธ จึงพยักหน้ารับคำแล้วบอกจุดหมายปลายทางของตนให้อีกฝ่ายทราบ เขาขมวดคิ้วแต่ก็พยักหน้ารับเบาๆแล้วนำทาง

    ระหว่างนั้นชมเดือนก็ชวนอีกฝ่ายคุยแก้เบื่อ

    “นี่...ข้าดังมากเลยหรือ ทำไมแม้แต่ทหารรักษาประตูอย่างเจ้าก็รู้จักข้าล่ะ” นายทหารร่างยักษ์เบนสายตามาสบเธอครู่หนึ่งก็เบนกลับไปยังถนนเบื้องหน้า เอ่ยตอบอย่างสุภาพ

    “อันที่จริงตอนท่านยังเด็กข้าเคยพบท่านหนหนึ่ง ที่จำได้มีเพียงสีดวงตาของท่านเท่านั้น ร่ำลือกันว่าดวงตาของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านแม่ทัพพิทักษ์ดินแดนงดงามแปลกตานัก วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”

    “เช่นนั้นหรือ” ชมเดือนรับคำ พลันความคิดหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมาในสมอง

    งั้นถือโอกาสนี้ สืบข่าวเรื่องราวของตัวเองไปเลยแล้วกัน

    เธอลอบยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วถามขึ้น “งั้นข้างนอกนี่คนพูดถึงข้ากันว่าอย่างไรบ้างเล่า” หญิงสาวเห็นชายหนุ่มตัวโตกรอกตาคิดก่อนตอบ

    “นอกจากเรื่องที่ว่าเพราะท่านสูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเล็กนักจึงมีพ่อและพี่ชายที่ทั้งรักทั้งตามใจเสียยิ่งกว่าอะไร...ก็เกรงจะเป็นเรื่องที่ท่านมีอนุอยู่ข้างกายนับสิบทั้งที่ร่างกายก็ใช่ว่าจะแข็งแรงนักกระมังขอรับ” ชมเดือนคิ้วกระตุก เดี๋ยวๆ ไม่ใช่ว่ามันแม่งๆเรอะ?

    “อนุ? เจ้าหมายถึงภรรยา?” ชมเดือนเอ่ยถามออกไปเสียงสั่น

    “ถูกต้องแล้วขอรับ”

     “แต่ข้าเป็นสตรี” เธอยังคงไม่ยอมแพ้ นายทหารหนุ่มมีสีหน้าลำบากใจ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวตอบอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก

    “ร่ำลือกันว่า...ความชอบของคุณหนูค่อนข้างจะ...แปลกแยก...กว่าหญิงสาวในห้องหอคนอื่นๆเล็กน้อยขอรับ” ชมเดือนรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงขาดผึงของอะไรในหัว หวนนึกถึงท่าทางกระเง้ากระงอดของสาวน้อยที่เข้ามาปลุกเธอยามลืมตาตื่นขึ้นในโลกนี้เป็นครั้งแรกผู้นั้น พลัน!ในหัวแว่วเสียงมโหรีที่มีเสียงฉิ่งฉับให้จังหวะชัดเจนเป็นพิเศษขึ้นมา ก่อนจะเพิ่มจากหนึ่งคู่เป็นสองคู่ มากขึ้นเรื่อยๆจนสมองเธออื้ออึงมีแต่เสียงฉิ่งฉับเต็มไปหมด!

    คนเดียวยังพอว่า...แต่นี่เล่นทั้งวงเลยรึคุณหนูเล็ก!!

    ทหารหนุ่มเหล่มองคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่เดินเยื้องอยู่ด้านหน้าด้วยด้วยท่าทางหวั่นๆ

    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเพียงรับฟังนิ่งๆ ไม่มีทีท่าจะกรีดเสียงโวยวายก็นึกชื่นชมความเยือกเย็นสุขุมของเธอในใจแล้วเอ่ยสำทับด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่ง

    “แต่คุณหนูขอรับ คนที่เป็นทหารมานานอย่างพวกข้ารู้ดี...ว่าสาเหตุที่ท่านร่างกายอ่อนแอและรังเกียจบุรุษเป็นเพราะตอนอายุเพียงห้าขวบปีถูกพวกกบฏลักพาตัวไปเพื่อใช้เป็นข้อต่อรองบีบบังคับให้ท่านแม่ทัพรามือจากพรรคพวก เป็นพวกเราที่พบท่านช้าไป แม้จะรอดออกมาได้แต่ก็ถูกหมาจนตรอกพวกนั้นรุมทำร้ายปางตายมาก่อนแล้ว อีกทั้งเส้นลมปราณยังถูกทำลายจนเกือบจะไม่อาจฝึกฝนวรยุทธ์ได้อีก” ชมเดือนที่ช็อคจนใบหน้าซีดขาวอยู่นั้น พอได้รับฟังเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังของอดีตเจ้าของร่างนี้ก็ถึงกับนึกเวทนาอยู่ในใจและพอจะเดาออกว่าหญิงสาวผู้นี้ต้องเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมโหดร้ายแบบใด

    ฝั่งผู้อารักขาตัวโตเมื่อเห็นหญิงสาวเงียบอยู่เป็นนานก็นึกประหลาดใจจึงเอ่ยถามออกไป

    “ท่านดูแปลกใจนะขอรับ”

    นานทีเดียวกว่าเสียงไม่สูงไม่ต่ำนั้นจะเอ่ยตอบ

    “อืม...สงสัยเรื่องมันคงจะนานมากจนข้าเองก็เกือบลืมไปแล้ว” 

    นายทหารตัวโตเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็นึกอยากตบปากตัวเองนัก เขาเป็นใคร...จะไปรื้อฟื้นฝันร้ายของเด็กสาวน่าสงสารให้มันได้อะไรขึ้นมา!

    ชายหนุ่มเหลือบสายตามองคุณหนูผู้สูงศักดิ์ท่าทางหวาดๆ แต่ก็ไม่อาจหยั่งอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เมื่อเธอสวมหมวกปีกกว้างปิดคลุมใบหน้าเอาไว้

    หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินทางกันต่อเงียบๆไม่ได้สนทนาอะไรอีก

    ฝั่งชมเดือนกำลังพยายามวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของเจ้าของร่างกายนี้ ส่วนชายหนุ่มร่างยักษ์ก็ก้มหน้าสำนึกความผิดของตัวเอง

    ชมเดือนขบคิดหลายตลบก็ยังไม่แน่ใจ ว่าตัวเองสมควรจะตามน้ำสวมบทบาทของหญิงสาวแห่งจวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินดีหรือไม่ ทำเช่นนั้นก็เท่ากับโยนอิสระของตัวเองทิ้งไปโดยแท้ จากที่ฟังดูชีวิตของคุณหนูหานลู่คงไม่พ้นนกน้อยในกรงทอง ไม่อาจไปไหนมาไหนตามใจชอบเพราะมีคนจ้องจะเอาชีวิตทุกฝีก้าว ไม่มีการผจญภัย ไม่มีการออกไปเห็นโลกกว้างหรือได้พบเจอกับผู้คนใหม่ๆ มีเพียงกำแพงจวนแม่ทัพที่ทั้งสูงทั้งหนาปิดล้อมรอบ ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่อโดยแท้ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×