ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic exo :Chanbaek:] SPY สายลับ จับรัก

    ลำดับตอนที่ #3 : Two (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 20 มิ.ย. 65



     

                   


     


     


     


     

                   สายลมยามเช้าพัดเอื่อยเฉื่อยเบาสบาย เสียงกิ่งไม้กระทบกันดังเป็นจังหวะคล้ายเสียงดนตรี นกตัวน้อยเกาะกลุ่มกันร้องเจื้อยแจ้วขับขานท่วงทำนองรับกับสายลม แสงแดดสีทองประกายระยิบระยับอันอบอุ่นสาดส่องไปทั่วบริเวณ ผมมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มละมุน เงยหน้าขึ้นรับแสงอาทิตย์เล็กน้อย พลางเริ่มก้าวขาเริ่มออกวิ่งด้วยท่าทางตามแบบฉบับ….เจ้าหญิงดิสนี่ย์ ?

     

     

     

                “นี่แหน่ะ เจ้าผีเสื้อวันนี้อากาศดีจังเลย~” ผมส่งเสียงเจื้อยแจ้วทำทีพูดกับผีเสื้อตัวสีเหลืองลายสีดำที่บินวนไปมารอบตัว ราวกับสโนวไวท์ที่ชอบยืนคุยและร้องเล่นเต้นรำไปกับหมู่ฝูงสัตว์


     

     

                “ฉันจะเก็บดอกไม้พวกนี้ไปประดับที่งาน พวกมันสวยจัง แต่ฉันจะต้องสวยที่สุดในงานคืนนี้~ อ้ะ!” มือเรียวยาวของผมที่กำลังจะเด็กดอกไม้สีชมพูอ่อนออกจากต้นถูกจับไว้ด้วยมือหยาบกร้านของใครสักคน ร่างใหญ่นั้นออกเสียงดุผมเล็กน้อย

     

     

                “คุณบยอนแบคฮยอนกลับเข้าห้องได้แล้วครับ”

     

     

                “เจ้าชายเหรอเพคะ?” ผมเอียงคอถามด้วยแววตาใสซื่อ

     

     

                “คือ…”

     

     

                “หรือนายเป็นพวกคนร้าย ออกไปให้พ้นนะ นี่แหน่ะ” ผมว่าพลางสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของบุรุษพยาบาลร่างยักษ์ด้วยความสะดีดสะดิ้งเป็นที่สุด

     

     

                “เออ เจ้าชายก็เจ้าชาย มากลับห้องกับเจ้าชาย”

     

     

                “ไม่! เจ้าชายไม่พระทรงฟันเหยินแบบนี้แน่” ผมถอยออกมาพลางส่ายหน้า

     

     

                “ฮ่วย ด่าขนาดนี้ถีบหน้าเถอะ”


     


     

                “หรือเจ้าจะเป็นคนของแม่มด”


     


     

                “ไม่ๆๆ ข้ามาดี” บุรุษพยาบาลรีบยกมือโบกไปมาเป็นพัลวันพลางพูดปฏิเสธ


     


     

                “เจ้าเป็นคนของหญิงแม่งั้นรึ”


     


     

                “เฮ้อ อยากให้เป็นอะไรก็ตามนั้น กลับบ้านกับข้าเถอะ” เหมือนเขาจะเริ่มเหนื่อยและหมดความอดทนกับผม ร่างใหญ่นั้นรวบเอาตัวผมลอยขึ้นด้วยแขนข้างเดียวก่อนจะพากลับเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง


     


     

                “องค์หญิงเล่นอยู่ในนี้นะ” เขาพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะทิ้งผมไว้กับห้องที่ไม่คุ้นเคย ผมทำทีเป็นชมนกชมไม้ไปเรื่อย พลางเหลือบมองรอบๆห้องไปด้วย ก็ไปสะดุดสายตาเข้ากับใครบางคนที่นั่งนิ่งเงียบจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง


     


     

    ป้ายชื่อที่ติดอกผู้ชายคนนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘โอ เซ ฮุน’


     


     

    ผมจึงเดินเข้าไปจิ้มๆที่ไหล่ของเขา ถึงเวลาแล้วที่ผมควรเริ่มมิตรภาพกับใครสักคน


     


     

                “แอ้ะ” ผมแบ๊วใส่มันไปทีนึง ก่อนจะโดนสวนกลับด้วยพลังจิกพิฆาต ร่างสูงโปร่งนั่นกระชากผมของผมอย่างเอาเป็นเอาตายจนแทบจะหลุดติดมือ ความแสบแผ่ซานไปทั่วหนังศรีษะ แต่ผมก็ยังต้องตั้งสติคีพลุคแบ๊วของตัวเองเอาไว้


     


     

                “ปล่อยเรานะ ปล่อยยย” ผมพูดจาออกไปด้วยประโยคกระจอกงอกง่อย คนอื่นๆในห้องเริ่มหันมามองเราสองคน ไม่นานเจ้าหน้าที่ที่อยู่แถวนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาดึงตัวผมกับเซฮุนออกจากกัน


     


     

                หมับ!


     


     

               ตัวผมถูกรวบเข้าไปกอดโดยใครสักคนทำให้ผมรอดพ้นจาเงื้อมือผู้ชายที่ชื่อเซฮุน ก่อนที่ผมจะถูกนำออกไปที่ห้องห้องหนึ่ง ชายคนนั้นวางผมลงบนเก้าอี้

     

     

                “เจ็บหรือเปล่า” พอได้ยินน้ำเสียงนั้นผมถึงได้รู้ว่าเป็นชานยอล ผมยกมือลูบผมตัวเองเพื่อสำรวจว่ามันยังอยู่ดีไม่ได้ติดมือไอ่หน้าขาวนั่นไปใช่ไหมพลางเบะปากด้วยความเจ็บ


     


     

                “ไปทะเล่อทะล่ายังไงให้เขาจิกหัวได้ล่ะ” ผมเหลือบตามองชานยอลพลางจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ


     


     

                “นี่มันเป็นหนึ่งในแผนหรอก” ผมทำทีเป็นพูดแก้ตัวน้ำขุ่นๆออกไปเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องอายไปมากกว่านี้


     


     

                “แผนอะไรผมไม่เห็นรู้เลย”


     


     

                “ถ้าผมไม่ยอมให้มันจิกหัว ผมจะได้มานั่งคุยกับโค้ชงี้เหรอ”


     


     

                “หึ” หมอนั่นขำออกมาสั้นๆแต่ก็เป็นอันรู้กันว่าเขาไม่ได้เชื่อที่ผมพูดเลยสักนิด 

     

     

    ก๊อก ก๊อก


     

                เสียงเคาะประตูทำให้เราสองคนหยุดชะงักและหันไปมองที่ประตูพร้อมกัน และชานยอลก็ขานรับคนด้านนอกที่ส่งสัญญานขออนุญาตเข้ามาในห้อง


     

                “เข้ามา”


     

    สักพักประตูบานสีขาวก็ถูกเปิดออก


     

                “หมอครับ”


     

                “ว่าไง”


     

                “เอ่อ นี่ผมของคนไข้ครับ มันติดมือคนไข้อีกคนไป” บุรุษพยาบาลคนนั้นแบมือให้เห็นเส้นผมหนึ่งกระจุกในมือพลางยิ้มแหยๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้พ่อหนุ่มสุดเย็นชาหลุดขำออกมาแบบลืมคีพลุคตัวเองเลยทีเดียว 


     

                   ผมตวัดหางตามองเขาอย่างเคืองๆหมอนั่นถึงได้กระแอมเบาๆแล้วกลับมานิ่งเหมือนเดิม เขารับผมจากบุรุษพยาบาลคนนั้นมา ก่อนบุรุษพยาบาลคนนั้นจะขอตัวออกไปจากห้อง


     

                “จะให้ผมช่วยเอากาวติดไว้ที่เดิมไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆแต่ดูก็รู้ว่าเขาตั้งใจประชดผม


     

                “ไม่ต้อง! แล้วถึงผมจะโดนดึงผมออกไป หัวผมยังไม่ล้านเท่าโค้ชเลย” ผมรีบยกมือปิดปากที่ดันปากพล่อยออกไปจนได้ อย่างที่หัวหน้าพูดไม่มีผิด ผมมันคนใจร้อนเวลาโมโหชอบพูดอะไรก็โผงผางไม่คิดหน้าคิดหลัง


     

                “คุณว่าอะไรนะ?” ผมรู้สึกได้ถึงแรงอาฆาตจากน้ำเสียงนิ่งๆในประโยคคำถามนี้ นึกอยากตบปากตัวเองแล้วมุดดินหนีแข่งกับขอมไปให้รู้แล้วรู้รอด


     

                “ผะ ผมว่าโค้ชหล่อดีผมด๊กดก แฮ่” ผมยิ้มตาหยีพยายามทำตัวให้น่ารักที่สุดเผื่อโค้ชจะใจเย็นลงบ้างแต่ไม่เป็นผลเลยสักนิดเดียว


     

                “ผมไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณนะแบคฮยอน”


     

                “ขอโทษค้าบ” น้ำเสียงเย็นๆนั่นทำเอาผมต้องเอ่ยขอโทษออกมาพลางทำหน้าหงอย


     

                “วันนี้เวลาพักเที่ยงจะมีเวลาประมาณยี่สิบนาทีให้คุณเข้าไปในห้องกล้องวงจร แล้วเสียบแฟลชไดร์ฟนี่ลงไปจากนั้นดีโอจะจัดการต่อเอง และคืนนี้คุณกับผมต้องทำภารกิจกัน”


     

                “ครับโค้ช” ผมพยักหน้ารับ แต่ในใจแอบเบ้ปากรัวๆ คนอะไร แซวเรื่องหัวล้านแค่นี้ทำขรึมใส่

     

                แต่เดี๋ยวนะ.....
     

               ผมว่า....ผมเจอจุดอ่อนของผู้ชายเพอร์เฟคแล้วสิ : )

     

               ลิซใว้ในบัญชีหนังหมาเลย

     

               จุดด้อยของปาร์คชานยอล

                        ข้อ 1. หัวล้าน !!!

     

    ////////////////////////////////////////////////

    12.59 น.

    ฟืด ฟืด ฟืด

    สายตาอันเปล่งประกายแวววาวของผมจ้องมองไปยังบริเวณหน้าต่างบานใหญ่ที่ถูกล้อมรอบด้วยเหล็กดัดที่ถูกติดไว้อย่างแน่นหนา มันอาจถูกติดไว้เพื่อป้องกันการหลบหนีของคนไข้หรือป้องกันอันตราย หรืออะไรสักอย่างซึ่งผมก็ไม่อาจจะแน่ใจได้ แต่เป้าหมายของผมไม่ได้อยู่ที่หน้าต่างบานนั้น มันอยู่ที่นาฬิกาเรือนสีฟ้าอ่อนทรงกลมลายโดเรม่อนนั่นต่างหาก 

    ฟืด ฟืด ฟืด

    ผมมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างๆหน้าต่างบานใหญ่สลับกับมองไปยังบุรุษพยาบาลที่นั่งเฝ้าที่ประตูหน้าห้องที่กำลังทำตาปรือ หาววอดๆอยู่บนเก้าอี้สีน้ำตาลตรงนั้น โดยที่ในมือของผมยังคงใช้หวีเล็กๆสีชมพูอ่อน แปรงผมสีทองสวยให้ตุ๊กตาบาร์บี้ในมืออย่างอ่อนโยน

    ฟืด ฟืด ฟืด

    ตอนนี้เข็มนาฬิกามันค่อยๆเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ และแล้วเข็มสั้นและเข็มยาวก็วนไปบรรจบกันที่เลข 12  ผมหันขวับจ้องเขม็งไปยังบุรุษพยาบาลคนนั้น เขามองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ขยับตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตาสำรวจไปรอบห้องเพื่อมองว่าเหตุการณ์ยังปกติมั้ย จากนั้นก็หันไปหมุนลูกบิดและเดินออกจากห้องไป อย่างที่ชานยอล บอกเอาไว้ว่าพอถึงเที่ยงวัน จะเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนเวรดูแลคนไข้ ซึ่งมันจะทำให้ผมพอมีเวลาส่วนตัวเล็กน้อยเพื่อทำภารกิจบางอย่างที่ได้รับมอบหมาย

     

    ผมวางตุ๊กตาบาร์บี้ในมือลงอย่างเบามือที่สุด เพราะกลัวน้องเจ็บ? หันไปเอื้อมมือหยิบตุ๊กตาคุมะที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมากอดแนบอกแทน จากนั้นก็หันไปมองเพื่อนร่วมห้องอีกสามคนที่อยู่กันคนละมุม โดยไม่ได้มีใครสนใจใคร และหนึ่งในนั้นก็มีไอ้เซฮุน ที่มันทำหัวผมล้านไปจุกนึงอีกด้วย ผมจิ๊ปากอย่างเคียดแค้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเอาคืน ผมค่อยๆย่องไปที่ประตูและออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ 

     

    ผมตรงดิ่งไปยังห้องที่โค้ชบอกเอาไว้ แน่นอนว่าผมได้ท่องจำแผนผังของโรงพยาบาลนี้ไว้อย่างแม่นยำก่อนหน้าที่จะเข้ามาทำภารกิจนี้แล้ว ซึ่งห้องที่ผมต้องไปมันอยู่ถัดจากห้องที่ผมอยู่เพียงแค่สองห้องเท่านั้น ดังนั้นใช้เวลาเพียงหนึ่งนาทีเศษมันก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องควบคุมกล้องวงจรปิด ผมชะโงกหน้าเข้าไปมองตรงประตูซึ่งมันจะมีช่องกระจกเล็กๆอยู่ ก่อนจะพบว่ามันไม่มีใครเฝ้าอยู่เพราะคงเป็นช่วงระยะเวลารอเปลี่ยนเวรเช่นกัน

     

    ก่อนมาทำภารกิจพวกเราได้ศึกษาการทำงานของที่ รพ แห่งนี้มาเป็นอย่างดีและพบว่าที่ รพ แห่งนี้พอถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนเวรกัน ต้องลงไปสแกนบัตรเพื่อให้คนที่รับเวรต่อไปได้สแกนเข้าต่อ ดังนั้นมันจะมีช่วงเวลาที่เป็นจุดบอดนิดนึงเพื่อให้เราได้ทำภารกิจ 

     

    และโชคดีของผมมากที่ไม่ต้องเสียเวลาสะเดาะกุญแจเพราะมันไม่ได้ล็อก อาจเป็นความเคยชินของเจ้าหน้าที่อาจคิดว่าคงไม่เป็นไร ถือว่าเป็นการประมาทเลินเล่อที่กลายเป็นโชคดีของผมไปเสียอย่างนั้น

    ผมจัดการเสียบแฟลชไดร์ฟที่เตรียมมาลงไปเพื่อให้ดีโอที่ปลอมไปเป็นพนักงานทำความสะอาดอยู่รับไม้ต่อในการทำหน้าที่แฮ็กกล้องวงจรปิด 

                    “จัดการได้เลย” ผมกระซิบบอกอุปกรณ์สื่อสารที่ติดอยู่ที่ตุ๊กตาคุมะ

    เปอร์เซ็นตรงหน้าจอค่อยๆโหลด จนเกือบเต็มร้อยเปอร์เซ็น ผมจ้องมองกล้องวงจรทางขึ้นบันไดอย่างไม่วางตา เพราะเผื่อเจ้าหน้าที่เดินมาจะได้หลบได้อย่างทันท่วงที และก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อมีร่างสูงโปร่งของใครคนนึงกำลังเคลื่อนตัวขึ้นบันไดมา

                “รถฟักทอง เจ้าหน้าที่กำลังมา เสร็จยังวะ” ผมกระซิบบอกอุปกรณ์สื่อสารที่ติดอยู่ที่ตุ๊กตาคุมะอีกครั้ง เพื่อเลี่ยงการเปิดเผยตัวตนเผื่อมีใครดักฟัง เราจึงมีรหัสลับเป็นตัวละครหรือสิ่งของในเทพนิยายกัน

                “ใกล้แล้วเจ้าหญิง” ใช่ครับ….. เจ้าหญิงคือรหัสลับของผมเอง และแน่นอนว่าผมไม่ได้เลือกและตกอยู่ในสถานะเลือกไม่ได้ -_-

                ผมเพิ่งเข้าใจการเป็นมือใหม่หัดลงสนามจริงก็วันนี้แหละ เหงื่อผมเริ่มซึมออกมาจนแผ่นหลังเริ่มเปียกและรู้สึกมวนท้องไปหมด ด้วยความตื่นเต้น

                 ตืด

              เพียงครู่เดียวที่เสียงหน้าจอดังเตือนว่าการแฮ็กข้อมูลสำเร็จแล้ว ผมคว้าหมับไปที่แฟลชไดร์ฟและรัวเท้าไปที่ประตู ตรงดิ่งไปยังห้องพักของตน เพียงเสี้ยววินาทีไล่หลังมาเท่านั้นก่อนที่เจ้าหน้าที่จะโผล่ขึ้นบันไดมา    

                ภารกิจสำเร็จ! 

               ผมลอบยิ้มเล็กๆอย่างดีใจ หลากหลายความรู้สึกพุ่งพล่าน อย่างน้อยภารกิจแรกในวันนี้ ผมก็ไม่ได้ทำมันพัง แถมยังผ่านไปด้วยดี 

              และในขณะที่ผมกับลังเผลอไผลไปกับความดีใจนั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงการสั่นแบบแปลกๆของตุ๊กตาคุมะในมือ ผมจึงรีบเดินไปหลบมุมห้อง พลางมองไปยังบุรุษพยาบาลคนใหม่ที่เพิ่งเดินเข้าห้องมาและเพื่อนร่วมห้อง แต่ก็พบว่าไม่ได้มีใครสนใจหรือสังเกตเห็นผมเลย จากนั้นค่อยๆจึงนั่งลงกับพื้น กดปุ่มเบาๆที่ท้องของมันและเอาตุ๊กตาคุมะมาแนบแก้ม

              “เจ้าหญิง" เสียงทุ้มต่ำครางเรียกรหัสลับของผมอย่างแผ่วเบา รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงของใครไปไม่ได้นอกจากโค้ชสุดโหดนั่นเอง แต่ความรู้สึกมันช่างต่างออกไปจากที่ดีโอเรียกเมื่อกี้มากๆ ผมเม้มริมฝีปากและพยายามสกัดกั้นอารมณ์ที่พุ่งพล่าน ทำให้ลืมขานรับตอบออกไปจนเขาต้องเรียกย้ำมาอีกที

                      “เจ้าหญิง ได้ยินเจ้าชายไหม หื้ม” ผมแทบอยากกรี๊ดออกมาเลยให้ตายเหอะ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้เขินกับสรรพนามพวกนั้นมากขนาดนี้

               “คะ ครับ…. เจ้าชาย…” ผมพูดพลางงับแขนคุมะแก้เขิน

               “คืนนี้คุณต้องเข้าไปตรวจสอบดูที่ห้องข้อมูลคนไข้กับผม เจอกัน 20.30 เพราะเป็นเวลาเข้านอนของคนไข้”

               “ครับ รับทราบครับ”

                “เจ้าหญิง เมื่อกี้น่ะ….”

                “ครับ?”

                “ทำได้ดีมาก”

                 “แต่…. ไม่พูดคำหยาบจะน่ารักกว่านี้มาก” ผมเบะปากออกมาทันทีหลังจากที่ยิ้มกับคำชมไปเพียงไม่นาน ที่นี่เป็นโรงเรียนสอนมารยาทหรือไง ชิ 

     

             ผมไม่ได้ตอบรับอะไร พลางกดปุ่มวางสายไป และไถลตัวลงไปกับพื้นอย่างหมดแรง เวลาแบบนี้นอนพักเอาแรงดีกว่า คืนนี้ต้องไปทำภารกิจนี่นะ…..

     

    /////////////////////

          20.30 น.

                  หลังจากที่ผมนอนไปได้แป๊บเดียว บุรุษพยายาลก็มาเรียกให้ตื่นไปอาบน้ำกินข้าว เพื่อพาผมกลับเข้าห้องมานอนอีกครั้ง ผมแกล้งทำเป็นเล่นละครเป็นเจ้าหญิงนิทราที่รอจูบจากเจ้าชาย อ้อนวอนให้เขาช่วยจุมพิศเพื่อที่ผมจะได้ฟื้น แน่ล่ะ ว่าบุรุษพยาบาลคนนั้นเดินหนีลับหายไปทันที ทางปลอดโปร่งแล้วสินะ

     

    จากนั้นผมจึงได้หาโอกาสแอบลอบหนีออกมาในขณะที่ทุกคนกำลังหลับ และตรงไปยังสถานที่ที่นัดกันเอาไว้กับชานยอล จึงพบว่าชานยอลรออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว ผมจึงย่องเข้าไปหาเขาแล้วกระซิบถาม

     

    “ภารกิจคืนนี้คืออะไรครับ”

     

    “หาสิ่งที่เป็นความลับ”

     

    “แล้วมันคืออะไรล่ะครับ”

     

    “ถามแปลก มันเป็นความลับ ผมจะรู้ได้ยังไง”

     

    “นี่กวนกันใช่ป่ะ” ผมจิ๊ปากใส่อย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะต้องหงอ เมื่อโดนอีกฝ่ายดุด้วยสายตาเมื่อทำกิริยาไม่น่ารัก

     

    “ผมรู้สึกว่าทางโรงพยาบาลให้ความสำคัญกับห้องนี้มากๆ คนเราจะติดกล้องวงจรในห้องที่มีแค่เอกสารทำไมตั้ง 6 ตัว” ผมหันมองไปรอบห้องเป็นอย่างที่โค้ชว่าจริงๆ ผมจึงพยักหน้าก่อนที่จะช่วยหาความลับที่เป็นความผิดปกติของห้องนี้ แต่เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงดังมาจากประตูห้อง

          กุ๊กกักๆๆ

    และด้วยสัญชาตญาณสายลับเราสองคนพุ่งเข้าไปหลบทันที ในช่องแคบๆหลังตู้ ที่มันพอให้หลบได้ ทำให้ผมต้องเบียดกับชานยอล หน้าของผมซุกอยู่ตรงแผงอกของเขา ผมที่เผลอจับกล้ามแขนเขาไว้อย่างลืมตัว ตัวเขาหอมมากๆจนผมคิดว่ากลิ่นหอมพวกนี้มันต้องซึมเข้ามาที่ร่างผมแน่ๆ 

     

    เมื่อผมรู้สึกว่าเราใกล้กันเกินไปผมถึงได้พยายามดันตัวออกเล็กน้อยแต่ก็ไม่สามารถขขยับได้มากนัก  ชานยอลยื้อผมไว้ให้อยู่นิ่ง เราสองคนฉุดกระชากกันไปมา จนหัวผมโขกกับฝาผนังโชคยังดีที่มันเป็นซีเมนต์ทำให้เสียงไม่ดังมาก แต่เจ็บสัสครับ ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อส่งสายตาอาฆาตให้กับร่างสูง เขาขยับปากพูดโดยไม่ออกเสียงว่า ‘สมน้ำหนา’ ผมจึงสะบัดแขนออกอย่างแรงจากการเกาะกุมและตัดสินใจหันหลังให้เขาและหันหน้าเข้าฝาผนัง ก่อนจะรู้สึกได้ว่ามีลมหายใจอุ่นๆรินรดต้นคอพร้อมกับแผงอกที่แนบชิดไปกับหลังผม มือใหญ่นั้นเลื้อยมาเกาะที่เอวผมจนสะดุ้งวาบ

     

                “ท่านี้ไม่ดีมั้ง” และนั่นทำให้ผมคิดได้และต้องเบิกตาโผล่ง ผมใช้ศอกกระทุ้งไปทีท้องเขาอย่างแรงจนได้ยินเสียงดังอุก ผมยิ้มกระหย่องอย่างดีใจและเมื่อบุรุษพยาบาลสองคนนั้นออกจากห้องไป ชานยอลจึงลากผมออกมาจากซอกนั้น 

     

                “ผมเป็นโค้ชคุณนะ กล้าทำร้ายผมเหรอ”

     

                “โค้ชลวนลามผมก่อนทำไม”

     

                “ผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณเลยนะ”

     

                “คะ โค้ชจับเอวผมแถมยัง…ก็นั่นแหละ ผมแค่ป้องกันตัวเอง”

     

                “หึ คุณอ่อยผมเองนี่”

     

                ผมที่กำลังอ้าปากจะอาละวาด ก็ถูกขัดจังวะด้วยเสียงเข้มๆของใครบางคนที่เปิดประตูพร้อมทั้งสาดแสงไฟเข้ามาในห้อง โดยส่องมาที่ตัวผมกับโค้ชที่กำลังยืนอยู่

     

                “ หยุดเดี๋ยวนี้นะ นั่นใคร!!"
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×