คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #40 : [SF] 7 Rooms: 7 ห้องมรณะ - 4
7 Rooms: 7 ห้องมรณะ
4
เช้าวันที่สี่ของพวกเรามาถึง แม้ตอนแรกๆ จะทานอะไรไม่ลง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความหิวโหยเข้ามาเล่นงาน สุดท้ายผมกับพี่ก็แบ่งขนมปังที่ได้เมื่อวานตอนเย็นคนละครึ่ง และตกลงกันว่าจะแบ่งกันแบบนี้ทุกวัน
จนกว่าจะถึงวันสุดท้าย
ผมเห็นท่าทางอิดระโหยหมดอาลัยตายอยากของพี่แล้วก็หมดกำลังใจ ตอนแรกพี่เป็นความหวังเดียวของผมที่จะรอดออกไปจากที่นี่ แต่ตอนนี้แม้แต่แสงสว่างริบหรี่ก็ไม่มี
“เขาทำได้ยังไงนะ เขาจับพวกเรามาฆ่าโดยไม่มีเหตุผล ฆ่าคนวันละหนึ่งคนทุกวันเป็นกิจวัตร เหมือนแปรงฟัน เหมือนกินข้าว เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา” พี่พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง
ผมเป็นคนจำพวกชอบมองความคิดของคนอื่นผ่านมุมมองของตัวเอง เมื่อไหร่ที่มีเรื่องให้คาดเดาความรู้สึกของอีกฝ่าย ผมมักจะคิดว่า ‘ถ้าฉันเป็นเขา ฉันคงจะทำแบบนี้ ฉันคงจะคิดแบบนี้’ นั่นทำให้ผมพอจะวิเคราะห์ได้บ้างว่าเหตุใดคนคนหนึ่งถึงทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งกับคนอีกคน แต่สำหรับฆาตกรโรคจิตคนนี้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเขาทำไปเพื่ออะไร ไม่ว่าจะมองในมุมมองไหน ผมและผู้หญิงทุกคนที่นี่ไม่เคยไปทำให้เขาโกรธแค้น ไม่เคยแม้แต่จะรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า แล้วเขาจะฆ่าพวกเราทำไม คนคนหนึ่งวางแผนลงมือฆ่าคนอย่างเลือดเย็นไปเพื่ออะไร เพื่อระบายความโกรธแค้น เพื่อความสุขส่วนตัวอย่างนั้นหรือ
ผมไม่รู้จริงๆ
คงเพราะผมเป็นคนธรรมดา จึงไม่อาจเข้าใจความคิดของพวกวิปริตที่จัดเป็นคนอีกจำพวก
ผมไม่อยากจมอยู่กับความคิดน่าขนลุกนี้จึงลุกขึ้นยืน ถอดเสื้อผ้าเตรียมว่ายน้ำไปห้องอื่นๆ ต่อ พี่ไม่ได้ห้ามปราม เพียงแต่มองโดยไม่พูดอะไร
ห้องแรกที่ผมไปคือห้องที่หนึ่ง ห้องของผู้หญิงที่ถูกฆ่าเมื่อวาน แล้วก็เป็นไปตามที่คิด ห้องนั้นกลายเป็นห้องว่างเปล่า เหมือนห้องปกติธรรมดาที่ผมกับพี่และผู้หญิงคนอื่นๆ อยู่ ไม่มีร่องรอยว่ามีการฆาตกรรมเกิดขึ้นอยู่เลย ไม่มีรอยเลือด ไม่มีศพ ไม่มีเศษชิ้นเนื้อ
ผมค่อยโล่งใจขึ้นมาเพราะตอนแรกกลัวว่าจะเจอกับภาพที่ไม่น่ามอง แต่ดูเหมือนเจ้าฆาตกรนั่นมีนิสัยลงมือแล้วเก็บกวาดทีเดียว
ผมส่ายหน้าเร็วๆ ไล่ความคิดน่ากลัวที่แล่นวาบเข้ามาในหัว ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องจินตนาการถึงยามที่เจ้าฆาตกรจัดการเก็บกวาดกับศพ
ภาพในหัวของผมคือ ผู้ชายร่างใหญ่ หน้าตาดุร้ายแบบที่เห็นจากตัวร้ายในละครกำลังเก็บชิ้นส่วน อวัยวะของผู้หญิงที่ตัวเองฆ่าใส่ลงถุงดำทีละชิ้นๆ
ผมดำกลับลงไปในน้ำ ให้กระแสน้ำช่วยพัดพาความคิดบ้าๆ นั่นออกไปจากหัวและว่ายไปยังห้องอื่นๆ ที่เหลืออยู่
และก็เป็นไปตามรูปแบบเดิมๆ ห้องที่เจ็ดซึ่งเป็นห้องสุดท้ายก็ยังว่างเปล่าเพราะกว่าเจ้าฆาตกรจะหาผู้หญิงมาเติมห้องนั้นก็คงจะเป็นตอนเย็น ส่วนห้องอื่นๆ ยกเว้นห้องแรกยังคงมีผู้หญิงหน้าเดิมๆ
ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ระหว่างที่กำลังว่ายกลับจากห้องที่ห้ามาที่ห้องที่สี่ซึ่งเป็นห้องของตัวเอง หากเมื่อวานซืนผู้หญิงห้องที่เจ็ดถูกฆ่า เมื่อวานผู้หญิงห้องที่หนึ่งถูกฆ่า นั่นก็หมายความว่าวันนี้จะเป็นคิวของผู้หญิงห้องที่สอง ผมรู้เพราะเจ้าฆาตกรจะทำทุกอย่างเป็นแบบแผนไม่ผิดเพี้ยน ทั้งเรื่องเวลาในการจับตัวผู้หญิง เวลาในการให้อาหาร เวลาในการฆ่า ลำดับในการฆ่าก็คงจะไม่ต่างกัน
ผมว่ายเลยห้องของตัวเองและเลยไปจนถึงห้องที่สอง
ห้องของผู้หญิงที่กำลังจะถูกฆ่าวันนี้
พอเห็นผมขึ้นมาจากน้ำ เธอก็คลานเข่าเข้ามาหา ผมจำได้ว่าเธอชื่อฮานาเพราะเคยคุยกับเธอเมื่อก่อนหน้านี้แล้วทั้งตอนทักทายกันครั้งแรกและตอนมาขอสิ่งของจากเธอตามคำสั่งของพี่
“เธอกลับมาอีกแล้วนะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้าเหมือนอย่างเคย
ผมพยักหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ เธอ
ในสายตาของผมพี่ฮานาเป็นผู้หญิงจำพวกเรียบร้อย จะเรียกว่าเหมือนผ้าพับไว้ก็คงไม่ผิดนัก เธอสวมแว่นสายตากรอบบางสีน้ำเงิน ผมยาวตรงสลวยไม่ผ่านการทำสีหรือสารเคมีทิ้งตัวลงล้อมกรอบหน้า เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นเสื้อสเวตเตอร์ไหมพรมสีครีมกับกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนที่ยาวจนกรอมเท้า
“มีอะไรเหรอ” เธอถามเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่นั่งเงียบๆ ไม่พูดอะไร
“เปล่าครับ
” ผมกำลังจะต่อประโยคว่าอยากจะมาอยู่กับพี่ แต่มันคงฟังดูแปลกๆ ที่อยู่ๆ เด็กที่ไหนก็ไม่รู้จะมานั่งอยู่ด้วยโดยไม่พูดอะไร ผมเลยโกหกไปเพื่อความสมจริง “พอดีผมทะเลาะกับพี่สาวน่ะครับ”
ผมไม่กล้าบอกหรอกว่าวันนี้ตอนหกโมงเย็นจะเป็นเวลาตายของเธอ จึงมานั่งอยู่ด้วยเพื่อเป็นการล่ำลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย
“พี่ไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์แบบพี่น้องนักหรอกนะ เพราะพี่เป็นลูกคนเดียว แต่ถ้าปรับความเข้าใจกัน หันหน้าเข้าหากันซะจะดีกว่า จะได้ไม่เสียใจทีหลัง” เธอพูด ใบหน้าของเธอหมองเสียจนผมรู้สึกผิดที่กุเรื่องขึ้นมา
“ชีวิตคนเราสั้นนะ จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าอยากทำอะไรก็รีบทำ ก่อนจะไม่มีโอกาสได้ทำ เธอกับพี่สาวก็เหมือนกัน ถ้าเวลาที่เหลือมัวแต่โกรธกัน ทะเลาะกันก็น่าเสียดายแย่”
ผมคิดตามคำพูดของเธอ ตั้งแต่จำความได้ ผมกับพี่ไม่เคยแสดงความรักกันแบบพี่น้องเพราะช่วงวัยที่ห่างกัน อีกทั้งยังเป็นคนละเพศ แทบจะไม่สนิทกันเลย หลายต่อหลายครั้งผมสัมผัสได้ถึงความห่างเหินแต่ก็ปล่อยเลยผ่านไปเพราะไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ
“แต่เธอน่ะน่าอิจฉานะ เธอตัวเล็ก จะมีชีวิตยืนยาวกว่าใครเพราะหนีไปไหนมาไหนได้” พี่ฮานาพูด
ผมลืมคิดไป ผมสามารถว่ายน้ำหนีไปห้องอื่นได้ อาจยืดเวลาตายของตัวเองไปได้อีกหน่อย แต่ถ้าผมโตขึ้นจนลอดผ่านทางระบายน้ำไม่ได้ ผมก็ต้องถูกฆ่าตายอยู่ดี หรือไม่ก็คงอดตายอยู่ในนี้ก่อนจะทันได้ถูกฆ่า
แล้วอีกสองวันข้างหน้า เมื่อถึงเวลาที่เจ้าฆาตกรเข้ามาในห้องพร้อมอาวุธสังหาร ผมจะทำอย่างไร จะยอมตายพร้อมพี่หรือจะว่ายน้ำหนีไปเพื่อเอาชีวิตรอด
“เป็นอะไรรึเปล่า หนาวเหรอ” พี่ฮานาถามเพราะเห็นว่าอยู่ๆ ผมก็ตัวสั่นขึ้นมา
“เปล่าครับ” ผมตอบ สลัดความคิดน่ากลัวนั้นทิ้ง ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา ผมไม่ควรจะคิดถึงเรื่องนี้ให้ขวัญเสีย
“เมื่อวานเธอมาขอของใช้ของพี่ใช่มั้ย”
ผมพยักหน้า เมื่อวานผมได้ยางรัดมัดผมจากเธอ
“เอาไปอีกสิ” เธอพูด พร้อมกับถอดเสื้อสเวตเตอร์สีครีมของตัวเองมาห่มให้ผม เธอคงจะเข้าใจว่าผมหนาวจริงๆ
เท่านั้นยังไม่พอ เธอดึงสายสร้อยที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวที่ ใส่เสื้อสเวตเตอร์ทับออกมา แล้วก็ถอดสร้อยเส้นนั้นให้ผม
“สร้อยนี่พี่ใส่ตลอดเวลาเลย เป็นของสำคัญของพี่ เธอต้องรักษาไว้ให้ดีๆ นะ อยู่กับเธอมันคงจะปลอดภัยได้นานที่สุด”
“จะดีเหรอครับ” ผมไม่กล้ารับสร้อยเส้นนั้นเพราะคงมีคุณค่าทางจิตใจต่อเธอไม่น้อย
“เอาไปเถอะ ยังไงพี่ก็คงไม่ได้ใช้แล้ว” เธอพูดด้วยท่าทางปล่อยวาง ผมจึงยอมรับมา
สร้อยที่ว่ามีจี้เป็นวัตถุทรงกลมสีเงิน ผมเห็นว่ามีช่องให้เปิดได้จึงถามเธอ
“ผมเปิดดูได้มั้ยครับ”
“เอาสิ” พี่ฮานาพูด
ข้างในมีรูปของผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าของเธอละม้ายคล้ายพี่ฮานา เพียงแต่ดูอายุมากกว่า
“แม่ของพี่น่ะ ท่านเสียตั้งแต่พี่ยังเด็ก พี่อยู่กับพ่อแค่สองคน ท่านให้สร้อยนี้มา บอกว่าเป็นของแม่ พี่ก็เลยเก็บไว้ติดตัวเป็นตัวแทนของแม่ ถ้าเกิดพี่ต้องตายจริงๆ ก็หวังว่าจะได้ไปอยู่กับแม่ ห่วงก็แต่พ่อ น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ลากันก่อน” เธอพูดพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆ ไหล
ผมนึกถึงพ่อของเธอ ผู้ที่สูญเสียภรรยาไปแล้วและกำลังจะสูญเสียลูกสาวคนเดียวไป ผู้ชายคนนั้นจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรเมื่อไม่เหลือคนที่รักแล้ว คงจมอยู่กับความเศร้าเสียใจไปชั่วชีวิต
ผมนิ่งเงียบ เธอเองก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก ระหว่างเราจึงมีแต่ความเงียบงันคั่นกลาง
ผมนั่งอยู่เป็นเพื่อนพี่ฮานาราวครึ่งวันแล้วจึงบอกลาเพื่อกลับมาที่ห้องของตัวเอง ตอนที่ผมออกมาเธอดูไม่ค่อยมีสติอยู่กับตัว เหมือนกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
“แล้วนายได้บอกเธอหรือเปล่าว่าวันนี้จะเป็นวันตายของเธอ” พี่อาราถามหลังจากฟังผมเล่าเรื่องราวของพี่ฮานา
“ไม่ได้บอกหรอก ไม่มีใครอยากรู้วันตายของตัวเองหรอกใช่มั้ยล่ะ” ผมตอบ
สีหน้าของพี่สลดลง
ราวหกโมงครึ่ง ผมเดินไปดูที่ทางระบายน้ำ น้ำสีขุ่นแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม สายน้ำพัดเอาแว่นตากรอบบางสีน้ำเงินผ่านหน้า ผมไม่ได้เก็บขึ้นมาแต่สวดภาวนาขอให้พี่สาวผู้เป็นเจ้าของแว่นตานี้ไปสู่สุคติและได้ไปพบกับแม่ของเธอตามที่หวัง
ขณะเดียวกันพี่สาวแท้ๆ ของผมยังนั่งพิงผนังอยู่ที่มุมเดิม ไม่ได้ลุกตามผมมา เธอมองรูปภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในจี้ล็อกเก็ตจากสร้อยคอที่ผมเพิ่งได้มา เป็นของชิ้นสุดท้ายจากผู้หญิงที่เป็นเจ้าของ
น้ำตาของพี่อารากำลังไหลเงียบๆ ระหว่างที่มองรูปภาพของผู้หญิงคนนั้น
เช้าวันต่อมา วันที่ห้าของเราสองพี่น้อง ผมรู้สึกผะอืดผะอมจนแทบไม่อยากทานอะไร แต่เพราะพี่บังคับพร้อมกับยัดขนมปังครึ่งแผ่นเข้าปาก จึงจำต้องกลืนลงไปทั้งที่ลำคอแห้งผาก
ผมเห็นพี่ดูไม่อยากอาหารเหมือนกันจึงถามด้วยความไม่เข้าใจว่าจะฝืนกินไปเพื่ออะไร
“กองทัพต้องเดินด้วยท้อง อย่างน้อยตอนนี้เราต้องไม่หิวตาย มีอะไรตกถึงท้องบ้างหัวจะได้แล่น เผื่อจะหาทางหนีไปจากที่นี่ได้”
ผมเกือบจะยั้งปากไม่ทันถามพี่ไปแล้วว่า เรายังมีหนทางรอดอยู่อีกหรือ แต่เพราะเห็นลูกฮึดของพี่แล้วค่อยใจชื้นจึงไม่อยากพูดอะไรที่ทำลายขวัญและกำลังใจ
ผมเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการออกไปสำรวจห้องอื่นๆ เหมือนเช่นเคยและพบว่าห้องที่หนึ่งมีผู้หญิงคนใหม่มาอยู่แล้ว เธอถูกตีหัวแล้วจับมาขังตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น ตามรูปแบบของฆาตกรไม่ผิดเพี้ยน ผมอยู่พูดคุยพร้อมเล่าเรื่องของตัวเองนิดหน่อยก็ออกมาแล้วกลับมาที่ห้องของตัวเอง
“กลับมาเร็วจัง” พี่ทัก
ผมไม่ตอบอะไร หยิบเสื้อผ้าที่ถอดกองไว้มาสวมแล้วนั่งที่มุมประจำของตัวเอง
ผมไม่ได้บอกพี่ว่าอยากอยู่กับพี่ให้นานที่สุด ไม่ว่าเราสองพี่น้องจะรอดไปได้หรือไม่ อย่างน้อยก็ขอใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตอยู่กับพี่ให้มากเท่าที่จะมากได้
คิดแล้วผมก็เสียดายที่ตัวเองไม่สนิทกับพี่ให้มากกว่านี้ แม้แต่จะพูดอะไรให้ซึ้งกินใจอย่างผมรักพี่ ผมจะไม่ทิ้งพี่ไปไหน ถ้าจะตายเราก็ต้องตายด้วยกัน ผมก็ทำไม่ได้
สรุปเวลาก็ผ่านเลยไปโดยที่เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเลย
ผมนั่งอยู่เฉยๆ คิดทบทวนอดีตที่ผ่านมาและอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นหากพ่อกับแม่ต้องสูญเสียลูกสาวและลูกชายทั้งสองคนไปทีเดียวพร้อมๆ กัน
ท่านคงจะเสียใจมาก แต่ผมกับพี่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก แม้จะคิดจนหัวแทบระเบิดก็หาทางหนีไปจากที่นี่ไม่ได้
ส่วนพี่อาราอยู่ในท่าคิดหนักของเธอคือนั่งกอดเข่ากัดเล็บ ตาก็มองไปที่สิ่งของไม่กี่ชิ้นที่ไปขอจากคนอื่นๆ รวมถึงของของเราสองคนที่มี
ปกติพี่จะเก็บของทุกอย่างใส่ลงในกระเป๋าสะพายซึ่งตอนถูกจับมาโดนยึดไปแล้ว จึงไม่มีอะไรติดตัวมาใช้ประโยชน์ได้เลย ในขณะที่ผมมีลูกแก้วที่ได้จากการเล่นดีดลูกแก้วกับเพื่อนอยู่สองลูกจึงนำไปสมทบรวมกับของชิ้นอื่นๆ
นานๆ ทีพี่อาราก็จะหยิบของแต่ละชิ้นที่มีมาพิจารณา เธอคงกำลังคิดใคร่ครวญว่าจะใช้ประโยชน์อะไรจากของพวกนี้ได้บ้าง
เวลาห้านาฬิกาสี่สิบนาที
วันนี้ห้องที่จะต้องสังเวยชีวิตให้กับเจ้าฆาตกรโรคจิตที่จับพวกเรามาคือห้องข้างๆ ของผมกับพี่นี่เอง พอใกล้เวลา เราสองคนจึงแนบหูกับผนังห้องที่อยู่ติดกันเผื่อว่าจะได้ยินอะไรบ้าง แต่ห้องนั้นก็ยังเงียบสนิท
ผมกับพี่หันมามองหน้ากัน เราสองคนต่างก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมรีบถอดเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วแล้วกระโจนลงน้ำ ได้ยินเสียงพี่ตะโกนไล่หลัง
“รีบกลับมาเร็วๆ นะ ใกล้จะหกโมงแล้ว”
ใช้เวลาไม่นานผมก็ว่ายไปถึงห้องที่สามซึ่งเป็นห้องที่อยู่ติดกัน หญิงสาวเจ้าของห้องนั่งซบหน้ากอดเข่า ไหล่บางสั่นไหว ได้ยินเสียงสะอื้นไห้แผ่วเบา ผมเดินเข้าไปหาเธอ วางมือลงบนไหล่เธอเบาๆ ตอนแรกเธอสะดุ้งสุดตัว แต่พอเห็นว่าเป็นผม เธอก็รีบกอดผมไว้แน่น
“วันนี้ฉันจะตายใช่มั้ย ตอนแรกฉันคิดว่าจะตายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ก็ไม่ มันต้องเป็นวันนี้แน่ๆ” เธอพูดพร่ำเสียงสั่น ผมไม่ตอบ ได้แต่มองร่างเธอด้วยความเวทนา
เธอบอกต่อว่าคาดคะเนเวลาตายได้จากระยะห่างที่มองเห็นสีน้ำเปลี่ยนเป็นสีเลือด ยิ่งนานวัน น้ำก็ยิ่งเปลี่ยนสีเร็ว จากไม่เห็น ก็เห็นตอนหกโมงสี่สิบ หกโมงครึ่ง หกโมงยี่สิบห้า เวลาลดน้อยถอยไปเรื่อยๆ จนเมื่อวาน น้ำเปลี่ยนสีทั้งที่เลยเวลาหกโมงไปเพียงราวสิบนาที ซึ่งเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เพราะยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ห้องที่ถูกฆ่าก็จะใกล้ห้องของตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ไม่แปลกที่จะเห็นสีน้ำเปลี่ยนไปเร็วขึ้นทุกวัน แล้วอีกอย่าง เธอคงจะพอคาดคะเนเวลาได้ว่าฆาตกรลงมือตอนหกโมง
“ใช่มั้ยคยูฮยอน วันนี้ฉันจะตายใช่มั้ย เธอไปไหนมาไหนได้คงจะพอรู้”
แน่นอนว่าผมรู้อยู่เต็มอก แต่การจะพูดว่าเธอต้องตายวันนี้อย่างไม่มีวิธีหลีกเลี่ยงก็ดูจะโหดร้ายเกินไป ผมจึงเลือกที่จะไม่ตอบเหมือนเดิม
ผมปล่อยให้เธอกอดร่างผมร้องไห้อยู่ชั่วครู่แล้วจึงพยายามแกะมือเธอออกจากตัว ผมไม่มีนาฬิกา จึงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่นาทีแล้ว ต้องรีบไปก่อนจะถึงเวลาหกโมง ก่อนที่ฆาตกรจะมา
“ผมต้องไปแล้วครับ” ผมพูด แต่เธอก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากตัวผม ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนแค่ไหน
“ไม่ ฉันไม่ให้เธอไป ฉันไม่อยากตายคนเดียว อยู่เป็นเพื่อนฉันนะคยูฮยอน”
ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวเข้ามาใกล้ประตูช้าๆ ผมหันไปมองที่ประตูด้วยแววตาตกใจสุดขีด ไม่มีเวลาแล้ว ผมต้องรีบไป
“ปล่อยนะครับ ผมต้องไปแล้วจริงๆ”
หญิงสาวเหมือนจะรู้ชะตากรรมของตัวเอง เธอยิ่งกอดผมเอาไว้แน่น
เสียงกลอนประตูถูกดึงเลื่อนออกจากสลัก ก่อนที่ประตูจะเปิดออก ผมหันไปมองด้วยความหวาดกลัว ภายในห้องมีเพียงแสงไฟสลัวจากหลอดไฟดวงเล็ก ทำให้ข้างนอกห้องสว่างกว่ามาก แสงจากนอกห้องส่องเข้ามากระทบจนทำให้ต้องหยีตา ผู้ชายคนนั้นยืนย้อนแสงจึงทำให้เห็นเพียงเค้าโครงร่างกาย ไม่เห็นหน้า
สิ่งที่ได้ยินตามมาหลังจากนั้นคือเสียงหมุนอย่างรวดเร็วของเลื่อยไฟฟ้าขนาดมหึมาที่ชายผู้นั้นเพิ่งจะกดเปิดสวิตช์
หัวใจของผมหล่นไปอยู่ที่ปลายเท้า แว่วอีกเสียงที่ดังขึ้นมาแทรกเสียงของอาวุธสังหารที่คร่าชีวิตหญิงสาวมาแล้วหลายสิบราย เสียงนั้นคือเสียงกรีดร้องของผู้หญิงห้องที่สามที่ยังคงกอดผมเอาไว้แน่นราวกับยึดเป็นที่พึ่ง
โจอารานั่งคุกเข่าอยู่ริมทางระบายน้ำ ตามองไปที่ปากทางที่น้องชายเพิ่งว่ายหายไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ตอนนี้ใกล้จะหกโมงแล้วแต่คยูฮยอนก็ยังไม่กลับมา ทั้งที่กำชับกำชาแล้วว่าให้รีบไปรีบกลับ
เพราะหากกลับมาช้าไปเพียงนาที อาจหมายถึงชีวิตที่จะหายไปตาม
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีแต่ราวกับหลายชั่วโมงสำหรับพี่สาวที่รอคอยการกลับมาของน้องชาย อารามองไปที่ทางระบายน้ำ สลับกับนาฬิกาข้อมือ
เข็มสั้นชี้เลขหก เข็มยาวชี้เลขสิบสอง ขณะนี้คือเวลาหกโมงตรง แต่คยูฮยอนก็ยังไม่กลับมา
‘คยูฮยอนอาจจะว่ายไปดูลาดเลาที่ห้องอื่นก็ได้’ เธอได้แต่ปลอบตัวเองไม่ให้วิตกกังวลแต่ก็ทำไม่ค่อยได้นักเพราะใจยังคงห่วงน้องชาย
หกนาฬิกาสิบสองนาที ของเหลวสีแดงฉานไหลมาจากทางระบายน้ำ ค่อยๆ ย้อมน้ำสีขุ่นให้กลายเป็นสีเดียวกับมัน เส้นผมกระจุกหนึ่งไหลตามมา
โจอาราน้ำตาไหล มือสั่นระริกยกขึ้นมาปิดปาก ไหล่บอบบางค่อยๆ โยกไหวแรงขึ้นๆ เรี่ยวแรงเหมือนจะเหือดหายไปหมด แม้แต่จะพยุงตัวไว้ไม่ให้ล้มลงไปยังทำแทบไม่ได้
“คยู
คยูฮยอน
คยูฮยอน!!” คนเป็นพี่กรีดร้องสุดเสียง เรียกชื่อน้องชายที่ไม่อาจกลับมาหาเธออีกแล้ว
-------------------------------------------
ความคิดเห็น