คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #34 : Part 19 ลางมรณะ [100%]
คยูฮยอนรีบวิ่งมาที่ห้องฉุกเฉินทันทีที่ทราบข่าวว่าทงเฮประสบอุบัติเหตุ ชายหนุ่มที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับคยูฮยอนลุกจากเก้าอี้เดินไปหาเขา
“ทงเฮเป็นยังไงบ้างครับพี่” คยูฮยอนถามเสียงหอบ เพราะรีบวิ่งมาโดยไม่ได้หยุดพัก
“เข้าไอซียูมาได้สักพักแล้วล่ะ อาจารย์จงชินดูแลเอง นายไม่ต้องเป็นห่วงนะ” ชายหนุ่มที่คยูฮยอนเรียกว่าพี่ตอบ แม้จะบอกให้รุ่นน้องที่เรียนร่วมกันมาวางใจ แต่เขากลับเป็นฝ่ายเครียดเสียเอง เพราะก่อนหน้าที่คยูฮยอนจะมาถึงไม่กี่นาที อาจารย์หมอจงชินเจ้าของไข้เพิ่งออกมาแจ้งว่าอาการของทงเฮสาหัส ยังไม่พ้นขีดอันตราย
เพราะทงเฮขับรถด้วยความเร็วค่อนข้างสูง ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย และรถคู่กรณีที่มาชนท้ายเป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ แรงชนเลยส่งผลให้ร่างของชายหนุ่มกระแทกเข้ากับตอนหน้าของรถอย่างรุนแรง กระดูกซี่โครงหักทิ่มปอด ศีรษะก็ได้รับการกระทบเทือน ยังไม่นับบาดแผลตามตัวอีก ถ้าทงเฮรอดมาได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์
คยูฮยอนอ่านสายตาของชายหนุ่มรุ่นพี่ออก เขาพอจะรู้ความรุนแรงของอาการทงเฮตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวแล้ว น้ำเสียงของรุ่นพี่หนุ่มไม่สู้ดี ระหว่างทางที่วิ่งมา คยูฮยอนจึงได้แต่สวดมนต์ขอพรจากพระเจ้าหวังให้ช่วยยื้อชีวิตของทงเฮเอาไว้
คุณหมอหนุ่มที่เป็นคนโทรตามคยูฮยอนเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินตามเดิม ในขณะที่คยูฮยอนยังคงเดินวนไปเวียนมา นั่งไม่ติดที่เพราะความเป็นห่วง
พลันสายตาของคยูฮยอนก็ไปประทะเข้ากับร่างของหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เธอก้มหน้านิ่ง ชุดกระโปรงสีหวานยับยู่ยี่ มีรอยเลือดเปรอะเปื้อนเป็นวง เมื่อรู้สึกตัวว่าถูกมอง เธอเงยหน้าขึ้นมาสบสายตา แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็ก้มหน้ากลับไปใหม่
คุ้นเหลือเกิน หญิงสาวคนนี้หน้าตาดูคุ้นเคย เหมือนเคยเห็น เคยรู้จักกันมาก่อน แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก กำลังจะไถ่ถามเพราะเห็นชุดสวยของเธอเปื้อนเลือด แต่ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ก็ตอบแทนราวกับอ่านใจคยูฮยอนออก
“เธอเป็นพยานที่อยู่ในเหตุการณ์น่ะ เธอพยายามเข้าไปช่วยทงเฮที่ติดอยู่ในรถ”
เป็นอันว่ารอยเลือดพวกนั้นก็เป็นของทงเฮ
กำลังจะถามชื่อแซ่ว่าเป็นใครมาจากไหน เพราะถ้าหากเป็นเพียงผู้ประสงค์ดี ไม่ได้รู้จักมักจี่กับทงเฮเป็นการส่วนตัวก็คงไม่มานั่งเฝ้าหน้าห้องฉุกเฉิน แต่คุณหมอหนุ่มรุ่นพี่ก็ส่งสายตาปรามว่าอย่าไปกวนเธอตอนนี้เลยจะดีกว่า เพราะดูท่าหญิงสาวจะยังช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หาย
คยูฮยอนพอจะเข้าใจ แม้ในใจจะยังติดใจสงสัยว่าเคยรู้จักกับหญิงสาวที่ไหนแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามออกไป เพียงแต่กล่าวคำขอบคุณเท่านั้น
“ทงเฮเป็นยังไงบ้าง”
ทั้งสามคนหันไปมองทางเจ้าของเสียงที่เพิ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาถึง คยูฮยอนไม่ตอบอะไร ทิ้งให้เป็นหน้าที่ของคุณหมอหนุ่มคนเดิมอธิบายด้วยคำพูดใกล้เคียงกับที่เคยเอ่ยกับคยูฮยอนไป
คิมจงอุนรับรู้เรื่องราวด้วยใบหน้าเครียดขึง สัญชาตญาณของคนที่ผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มานักต่อนักบอกว่าโอกาสที่ทงเฮจะรอดนั้นน้อยมาก เขาพอจะรู้อาการคร่าวๆ และทำใจรอรับแล้ว เพราะตอนที่ได้รับข่าวทางโทรศัพท์ อีกฝ่ายบอกเล่าให้ฟังหมดแล้ว ในขณะที่ไม่ได้บอกให้คยูฮยอนรู้ เพราะกลัวจะทำใจไม่ได้
คยูฮยอนนั้นสนิทกับทงเฮที่สุดในคนที่อยู่ที่นี่ ถ้าใครจะเสียใจที่สุดถ้าทงเฮจากไปก็คงต้องเป็นคยูฮยอนอย่างไม่ต้องสงสัย จงอุนก็ทำได้เพียงแค่ช่วยภาวนาให้ทงเฮรอดอีกคน
“ฉันโทรบอกคุณน้าของทงเฮแล้วนะ ท่านกำลังรีบเดินทางกลับจากอเมริกา” จงอุนพูด คยูฮยอนพยักหน้าเนือยๆ เพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาเลยถึงกับลืมแจ้งข่าวให้ญาติของทงเฮทราบเรื่อง โชคดีที่จงอุนมีสติ จัดการให้แล้ว
จงอุนเดินมาที่เก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน ตั้งใจว่าจะนั่งรออีกคน แต่แล้วก็เห็นหญิงสาวนั่งก้มหน้าอยู่ตรงข้าม ไม่ต้องเสียเวลานึก จงอุนก็รู้ทันทีว่าเธอเป็นใคร เพราะเขาอยู่กับเธอมาครึ่งค่อนวัน แต่อารามตกใจทำให้จงอุนลืมตัว เผลอทักออกไป
“คุณซองมิน คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
อีซองมินสะดุ้งเฮือก คล้ายเพิ่งหลุดจากความคิดของตัวเอง ดวงตากลมโตฉายแววตื่นตระหนก ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น มองหน้าจงอุนก่อนจะเหลือบตามองไปด้านข้าง เห็นสายตาคมกริบจ้องมองด้วยความไม่พอใจ ซองมินก็รีบก้มหลบตา
คยูฮยอนขบกรามแน่น ตอนนี้เขาไม่สงสัยแล้วว่าทำไมถึงได้คุ้นหน้าหญิงสาวคนนี้นัก แต่ที่สงสัยยิ่งกว่าคือคนไข้แผนกจิตเวชที่ควรจะอยู่ในห้องพัก ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ซ้ำยังอยู่ในสภาพแบบนี้ แล้วยิ่งร้ายกว่านั้น ดูจงอุนจะรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้แท้ที่จริงเป็นซองมินปลอมตัวมา
“กลับห้องซะ ผมจะไปส่ง” คยูฮยอนพูดเสียงเย็นยะเยือก แววตายังฉายแววขุ่นเคือง มือหนาบีบต้นแขนของซองมินแน่นจนอีกฝ่ายนิ่วหน้า แม้จะอยากรู้เรื่องของซองมินแค่ไหน แต่นี่ยังไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องนี้
“ผมขออยู่ที่นี่ก่อนได้ไหมครับ ขอร้องล่ะ ผมเองก็เป็นห่วงคุณทงเฮเหมือนกัน” ซองมินพูดเสียงสั่น มองสบนัยน์ตาวาววับของคยูฮยอน คราวนี้ไม่หลบตา ไม่กลัวเกรง กลับเป็นคยูฮยอนเสียอีกที่เบือนหน้าหนี เพราะทนมองผลึกตาใสที่สั่นระริกคล้ายกำลังจะปล่อยหยดน้ำตาออกมาอยู่รอมร่อไม่ไหว แต่มือของคยูฮยอนก็ยังบีบแขนซองมินอยู่อย่างนั้น
“พอเถอะคยูฮยอน ให้คุณซองมินอยู่ที่นี่แหละ ฉันรับผิดชอบเอง” จงอุนเป็นฝ่ายเข้ามาไกล่เกลี่ย ดึงมือคยูฮยอนที่จับแขนซองมินไว้ออก เขารู้ดีว่าซองมินเป็นห่วงทงเฮมากไม่แพ้กับพวกเขา เพราะไม่อย่างนั้น ชายหนุ่มที่กำลังมีความผิดติดตัวคงไม่นั่งรออยู่เฉยๆ จนปล่อยให้ความแตกแบบนี้ ถ้าไม่ห่วงจริงคงหนีกลับไปตั้งแต่คยูฮยอนยังไม่มาแล้ว
คยูฮยอนยอมรามือง่ายๆ แต่ก็ส่งสายตาวาวโรจน์ คาดโทษทั้งคนไข้ ทั้งชายหนุ่มรุ่นพี่ แล้วผละตัวออกมากอดอกพิงกำแพงรอฟังผลเงียบๆ ตาจ้องไปที่ประตูห้องฉุกเฉิน รอให้มันเปิดออกพร้อมผลการรักษาของทงเฮ ในขณะที่อีกหนึ่งหนุ่มซึ่งเป็นคนนอกไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรได้แต่งุนงงว่าทำไมหญิงสาวหน้าหวานสวยคนนั้นกลายเป็นผู้ชายไปได้แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามออกไปเพราะไม่ใช่เวลา
หน้าห้องฉุกเฉินเงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เสียงสะอื้นไห้แผ่วเบาของซองมินจึงดังชัด เรียกความสนใจจากชายหนุ่มทั้งสามคน คยูฮยอนยังคงยืนกอดอกอยู่ที่เดิม เพียงแต่หันมองด้วยความแปลกใจระคนวูบไหวแปลกๆ
ซองมินอยู่ๆ ก็ร้องไห้
ร้องไห้ทำไม
“คุณซองมินเป็นอะไรไปครับ อย่าร้องไห้สิ” จงอุนที่นั่งอยู่ข้างลูบหลังปลอบแผ่วเบา เห็นน้ำตาชายหนุ่มไหลออกมาเป็นเขื่อนแตกแล้วใจไม่ดี
“คุณร้องไห้ทำไมคุณซองมิน อย่าทำแบบนี้สิ ทงเฮยังไม่เป็นอะไรซักหน่อย” คยูฮยอนตำหนิเสียงเข้ม ตอนนี้เขากลัวเหลือเกิน อะไรที่บ่งบอกถึงลางร้าย เขาไม่ชอบใจทั้งนั้น และยิ่งขัดเคืองใจเมื่อเห็นจงอุนดึงตัวซองมินมากอดปลอบ
ร่างของซองมินยิ่งสั่นเทิ้มหนัก ยิ่งสะอึกสะอื้นแรง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกใจที่คยูฮยอนเสียงดังใส่หรือเพราะเหตุผลอะไรกันแน่
คยูฮยอนเม้มปากแน่น เก็บโกรธอารมณ์ขุ่นเคืองที่พลุ่งพล่านขึ้นมาเพราะหลายๆ เหตุปัจจัย อยากจะตรงเข้าไปดึงตัวซองมินออกจากอ้อมกอดของจงอุน แต่ประตูห้องฉุกเฉินที่เปิดออกพร้อมร่างนายแพทย์สูงวัยก็หันเหความสนใจเขาไปเสียก่อน
“อาจารย์ครับ ทงเฮเป็นยังไงบ้างครับ” คยูฮยอนเอ่ยถามอาจารย์แพทย์ที่เคยสอนเขาตอนยังเรียนด้วยน้ำเสียงร้อนรน
นายแพทย์เจ้าของไข้ตบไหล่คยูฮยอนเบาๆ แล้วส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะเดินจากไป
ไม่ต้องมีการแจ้งอาการ ไม่ต้องมีคำพูดแสดงความเสียใจ คยูฮยอนรวมถึงทุกคนในที่นั้นก็เข้าใจดีว่ามันหมายความว่าอย่างไร คยูฮยอนเข่าอ่อนทรุดลงไปกองที่พื้น น้ำตาไหลอาบหน้า
“ไม่จริงใช่ไหม มันไม่จริงใช่ไหม ทงเฮต้องไม่ตายสิ ไม่! นี่ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม!” คยูฮยอนพร่ำพูดคำเดิมซ้ำๆ
จริงแท้แน่นอน ซองมินรู้ดีแก่ใจ เขารู้ผลตั้งแต่ก่อนที่ประตูห้องฉุกเฉินจะเปิดออกแล้ว รู้ตั้งแต่เห็นวิญญาณของทงเฮยืนมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาอาวรณ์
จงอุนผละออกไปปลอบใจคยูฮยอน เช่นเดียวกับนายแพทย์หนุ่มอีกคนที่อยู่ที่นั่น ทิ้งให้ซองมินนั่งร้องไห้เงียบๆ จมอยู่กับความรู้สึกผิดที่ถาโถมเข้ามาในใจ
เขาน่าจะรู้ดีว่ามันคืออะไร ลางมรณะ ลางบอกเหตุร้าย ทั้งที่เห็นมากับตา เห็นกระทั่งวิญญาณหญิงสาวคนนั้นว่ากำลังติดตามทงเฮพร้อมความอาฆาตมาดร้าย แล้วทำไมจึงไม่ฉุกใจคิดให้เร็วกว่านี้ ทำไมจึงปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ทำไมจึงไม่ไปเตือนทงเฮก่อน
บางทีถ้าเขาหยุดยั้งทงเฮไม่ให้ขับรถออกไป เรื่องเลวร้ายนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
เป็นความผิดของเขาเอง
.
ซองมินหันมองคยูฮยอนที่กอดจงอุนร้องไห้ เห็นร่างที่ไม่มีใครมองเห็นของทงเฮที่ยื่นมือไปลูบหลังคยูฮยอนแต่ก็ทะลุผ่านไปก็ยิ่งสะเทือนใจ
ทงเฮหันกลับมา สานสายตาเข้ากับซองมินอย่างจัง รู้ว่าอีกฝ่ายรับรู้ถึงการมีตัวตนของตนเอง
------------------------------------------- 40% -----------------------------------------------
ประตูห้องพักคนไข้เปิดออก ชายหนุ่มในชุดคนไข้สีชมพูดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงโดยอัตโนมัติ ใจเต้นรัวเร็วเฉกเช่นทุกครั้งยามที่มีผู้เข้ามาเยือนในห้อง แต่คราวนี้แปลกที่บุคคลภายนอกผู้นั้นไม่ยักจะเคาะประตูก่อนเปิดเข้ามา
รยออุคนอนนิ่ง ใจภาวนาขออย่าให้ความแตกพร้อมๆ กับที่นึกก่นด่าพี่ชายสุดที่รักในใจที่มาช้ากว่าที่กำหนดไว้หลายชั่วโมง
“คุณรยออุคครับ”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น แรกเริ่มชายหนุ่มเจ้าของชื่อสะดุ้งตกใจเพราะคิดว่าโดนจับได้เสียแล้ว แต่เมื่อพิจารณาถึงเนื้อเสียงจึงรู้ว่าเป็นของคุณหมอหนุ่มที่พาพี่ชายเขาออกไป หนึ่งในผู้ร่วมแผนการนั่นเอง
“โธ่! คุณหมอนี่เอง ผมใจหายใจคว่ำหมด...” รยออุคบ่นเบาๆ ขณะที่ดึงผ้าห่มที่คลุมปิดหน้าออก แต่เมื่อเห็นสภาพของซองมินที่ยืนซ้อนทับจงอุน รยออุคก็ตะลึงงัน
รอยเปื้อนสีแดงข้นเปรอะเต็มชุดเดรสสีชมพู ดูอย่างไรก็เลือดชัดๆ ไหนจะยังใบหน้าหวานที่ตอนนี้ดูแทบไม่ได้ ดวงตาบวมช้ำเหมือนผ่านการร้องไห้มา อายไลน์เนอร์ที่เขียนกรีดไว้อย่างสวยงามเลอะเป็นรอยตามคราบน้ำตา นี่ถ้าไม่ติดว่าสภาพซองมินในตอนนี้ชวนให้น่าเป็นห่วง รยออุคต้องหลุดหัวเราะออกมาแน่ๆ
“พี่ซองมิน! ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ไปโดนอะไรมา ทำไมถึง...” รยออุคถามรัวเร็ว มือจับไหล่ซองมินหมุนสำรวจตัว
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะครับ คุณซองมินไม่ได้บาดเจ็บอะไร แต่...” จงอุนพยายามจะอธิบายสถานการณ์ แต่ก็พูดไม่ออก มันยากที่จะเชื่อว่าทงเฮได้จากไปแล้วทั้งที่ไม่กี่วันก่อนยังเห็นหน้า ยังได้คุยปะทะคารมกัน
เพราะท่าทีของจงอุนทำให้ซองมินน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มโผเข้ากอดรยออุค สะอื้นไห้พลางละล่ำละลักพูด
“คุณทงเฮตายแล้วรยออุค คุณทงเฮตายแล้ว!”
“ว่ายังไงนะ” รยออุคถามเสียงแผ่ว หันมองหน้าจงอุน ฝ่ายนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
แม้จะไม่สนิทกันซ้ำยังไม่ชอบหน้า แต่รยออุคเองก็อดใจหายไม่ได้เช่นกัน
“ใจเย็นๆ ก่อนนะพี่ซองมิน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” รยออุคดึงตัวซองมินออกจากอ้อมกอด พยายามจะถาม แต่ซองมินก็เอาแต่ส่ายหน้า
“อย่าเพิ่งถามอะไรดีกว่านะครับ ตอนนี้พวกคุณรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ ถ้ามีใครมาเห็นเข้าจะเป็นเรื่องใหญ่” จงอุนเตือนสติ
“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ คุณหมอเองก็เห็นว่าเขารู้เรื่องแล้ว” ซองมินพูด ยอมรับชะตากรรมตัวเอง คยูฮยอนรู้เรื่องนี้แล้วมีหรือจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ เขาคงต้องถูกคุมเข้ม อาจจะไม่สามารถออกไปไหนมาไหนในโรงพยาบาลได้อย่างเมื่อก่อน หรือถ้าร้ายแรงกว่านั้นคงถูกจับมัดติดอยู่กับเตียง
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกนะครับ เดี๋ยวผมจะลองคุยกับคยูฮยอนดู” จงอุนพูด
รยออุคที่ได้ยินชื่อของคยูฮยอนหลุดออกมาก็หน้าตาตื่น หมายความว่าอย่างไร คยูฮยอนรู้เรื่องที่ซองมินปลอมตัวออกจากโรงพยาบาลแล้วหรือ
“พี่ซองมิน หมายความว่าไง” รยออุคพยายามจะถาม แต่กลับถูกกันออกจากบทสนทนา
“รีบไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะนะครับ เรื่องอื่นไว้ค่อยคิดทีหลัง นะครับคุณซองมิน” จงอุนเกลี้ยกล่อมซองมินที่ดูจะปลงตกกับชีวิตไปแล้ว
รยออุครู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้เร่งด่วนและน่าเป็นห่วงแค่ไหน ชายหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลง ดึงมือซองมินลากเข้าห้องน้ำแล้วปิดประตูดังปังใหญ่
ใช้เวลาไม่นานนัก ซองมินกับรยออุคก็ออกมาจากห้องน้ำในชุดเสื้อผ้าที่เหมือนกับเมื่อตอนเช้า ใบหน้าของซองมินกลับมาสะอาดใส ไร้เครื่องสำอาง แม้อายแชโดว์ที่เปลือกตาจะลบออกไม่หมดจด แต่หากไม่สังเกตให้ดีก็คงจะดูไม่ออก
รยออุคส่งครีมเช็ดเครื่องสำอางเพื่อให้ซองมินใช้จัดการกับเครื่องสำอางที่ยังหลงเหลือบนใบหน้า อีกฝ่ายเพียงแต่รับมาเงียบๆ ไม่พูดอะไร ดวงตาที่เคยกลมใสบัดนี้แดงก่ำจนจงอุนอดคิดไม่ได้ว่าที่รยออุคใช้เวลาลบเครื่องสำอางซองมินไม่นานนักเพราะเจ้าตัวคงใช้น้ำตาช่วยลบ
“หมดธุระแล้ว นายก็รีบกลับไปเถอะ เรื่องวันนี้พี่ขอบคุณมากนะ ขอบคุณคุณหมอด้วยนะครับ” ซองมินพูดเสียงแผ่ว
“ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนไหม” รยออุคอดจะถามออกไปไม่ได้ด้วยความเป็นห่วง แต่ซองมินก็ปฏิเสธกลับมาอย่างนิ่งเฉยว่าอยากอยู่คนเดียว สุดท้ายจึงจำต้องเอ่ยคำลาแล้วออกจากห้อง
แม้จะไม่เห็นด้วยที่ทิ้งซองมินที่สภาพจิตใจกำลังย่ำแย่ให้อยู่คนเดียว แต่จงอุนก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องตามรยออุคออกมาจากห้อง หันมาถามชายหนุ่มผู้เป็นน้องชายคนที่นึกเป็นห่วงว่าเหตุใดจึงล่าถอยออกมาอย่างง่ายดาย
“คุณซองมินดูไม่ดีเลยนะครับ ปล่อยเอาไว้คนเดียวแบบนี้จะดีเหรอ”
“เชื่อผมเถอะครับ ปล่อยให้พี่เขาอยู่กับตัวเองสักพักเถอะ อย่าเข้าไปกวนเขาเลย” รยออุคตอบปลงๆ
ไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วง เขาเองก็เป็นห่วงซองมินไม่แพ้จงอุน เผลอๆ อาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่เขารู้ดีว่าซองมินเป็นคนอย่างไร ยิ่งไปเซ้าซี้กวนใจตอนกำลังมีปัญหา ก็จะยิ่งอึดอัดมากเท่านั้น
“ผมมีอะไรบางอย่างอยากจะถามคุณเรื่องคุณซองมิน”
คำพูดของคุณหมอหนุ่มทำให้รยออุคที่เดินนำหน้าไปแล้วหยุดฝีเท้าก่อนจะหันกลับมามองสบสายตาคมที่เจือความคลางแคลงสงสัยเต็มเปี่ยม
“ครับ” รยออุคตอบรับ ในใจนึกหาคำตอบทั้งที่จงอุนยังไม่ทันได้ถามอะไร เขาพอจะเดาออกว่าชายหนุ่มมีคำถามใดในใจ
“เด็กผู้หญิงที่ชื่ออึนจูคนนั้นเป็นใครกันแน่ มีความสัมพันธ์อะไรกับคุณซองมิน ทำไมเขาถึงกับต้องเสี่ยงออกจากโรงพยาบาลไปที่บ้านเด็กคนนั้น”
“ผมไม่ทราบครับ” รยออุคตอบตามตรง ซองมินไม่เคยเล่าเรื่องเด็กคนนี้ให้เขาฟังอย่างละเอียด ข้อมูลที่เขารับรู้มีเท่ากับที่จงอุนทราบเท่านั้น อันที่จริงเขาไม่คิดว่าจงอุนจะถามอ้อมค้อมแบบนี้ เพราะถ้าหากเป็นเขาแล้วล่ะก็ คงจะถามตรงประเด็นจะๆ กันไปเลยว่าซองมินมีสิ่งพิเศษอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกับคนทั่วไปหรือเปล่า เขาคิดว่าจงอุนน่าจะพอสัมผัสได้ถึงความสามารถที่แฝงอยู่ในตัวซองมินแล้ว
“แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าเด็กคนนั้นตายไปแล้ว” จงอุนยังคงถามต่อในเรื่องเดิม
รยออุคเพียงยักไหล่ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธกับคำถามนี้ อันที่จริงเขาเองก็เพิ่งจะทราบว่าเด็กหญิงอึนจูเสียชีวิตไปแล้วจากปากของคุณหมอหนุ่มคู่สนทนา แต่เขาไม่ได้มีท่าทีตกใจนัก เพราะพอจะคาดเดาได้อยู่แล้ว
อะไรที่เกี่ยวข้องกับซองมินมักไม่พ้นเรื่องของคนตาย
“คุณรู้
?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ คุณหมอสงสัยเรื่องอะไรก็ถามมาตรงๆ เลยดีกว่าครับ ผมมีเวลาไม่มาก” รยออุคพูดตัดรำคาญ ไม่อยากยืดเยื้อวุ่นวายอีกแล้ว
“ผมไม่รู้จะถามยังไง เหตุการณ์ที่ผมเจอวันนี้ มัน
พูดยาก” จงอุนพูด หน้าตาลำบากใจ สิ่งที่ซองมินทำ ไม่รู้ว่าจะอธิบายเป็นคำพูดอย่างไร ผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งสามารถเกลี้ยกล่อมให้หญิงสาวผู้มีอาการทางจิตยอมรับว่าลูกสาวตัวเองเสียชีวิตทั้งที่ปฏิเสธความจริงและอยู่กับศพมาได้หลายเดือน ซองมินกลับทำได้วำเร็จภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง หญิงสาวผู้นั้นยอมรับสภาพทุกอย่างได้อย่างสงบ ซ้ำซองมินยังมีท่าทีเหมือนสามารถสื่อสารกับวิญญาณของเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่าอึนจูได้ แม้ยากจะเชื่อแต่เขาก็ไม่อาจคัดค้านสายตาตัวเองได้
“มีหลายเรื่องบนโลกใบนี้ครับที่ยากเกินจะเข้าใจ แต่ผมว่าผมเข้าใจคุณนะ มันอาจจะเหลือเชื่อไปสักหน่อย แต่ถ้าคุณคิดจะอยู่ใกล้กับพี่ซองมิน คุณต้องยอมรับมันให้ได้ครับ” รยออุคทิ้งท้ายคำพูดแฝงปริศนาพร้อมกับรอยยิ้มมีเลศนัยก่อนจะจากไป
จงอุนยืนนิ่ง ครุ่นคิดถึงคำพูดที่รยออุคฝากเอาไว้ ถ้าคิดจะอยู่ใกล้ซองมิน เขาต้องยอมรับมันให้ได้ สิ่งนั้นคืออะไร เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาอย่างนั้นน่ะหรือ
คร้านจะคาดเดา เห็นทีเขาต้องลองเข้าไปใกล้ชิดกับซองมินดูจริงๆ ก่อนละกระมัง!
เสียงประตูห้องดังขึ้นมาอีกครั้งตอนสามทุ่มกว่า ชายหนุ่มเจ้าของห้องถอนใจแผ่วเบา
วันนี้เขาเหนื่อยมาทั้งวัน ทั้งที่อยากพักผ่อนนอนหลับให้สบาย แต่หลังจากประตูห้องเปิดออกครั้งสุดท้ายตอนหกโมงเมื่อนายแพทย์ประจำตัวมาเยี่ยม ชายหนุ่มก็ไม่ได้พักอย่างที่คิดเอาไว้เลย ไม่ว่าจะข่มตานอนอย่างไรก็หลับไม่ลง แล้วยังจะตอนนี้อีก ดึกดื่นป่านนี้ยังจะให้เขาปั้นหน้ารับแขกอีกหรือ
แล้วก็เหมือนกับที่เคย ไม่ต้องรอให้มีเสียงตอบรับจากเจ้าของห้อง ประตูก็เปิดออก พร้อมกับร่างสูงโปร่งที่คุ้นเคย คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดในตอนนี้
คยูฮยอนในเวลานี้นิ่งเฉยและเครียดขรึมกว่าที่เคย ดวงตาคมยังคงมีร่องรอยบ่งบอกว่าผ่านการร้องไห้มาแต่ยังไม่ทิ้งความดุดันที่ทำให้ซองมินหนาวๆ ร้อนๆ ทุกครั้งที่สานสบยามเจ้าตัวอารมณ์ไม่ดี เขาจึงเบือนหน้าชิงหลบตาเสียเพราะรู้จุดมุ่งหมายการมาเยี่ยมเยือนยามวิกาลของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญดี
ต่างฝ่ายต่างเงียบงัน มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศกับเสียงโทรทัศน์เท่านั้นที่ยังดังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นี้ ความอึดอัดแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง สุดท้ายซองมินเป็นฝ่ายทนไม่ไหว เอ่ยปากออกไปก่อน
“มีธุระอะไรครับ”
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณสองเรื่อง” คยูฮยอนพูด เสียงของชายหนุ่มแห้งผาก ไม่ทุ้มนุ่มรื่นหูอย่างที่เคย “เรื่องแรก ที่คุณออกจากโรงพยาบาลไปโดยไม่ได้รับอนุญาต คุณรู้ใช่ไหมว่ามันไม่ถูกต้อง”
“รู้ครับ คุณจะจัดการลงโทษยังไงก็ตามสบายเลยครับ ผมรับผิดทุกอย่าง” ซองมินตอบรับอย่างไร้อารมณ์
“หึ! เก่งจริงนะ” คยูฮยอนเบ้หน้า พึมพำในลำคอ แต่ก็ดังพอให้ซองมินได้ยิน ผลคือชายหนุ่มตวัดสายตามอง ท่าทางไม่พอใจ
“ก็แล้วคุณจะเอายังไงล่ะ”
“คุณไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณซองมิน ผมไม่ทำอะไรหรอก เพราะถึงยังไงคุณก็กลับมา แต่เรื่องที่คุณหายไปไหน ไปกับใครแล้วทำไมถึงต้องออกไป ซักวันผมต้องสอบสวนคุณแน่” คยูฮยอนพูด สะกดกลั้นอารมณ์กรุ่นๆ ที่เริ่มคุขึ้นมาโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
“งั้นเชิญคุณลงโทษผมตามระเบียบการของโรงพยาบาลเถอะครับ ผมเหนื่อยที่จะต้องอธิบาย ต้องพูดเรื่องที่คุณมองว่าไร้สาระ” ก็ถึงพูดไปอีกฝ่ายก็ไม่เชื่อกันอยู่ดี จะเสียแรง เสียเวลา เหนื่อยกาย เหนื่อยใจชี้แจงไปเพื่ออะไรเล่า
“จะลงโทษหรือไม่ลงโทษคุณ ยังไงผมก็ต้องรู้ให้ได้อยู่ดีนั่นแหละครับ นี่ไม่ใช่ข้อเสนอให้คุณเลือกนะครับ”
“ผมต้องขอบคุณคุณสินะครับที่อุตส่าห์ใจดีช่วยปกปิดเรื่องให้ ไม่รายงานเรื่องนี้กับทางโรงพยาบาล” ซองมินอดจะประชดออกไปไม่ได้ คนอย่างคยูฮยอนน่ะหรือจะช่วยเหลือกันฟรีๆ ในสายตาของซองมิน ผู้ชายคนนี้ไว้ใจไม่ได้ การที่คยูฮยอนยอมเก็บเรื่องไว้ต้องมีเหตุผลบางอย่างเคลือบแฝง
:ซองมินเข้าใจไม่ผิด คยูฮยอนมีเหตุผลที่ช่วยเหลือเขา เพียงแต่ชายหนุ่มไม่คิดว่าจะเป็นเหตุผลนี้
“ที่ผมทำไปเพราะเห็นแก่ที่คุณช่วยทงเฮเอาไว้”
“ทั้งที่ไม่สำเร็จน่ะเหรอครับ” ซองมินต่อกลับไป ในใจรวดร้าวขึ้นมาอีก
แต่เมื่อเห็นสายตาหมองเศร้าของคยูฮยอน ชายหนุ่มก็ก้มหน้าหลบตา ความรู้สึกผิดพุ่งปะทุขึ้นมาอีกครั้ง คำพูดของเขาเหมือนเป็นการตอกย้ำว่าทงเฮได้ตายไปแล้ว
คยูฮยอนคงจะเสียใจมาก เขาไม่น่าพูดออกไปแบบนั้นเลย
“เรื่องที่สองที่ผมจะมาแจ้งกับคุณ เป็นเรื่องของทงเฮ” คยูฮยอนพูด เสียงของชายหนุ่มสั่นพร่า ก้อนแข็งๆ ขึ้นมาจุกที่คอ “คุณเป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์ตอนเกิดเรื่อง ตำรวจเลยอยากสอบปากคำคุณ แต่เพราะตอนนั้นคุณอยู่ในรูปลักษณ์ผู้หญิง จึงไม่มีใครรู้จัก ผมกับพี่จงอุนก็ไม่ได้บอกว่าคุณเป็นใครเพราะคิดว่าคุณคงไม่อยากวุ่นวายกับเรื่องนี้”
“ครับ ขอบคุณมากนะครับ” ซองมินเอ่ยคำขอบคุณจากใจจริง เขาเหนื่อยล้าเกินกว่าจะมานั่งตอบคำถามซับซ้อนของตำรวจ ไม่แคล้วอาจจะโดนถามลึกถึงขั้นทำไมถึงหนีออกจากโรงพยาบาลจนไปพบเห็นเหตุการณ์และทำไมถึงต้องแต่งตัวเป็นผู้หญิง เรื่องคงได้บานปลายไปมากกว่านี้
แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังคาใจจนอดเอ่ยปากถามออกไปไม่ได้
“แต่อุบัติเหตุแบบนี้ตำรวจต้องสอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์ด้วยเหรอครับ”
คยูฮยอนส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “อุบัติเหตุทั่วไปผมก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ”
“ครับ?”
“รถของทงเฮถูกตัดสายเบรก เป็นคดีฆาตกรรม”
“รถของทงเฮถูกตัดสายเบรก เป็นคดีฆาตกรรม”
เพราะประโยคนี้ประโยคเดียวแท้ๆ ที่ทำให้ซองมินยังคงนอนลืมตาโพลงทั้งที่เวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่มาได้สามชั่วโมงแล้ว ปกติแล้วถ้าไม่จำเป็นชายหนุ่มจะไม่เข้านอนเลยเวลาเที่ยงคืน
แล้วเหตุการณ์ในครั้งนี้เรียกว่าจำเป็นแล้วหรือ
อันที่จริง ไม่ว่าทงเฮจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร มันไม่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด
เอาล่ะ เกี่ยวนิดหน่อยก็ได้ที่เขาเห็นลางร้ายแล้วไม่รีบเตือนทงเฮก่อน หากชายหนุ่มคนนั้นไม่ขับรถไปต่อก็อาจจะไม่เกิดเรื่องขึ้น แต่หากคิดแบบเห็นแก่ตัว เขาเองก็ไม่เคยสัมผัสลางร้ายในรูปแบบนี้กับใครมาก่อน บางทีสิ่งที่ดูคล้ายกับรอยเลือดที่เกิดขึ้นตามหลังทงเฮตอนเดินนั่นอาจจะไม่ใช่ลางร้ายเลยก็ได้
ปฏิเสธตัวเองเพื่อปลุกปลอบใจไปก็เท่านั้น เขายังจำความรู้สึกยามที่ได้เห็นภาพรอยเลือดที่ว่านั่นได้ ถึงไม่เคยเห็นมาก่อนแต่ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่านั่นคือลางมรณะอย่างไม่ต้องสงสัย
สุดท้ายเรื่องก็วนกลับมาที่เดิมคือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในตัวซองมินตีรวนกับกลไกการป้องกันตัวตามธรรมชาติของมนุษย์
แล้วยังไงล่ะทีนี้
ประเดี๋ยวก็จะมีภาพของทงเฮในสภาพอาบเลือดที่เขาพยายามช่วยออกมาจากซากรถนั่นยังไงล่ะ ทั้งภาพ ทั้งสัมผัส ทั้งกลิ่นคาวเลือดยังติดตรึงอยู่ไม่หาย นึกย้อนกลับไปแล้วก็ยังตกใจในความกล้าของตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะทำแบบนั้นลงไปได้
แต่ถึงให้เขาแกล้งทำเป็นลืม ๆ เรื่องนั้น แต่ภาพน่าสยดสยองของทงเฮก็ยังตามมาหลอกหลอนอยู่ดี เพราะอะไรน่ะหรือ
.
‘หลับซักทีสิอีซองมิน ได้โปรดหลับให้ได้ซักที’ รอบที่หลายร้อยแล้วกระมังที่เขาวนเวียนท่องประโยคนี้ในใจ พร้อม ๆ กับที่พยายามข่มตานอนหลับ แต่มันไม่ช่วยให้เขาเข้าสู่นิทรารมณ์ได้อย่างใจคิดเลย
สาเหตุหนึ่งก็เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายยังตามมาหลอกหลอนอยู่ในหัว ก็ไอ้เรื่องความรู้สึกผิดที่ช่วยทงเฮไว้ไม่ได้ทั้งที่น่าจะช่วยได้กับเรื่องอุบัติเหตุที่สุดท้ายกลายเป็นความตั้งใจนั่นล่ะ
ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งน่ะหรือ
ใครมันจะหลับลงกันถ้าถูกจ้องมองจากทางด้านหลังอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ซ้ำคนที่มองยังไม่ใช่คนอีกด้วย
นี่ก็ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงแล้วกระมังที่ทงเฮยืนจ้องเขาเขม็งแบบนี้
“ฉันรู้ว่านายมองเห็นฉันซองมิน เลิกแกล้งทำเป็นไม่สนใจฉันซักที!” ประโยคแรกจากทงเฮดังขึ้นหลังจากที่นิ่งเงียบอยู่นาน แม้จะสะดุ้งตกใจ แต่ซองมินก็ยังคงทำแบบเดิม คือแกล้งทำเป็นนอนหลับ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสีย ทั้งที่อกแทบจะระเบิดอยู่แล้ว
ห้องกลับสู่ความเงียบอีกครั้งราวนาที ซองมินลอบถอนใจ คิดว่าทงเฮอาจจะไปแล้วเพราะไม่รู้สึกเย็นวาบข้างหลังเหมือนทุกครั้งที่รู้สึกเวลามีวิญญาณอยู่ใกล้ แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่กล้าหันหน้ากลับไปมอง
ผ่านไปอีกราวห้านาที ซองมินจึงลืมตาขึ้น เมื่อหันกลับไปมองทางข้างหลังก็ไม่พบว่ามีใครหรืออะไรอยู่แล้ว เท่านั้นคนไข้หนุ่มจึงถอนหายใจได้อย่างเต็มอก
แต่เมื่อหันมองกลับมาที่เดิม
.
“อ๊ากกกกกก!” ซองมินกรีดร้องสุดเสียง ถลันลุกจากที่นอน พยายามจะวิ่งหนีแต่สุดท้ายก็ลงไปล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
วิญญาณชายหนุ่มนามทงเฮไม่ได้หายไปไหน แต่กลับย้ายมาอยู่อีกด้านของซองมินเท่านั้น ซ้ำใบหน้ายังประชิดจนลมหายใจแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน และมันคงจะน่ากลัวน้อยกว่านี้ถ้าทงเฮไม่ได้ปรากฏตัวในรูปลักษณ์ก่อนตาย อีกทั้งยังมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดรุนแรง
“มองเห็นฉันจริง ๆ ด้วยสินะ” ทงเฮเอ่ยเสียงเย็น มองดูซองมินที่พยายามลนลานคลานหนีด้วยสายตาสมเพช
“คุณทงเฮ ผมขอโทษที่แกล้งทำเป็นเมินคุณ แต่อย่ามาหลอกมาหลอนผมเลยนะครับ ผมกลัวแล้ว” ซองมินละล่ำละลักพูด หลับตาปี๋ ยกสองแขนขึ้นปิดบังใบหน้าป้องกันตนเอง
“ฉันแค่มาขอให้นายช่วย”
“ครับ?” อาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงที่อ่อนลงจนน่าสงสารของทงเฮกระมังที่ทำให้ซองมินลืมความกลัวไปชั่วขณะ เผลอลืมตา ลดแขนลง
“ฉันยังไม่อยากตาย!” ทงเฮแผดเสียง พุ่งตัวเข้ามาประชิดใบหน้าซองมินอีกครั้ง คนไข้หนุ่มผู้น่าสงสารไม่มีแม้แต่เสียงจะกรีดร้อง ทำได้เพียงพยายามกระถดกายถอยห่าง ร่างกายสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้
“ต
แต่ คุณก็ทราบ.. ไม่มีใครฝืนความตายได้หรอกนะครับ” ซองมินทำใจกล้าตอบไป
“ฉันรู้ แต่ฉันยังไม่อยากตาย! ฉันจะต้องทำให้คนที่ฆ่าฉันได้รับโทษอย่างสาสม”
“คุณควรจะปล่อยวางนะครับ ความแค้นจะทำให้วิญญาณคุณไม่สงบสุข”
“งั้นนายลองมาถูกฆ่าตายแบบฉันไหมล่ะ!”
ซองมินรีบชิงขยับกายถอยก่อนที่ทงเฮจะพุ่งตัวเข้ามาหาอีก ทงเฮกำลังโกรธจัด คำพูดของเขากลับยิ่งสุมเชื้อไฟให้ลุกลาม ถ้าอย่างนั้นควรจะทำอย่างไรดี หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่แคล้วทงเฮคงจะหักคอเอาเขาไปอยู่ด้วยแน่
“ตอนนี้ทางตำรวจกำลังพยายามสืบสวนอยู่นะครับ อีกไม่นานจะต้องจับตัวคนร้ายได้แน่ ๆ”
“งั้นเหรอ เหอะ! พวกตำรวจพวกนั้นจะมีน้ำยาอะไร” ทงเฮพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก
“
”
“ฉันถึงมาขอให้นายช่วยไง”
“ผมจะช่วยอะไรคุณได้ล่ะครับ” ซองมินพูดอย่างจนปัญญา ถ้าตำรวจทำอะไรไม่ได้แล้วคนไข้ที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนบ้าอย่างเขาจะทำอะไรได้เล่า
“นายต้องทำตามคำสั่งของฉัน”
“แต่
”
“ไม่มีข้อขัดขืนใด ๆ ทั้งสิ้น” ทงเฮพูดเสียงเหี้ยม
ซองมินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ไม่กล้าเถียงอะไรต่อ เอาเป็นว่าตอนนี้คงต้องยอมเออออไปก่อน ถ้าวันหนึ่งทงเฮเห็นเขาหมดประโยชน์คงจะเลิกสนใจไปเอง
“แล้วอีกอย่าง เรื่องของพี่คยู
”
“ผมกับคุณคยูฮยอนไม่มีอะไรกันจริง ๆ นะครับ ผมสัญญาว่าจะพยายามอยู่ให้ห่างเขาให้มากที่สุด” ซองมินชิงตัดหน้าพูดขึ้นมาก่อน ก็รู้ดีอยู่ว่ากิตติศัพท์ความขี้หึงของทงเฮนั้นมีแค่ไหน ตอนชายหนุ่มคนนี้ยังมีชีวิตอยู่เขาก็เคยเจอมากับตัวแล้ว
“ไม่! ฉันอยากให้นายอยู่ใกล้ ๆ พี่คยูไว้ พี่คยูกำลังตกอยู่ในอันตราย ฉันเห็น
ผีผู้หญิงคอยตามพี่คยู
ผู้หญิงคนนั้นอาฆาตแรง
จนน่ากลัว”
เป็นครั้งแรกที่ซองมินเห็นความหวาดกลัวในสายตาของทงเฮ ชายหนุ่มจึงปิดปากเงียบ ไม่เล่าให้อีกฝ่ายฟังว่าวิญญาณตนเดียวกันนั้นเคยติดตามทงเฮมาแล้วตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่
“ผมเคยพยายามเตือนเขาแล้วแต่เขาไม่ฟังเลย ถ้าคุณเห็นเธอตามคู่หมั้นคุณแสดงว่าเขาคงถอดสร้อยอีกแล้ว” ซองมินพูดอย่างปลงตก จะทำอย่างไรกับความดื้อรั้นที่แก้ไม่หายของคยูฮยอนดี
“สร้อยอะไร” ทงเฮนึกสะกิดใจ
“สร้อยไม้กางเขนเงินครับ มีคนให้คุณคยูฮยอนไว้ มันมีอำนาจช่วยคุ้มครองเขาจากวิญญาณร้าย ถ้าเขาไม่ป้องกันตัวเองก่อน ก็ไม่มีใครหน้าไหนช่วยเขาได้หรอก”
“สร้อยนั่นน่ะเหรอ”
“ครับ? คุณเคยเห็นด้วยเหรอ” ซองมินถามย้อนกลับ ก็ปกติคยูฮยอนจะใส่เสื้อเชิ้ตกับเสื้อกาวน์ทับสร้อยเอาไว้ตลอด ถ้าเขาไม่มีสัมผัสพิเศษก็คงไม่รู้ว่าคยูฮยอนสวมสร้อยเอาไว้หรือเปล่า
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” ทงเฮรีบปฏิเสธทันควัน จะให้บอกได้อย่างไรเล่าว่าสร้อยนั่นเขาเป็นคนขโมยไปเอง
เท่ากับว่าคนที่ทำให้คยูฮยอนตกอยู่ในอันตรายคือเขาเองหรือนี่
พูดถึงสร้อย ก็ทำให้ซองมินสะกิดใจอะไรบางอย่างขึ้นมาเช่นกัน
เขานี่โง่จริง ๆ ลืมไปได้อย่างไรกันนะ!
“คุณทงเฮ ผมคงทำตามที่คุณต้องการไม่ได้หรอกนะครับ”
“นายพูดอะไรของนาย”
“ขอโทษนะครับ แต่ผมกับคุณต่างคนต่างอยู่เถอะนะครับ อย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย” ซองมินพูดอธิบายให้ชัดเจนขึ้น เมื่อเห็นทงเฮยังไม่ค่อยเข้าใจเจตนาที่เขาต้องการจะสื่อ
“นายคิดจะหือกับฉันงั้นเหรอ” ทงเฮพูดด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่ชอบให้ใครมาขัดใจอยู่แล้ว แล้วซองมินกล้าดีอย่างไร
วิญญาณหนุ่มหายตัวแวบมาปรากฏตัวตรงหน้าซองมินระยะประชิดอีกครั้ง ยื่นมือออกไปหมายจะบีบคอซองมินเหมือนในหนังผีที่เคยดู ไม่ได้ตั้งใจจะเอาให้ถึงตาย แค่ขู่เท่านั้น แต่เขากลับทำไม่ได้ดั่งใจ อย่าว่าแต่บีบคอเลย แค่แตะตัวซองมินเขาก็ยังทำไม่ได้ เหมือนมีกระจกใสมากั้นระหว่างเขากับซองมินไว้
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!”
“ขอโทษนะครับคุณทงเฮ” ซองมินพูด ยิ้มแห้ง ๆ แล้วชูแหวนที่สวมติดนิ้วตลอดเวลาให้ทงเฮดู “แหวนนี้ช่วยป้องกันวิญญาณร้ายได้เหมือนกับสร้อยของคุณคยูฮยอนนั่นแหละครับ พอดีคุณพูดขึ้นมาผมเลยนึกได้ แต่คุณคงมีความอาฆาตไม่สูงนักถึงปรากฏตัวให้ผมเห็นตรงๆ ได้”
“ฝากไว้ก่อนเถอะซองมิน ยังไงฉันก็ไม่วางมือจากนายแน่” ทงเฮกล่าวคำอาฆาตทิ้งท้ายก่อนจะหายตัวไป
เมื่อเหลือเพียงตัวคนเดียวในห้อง ซองมินก็ค่อย ๆ เดินกลับมาที่เตียงด้วยท่าทีอิดระโหยโรยแรง สภาพเละ เลือดอาบไปทั้งตัวที่ทงเฮปรากฏให้เห็นนั้นน่ากลัวก็จริง แต่ตอนนี้เขาก็วางใจได้แล้วว่าฝ่ายนั้นจะทำอะไรเขาไม่ได้นอกจากจะโผล่มาให้เห็นอีก แต่เขาเชื่อว่าทงเฮคงจะรามือไปซักพัก อย่างน้อยก็คืนนี้
และเพราะความเอาแต่ใจของชายหนุ่ม ทำให้ซองมินลดความรู้สึกผิดในใจลงไปโข ถึงจะยังกลัวอยู่ก็เถอะ แต่อย่างน้อยคืนนี้ก็คงจะได้หลับเสียที
ในอีกมุมหนึ่ง ขณะที่ซองมินเริ่มเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่คุณหมอหนุ่มผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของทงเฮนั้นกลับยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน
คยูฮยอนหน้าตาเคร่งเครียด มือสองข้างปิดบังใบหน้าพลางกดขมับคลายความปวดเนื่องจากความเหนื่อยล้าจากการอดนอน
ใช่ว่าไม่อยากพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เขาต้องออกไปทำงานแต่เช้า แต่ทำอย่างไรก็ข่มตานอนไม่ลง แม้จะยอมรับกับการจากไปของทงเฮได้แล้วแต่ก็ยังทำใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์ โดยเฉพาะน้าสาวของทงเฮที่รักหลานชายผู้นี้ราวกับลูกในไส้ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อตอนเย็น หลังจากที่กลับมาจากต่างประเทศและได้พบศพของหลานชาย อีนาจองถึงกับเป็นลมหมดสติไป ต้องปฐมพยาบาลอยู่พักใหญ่ถึงจะฟื้น แล้วก็ร้องไห้ฟูมฟายจนหมดสติไปอีกครั้งโดยมีคิมมินกิผู้เป็นสามีพยายามจะปลอบแต่ก็ไม่สำเร็จ
คยูฮยอนเห็นว่าคุยกันวันนี้คงไม่รู้เรื่องแน่ จึงเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองคนกลับบ้านไปก่อนพร้อมกับสัญญาว่าจะจัดการเรื่องงานศพให้เรียบร้อยโดยยังไม่ทันได้บอกรายละเอียดสาเหตุการเสียชีวิตของทงเฮอย่างแน่ชัด
ถ้านาจองรู้ว่าหลานสุดที่รักถูกฆาตกรรม ไม่ใช่เพียงแค่อุบัติเหตุธรรมดา เธอจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ
คยูฮยอนผล็อยหลับไปตอนไหนก็ไม่อาจทราบได้ แต่สะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพราะสาวใช้เคาะประตูห้องเนื่องจากชายหนุ่มยังไม่ลงไปทานอาหารเช้าทั้งที่ปกติถึงเวลาแล้ว
คุณหมอหนุ่มลุกจากเก้าอี้โต๊ะทำงาน นี่เขาฟุบหลับกับโต๊ะไปโดยไม่รู้ตัวเลยหรือนี่ แม้จะไม่สดชื่นเหมือนทุกเช้าและยังคงง่วงงุนจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่คยูฮยอนก็ยังฝืนไปทำงานตามปกติ ไม่ฟังคำทัดทานของแม่นมที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังเล็ก
ระหว่างที่ขับรถไปทำงาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น คยูฮยอนหยิบหูฟังขึ้นมาสวมแล้วกดรับสาย
เสียงปลายสายฟังดูร้อนรน
“คยูฮยอน นี่อาเองนะ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
มินกิ สามีของนาจองผู้เป็นน้าแท้ๆ ของทงเฮนั่นเอง
“คุณอาใจเย็นๆ ก่อนนะครับ เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ตำรวจโทรตามอาให้ไปที่สถานีตำรวจ เห็นว่าเกี่ยวกับเรื่องของทงเฮ นี่มันยังไงกันแน่ ทำไมตำรวจถึงต้องการพบอา”
“รถที่ทงเฮขับไปชน ตำรวจตรวจสอบแล้วพบว่าโดนตัดสายเบรกครับ” คยูฮยอนอธิบายอย่างใจเย็น
“โดนตัดสายเบรก! หมายความว่าไง” น้ำเสียงร้อนรนของมินกิเจือความตระหนกตกใจไปด้วย
“มันไม่ใช่แค่อุบัติเหตุครับ แต่มีคนเจตนาเอาชีวิตทงเฮ”
“หมายความว่าตำรวจสงสัยอางั้นเหรอ”
“คงไม่ใช่หรอกครับคุณอา คงแค่เรียกไปถามอะไรนิดๆ หน่อยๆ เผื่อเป็นประโยชน์ในการสืบหาตัวคนร้าย” แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในใจคยูฮยอนเองก็คิดไม่ต่างจากมินกิ บางทีตำรวจอาจจะคิดว่ามินกิเป็นคนร้ายก็ได้ เพราะทงเฮไม่มีศัตรูที่ไหน ถึงจะมีเรื่องขัดใจกับคนอื่นบ้างแต่ก็ไม่รุนแรงถึงขั้นจะฆ่าจะแกงกัน แต่หากเป็นเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ล่ะก็ไม่แน่ เพราะในพินัยกรรมของพ่อแม่ทงเฮที่เสียชีวิตไปแล้วระบุให้ทงเฮสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทต่อเมื่อเรียนจบ หากไม่มีทงเฮเสียคน ผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์ก็คงไม่พ้นคิมมินกิและอีนาจองซึ่งเป็นญาติที่ใกล้ชิดกับทงเฮมากที่สุด แต่สำหรับอีนาจองที่รักและเลี้ยงดูทงเฮเหมือนเป็นลูกแท้ๆ ไม่น่าจะคิดฆ่าหลานชายคนนี้ได้ลง
“ก็น่าให้สงสัยอยู่ล่ะนะ ก็รถคันนั้นอาเป็นคนซื้อให้ทงเฮเป็นการรับขวัญเรียนจบ แต่อาไม่ได้เป็นคนฆ่าทงเฮจริงๆ คยูฮยอนต้องเชื่ออานะ”
รถสปอร์ตสีเหลืองสดคันใหม่ป้ายแดงที่พาทงเฮไปพบกับจุดจบคันนั้นคิมมินกิเป็นคนซื้อให้ทงเฮเองน่ะหรือ คยูฮยอนก็เพิ่งจะทราบความจริงข้อนี้
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะไปหาคุณอาที่โรงพักแล้วกันนะครับ” คยูฮยอนพูด หักพวงมาลัยเลี้ยวไปอีกทางที่ไม่ใช่ทางไปโรงพยาบาล
“คุณทงเฮ นี่ใจคอคุณจะตามติดผมตลอดเวลาเลยใช่ไหม” ซองมินพูดขึ้นมาอย่างเหลืออด ตั้งแต่ตื่นมา เขาก็เห็นวิญญาณชายหนุ่มนั่งหน้ามุ่ยที่โซฟา แกล้งทำเป็นไม่สนใจเพราะคิดว่าพออีกฝ่ายเบื่อก็คงจะไปเอง ที่ไหนได้ไม่ว่าเขาจะไปไหน ทงเฮก็จะเดินตามราวกับเป็นเงาตามตัว แม้คราวนี้จะไม่ได้มาด้วยรูปลักษณ์น่าสยดสยองแบบเมื่อคืนแต่ถึงไม่น่ากลัวแต่มันก็น่ารำคาญไม่น้อย
ให้ตายสิ! เขาจะจัดการกับวิญญาณดื้อรั้น ซ้ำยังเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจแบบนี้อย่างไรดีนะ
“ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ถ้านายไม่ยอมรับปากว่าจะช่วยฉันกับพี่คยู ฉันก็จะตามนายไปตลอดแบบนี้นี่แหละ” ทงเฮพูดพลางยักไหล่แบบไม่เดือดร้อน
“ผมบอกไปแล้วไงครับว่าผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะครับ ส่วนเรื่องคู่หมั้นของคุณก็คงต้องปล่อยเขาไปตามเวรตามกรรม ไม่ดีหรือไง ถ้าเกิดผู้หญิงคนนั้นฆ่าเขาตาย เขาจะได้ไปอยู่กับคุณซะเลย”
“จะบ้าหรือไง! ฉันไม่ได้เห็นแก่ตัวขนาดนั้นนะที่จะได้เอาพี่คยูมาอยู่ด้วย” ทงเฮโวยวาย แล้วยิ่งหงุดหงิดเมื่อเห็นซองมินทำหน้าตาที่อ่านได้ไม่ยากว่า
‘เหรอ ไม่อยากเชื่อนะเนี่ย’
“เอาเป็นว่าฉันจะคอยตามนายอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่านายจะยอมช่วยนั่นแหละ” ทงเฮตัดบทไปเสียดื้อๆ
“แทนที่คุณจะคอยตามผม สู้ไปเยี่ยมคนที่บ้านไม่ดีกว่าเหรอครับ เขาคงเสียใจมากที่อยู่ๆ คุณก็มาทิ้งเขาไปแบบนี้”
“ไม่เอาหรอก ฉันไม่อยากเห็นน้าฉันร้องไห้นี่นา ทำได้แค่มอง จะปลอบก็ปลอบไม่ได้ ใครจะไปทนดูได้ล่ะ” น้ำเสียงของทงเฮเศร้าสลดลงจนซองมินพลอยรู้สึกแย่ไปด้วย
แต่มันใช่เรื่องไหมล่ะที่มาคอยตามติดเขาแจแบบเนี้ย
“งั้นก็ไปตามคุณคยูฮยอนสิครับ คุณรักเขามากนี่” ซองมินลองเสนอใหม่ เผื่อบางทีทงเฮจะได้ไปจากเขาเสียที
“ตามไป พี่คยูก็ไม่ได้รับรู้ว่าฉันมีตัวตนซะหน่อย น่าเบื่อออก แล้วมันยิ่งรู้สึกแย่รู้ไหม เวลาโดนคนที่รักหมางเมินเนี่ย อีกอย่าง ฉันไม่กล้าตามหรอก แม่นั่นคอยเกาะติดพี่คยูขนาดนั้น แค่เฉียดเข้าใกล้ก็มองจิกฉันจนตาแทบถลนอยู่แล้ว”
“แต่คุณคยูฮยอนมีสร้อยอยู่นี่ฮะ แสดงว่าเขาไม่ยอมสวมน่ะสิ ผีผู้หญิงคนนั้นถึงยังคอยตาม” ซองมินพูดเคืองๆ อะไรกัน นี่คยูฮยอนจะไม่ยอมสวมสร้อยแล้วจริงๆ ใช่ไหม
“อันที่จริง สร้อยนั่นไม่ได้อยู่ที่พี่คยูหรอก” ทงเฮพูดเสียงอ่อน ท่าทางสำนึกผิด แต่ซองมินนั้นถามกลับเสียงเข้มเลยทีเดียว
“หมายความว่ายังไงครับ”
“หมายความว่ายังไงครับ คุณตำรวจพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” คิมมินกิพูดอย่างเอาเรื่อง หลังจากตบโต๊ะที่คั่นกลางระหว่างเขากับตำรวจที่กำลังสอบสวนอยู่ดังลั่น
นายตำรวจผู้นั้นไม่ได้มีทีท่าสะทกสะท้าน คงจะชินกับสถานการณ์แบบนี้อยู่แล้ว
“คุณอาใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” คยูฮยอนพยายามเข้าไปไกล่เกลี่ยสถานการณ์
“จะให้อาใจเย็นอยู่ได้ยังไง แค่ซื้อรถให้หลานกลับกลายเป็นฆาตกร!”
“ผมไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนก่อคดี เพียงแต่มันมีมูลเหตุหลายอย่างที่ชวนให้สงสัยเท่านั้นเองครับ แต่ถึงอย่างนั้นทางเราก็ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าคุณเป็นคนทำ เรายังจับกุมคุณไม่ได้ แต่เราต้องการสอบถามคุณสักเล็กน้อยอย่างเช่นว่าผู้ตายมีความขัดแย้งกับใครหรือไปขัดผลประโยชน์ใครบ้างหรือเปล่า เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนหาตัวคนร้ายต่อไปครับ
“เรื่องแบบนั้นผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ” มินกิตอบปัดๆ หน้าตาบูดบึ้งแสดงความไม่พอใจ แต่ก็ท่าทีอ่อนลงจากเมื่อครู่นี้มาก
การสืบสวนที่ควรจะดำเนินต่อไปกลับหยุดชะงักเมื่อมีเสียงดังโหวกเหวกโวยวายจากข้างนอก ทั้งตำรวจที่ดูแลรับผิดชอบคดี มินกิและคยูฮยอนต่างหันไปมองด้วยความตกใจ
“อยู่ที่นี่นี่เอง คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” อีนาจองดิ้นหลุดจากการเกาะกุมของนายตำรวจอีกคน ถลันเข้ามาในห้องสอบสวน
“นี่คุณตามมาได้ยังไง”
“ฉันนึกเอะใจตั้งแต่เห็นคุณรีบออกบ้านไปทันทีที่รับโทรศัพท์แล้ว คิดว่าฉันจะโง่ยอมให้คุณหลอกเรื่อยๆ รึไง” อีนาจองพูดอย่างกราดเกรี้ยว
“มีอะไรค่อยกลับไปคุยกันที่บ้าน คุณไม่อายหรือไง ส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นเขาแบบนี้” มินกิปราม พยายามจะลากภรรยาออกไป
“ทำไมต้องอาย ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ผู้ชายมักมากไม่รู้จักพอแบบคุณต่างหากที่สมควรต้องอาย ไม่ใช่ฉัน”
“คุณนาจอง!” มินกิหมดความอดทน ขึ้นเสียงตอบกลับไป
คยูฮยอนเห็นท่าไม่ดี กลัวเหตุการณ์จะบานปลาย จึงรีบเอาตัวเข้าไปกันแทรกกลางระหว่างทั้งสองคน
“ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ที่นี่โรงพักนะครับคุณอา”
“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่” นาจองถามเสียงห้วน
“ตำรวจเรียกมาเรื่องคดีของทงเฮ” มินกิตอบ หลบสายตาภรรยา ยังไม่มีใครบอกนาจองว่าหลานชายสุดที่รักของเธอถูกฆาตกรรม ไม่ได้เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ
“ทำไม
ทำไมตำรวจต้องเรียกตัวคุณมาด้วย”
“ก็แค่ถามอะไรนิดๆ หน่อยๆ” มินกิอ้อมแอ้มตอบ ไม่ยอมตอบคำถามตรงๆ ซ้ำยังหลบสายตาแสดงความมีพิรุธอีกด้วย
“อะไร! พูดมาให้ชัดๆ สิ”
“คืออย่างนี้ครับคุณผู้หญิง รถที่คุณอีทงเฮขับ ทางเราตรวจสอบพบว่ามีร่องรอยการตัดสายเบรกซึ่งดูจากรอยแล้วเป็นฝีมือคนตัดแน่นอน ไม่ใช่เพราะสภาพรถเสื่อมโทรม แล้วอีกอย่าง รถคันนั้นเป็นรถใหม่ที่เพิ่งซื้อมาจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่สายเบรกจะขาดตามธรรมชาติ ทางเราจึงเรียกคุณมินกิมาเพื่อสอบถามอะไรเล็กน้อยเพื่อความคืบหน้าของคดีครับ” ตำรวจเป็นผู้อธิบายแทนเมื่อเห็นมินกิยังอ้ำๆ อึ้งๆ
“ว่ายังไงนะ
ทงเฮ.. รถคันนั้น
รถคันใหม่ งั้นก็..รถคันนั้นคุณเป็นคนซื้อมาใช่ไหม” นาจองดวงตาเหม่อลอย พึมพำเสียงแผ่วเบา กำลังพยายามประมวลผลข้อมูลที่ได้รับ
มินกิก้มหน้าหลบตาแต่ก็พยักหน้าเบาๆ
ทั้งห้องเงียบไปชั่วขณะก่อนที่เสียงกรีดร้องของนาจองจะดังขึ้น โดยไม่ทันที่ใครจะตั้งตัว หญิงสาวก็พุ่งเข้าไปทุบตีสามี สะอึกสะอื้นไห้ ปากก็ก่นด่ามินกิเสียงดังลั่น “คุณฆ่าทงเฮ คุณฆ่าหลานฉัน! คุณฆ่าทงเฮ
.!”
มินกิพยายามปัดป้องเป็นพัลวัน ในขณะที่ทั้งคยูฮยอนและตำรวจพยายามยึดตัวนาจองที่คลุ้มคลั่งอาละวาดไว้ แต่ยื้อยุดฉุกกระชากกันไม่นาน หญิงสาวก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น หมดสติอยู่ตรงนั้น ทั้งตำรวจและคยูฮยอนต่างเข้าไปดูอาการด้วยความตกใจ มีเพียงมินกิเท่านั้นที่ยังยืนมองอยู่
“นั่นคุณอาจะไปไหนครับ” คยูฮยอนหันไปถามมินกิที่กำลังจะเดินออกไป
“คุยกันวันนี้คงไม่รู้เรื่องหรอก ฝากดูแลนาจองด้วยก็แล้วกัน”
“เดี๋ยวครับคุณอา คุณอา!” คยูฮยอนตะโกนเรียกไล่หลังแต่มินกิไม่ฟัง เดินลับหายไปจากสายตา คยูฮยอนอยากจะตามไปแต่ก็เป็นห่วงนาจอง จึงอยู่ดูแลอาสาวแทนทั้งที่ในใจกลับนึกสงสัย
อะไรกัน เป็นสามีภรรยากันแท้ๆ แต่ภรรยาตัวเองเป็นลมไปแบบนี้ไม่คิดจะเป็นห่วง ดูแลเลยหรือ
-----------------------------------------------------
ตอนนี้มาแบบยาวเลยแฮะ (เหมือนจะเกิน 60 เปอร์ที่หายไป) ถือว่าชดเชยที่ห่างไปนานละกันนะคะ
ปล. เห็นคะแนนโหวตตอนนี้แล้วแอบน้อยใจแฮะ เราแต่งแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ T^T (ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่ช่วยกดโหวตให้ แต่ฝีมือเรามันก็มีแค่นี้แหละค่ะ แก่ละ พัฒนาตัวเองยาก แหะๆ)
ความคิดเห็น