ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]The Sixth Senseสัมผัสรัก สื่อวิญญาณKyuMin,KiHae,YeRyeo

    ลำดับตอนที่ #33 : Part 18 หัวใจของแม่ [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.36K
      6
      25 พ.ย. 55

     Part 18 หัวใจของแม่

     

    ดวงตากลมโตในวันนี้ยิ่งดูสดใสเป็นประกายมากกว่าที่เคยเพราะมาสคาร่าสีหวานที่ถูกแต่งแต้มบนเปลือกตาบาง ริมฝีปากอิ่มที่เคยเป็นสีธรรมชาติกลับเป็นสีชมพูเข้มขึ้นเพราะลิปกลอซที่เพิ่งถูกทาแต้มลงไป ยังไม่นับหน้านวลที่ขาวผ่องและแก้มที่ถูกปัดด้วยสีเข้ากันกับเปลือกตาและลิป ขับให้ใบหน้าหวานยิ่งดูสวยงามชนิดที่ว่าผู้ชายต้องเหลียวมองตาม แต่ดูเหมือนเจ้าของความงามที่สาวๆ ต้องพากันอิจฉานั้นกลับดูไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย เจ้าตัวจึงเอาแต่กอดอกทำหน้าย่น พ่นลมฮึดฮัดออกจมูกเป็นพักๆ

     

    ก็จะให้ซองมินไม่หงุดหงิดได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อไอ้การปลอมตัวที่วางแผนมาดิบดีนี้มันคือการโดนจับแต่งหญิงชัดๆ!

     

    “ยิ้มหน่อยสิพี่ซองมิน ทำหน้าบึ้งเดี๋ยวไม่สวยไม่รู้ด้วยนะ” รยออุคพูดพลางมองหน้าพี่ชายที่ตอนนี้กลายเป็นหญิงสาวด้วยความภาคภูมิใจ

     

    “ก็ไม่ได้อยากสวยนี่!!!!” ซองมินหลับตาปี๋ตะโกนแหกปากจนรยออุครีบตะครุบไว้แทบไม่ทันเพราะกลัวพยาบาลจะกรูกันเข้ามาในห้องเพราะเข้าใจผิดคิดว่าคนไข้อาละวาด

     

    นี่ยังน้อยไป ถ้าไม่ติดว่ายังมีคนนอกครอบครัวอย่างหมอคิมจงอุนยืนกอดอกมองอยู่จากริมห้อง ซองมินจะลงไปดิ้นพราดๆ กับพื้นร้องไห้งอแงแบบเด็กเวลาถูกแม่ขัดใจไม่ซื้อของเล่นให้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

     

    ก็มีอย่างที่ไหนบอกว่าให้ไปเตรียมอุปกรณ์มาใช้ปลอมตัว พ่อน้องตัวดีก็จัดมาให้ซะเต็มจนเกินความต้องการแบบนี้ จะปลอมตัวไม่ได้จะแปลงโฉมเป็นผู้หญิงเสียหน่อย

     

    “เอาน่าพี่ซองมิน ปลอมตัวแบบนี้แหละรับรองว่าไม่มีใครจำได้ เอาหัวคิมรยออุคเป็นประกันเลย”

     

    “ก็ฉันไม่ได้อยากได้แบบนี้….” ซองมินยังคงงอแง แต่รยออุคก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจอาการประท้วงนั้นด้วยการยัดวิกผมยาวดัดเป็นลอนสีทองใส่หัวซองมิน จะกลับลำตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะ ในเมื่อซองมินยอมหลวมตัวเป็นตุ๊กตาให้เขาจับแต่งหน้าแล้วก็อย่าหวังว่าจะออกจากห้องนี้ได้ถ้าไม่ได้อยู่ในสภาพสาวงามสมใจคนแต่ง (?)

     

    “สวยจังเลย เหมาะมั่กๆ เดี๋ยวแต่งอีกนิดรับรองไม่มีใครรู้เลยว่าพี่ซองมินเป็นผู้ชาย” รยออุคพูด ตาพราวระยิบระยับเหมือนกับวันที่ซองมินแถลงแผนการไม่มีผิด เพียงแต่วันนั้นคนเป็นพี่ยังไม่รู้ตัวว่าจะต้องเจอกับอะไรแบบนี้

     

    “รยออุค….” ซองมินใช้ไม้ตายสุดท้ายที่เคยได้ผลดีด้วยการทำหน้าตาน่าสงสาร ส่งเสียงออดอ้อน แต่ดูเหมือนต่อมเห็นใจของรยออุคจะหยุดการทำงานชั่วคราวเพราะเจ้าตัวกลับดึงมือซองมินขึ้นแล้วรุนหลังให้เข้าไปในห้องน้ำก่อนจะหันมาหาจงอุนที่กำลังยืนมองเพลินๆ

     

    “เดี๋ยวผมกับพี่ซองมินขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บเดียวนะครับ รับรองไม่เกิน 10 นาที ถ้าพี่ซองมินไม่ดื้อมากน่ะนะ” ประโยคท้าย รยออุคแอบกระซิบพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ ระหว่างนั้นก็มีเสียงบ่นกระฟัดกระเฟียดดังขัดขึ้นมาเป็นระยะๆ จากชายหนุ่มที่ตอนนี้กลายเป็นหญิงสาวไปแล้ว

     

    จงอุนอมยิ้มจางๆ ระหว่าง 10 นาทีกว่าๆ ไปอีกเกือบเท่าตัวที่สองหนุ่มหน้าสวยหายเข้าไปแต่งตัวในห้องน้ำ ฟังจากเสียงคนพี่ที่ดังโวยวายมาดูท่าว่ารยออุคจะรับศึกหนักไม่น้อยกว่าจะจับซองมินให้ใส่ชุดเดรสสีชมพูหวานที่เตรียมมาได้ อันที่จริงฝีมือการแต่งหน้าของรยออุคนั้นก็สมราคาคุยที่อวดระหว่างแต่งหน้าซองมินว่าได้ไปเรียนแบบครูพักลักจำสมัยทำงานพิเศษที่คาบาเรต์ตอนที่เรียนที่อเมริกา เลยพอมีวิชาอยู่บ้างบวกกับเค้าความสวยน่ารักเกินชายของซองมินแล้วเลยยิ่งทำให้ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงเอาได้ง่ายๆ เหมือนที่รยออุคพูดไม่มีผิด นี่ถ้าเขาไม่รู้มาก่อนก็อาจจะคิดว่าซองมินเป็นผู้หญิงแท้ๆ ไปแล้ว

     

    ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกอีกครั้ง รยออุคออกมาด้วยสีหน้าพึงพอใจสุดขีดก่อนจะพูดอย่างเป็นทางการประกอบท่าทางผายไม้ผายมือราวกับกำลังจะเปิดตัวนางแบบชื่อดัง

     

    “ขอเชิญพบกับผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซของผมได้เลย”

     

    แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนที่ตั้งหน้าตั้งตารออย่างจงอุนจึงยิ้มค้างรอเก้อ ร้อนถึงรยออุคต้องเข้าไปในห้องน้ำอีกรอบเพื่อฉุดมือซองมินให้โผล่ตัวออกมา

     

    แล้วก็ไม่ทำให้จงอุนผิดหวังเลยเมื่อได้เห็นซองมินในเวอร์ชั่นที่ถูกแปลงโฉมร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม ไม่มีมุมไหนบ่งบอกว่าเป็นผู้ชายเลยสักนิด

     

    รูปหน้าของซองมินเข้ากันได้ดีกับผมดัดลอนใหญ่สีทอง การแต่งหน้าโทนสีชมพูอ่อนเองก็รับกับทั้งหน้าทั้งชุดเดรสสีเดียวกัน ถ้าจะมีอะไรที่ไม่เข้าก็คงจะเป็นท่าทีเขินอายของซองมินที่เอาแต่ดึงกระโปรงที่ยาวกรอมเข่านั่นลง ประเดี๋ยวก็ดึงคอเสื้อขึ้นเพราะกลัวว่าคอเสื้อที่คว้านลงเพราะท่อนบนเป็นทรงแบบเสื้อแขนกุดคอเหลี่ยมนั้นจะแหวกลงให้เห็นอะไรต่อมิอะไรที่ซองมินก็ไม่รู้ว่าคืออะไรที่รยออุคจับมายัดจนเป็นหน้าอกให้ ลำบากคนต้นคิดต้องตีมือซองมินใหอยู่นิ่งๆ

     

    “อยู่เฉยๆ สิพี่ซองมิน”

     

    “ก็มันยังไงก็ไม่รู้อ่ะ หวิวๆ บอกไม่ถูกอ่ะ” ซองมินพูดเสียงอ่อย

     

    “เดี๋ยวก็ชินแหละน่า ก็คิดซะว่าใส่ชุดนอนแบบที่พี่ชอบใส่ตอนอยู่บ้านไง” รยออุคพูดออกมาหน้าตาเฉยๆ แต่กลับทำให้แก้มของซองมินขึ้นสีจัดยิ่งกว่าเดิม

     

    เจ้าน้องบ้านี่! อยู่ๆ มาพูดเรื่องน่าอายแบบนี้ต่อหน้าคุณหมอจงอุนได้ยังไง

     

    เรื่องน่าอายที่ว่าก็คือการที่ซองมินชอบสวมชุดนอนแบบวันพีซของสาวๆ นอนด้วยเหตุผลว่ามันโล่งสบายดีนั่นเอง ผู้ชายปกติที่ไหนเขาทำแบบนั้นกัน

     

    “แล้วมันคันๆ ด้วยอ่ะ” ไม่พูดเปล่า ซองมินยังเกาหัวที่ตอนนี้สวมวิกต้นเหตุอาการคันที่ว่า จนรยออุครีบดึงมือออกแทบไม่ทันเพราะกลัววิกผมที่จัดทรงไว้เป็นอย่างดีเสียรูป

     

    “แหมก็คิดซะว่าเป็นหมวกที่พี่ใช้ให้ผมเอามาก็แล้วกัน มันก็สวมหัวเหมือนๆ กันนั่นแหละ” รยออุคพูดง่ายๆ

     

    “มันเหมือนกันที่ไหนเล่า!” ซองมินแย้งขึ้นมา เริ่มทำหน้าบูดบึ้งอีกครั้ง จนจงอุนรีบเข้ามาห้ามทัพก่อนที่จะมีใครเข้ามาในห้องให้โดนจับได้

     

    “เอาล่ะครับๆ ผมว่าตอนนี้เราเสียเวลามามากแล้วนะครับ ทางที่ดีรีบไปกันก่อนดีกว่าจะได้รีบกลับมาไวๆ”

     

    “แต่

     

    “เชื่อผมกับน้องชายคุณสิครับ ไม่มีใครจำได้หรอกว่าคุณคือคุณอีซองมิน แล้วอีกอย่างคุณดูดีมากเลยนะครับ ผมยังมองจนตาค้างเลย” จงอุนรีบพูด ไม่เปิดโอกาสให้ซองมินแย้ง แต่ถึงอย่างนั้นคำพูดของเขาก็มาจากใจจริงล้วนๆ ไม่ได้แกล้งยอเลย

     

    “เห็นมั้ยล่ะ ผมบอกแล้วก็ไม่เชื่อ ไปๆ รีบๆ ไปกันได้ละ เสียเวลาจับแต่งตัวตั้งนานเดี๋ยวไม่ทันการกันพอดี” รยออุคพูดปัดๆ แล้วขึ้นเตียงของซองมินพร้อมนอนห่มผ้าห่มเรียบร้อย ตอนนี้เขาอยู่ในชุดคนไข้ของซองมินที่เปลี่ยนในห้องน้ำแล้ว

     

    ซองมินกำลังจะแย้งว่าถ้ารยออุคเอาเสื้อผ้าแบบปกติที่เขาขอไว้ตั้งแต่แรกมาก็ไม่เสียเวลาหรอก แต่เหมือนจงอุนจะรู้ทันจึงไม่ปล่อยให้ซองมินได้โต้แย้งอะไรอีก จับแขนซองมินเบาๆ แล้วดึงให้ออกจากห้องไปพร้อมกับหลบสายตารู้ทันของรยออุคที่เขาทำเนียนสกินชิพเสียอย่างนั้น

     

    ชายหนุ่มหล่อและหญิงสาวหน้าตาน่ารักเดินเคียงคู่กันเป็นเป้าสายตาให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ไม่ยาก ยิ่งเป็นเหล่าพยาบาลขาเม้าท์แล้ว มีหรือจะรอดพ้นสายตา โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งในนั้นเป็นคุณหมอในโรงพยาบาลด้วยแล้วยิ่งไม่พลาด

     

    ซองมินเดินก้มหน้า ตัวเกร็ง มือกุมกันแน่นเพราะไม่รู้จะวางไว้ที่ไหน เขาอยากให้การออกจากโรงพยาบาลเป็นจุดสนใจน้อยที่สุด แต่ผลกลับตรงกันข้าม เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็มีแต่คนหันมามอง รวมทั้งเหล่าพยาบาลที่นั่งอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ด้วย ซองมินสัญญากับตัวเองว่าถ้ากลับมาเมื่อไหร่เขาต้องเล่นงานรยออุคแน่ที่คิดแผนพิเรนทร์แบบนี้ขึ้นมา

     

    จนกระทั่งเดินมาจนเกือบจะถึงประตูทางออกจากแผนก ทั้งคู่ก็จ๊ะเอ๋พยาบาบลคนหนึ่งเข้าอย่างจัง

     

    “คุณหมอจงอุน สวัสดีค่ะ” พยาบาลสาวผู้นั้นเอ่ยทักทาย

     

    ซองมินยิ่งก้มหน้าลงต่ำเพราะเธอคือพยาบาลที่นำยามาให้เขาทุกเช้านั่นเอง

     

    แย่แล้วๆ พระเจ้าช่วยลูกด้วย

     

    “จะไปไหนกันเหรอคะ” พยาบาลสาวยังคงชวนคุยอย่างอัธยาศัยดีเพราะรู้จักและสนิทสนมจงอุนเป็นอย่างดีแม้คุณหมอผู้นี้ไม่ได้เป็นหมอประจำแผนก

     

    “พอดีพาเพื่อนมาเยี่ยมคนไข้น่ะครับ” จงอุนตอบเร็วปรื๋อ ไม่เสียเวลาคิดให้เป็นพิรุธ

     

    “คุณซองมินเหรอคะ”

     

    ซองมินสะดุ้งโหยงเพราะคิดว่าถูกจับได้เสียแล้ว

     

    “พอดีเห็นว่าคุณหมอชอบมาหาคุณซองมินบ่อยๆ เลยคิดว่าคงจะพามาเยี่ยมคุณซองมินน่ะค่ะ” เธอพูดต่อจนจบประโยค นึกแปลกใจว่าแค่ทักแค่นี้ทำไมทั้งสองคนถึงมีท่าทีแปลกๆ

     

    “ครับ เธอเป็นเพื่อนกับคุณซองมินน่ะครับ” จงอุนพูด แอบถอนใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน

     

    “สวัสดีค่ะ ฉันเป็นพยาบาลที่ดูแลคุณซองมินอยู่ ยินดีที่ได้พบนะคะ” พยาบาลสาวทักทายพลางยิ้มกว้างอย่างไม่คิดอะไร

     

    “เอ่อสวัสดีค่ะ” ซองมินทักกลับอย่างงกๆ เงิ่นๆ

     

    “ผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีว่ามีธุระต่อ” จงอุนรีบตัดบท ขืนอยู่นานกว่านี้ต้องถูกจับได้แน่ เพราะซองมินนั้นเก็บอาการประหม่าไม่อยู่เลย

     

    พยาบาลสาวมองตามหลังคุณหมอหนุ่มและหญิงสาวที่เธอไม่รู้จักพลางยิ้มอย่างรู้ทัน คุณหมอจงอุนรีบเดินลิ่ว แถมยังจับมือสาวน้อยหน้าหวานคนนั้นเสียแน่น รีบไปเพราะกลัวจะถูกแซวล่ะสิ

     

    “แฟนคุณหมอจงอุนน่ารักจังเลยนะ แต่ว่าหน้าคุ้นๆ จังแฮะ นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก สงสัยจะเป็นดาราล่ะมั้ง” เธอพึมพำกับตัวเอง

     

     

     

    ตลอดทางที่นั่งอยู่ในรถ ซองมินหันมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทีกระตือรือร้น จองอุนลอบมองแล้วอมยิ้มบางๆ ซองมินถูกกักตัวอยู่ในโรงพยาบาลนับปี ไม่แปลกที่จะมีอาการแบบนี้

     

    “คุณซองมินครับ” จงอุนเรียก

     

    “ฮะ” แม้จะขานตอบ แต่ซองมินก็ยังคงหันมองหน้าต่าง ไม่ได้สนใจคุณหมอหนุ่มเลย

     

    “ผมจะถามว่าต้องไปทางไหนต่อครับ” จงอุนพูด

     

    “ตายล่ะ ผมลืมไปแล้ว” ซองมินรีบคลี่กระดาษที่รยออุคเขียนที่อยู่ของพยาบาลปาร์คมินจองอกมา เพราะมัวแต่สนใจกับวิวทิวทัศน์ข้างทาง จึงลืมไปว่าตนเองมีที่อยู่ของบ้านหลังที่ตามหาอยู่ในมือและต้องทำหน้าที่บอกทาง

     

    จงอุนหันไปมองสีหน้ายุ่งยากใจของซองมินแล้วก็ถึงบางอ้อว่าทำไมรยออุคจึงไม่ยอมปล่อยให้พี่ชายสุดที่รักออกมาเผชิญโลกกว้างคนเดียว ก็ในเมื่อตอนนี้น่ะซองมินเหมือนเด็กหลงทางไม่มีผิด

     

    “เอ ถ้าจะไปที่นี่ต้องเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวานะ ถ้าไปทางนั้นมันก็ออกนอกเมืองแล้วนี่นา ไม่ๆ ไม่ใช่ซักหน่อย นั่นมันทางไป

     

    “คุณซองมินครับ ขอที่อยู่ให้ผมเถอะครับ เดี๋ยวผมดูให้” สุดท้าย จงอุนก็เป็นฝ่ายตัดบทก่อน ไม่อย่างนั้นทั้งวันก็ไม่มีทางถึงบ้านของมินจองเป็นแน่

     

    “แหะๆ ขอโทษนะครับ ผมนี่ไม่ค่อยมีประโยชน์เลย” ซองมินพูดพลางยิ้มเขินๆ ส่งกระดาษที่เริ่มยับยู่ยี่ให้จงอุน

     

    คุณหมอหนุ่มรับมา กวาดสายตาปราดเดียวก็ออกรถ ขับไปอย่างไม่ลังเล ดูจะชำนาญเส้นทางจนซองมินอดจะทึ่งไม่ได้

     

    “คุณหมอนี่เก่งจังนะครับ แป๊บเดียวก็รู้ทางแล้ว”

     

    “ผมโตที่นี่นี่ครับ ไปมาแทบทุกที่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นละแวกโรงพยาบาลยิ่งคุ้นทาง” จงอุนตอบ

     

    “เอ่อ.. คุณมินจองอยู่แถวๆ โรงพยาบาลเหรอครับ”

     

    “ใช่ครับ อยู่ห่างโรงพยาบาลไม่มาก ทั้งถนน ทั้งตำบลเดียวกัน ไม่นานก็ถึงครับ” จงอุนตอบ ซองมินยังขมวดคิ้วมุ่น

     

    “อ่า ผมก็คิดว่าอยู่ไกลจากที่นี่ซะอีก” ซองมินพูดเสียงแห้ง

     

    จงอุนไม่อยากจะคิดว่าถ้ารยออุคปล่อยซองมินออกมาคนเดียวจริงจะเกิดอะไรขึ้น อย่าว่าแต่ตามหาบ้านของมินจองเลย แค่ขับรถไม่ให้หลงซองมินก็คงจะทำไม่ได้ในเมื่อเจ้าตัวไม่รู้แม้กระทั่งที่ตั้งของโรงพยาบาลเสียด้วยซ้ำ

     

    “อย่างพี่ซองมินน่ะ ปล่อยไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้หรอกครับ ขนาดแถวละแวกบ้านพี่เขายังเดินหลงกลับบ้านไม่ถูกก็ยังเคย นับประสาอะไรกับอยู่ต่างที่ต่างถิ่นแบบนี้”

     

    คำพูดของรยออุคที่เคยบอกตอนเล่าแผนการหนีออกจากโรงพยาบาลของซองมินวาบขึ้นมาในหัว ตอนแรกจงอุนคิดว่ารยออุคแกล้งพูดให้เกินจริงเพราะความเป็นห่วงซองมินเกินเหตุ แต่ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องจริง

     

    “ให้ผมช่วยบอกทางดีกว่านะครับ”

     

    “ไม่เป็นไรครับ คุณซองมินนั่งเฉยๆ เถอะครับ รับรองส่งถึงที่แน่นอน” จงอุนรีบตอบโดยไม่เสียเวลาคิดเลย

     

     

    รถเก๋งสีดำแล่นมาจอดหน้าบ้านสองชั้นหลังเล็ก ชายหนุ่มผู้เป็นคนขับลงมาจากรถ ในมือมีกระดาษแผ่นเล็ก จงอุนมองที่อยู่ในมือสลับกับบ้านเลขที่ที่สลักติดบนป้ายไม้ซึ่งแขวนที่รั้วไม้เตี้ย อย่างหมิ่นเหม่ จะหลุดมิหลุดแหล่ แม้จะคิดว่าที่นี่คือสถานที่ที่ตามหาเพราะมันตรงกับที่อยู่ที่จดมา แต่เขากลับไม่ค่อยแน่ใจนัก

     

    บ้านหลังนั้นดูโดดเด่นออกมาจากบ้านหลายๆ หลังที่เรียงตลอดทั้งซอย แปลกแยกออกมาจากบ้านข้างเคียงที่อยู่ติดกัน ไม่ใช่เพราะหลังใหญ่โต โอ่อ่า น่าอยู่ แต่กลับตรงกันข้าม สภาพบ้านทรุดโทรมคล้ายกับว่าผู้อยู่อาศัยไม่ได้ดูแล สีทาบ้านซีดจางหลุดลอก ราดำจับตามตัวบ้าน หญ้าและวัชพืชขึ้นรกเรื้อ ชวนให้คิดว่าบ้านหลังนี้ไม่มีคนอาศัยอยู่เป็นเวลานาน

     

    “คุณจงอุนแน่ใจเหรอฮะว่าเป็นที่นี่” ซองมินเอ่ยถามหลังจากที่ทำใจออกมาจากรถจนได้ เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจากบ้านหลังนี้ แม้สภาพของบ้านจะเหมือนกับในภาพยนต์สยองขวัญที่ซองมินเกลียดนักเกลียดหนาแต่ก็ไม่เห็นอะไรเป็นตัวเป็นตน จะมีอยู่ก็แค่ความรู้สึกแปลกๆ ที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกเท่านั้น ถึงกระนั้นซองมินก็ทำใจเข้าไปในบ้านที่มีบรรยากาศชวนขนหัวลุกอย่างนี้ไม่ลงจริงๆ

     

    “ถ้าจากที่อยู่ที่จดมา ก็ที่นี่แหละครับ ไม่ผิดแน่”

     

    ซองมินกำลังจะแย้งว่าบางทีจงอุนอาจจะเลี้ยวเข้าซอยผิดกก็ได้ แต่แทนที่จะเอ่ยปากออกมาแบบนั้น เขากลับกรีดร้องออกมาเบาๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงฝ่ามือเย็นเยียบที่แตะเข้าที่ไหล่

     

    “ผผี..ผี

     

    “แม่คนนี้นี่ ฉันคนนะยะไม่ใช่ผี” เสียงแหลมสูงแสดงความโกรธเคืองดังมาจากข้างหลัง ซองมินหันขวับไปมองด้วยความตื่นตระหนก แต่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแห้งๆ พลางก้มหัวขอโทษขอโพยหญิงวัยกลางคนแต่งหน้าจัดที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา

     

    คุณจงอุนทำไมไม่บอกกันเลยนะ!

     

    หันไปค้อนใส่คุณหมอหนุ่มที่ยืนกลั้นยิ้มอยู่อีกด้าน ปล่อยให้เขาปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่ม คนอะไรใจร้ายจริง เดี๋ยวเปลี่ยนใจไม่ยกน้องให้เลยนี่

     

    “ร้อนๆ แบบนี้รับไอติมกันคนละถ้วยไหม” คุณป้าถาม บุ้ยโบ้ยไปที่รถเข็นขายไอศกรีมที่จอดพักไว้ข้างๆ

     

    “ขอสองถ้วยละกันนะครับ” จงอุนชิงตอบก่อนที่ซองมินจะทันได้ปฏิเสธ พอซองมินอ้าปากจะบอกว่าตนไม่อยากทานไอศกรีม จงอุนก็ส่ายหน้าเบาๆ ส่งสายตาสื่อความนัย

    “ว่าแต่คุณสองคนมาทำอะไรกันแถวนี้เหรอคะ” คุณป้าคนนั้นชวนคุยระหว่างที่ตักไอศกรีมใส่ถ้วย

     

    “พอดีเรามาตามหาคนน่ะครับ คุณป้าพอจะรู้จักผู้หญิงที่ชื่อปาร์คมินจองหรือเปล่าครับ” จงอุนเข้าเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อม ซองมินจึงถึงบางอ้อว่าเหตุใดชายหนุ่มถึงสั่งไอศกรีมทั้งที่ไม่ได้อยากทานเลยสักนิด

     

    “ถึงว่าล่ะ ถึงได้มาจอดรถหน้าบ้านหลังนี้ ตอนแรก พี่ ก็สงสัยว่าพวกคุณมาทำอะไรกัน” คุณป้าพูดเน้นหนักสรรพนามที่อยากให้เรียกแทนตัว ไม่วายส่งค้อนปะหลับปะเหลือกใส่ชายหนุ่มที่บังอาจมาเรียกด้วยคำแสลงหู

     

    “ถ้าอย่างนั้นบ้านหลังนี้ก็เป็นของคุณมินจองใช่ไหมครับเอ่อ คะ” ซองมินถามกลับด้วยความตื่นเต้นจนลืมไปว่าในตอนนี้ตนเองเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย รีบแก้คำแทบไม่ทันเมื่อคนขายไอศกรีมผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย

     

    “ทางที่ดีพี่ว่าพวกคุณอย่าไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นเลยจะดีกว่า คนแถวนี้ก็ไม่มีใครอยากยุ่งกันทั้งนั้นแหละค่ะ ว่าแต่พวกคุณมีธุระอะไรเหรอคะ” คนที่ปากเตือนว่าอย่ายุ่งกลับถามด้วยความสนใจ แววตาอยากรู้อยากเห็นชัดเจน

     

    อันที่จริงเธอสงสัยตั้งแต่เห็นรถหรูเลี้ยวเข้ามาในซอยแล้วล่ะถึงได้ตามมาดู เพราะแถวนี้เป็นย่านที่ไม่น่ามีใครมีกำลังทรัพย์พอจะซื้อรถเก๋งราคาแพงๆ ขับได้ แล้วยิ่งเห็นรถคันนี้จอดหน้าบ้านหลังนี้ด้วยแล้ว ต่อมความอยากรู้อยากเห็นจึงยิ่งทำงานหนัก

     

    “ทำไมเหรอคะ” ซองมินถาม คราวนี้ไม่ลืมดัดเสียงให้เล็ก

     

    “ใครๆ เขาก็รู้กันค่ะว่านังนั่นน่ะมันเป็นบ้า ไม่มีใครอยากเข้าไปสุงสิงกับมันหรอก”

     

    ซองมินกับจงอุนมองหน้ากันด้วยความตกใจระคนแปลกใจ ตลอดหลายสัปดาห์ที่ปาร์คมินจองทำงานเป็นพยาบาลในโรงพยาบาล ไม่มีเค้าบ่งบอกเลยว่าเธอมีอาการทางจิต แล้วคำพูดของผู้หญิงคนนี้หมายความว่าอย่างไรกัน

     

    -----------------------------------------50%--------------------------------------------

    สรุปก็ตัดใจทิ้งไม่ลงสินะ

     

                ทงเฮมองสร้อยห้อยจี้ไม้กางเขนเงินที่ขโมยมาจากคยูฮยอนเมื่อเย็นวานด้วยสายตาหนักใจ ทั้งที่คิดเอาไว้ว่าจะนำสร้อยเส้นนี้ทิ้งขยะไปเสียตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาลแต่สุดท้ายก็พกกลับมาที่บ้านและเก็บใส่ลิ้นชักหัวเตียงอย่างดี ไม่ได้ทำลายหรือนำไปทิ้งอย่างที่คิดไว้ตอนแรก

     

                ก็ใครจะไปทำอย่างนั้นลงล่ะ จี้ที่ห้อยน่ะ ไม้กางเขนเชียวนะ ถึงจะเป็นคนยุคใหม่ หัวทันสมัยแต่ก็ยังนับถือศาสนาเป็นที่พึ่งประจำใจอยู่ดี และอีกเหตุผลคือ เวลาพกสร้อยเส้นนี้ติดตัวแล้วรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด

     

                “อุปาทานไปเองน่า” ทงเฮพึมพำเบาๆ แล้วยัดสร้อยเส้นนั้นกลับลงลิ้นชักตามเดิม ท่องไว้สิทงเฮ นี่เป็นของของศัตรู จะเห็นว่าดีไม่ได้ แม้แต่เศษเสี้ยวความคิดก็ห้ามมองในแง่ดีเด็ดขาด

     

                และสุดท้าย ทงเฮก็ออกจากห้องไปโดยไม่ได้นำสร้อยติดตัวไปด้วย

     

     

     

     

                คยูฮยอนเพิ่งจะออกจากห้องน้ำตอนที่เดินสวนกับชายวัยกลางคนร่างท้วม สวมเสื้อกาวน์สีขาวเช่นเดียวกับเขา คนที่คยูฮยอนรู้จักดีเพราะนอกจากจะเป็นจิตแพทย์เช่นเดียวกับเขาแล้ว ผู้ชายคนนี้ยังเคยเป็นอาจารย์ของเขาสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย

               

                นายแพทย์ชินบยองชอลก้มหัวให้เล็กน้อยเมื่อเห็นอดีตลูกศิษย์โค้งตัวทักทายให้ ก่อนจะตบไหล่แกร่งนั้นเบาๆ รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยตามวัย

     

                “กลับมาแล้วเหรอครับอาจารย์ ไปดูงานมาเป็นยังไงบ้างครับ” คยูฮยอนพูด

     

                “ก็ดีนะ ได้ไปเปิดหูเปิดตาเห็นระบบการทำงานในโรงพยาบาลของเมืองนอกบ้าง แล้วว่าแต่เราเถอะ ดูแลคนไข้ของผมเป็นยังไงบ้าง” ชินบยองชอลถาม แต่คยูฮยอนไม่ตอบ มีเพียงรอยยิ้มแฝงนัยบางอย่างบนใบหน้า “คุณอีซองมินไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม” ไม่วายถามถึงคนไข้ที่ตนดูแลด้วยความเป็นห่วง นอกจากครั้งนั้นที่คยูฮยอนโทรมาว่าซองมินอาการกำเริบและขออนุญาตเป็นแพทย์ประจำตัวชั่วคราวแล้ว คยูฮยอนก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาอีกเลย

     

                “ไม่ครับ คุณซองมินเป็นเด็กดีมากเลยครับ”

     

                บยองชอลหัวเราะชอบใจกับคำตอบของคยูฮยอน ทั้งที่ซองมินนั้นอายุห่างไกลจากคำว่าเด็กมากนัก อันที่จริงก็รุ่นราวคราวเดียวกับคยูฮยอน แต่พ่อหนุ่มน้อยคนนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กตัวเล็กๆ ทั้งหน้าตาและนิสัย ไม่แปลกที่คยูฮยอนจะคิดแบบนั้นเช่นกัน

     

                “ยังไงผมก็ขอบคุณคุณมากนะที่ช่วยดูแลคนไข้ของผม ไว้ว่างๆ ผมจะเลี้ยงตอบแทนละกัน” บยองชอลพูด ถามไถ่เรื่องทั่วไปอีกสองสามคำก็ขอตัวไปทำงานต่อ

     

                คยูฮยอนเองก็กะจะไปทำงานของตนเองต่อเช่นกันแต่ยังไม่ทันจะได้กลับไปทำหน้าที่ของตนตามที่ตั้งใจไว้ มือคู่หนึ่งก็อ้อมมาปิดตาเขาไว้จากข้างหลังพร้อมเสียงกระซิบที่ดังอยู่ริมหู

     

                “ทายซิ ใครเอ่ย”

     

                “ทงเฮ พี่ไม่มีเวลามาเล่นนะ” คยูฮยอนพูดเสียงดุ แกะมือเล็กๆ ที่ปิดตาไว้ออกแล้วหันหลังกลับไปหาชายหนุ่มที่โตแล้วแต่ยังเล่นเป็นเด็กๆ

     

                “ว้า! โดนพี่คยูจับได้ตลอดเลย” ทงเฮทำท่าทีเสียดายแบบไม่จริงจังนักเพราะรู้อยู่แล้วว่าคยูฮยอนต้องรู้ว่าเป็นตน นอกจากเขาคนนี้แล้ว จะมีใครกล้าทำตัวสนิทสนมใกล้ชิดกับคยูฮยอนได้มากขนาดนี้ล่ะ

     

                “ทงเฮ พี่ต้องกลับไปทำงานต่อนะ” คยูฮยอนปรามเมื่อทงเฮเดินเข้ามาเกาะแขนและทำท่าว่าจะเกาะติดหนึบเหมือนอย่างเคย

     

                “ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ เฮไม่ได้ห้ามพี่คยูไปทำงานซักหน่อย ดีซะอีก เฮจะได้ไปศึกษางานกับพี่คยูไง” ทงเฮยกเรื่องงานมาอ้างทั้งที่คนที่ทำงานในฝ่ายบริหารอย่างทงเฮไม่จำเป็นต้องศึกษางานด้านการตรวจและรักษาคนไข้ซึ่งเป็นงานของคยูฮยอนเลย

     

                “ไม่เอาน่าทงเฮ อย่าดื้อสิ” คยูฮยอนพูดอย่างอ่อนใจ ทำอย่างไรจึงจะสลัดทงเฮให้หลุดดีนะ

     

                “เฮไม่ยุ่งกับพี่คยูก็ได้ แต่เย็นนี้พี่คยูต้องไปกินข้าวกับเฮ โอเค๊”

     

                “อ่ะๆๆ ก็ได้” คยูฮยอนจำใจต้องตอบตกลงเพราะถ้าหากไม่ทำตามที่ทงเฮต้องการ ลูกคุณหนูผู้เอาแต่ใจอย่างทงเฮไม่มีวันปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่ แล้วอีกอย่างเขาก็ออกมานานเกินไปแล้ว ป่านนี้คนไข้คงรอแย่

     

                แต่ถึงอย่างนั้น ทงเฮก็ยังเกาะแขนเขาไว้แน่นเหมือนเดิม

     

                “ทงเฮ ปล่อยสิ”

     

                “ยังไม่ปล่อย พี่คยูต้องทำให้เฮพอใจก่อน” ทงเฮพูด ริมฝีปากบางวาดเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนที่นิ้วเรียวจะแตะเข้าที่ริมฝีปากของคยูฮยอนแผ่วเบา ส่งความนัยบางอย่างที่คยูฮยอนรู้ความหมายของมันดี

     

                คยูฮยอนคว้าข้อมือของทงเฮข้างที่กำลังแตะปากตนเองแล้วดึงเบาๆ ให้เข้าไปในห้องน้ำห้องหนึ่ง อีกฝ่ายไม่ได้ต่อต้านขัดขืนเพราะเป็นสิ่งที่ตนเองต้องการอยู่แล้ว

     

                “แค่จูบนะ” คยูฮยอนพูดเสียงเรียบ

     

                “จะทำมากกว่าจูบก็….

     

                ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค กลีบปากบางก็ถูกปิดด้วยด้วยริมฝีปากของคยูฮยอน ทงเฮปรับองศาศีรษะให้สะดวกมากขึ้น เลื่อนมือไปโอบรอบคอคยูฮยอน ขยับกลีบปากตอบรับสัมผัสเร่งเร้าของชายหนุ่มอีกคน

     

                จูบของคยูฮยอนปราศจากการลุกล้ำแต่ก็ร้อนแรง เล่นเอาทงเฮอ่อนระทวยไปทั้งร่าง มือหนาเลื่อนจากเอวบางของทงเฮขึ้นมาที่ไหล่ ลูบไล้แผ่วเบาก่อนผลักออก

     

                ทงเฮมองคยูฮยอนด้วยสายตาละห้อย เรียกร้องต้องการรสสัมผัสจากอีกฝ่ายอีก

     

                “พอได้แล้ว” คยูฮยอนปฏิเสธเสียงหนักแน่น แล้วรีบผละออกไปก่อนที่ทงเฮจะรั้งตัวเขาไว้อีก

     

                “ยังจูบเก่งเหมือนเดิมเลยนะพี่คยู ไม่รู้อย่างอื่นจะยังเก่งเหมือนเดิมหรือเปล่า” ทงเฮพูดเสียงแผ่ว ดวงตาฉายแววพึงพอใจขณะที่นิ้วเรียวสวยลูบริมฝีปากเบาๆ หารู้ไม่ว่าการกระทำเมื่อครู่นั้น ตกอยู่ในสายตาอีกคู่ที่จ้องมองอยู่ด้วยความอาฆาตมาดร้าย

     

     

     

               

     

                “สงสัยจะไปแล้วล่ะครับ” จงอุนเอ่ยออกมาหลังจากที่ไม่เห็นคุณป้าคนขายไอศกรีมอยู่แถวหน้าบ้านของมินจองแล้ว ซองมินที่หลบอยู่ข้างหลังจึงชะโงกหน้าโผล่จากกำแพงที่หลบซ่อนตัวอยู่ออกมาดูบ้าง

     

                “ไปจริงๆ แล้วสินะ” ว่าพลางถอนหายใจดังเฮือกใหญ่

     

                สาเหตุที่ทั้งเขาและจงอุนต้องแอบซ่อนตัวแบบนี้เป็นเพราะความช่างสอดรู้สอดเห็นของหญิงที่แทนตัวเองว่าพี่ทั้งที่อายุเกินวัยแล้วคนนั้นนั่นเอง ยังไม่ทันได้ถามสาเหตุความเป็นไปที่ผู้คนในละแวกนั้นพากันรังเกียจไม่คบหาสมาคมกับปาร์คมินจอง ทั้งคู่กลับเป็นฝ่ายถูกซักไม่หยุด สุดท้ายจงอุนจึงตัดบทด้วยการหนีโดยการพาซองมินขึ้นรถขับออกไปจอดที่ซอยข้างๆ  รอเวลาสักพักจนแน่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่แล้วจึงเดินกลับมา ไม่กล้าเสี่ยงใช้รถให้เป็นเป้าสายตา

     

                “ไปกันเถอะครับคุณซองมิน ผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่แล้วจริงๆ” จงอุนพูด กวักมือเรียกซองมินให้เดินตามตนมา

     

                เมื่อมาถึงบ้านของมินจอง จงอุนก็กดออดที่เก่าคร่ำคร่าพอๆ กับสภาพบ้าน ไม่แน่ใจเท่าใดว่ามันยังทำงานอยู่หรือไม่ แต่จากการที่ประตูบ้านค่อยๆ เปิดออกก็พอจะให้คำตอบได้ว่าออดเก่าๆ นั้นยังใช้งานได้ดีเป็นปกติ

     

                ปาร์คมินจองนั่นเองที่เป็นผู้เปิดประตู เธออยู่ในชุดลำลอง เสื้อยืด กางเกงขาสั้น ซองมินและจงอุนที่เห็นแค่ตอนเธออยู่ในมาดคุณพยาบาลชุดขาวจึงไม่ค่อยชินตานัก

     

                ซองมินหันมองหน้าจงอุนด้วยความประหม่า เขาไม่รู้จะอธิบายให้มินจองฟังอย่างไรถึงเหตุผลที่มาอยู่ที่นี่

     

                “มีอะไรคะ เอ๊ะ! นี่คุณคุณหมอที่โรงพยาบาลนี่” มินจองเอ่ยปากทักเมื่อเห็นว่าหนึ่งในแขกผู้มาเยือนคือหมอในโรงพยาบาลที่เธอทำงาน

     

                จงอุนไม่ใช่หมอในแผนกที่เธออยู่ อีกทั้งเธอยังเป็นพยาบาลใหม่ที่เพิ่งเข้าทำงานได้ไม่กี่สัปดาห์จึงจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร แต่เพราะเคยเห็นจงอุนมาเยี่ยมเยือนที่แผนกบ่อยๆ จึงรู้ว่าทำงานในโรงพยาบาลเดียวกัน

     

                “สวัสดีครับ ผมชื่อคิมจงอุนครับ เป็นศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลเดียวกับคุณ ผมมาหาคุณเพราะมีธุระจะคุยด้วย” จงอุนกล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหันไปหาซองมินที่ตอนนี้อยู่ในร่างผู้หญิงเต็มยศ “ส่วนนี่คุณมินยอง เธอเป็นเพื่อนกับผม พอดีเธอเคยเป็นครูอนุบาลของลูกสาวคุณน่ะครับ พอทราบว่าคุณทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกับผมเลยอยากจะมาเยี่ยมลูกศิษย์สักหน่อย” จงอุนท่องบทที่ซักซ้อมมาเป็นอย่างดีแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นความคิดของรยออุค

     

                “คุณหมอต้องเป็นคนพูดนะครับ ถ้าพี่ซองมินพูดล่ะไม่รอดแน่ รายนั้นน่ะแค่อ้าปากก็รู้เลยว่ากำลังจะพูดความจริงหรือโกหก”

     

                ดูจากท่าทางประหม่า เอาแต่ก้มหน้าหลบสายตาตลอดเวลา จงอุนก็พอจะเข้าใจถึงความหมายที่รยออุคต้องการจะสื่อได้ไม่ยากเย็น

     

                “คือ ผเอ่อ ฉันเป็นครูของอึนจูน่ะค่ะ ขอเข้าไปเยี่ยมเธอหน่อยได้ไหมคะ” ซองมินดัดเสียงเล็ก แม้จะพูดเสียงสั่น ซ้ำยังก้มหน้าก้มตาดูมีพิรุธ แต่เมื่อชื่อของลูกสาวหลุดออกมาจากปากก็ทำให้ผู้เป็นแม่คลายความคลางแคลงสงสัยลง เพราะอย่างน้อยนั่นก็เป็นชื่อลูกสาวของเธอ ผู้หญิงคนนี้รู้จักกับลูกสาวเธอจริงๆ

     

                “เชิญเข้ามาสิคะ อึนจูขาดเรียนมานานคุณครูคงจะเป็นห่วงเลยมาตามถึงบ้าน ยายหนูแกไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ จนป่านนี้ยังลุกจากเตียงไม่ได้เลย” มินจองพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรขึ้นระหว่างเดินนำพาแขกทั้งสองเข้าไปในบ้าน

     

                ระหว่างนั้นซองมินยังคงก้มหน้า แต่ใบหน้าหวานนั้นเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย

     

                ถ้าอึนจูนอนบนเตียงตลอดเวลาเพราะไม่สบายหนัก แล้วเด็กหญิงที่มาหาเขาแทบทุกวันและร้องขอความช่วยเหลือจากเขาเป็นใครกัน

    -------------------------------------60%---------------------------------------------

    มินจองเชื้อเชิญแขกทั้งสองเข้าไปในบ้าน สภาพบ้านภายนอกที่ทั้งเก่าและโทรมทำให้ซองมินรู้สึกไม่ค่อยดี แต่เมื่อมาเห็นข้างในกลับยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่ ข้าวของภายในบ้านรกรุงรัง ระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ หยากไย่ใยแมงมุมเกาะอยู่ตามผนังและเพดานบ้าน ยังไม่นับฝุ่นหนาเตอะที่จับตามชั้นวางของอีก บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของบ้านไม่ได้ใส่ใจจะดูแลความสะอาดของบ้านเลย

     

                “ขอโทษนะคะ บ้านอาจจะรกไปหน่อย” มินจองคงจะอ่านสีหน้าของซองมินออกจึงเอ่ยเช่นนั้น ชายหนุ่มในคราบหญิงสาวได้แต่ยิ้มอ่อยๆ แล้วนั่งลงบนโซฟาตามคุณหมอจงอุน

     

                “เห็นคุณบอกว่าอึนจูป่วย ไม่ทราบว่าเป็นอะไรเหรอครับ ทำไมไม่พาไปรักษาให้หาย” คนเป็นหมอถาม

     

                “อึนจูแกเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องน่ะค่ะ ป่วยกระเสาะกระแสะมานานก็เลยขาดเรียนบ่อยๆ ช่วงนี้ไม่เป็นอะไรมากเลยให้นอนพักอยู่ที่บ้าน แกชอบบ่นว่าไม่ชอบบรรยากาศที่โรงพยาบาล นอนโรงพยาบาลนานๆ เดี๋ยวไปรับเชื้อใหม่มาจะยุ่งกันใหญ่ด้วย” มินจองพูด สีหน้าอ่อนลงเมื่อพูดถึงลูกสาว

     

                จงอุนหันไปมองซองมินที่มีสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย เขาไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงที่ซองมินมาที่บ้านหลังนี้เพราะเจ้าตัวไม่ได้บอกเอาไว้ แค่ขอให้พามา เขาก็พามา แต่ดูทีท่าว่ามินจองกับลูกสาวจะอยู่ที่นี่อย่างเป็นปกติสุขแม้สภาพของบ้านจะชวนให้หนูน้อยอึนจูติดเชื้อซ้ำเพราะความสกปรกก็ตาม

     

                คุณหมอหนุ่มกำลังจะแนะนำให้พยาบาลสาวดูแลความสะอาดและรักษาสุขอนามัยของที่อยู่อาศัยตามนิสัยของคนเป็นหมอแต่ซองมินที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

     

                “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอเข้าไปเยี่ยมอึนจูได้ไหมคะ”

     

                มินจองไม่ขัด เดินนำแขกทั้งสองขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้าน สภาพของชั้นสองก็ไม่ต่างกัน จงอุนอดคิดไม่ได้ว่าสองแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ในบ้านสภาพใกล้เคียงบ้านร้างนี้ได้อย่างไรกัน ซ้ำบริเวณชั้นบนของบ้านนี้ยังมีกลิ่นแปลกๆ อีกด้วย

     

                “ห้องนี้ล่ะค่ะ ห้องของอึนจู ตอนนี้แกคงดูการ์ตูนตอนเช้าอยู่” มินจองพูดยิ้มๆ เปิดประตูห้องที่บอกว่าเป็นห้องของลูกสาว

     

                เสียงเพลงประกอบการ์ตูนเรื่องดังที่ฉายทุกเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ดังมาให้ได้ยินตั้งแต่ประตูห้องยังไม่ถูกเปิด ซองมินจำได้ดีว่าเป็นการ์ตูนโปรดที่บารอมชอบดูเช่นกันจนพลอยทำให้เขาต้องติดตามดูไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

     

                กลิ่นแปลกๆ ที่สัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวขึ้นมาบริเวณชั้นบนของบ้านยิ่งฉุนจัดจนผู้มาเยือนทั้งสองคนนิ่วหน้า ต้นกลิ่นมาจากห้องนี้นี่เอง

     

                “อึนจู” ซองมินเอ่ยเรียกเด็กหญิงที่กำลังนั่งดูการ์ตูนอยู่ที่ปลายเตียง เธอหันมามองก่อนจะเบิกตาโตด้วยความตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวหน้าตาคุ้นๆ คนหนึ่งเรียก แต่สุดท้ายก็จดจำได้ว่าเป็นพี่ชายคนสนิทนั่นเอง

     

                “พี่ซองมิน

     

                ซองมินกำลังจะเดินเข้าไปหาเด็กหญิงที่ปลายเตียงแต่จงอุนกลับกระตุกมือเขาแล้วดึงให้เดินไปที่บริเวณที่นอนแทน เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าบนที่นอนมีรอยโป่งของผ้าห่มเหมือนมีคนนอนคลุมโปงหันหลังให้ ซองมินเข้าใจแล้ว ภาพเด็กหญิงที่เห็นนั้นมีเพียงเขาเท่านั้นที่มองเห็น

     

                แล้วเหตุใดดวงวิญญาณของอึนจูจึงไม่กลับเข้าไปในร่างทั้งที่มันอยู่ตรงหน้านี้แท้ๆ

               

                กลิ่นเหม็นประหลาดที่ตลบอบอวลในห้องนี้ชวนให้เวียนหัว ซองมินคร้านจะหาคำตอบแต่ก็มองสลับกันไปมาระหว่างดวงจิตและกายหยาบของเด็กหญิง พยายามส่งสายตาถาม แต่เด็กน้อยก็เอาแต่ก้มหน้าหลบตา

     

                “หนูคืออึนจูใช่ไหม” จงอุนถาม น้ำเสียงเคลือบแคลง สีหน้าไม่วางใจ เขาเองก็รู้สึกไม่ค่อยดีเช่นกัน คนเดียวที่ดูเป็นปกติที่สุดคงจะเป็นผู้เป็นแม่ที่กำลังเดินอ้อมไปอีกด้านของเตียง ด้านที่เด็กน้อยนอนหันหน้าไปหา

     

                “อึนจู คุณครูที่โรงเรียนเก่าหนูกับคุณหมอมาเยี่ยม ทักทายหน่อยสิจ๊ะ” แววตาของมินจองทอดอ่อนโยนมองไปยังตำแหน่งใบหน้าของลูกสาว มือเรียวจับที่ไหล่เล็กๆ ของร่างบนเตียงก่อนจะออกแรงผลักเบาๆ ร่างนั้นพลิกกลับมานอนหงายอย่างง่ายดาย ไร้แรงต้านทาน

     

                ซองมินหวีดร้องออกมาแผ่วเบา ยกมือขึ้นอุดปาก มืออีกข้างคว้าแขนจงอุนมากอดไว้แน่นด้วยความตกใจ คุณหมอหนุ่มที่เริ่มสงสัยตั้งแต่ได้กลิ่นแปลกๆ โชยอยู่ในห้อง แม้จะเตรียมใจมาดีแล้วก็ยังมิวายสะดุ้งไปด้วย

     

                “อึนจู ทักทายคุณครูกับคุณหมอสิลูก….” ผู้เป็นแม่ยังคงพูดเสียงอ่อน สีหน้าแววตายังคงดูอบอุ่นอ่อนโยน แต่มันมากเกินไป ซองมินเห็นแววความไม่ปกติอยู่ในดวงตาคู่นั้น

                “คุณปาร์คครับ ลูกสาวของคุณเสียชีวิตไปแล้วนะครับ” จงอุนพูด แต่ดูเหมือนเสียงของเขาจะไม่เข้าไปในโสตประสาทของปาร์คมินจองแม้แต่น้อย หญิงสาวดึงมือของผู้เป็นลูกออกมาจากผ้าห่มแล้วลูบแผ่วเบา

     

                “อึนจู

     

                มือข้างนั้นเต็มไปด้วยกระดูก มีเพียงเศษเนื้อดำกรังแห้งตายติดอยู่เล็กน้อย ไม่ต่างจากใบหน้าของเด็กหญิงที่เนื้อเริ่มเน่า ส่งกลิ่นเหม็นอวล เห็นเนื้อกะโหลกโผล่ออกมาบางส่วน และทั้งตัวของเด็กหญิงคงจะมีสภาพเป็นเช่นนี้ ไม่อาจคาดเดาได้แน่ชัดว่าศพถูกทิ้งไว้ในสภาพนี้มานานเท่าใดแต่จากการประมาณด้วยสายตาของคุณหมอหนุ่ม คงจะผ่านมาเป็นเดือนแล้ว

     

                แรงรัดที่แขนของจงอุนแน่นขึ้นจนชายหนุ่มหันมามองคนข้างกาย ซองมินน้ำตาไหล กอดแขนจงอุนแน่น สายตาไม่ได้จับจ้องไปที่ร่างไร้วิญญาณบนเตียงที่ผู้เป็นแม่ยังคงทำท่าทีเหมือนมีชีวิตอยู่ แต่กลับมองไปที่ปลายเตียงที่ว่างเปล่าแทน

     

                มีเพียงซองมินเท่านั้นที่เห็นว่าแท้จริงแล้วเด็กหญิงอึนจูยังอยู่ในห้องนี้ และกำลังมองแม่ของตนด้วยสายตาทุกข์ทรมาน

     

                พี่เข้าใจแล้วอึนจู บ่วงที่รัดเธออยู่คืออะไร พี่เข้าใจแล้ว

     

                ซองมินปล่อยมือจากแขนของจงอุนก่อนจะเดินเข้าไปหามินจองที่ยังพูดคุยกับร่างไร้วิญญาณของลูกสาวตัวเอง มือเรียวเล็กแตะเข้าที่ไหล่เธอ

     

                มินจองหันมาหาซองมิน ส่งยิ้มให้ตามปกติ ไม่ได้รับรู้ว่าแขกทั้งสองของตนมีท่าทีผิดแผกไปหลังจากได้พบหน้าลูกสาว

     

                “คุณมินจองคะ นี่คืออึนจูจริงๆ เหรอคะ”

     

                “ก็ใช่น่ะสิคะ นี่แหละค่ะ อึนจูลูกสาวของฉัน” มินจองตอบ

     

                “ไม่ใช่หรอกค่ะ นี่ไม่ใช่อึนจู” ซองมินพูดเสียงสงบ สงสารผู้หญิงคนนี้จับใจ

     

                “ใช่สิ ทำไมจะไม่ใช่ ลูกสาวของฉัน ทำไมฉันจะจำไม่ได้ พวกคุณนั่นแหละเป็นใครกันแน่ คุณไม่ได้รู้จักอึนจูจริงหรอกใช่ไหม” มินจองกราดเกรี้ยวขึ้นมา ตวัดสายตาหันไปมองคุณหมอหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่อีกด้านด้วยสายตาหวาดระแวงเช่นกัน “ไอ้พวกคนแถวนี้มันบอกให้พวกคุณมาจับฉันไปใช่ไหม ฉันไม่ได้บ้านะ! ฉันแค่อยากจะอยู่กับลูกสาวฉัน มันผิดตรงไหน” มินจองตวาด สะบัดไหล่ออกจากมือซองมิน

     

                จงอุนเห็นท่าไม่ดี จะเดินตรงเข้าไปช่วย กลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะทำอันตรายซองมิน ปาร์คมินจองมีอาการทางจิตแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ซองมินกลับหันมาส่งสายตาปราม

     

                “ลองมองดูให้ดีๆ สิคะคุณมินจอง นี่คือลูกสาวของคุณจริงๆ แน่เหรอ” ซองมินยังคงพูดต่อไปด้วยท่าทีสงบ “อึนจูเป็นเด็กที่ร่าเริงสดใส นี่คืออึนจูจริงๆ แน่เหรอคะ คุณเป็นแม่ น่าจะรู้ดีที่สุด”

     

                “ฉัน….” มินจองมีทีท่าสับสน “อึนจูป่วยอยู่ คุณก็เห็น”

     

                ซองมินมองพยาบาลสาวด้วยสายตาเวทนา เธอคงจะรักลูกสาวมาก รักเกินไปจนไม่อาจปล่อยวางได้ แม้กระทั่งในยามที่ลูกตายก็ทำใจยอมรับไม่ได้จึงสร้างภาพมายาหลอกตัวเองว่าลูกยังมีชีวิตอยู่

     

                “คุณมินจองคะ ฉันรู้ว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่คุณต้องรับมันให้ได้” ซองมินยังคงพูดต่อไป “ตัวคุณเองรู้ดีอยู่แก่ใจ”

     

                “ฉันไม่” มินจองพยายามจะปฏิเสธ แต่ก็อับจนคำพูด ท่าทีสับสนหนัก

     

                ซองมินยิ้มบางๆ กุมมือที่สั่นระริกของพยาบาลสาวแล้วจับจูงมาที่ปลายเตียง วิญญาณของอึนจูอยู่ตรงนี้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่เห็น

     

                “อึนจูอยู่ที่นี่ค่ะ”

     

                มินจองหันมองรอบๆ กาย สายตาตื่นเต้นตกใจ เธอมองไม่เห็นอึนจูที่ซองมินว่า แต่ก็ไม่ได้หันไปมองศพที่หลอกตัวเองว่ายังมีชีวิตอยู่

     

                อึนจูกอดเอวแม่ ซบใบหน้าสะอื้นไห้ ผู้เป็นแม่ยืนแข็งนิ่ง มีท่าทีสงบลง น้ำตาไหลรินเช่นกัน แม้จะมองไม่เห็นแต่สัมผัสได้

     

                “อึนจูเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กันกับคุณ ได้โปรดปล่อยเธอไปเถอะนะคะ อย่ารั้งเธอไว้ให้ทรมานอีกเลย” ซองมินพูดเสียงแผ่ว มองภาพตรงหน้าด้วยความสะเทือนใจ

     

                มินจองทรุดลงที่พื้น สะอื้นฮักไห้จนตัวโยน ดวงวิญญาณของผู้เป็นลูกกอดแม่ไว้แน่นราวกับจะปลอบใจ

     

                ซองมินป้ายน้ำตาที่กำลังไหล รอยยิ้มจางๆ แต้มบนใบหน้า ทุกอย่างสิ้นสุดลงด้วยดีและเร็วกว่าที่คาดคิดเอาไว้

     

     

     

                ซองมินกับจงอุนอยู่พูดคุยกับมินจองต่ออีกเล็กน้อย หญิงสาวสงบลงนิ่งลงมาก จากคำบอกเล่าของพยาบาลสาวทำให้พวกเขาได้รู้ว่าเธอตัวคนเดียว พ่อแม่เสียตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนญาติที่เลี้ยงดูมาก็เสียตอนเรียนมหาวิทยาลัย เธอจึงใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังตั้งแต่นั้น ส่วนพ่อของอึนจูก็ทิ้งไปตั้งแต่เด็กน้อยยังไม่ลืมตาดูโลก ชีวิตของเธอจึงมีเพียงแต่ลูกเท่านั้น ไม่แปลกเลยที่มินจองจะเศร้าเสียใจจนหลอกตัวเองว่าลูกยังอยู่กับเธอเพราะในชีวิตเธอพบกับความสูญเสียมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำใจยอมรับความสูญเสียอีกครั้งไม่ไหว

     

                จงอุนพูดคุยตกลงกับหญิงสาวเรื่องการจัดการกับศพและการจัดพิธีกรรมทางศาสนาอีกเล็กน้อยแล้วจึงขอตัวกลับ ชายหนุ่มโทรเรียกให้เจ้าหน้าที่มารับศพของอึนจูไปจัดการต่อให้ถูกต้อง มินจองไม่ได้ต่อต้านหรือขัดแย้งอะไร เพียงแต่ร้องไห้เงียบๆ โดยมีซองมินคอยปลอบใจ

     

                “คุณทำถูกต้องแล้วล่ะค่ะคุณมินจอง” ซองมินพูดทิ้งท้ายแล้วหันมองวิญญาณของเด็กหญิงที่ยืนยิ้มบางๆ อยู่ข้างหลัง

     

                เสร็จสิ้นภารกิจของเขาเสียที อีกไม่นานอึนจูก็จะจากเขาไปเหมือนบารอม เขารู้ดี แม้จะใจหาย แต่ถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไปเด็กหญิงก็คงจะทุกข์ทรมานไม่จบไม่สิ้น

     

                “ขอบคุณมากนะคะพี่ซองมิน ลาก่อนค่ะ”

     

                ลาก่อนนะ อึนจู….

     

    -------------------------------------------------

     

                รยออุคนอนกระสับกระส่าย พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องของซองมิน ชายหนุ่มหันมองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังฝั่งตรงข้ามห้องเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้

     

                เวลาก็ล่วงเลยมาค่อนวันแล้ว ผ่านไปหลายชั่วโมงนับแต่ซองมินออกจากโรงพยาบาลไปพร้อมกับจงอุน รยออุคทำตามแผนการทุกอย่างเป็นอย่างดี เมื่อพยาบาลเข้ามาในห้อง เขาก็แกล้งนอนคลุมโปง ไม่มีใครนึกสงสัยระแวงอะไรทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สบายใจ

     

                ตามที่ตกลงไว้ ซองมินจะกลับมาที่นี่ก่อนบ่ายสามโมง และตอนนี้ก็ใกล้เวลานั้นเต็มทีแล้ว อย่างน้อยถ้าใกล้จะกลับมาก็น่าจะโทรบอกกันให้สบายใจหน่อยก็ยังดี แต่นี่พากันเงียบหายไปเลยทั้งคู่

               

                คอยดูนะ ถ้ากลับมาเมื่อไหร่จะเล่นงานให้หนักเลย ทั้งพี่ชายและว่าที่พี่เขย!

     

                คิดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันได้ไม่เท่าไหร่ รยออุคก็ต้องรีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงด้วยใจระทึกอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นสัญญาณว่าจะมีคนเข้ามา

     

                ตามที่ซองมินบอก นี่ไม่ใช่เวลาอาหารหรือเวลายา พยาบาลไม่น่าจะเข้ามา แล้วทำไมถึงมีคนโผล่มาอีกล่ะ

     

                ประตูเปิดแล้ว รยออุคยิ่งนอนเกร็งนิ่ง รีบๆ มารีบๆ ไปทีเถอะก่อนที่เขาจะหัวใจวายตายเพราะความตื่นเต้น

     

                “คุณซองมิน หลับหรือเปล่า”

     

                เสียงทุ้มนุ่มที่แม้จะฟังไม่กี่ครั้งก็จดจำได้ว่าเป็นใคร ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่รยออุคก็นึกรู้ทันที

     

                ไอ้หมอขี้เก๊กคนนั้นนี่หว่า ทำไมต้องมาตอนนี้ด้วยวะเนี่ย

     

                “หลับแล้วทำไมนอนคลุมโปงแบบนี้ล่ะเนี่ย เดี๋ยวก็ขาดอากาศหายใจพอดี” คยูฮยอนรำพึงเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหมายจะดึงผ้าห่มออกจากใบหน้าคนไข้ด้วยความหวังดี แต่มีหรือที่ซองมินตัวปลอมจะยอม หากปล่อยไปความก็แตกกันพอดี

     

                “นี่คุณไม่ได้หลับนี่”

     

                รยออุคตัดปัญหาด้วยการพลิกตัวหันหลังให้ ผ้าห่มก็คลุมปิดทั้งตัวอยู่อย่างนั้น

     

                ทำไงดีล่ะทีนี้ ถ้าโดนจับได้ล่ะก็ ตายแน่!” รยออุคขมุบขมิบปาก เบ้หน้า ใจเต้นรัวเร็วด้วยความตื่นเต้น

     

                “คุณซองมิน ผมรู้ว่าคุณโกรธผม ที่จริงผมกับทงเฮเป็นแค่พี่น้องกัน ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้จริงๆ”

     

                เชื่อก็โง่แล้วล่ะ ถ้าไม่มีอะไร หมอนั่นจะมาประกาศปาวๆ แสดงความเป็นเจ้าของ ซ้ำยังหวงอย่างกับหมาบ้าหวงเจ้าของแบบนั้นเหรอ รยออุคลอบทำสีหน้าไม่พอใจ ไม่มีวันที่เขาจะยกพี่ชายสุดที่รักให้หรอก ฝันไปเถอะ!

     

                “คุณซองมิน ช่วยหันหน้ามาคุยกับผมได้ไหม อย่าทำแบบนีสิครับ ผมรู้สึกไม่ดีนะ” คยูฮยอนพูดเสียงอ่อย ใจเสียเพราะคิดว่าซองมินคงจะโกรธถึงได้เมินกันขนาดนี้  “โอเค ก็ได้ ถ้าคุณยังไม่ยอมหันหน้ามาคุยกับผมดีๆ ผมก็จะนั่งอยู่ตรงนี้แหละ” พูดจบก็เลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียง กะจะปักหลักอยู่ที่นี่จริงหากคนไข้หนุ่มที่นอนคลุมโปงหันหลังยังทำท่าทีเย็นชาใส่กัน

     

                รยออุคหน้าเสีย หากคยูฮยอนยังดึงดันอยู่ที่นี่ต่อไป ถ้าซองมินตัวจริงกลับมามีหวังความได้แตกแน่ เขาต้องรีบทำอะไรซักอย่างแล้ว

     

                เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน ถ้าไม่เสี่ยงก็โดนจับได้อยู่ดี อย่างนี้แหละ เผื่อจะรอด

     

                “ผมไม่ได้โกรธคุณ แต่แค่ไม่ค่อยสบายอยากพักผ่อน แค่กๆ” รยออุคแกล้งดัดเสียง เพิ่มไอเข้าไปด้วยเพื่อความสมจริง

     

                เอาวะ! พอแก้ขัดไปก่อน ไม่เหมือนเป๊ะ แต่ก็ใกล้เคียง ดีกว่ารอเวลาให้พี่ซองมินมาแล้วโดนจับได้

     

                แต่รยออุคคงจะลืมไปว่าหนุ่มคู่กรณีนั้นเป็นหมอ

     

                “คุณไม่สบายเหรอ ไหนผมขอตรวจดูหน่อย ถึงว่าล่ะอากาศร้อนแบบนี้ยังจะคลุมโปงอีก มีไข้ด้วยหรือเปล่า” คยูฮยอนพูดเสียงจริงจัง ลุกขึ้นพร้อมกับดึงสเตรทโตสโคปที่ห้อยคออยู่มาสวมหู คิดไว้ว่าเดี๋ยวจะกดออดเรียกพยาบาลให้เอาปรอทมาวัดไข้ซองมินด้วย

     

                ซวยแล้วไง รยองกู ทำไงดีล่ะเนี่ย ปากบ่นขมุบขมิบ มือก็ดึงผ้าห่มขึ้น ขืนไว้ไม่ให้คยูฮยอนดึงออก

     

                “อย่าดื้อสิคุณซองมิน ไม่ตรวจแล้วจะรู้ไหมว่าเป็นอะไร ผมจะได้สั่งยาให้ถูก”

     

                “ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่หวัดนิดหน่อย” รยออุคพูดพลางยื้อผ้าห่มเอาไว้ ฉุดกระชากกันไปมา คนหนึ่งก็จะเอาออก คนหนึ่งก็ไม่ยอม

     

                “นี่คุณเป็นอะไรเนี่ย อย่าเล่นเป็นเด็กๆ น่า” คยูฮยอนเริ่มจะรำคาญขึ้นมาบ้าง

     

                “ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ!

     

                “ไม่เป็นอะไรที่ไหนกัน คุณเพิ่งบอกหยกๆ ว่าไม่สบายนะ”

     

                ทำไงดีคิมรยออุค คิดสิ ทำยังไงดี!’

     

                ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป มีหวังต้องโดนจับได้แน่ๆ

     

                ขณะกำลังอยู่ในช่วงวิกฤต โทรศัพท์มือถือของคยูฮยอนก็ดังขึ้น ชายหนุ่มส่งเสียงจึ๊กจั๊กขัดใจ แต่ก็รับสาย

     

                “ครับ ทงเฮเหรอ ได้ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”

     

                แล้วคยูฮยอนก็รีบร้อนออกจากห้องไปโดยทันที

     

                “เฮ้อ นึกว่าจะไม่รอดซะแล้วเรา” รยออุคถอนใจเฮือกใหญ่ แต่ก็มิวายส่งสายตาค้อน

     

                แหม หมั่นไส้ ปากบอกไม่เป็นอะไรกัน แต่พอได้ยินชื่อคู่หมั้นปุ๊บก็รีบออกไปทันที คนอาไร๊กะล่อนปลิ้นปล้อนซะไม่มี อย่าหวังเลยว่าจะได้แอ้มพี่ชายเขา รยออุคคนนี้จะเอาตัวเข้าขวางสุดใจขาดดิ้นเลย คอยดูสิ!

     

    -------------------------------------------------

     

                “ขอบคุณมากนะครับคุณหมอที่อุตส่าห์เป็นธุระช่วยผมทั้งวัน” ซองมินพูดพลางโค้งตัวขอบคุณคุณหมอหนุ่ม ตอนนี้ทั้งเขาและซองมินมาถึงที่โรงพยาบาลแล้ว

     

                “ไม่เป็นไรครับคุณซองมิน แต่แน่ใจนะครับว่าจะไม่ให้ผมไปส่งที่ห้อง” จงอุนถาม เขายังอยู่ในรถเพราะมีธุระที่อื่นต่อ แต่มาจอดส่งซองมินหน้าโรงพยาบาล

     

                “ไม่ต้องหรอกครับ หรือคุณหมอกลัวผมจะหนี ไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ ผมไม่ทิ้งน้องผมไว้ที่นี่หรอก” ซองมินพูดไม่จริงจังนักพลางหัวเราะเบาๆ

     

                “ครับ ป่านนี้คุณรยออุคคงบ่นหาแย่แล้ว รีบไปหาเขาเถอะนะครับ ผมขอตัวก่อน ไว้เจอกันนะครับคุณซองมิน” จงอุนเอ่ยคำลาแล้วจึงขับรถออกไป ส่วนซองมินนั้นเดินตัวปลิวเข้าไปในเขตของโรงพยาบาล

     

                หนุ่มน้อยในร่างหญิงสาวหันมองทัศนียภาพในสวนหย่อมของโรงพยาบาลด้วยสายตาสนใจ สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด รู้สึกปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกมานาน

     

                สวนของโรงพยาบาลทั้งกว้างขวางร่มรื่น แม้จะอยู่ในโรงพยาบาลนี้มานานนับปีแต่ซองมินก็เคยมาเดินเล่นเพียงครั้งเดียวและครั้งนั้นก็ไม่ได้รู้สึกสดชื่นแบบนี้ เพราะถูกบุรุษพยาบาลคุมตัวแจ พอมาวันนี้อุตส่าห์ได้ลิ้มรสอิสรภาพในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ขอเที่ยวแถวนี้ให้หนำใจก่อนแล้วค่อยกลับแล้วกัน

     

                ขอโทษทีนะรยออุคน้องรัก พี่ขอเลทนิดนึง รับรองไม่เกินชั่วโมงจะรีบกลับแน่ๆ

     

                ชายหนุ่มยิ้มซนๆ เมื่อคิดถึงหน้าตาบูดบึ้งของน้องชายเวลาที่เขากลับไปช้า คิดหาวิธีอ้อนน้องชายสุดที่รักที่ได้ผลเสมอเวลาเจ้าตัวงอน

     

                พลันความคิดของซองมินก็สะดุดลงเมื่อเห็นคู่หมั้นของคยูฮยอนเดินผ่านไปในระยะประชิด ด้วยความลืมตัวว่าตนเองปลอมตัวอยู่ ซองมินจึงรีบหันหลังหนีเพราะกลัวจะโดนจับได้ เมื่อหันไปมองอีกทีก็เห็นเพียงแผ่นหลังของชายหนุ่มหน้าหวานผู้นั้นเท่านั้น

     

                “ตกใจหมดเลย อยู่ๆ ก็โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง” บ่นกับตัวเองเบาๆ พลางลูบหน้าอกปลอบขวัญ แต่ยังไม่ทันเรียกขวัญของตัวเองกลับมาครบมันก็กระเจิดกระเจิงไปอีกรอบ

     

                ซองมินจ้องมองไปที่ทงเฮเขม็ง รู้สึกมวนๆ ในช่องท้อง สังหรณ์ไม่ดีอย่างประหลาด

     

                ทุกย่างก้าวของทงเฮขณะเดินไปทิ้งร่องรอยสีแดงฉานเป็นทางยาวราวกับเมือกของทากเวลาคลาน

     

                เหมือนเป็นลางร้าย ลางมรณะ แต่เมื่อกระพริบตารอยแดงที่ว่านั่นก็หายไป

     

                หรือจะตาฝาด

     

                ซองมินไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน แต่อะไรบางอย่างบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องดี

     

                คิดมากน่าซองมิน นายก็แค่ตาฝาดไปเองเท่านั้น ขืนเข้าไปเตือนคุณทงเฮมีหวังได้ถูกไล่ตะเพิดมาแน่ๆ ดีไม่ดีเขาจำเราได้ขึ้นมาจะได้ยุ่งไปกันใหญ่

     

                ซองมินส่ายหัว ไล่ความคิดฟุ้งซ่าน หันหลังเตรียมจะเข้าไปในตัวตึกของโรงพยาบาล ก็พอดีกับที่รถสปอร์ตป้ายแดงสีเหลืองสดผ่านไปด้วยความเร็วสูง แต่ก็ยังเร็วไม่พอที่จะทำให้ไม่เห็นว่าใครอยู่ในรถ

     

                ตรงตำแหน่งคนขับคือทงเฮแน่นอน แต่ชายหนุ่มไม่ได้นั่งอยู่ในรถคนเดียว

     

                ซองมินรีบวิ่งตามหลังรถสีสดคันนั้นไปโดยทันที ไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้รยออุคกำลังรออยู่บนห้อง หรือตนเองจะถูกจับได้ว่าปลอมตัวหนีออกจากโรงพยาบาล

     

                ไม่ผิดแน่ ที่เบาะหน้าคู่คนขับ ผู้หญิงคนนั้น วิญญาณผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ตรงนั้น

     

                ซองมินไล่ตามรถของทงเฮได้ทันเมื่อรถคันนั้นชะลอแล้วจอดที่ประตูโรงพยาบาลเพื่อมองรถก่อนเลี้ยวเข้าตัวถนนใหญ่

     

                ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปหาทงเฮที่ประตูรถฝั่งคนขับ ตั้งใจจะเคาะกระจกแล้วเตือนเขา แต่เมื่อมองข้ามไปที่ที่นั่งด้านข้างรวมถึงเบาะหลังแล้วกลับไม่พบวิญญาณหญิงสาวคนนั้น

     

                ทงเฮเมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ข้างๆ รถก็หันมองด้วยสายตาแปลกใจระคนไม่พอใจ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน ทำไมอยู่ๆ เสียมารยาทมาด้อมๆ มองๆ แถวรถเขา

     

                มือบางกดกระจกรถเปิดแล้วเอ่ยปากถาม “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

     

                “ปละ เปล่าค่ะ ฉันจำคนผิด” ซองมินก้มหน้าก้มตาตอบแล้วรีบเดินหนีออกมาก่อนทงเฮจะจำได้

     

                เขาคงจะฟุ้งซ่านไปเอง คิดไปเองถึงเห็นวิญญาณผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ในรถกับทงเฮ

     

                “คิดมากไปเองจริงๆ นั่นแหละซองมินเอ๊ย! ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ” ซองมินพึมพำเบาๆ แล้วเขกกะโหลกตัวเองเรียกสติ

     

                เอี๊ยด!

     

                เสียงยางรถยนต์เสียดสีกับพื้นถนนดังแหลมแสบแก้วหูตามด้วยเสียงโครมดังสนั่น

     

                ซองมินหยุดยืนนิ่ง ตัวชา ใจหายวาบ เมื่อตั้งสติได้ก็รีบหันหลัง วิ่งกลับไปที่ประตูโรงพยาบาล

     

                ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มต้องยกมือปิดปาก รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว

     

                รถสปอร์ตสีเหลืองสดจอดอยู่กลางถนน ตัวรถยุบบุบไปครึ่งคัน รถคู่กรณีคือรถบรรทุกคันใหญ่เกือบเท่าตัวของรถที่ชน

     

                สภาพรถย่ำแย่ขนาดนี้ แล้วคนขับเล่าจะเป็นอย่างไร

     

                ซองมินวิ่งตรงไปที่ที่เกิดเหตุ ภาวนาอย่าให้ทงเฮเป็นอะไรเลย

     

    -------------------------------------------------


    Writer Talks: ลงครบแล้วนะคะ แอดมินอาจจะหายไปนานขึ้นเพราะติดเรียน ติดกิจกรรม ช่วงนี้เรียนหนักเลยไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ ทุกอย่างเลยชะงักหมดเลย ยังมีคนอ่านอยู่ใช่ไหมคะ (อย่าทิ้งไรท์เตอร์ตัวน้อยๆ คนนี้ไปเลยน้า T^T)


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×