ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]The Sixth Senseสัมผัสรัก สื่อวิญญาณKyuMin,KiHae,YeRyeo

    ลำดับตอนที่ #32 : [SF] Curse-3 [100%] (แก้ไขเนื้อหาหาย)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 708
      4
      2 ต.ค. 55


     Part 3


                คยูฮยอน

              ในช่วงแรกผมนึกอาฆาตแค้นและสาปแช่งฮีชอลที่ทำให้ผมตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ แต่เมื่อ 4 ปีให้หลัง ในอกของผมเหลือแต่ความว่างเปล่าสิ้นหวัง นึกโทษความขลาดเขลาและความเยาว์วัยของตน เพราะความหวาดกลัวต่อความตายจึงคิดจะฝืนครรลองธรรมชาติ

                ผมมารอรถไฟที่สถานีตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง รอบกายไร้ผู้คน เมื่อรถไฟขบวนแรกของเช้าวันนั้นเข้าเทียบสถานี ผมก็ออกเดินทางไปอย่างไร้จุดหมาย ทิ้งครอบครัว ทิ้งชีวิตปกติเยี่ยงมนุษย์ทั่วไปไว้เบื้องหลัง ปล่อยให้เวลาผ่านไปถึงยี่สิบปีโดยไม่รู้ตัว อันที่จริงผมควรจะมีอายุเลยสามสิบไปแล้ว แต่ร่างกายกลับหยุดการเจริญเติบโตถึงแค่อายุยี่สิบ ระหว่างนั้นผมซ่อนตัวและใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขา เมื่อใดโหยหาสังคมเมืองก็จะแอบหลีกเร้นซ่อนกายในเงามืดตามบ้านเรือน แต่กระนั้นเมื่อเห็นคนเดินผ่าน แม้จะเป็นภาพธรรมดา ผมยังอดหม่นหมองไม่ได้ ยิ่งเห็นว่าพวกเขามีคนข้างกายให้พูดคุยยิ้มแย้ม ผมก็ยิ่งสะท้อนใจด้วยความอิจฉา

                ผมคิดอยากฆ่าตัวตายวันละหลายหน แต่เชื่อว่าไม่ว่าจะทำวิธีใด ผมก็ไม่มีวันได้ไปสู่ปรโลกดังใจสมอยาก มีอยู่คืนหนึ่ง ขณะที่เดินอย่างหมดอาลัยอยู่กลางป่า ความหิวโหยเข้าเล่นงาน ร่างกายอ่อนล้าหมดแรง คราวนี้ผมคิดว่าคงได้ตายจริงแน่ เมื่อนั้นความหิวกลับพลันหายไป รวมทั้งความหนาวเหน็บยามรู้สึกว่าร่างกายใกล้จะแข็งตาย ราวกับว่าประสาทสัมผัสทุกส่วนพร้อมใจกันหยุดทำงาน ผมรู้แล้วว่าต่อให้พยายามดิ้นรนแค่ไหน ประตูสู่ปรโลกคงไม่เปิดต้อนรับผมเป็นแน่

                ผมเคยพลัดตกจากหน้าผา กระดูกหักหลายแห่งรวมทั้งกระดูกกรามและฟัน แน่นอนว่าทุกชิ้นตกเป็นสมบัติของฮีชอล และถูกแทนที่ใหม่ด้วยรูปลักษณ์เยี่ยงปีศาจ ผมจึงต้องใช้ผ้าพันแผลปิดบังใบหน้าส่วนล่างไว้ เพราะคงไม่มีใครครองสติไว้ได้หากได้เห็นฟันงอกใหม่ของผมด้วยฟันแต่ละซี่แหลมคมขนาดฉีกทึ้งเลือดเนื้อได้สบาย ซ้ำยังมีสีคล้ายเหล็กขึ้นสนิม

                ผมเข้าใจแล้วว่าเปล่าประโยชน์ที่จะฆ่าตัวตาย จึงได้แต่ปล่อยตัวไปตามกระแสเวลา อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้คนเอ่ยทักทาย แม้แต่สัตว์น้อยใหญ่ก็หลีกเร้นหนี ผมนึกถึงครอบครัวไม่เว้นแต่ละวัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมเคยกลับบ้านแค่หนเดียว จริงอยู่ที่ผมไม่กล้าเปิดเผยสารรูปอัปลักษณ์ซ้ำผมเผ้ายังยาวรุงรังแต่ขอแค่ได้เห็นหน้าแม่สักครั้งก็ยังดี

                ทุกสิ่งยังคงเดิม แต่บ้านหลังเก่ากลับหายไป ผมตัดใจไม่เอ่ยถามคนแถวนั้น ได้แต่จากมาและทิ้งเยื่อใยทั้งหมดไว้เบื้องหลัง ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่คิดอย่างไรกับลูกชายที่อยู่ๆ ก็หายตัวไป และพวกท่านใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ขณะที่ลูกคนนี้ต้องทรมานจากความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา พวกท่านจะเป็นห่วงบ้างไหมหนอ

                ครอบครัวของผมไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเพราะมีการโยกย้ายหรือบ้านถูกไฟไหม้ไปทั้งหลัง แต่เท่านี้ก็ทำให้ผมรู้แล้วว่าตนเองไม่มีรังให้กลับ ได้แต่พร่ำบอกตัวเองซ้ำๆ พร้อมน้ำตานองหน้าว่านับตั้งแต่ตัดสินใจออกจากบ้าน ตัวผมคนเดิมได้ตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว

                ผมออกเดินทางต่อไปอย่างไร้จุดหมายด้วยร่างที่ไม่มีวันตาย เมื่อใดผ้าพันแผลยับเยินหมดสภาพ ผมจะใช้เศษผ้าปกปิดใบหน้า หากอยากชำระล้างเหงื่อไคลก็อาศัยลำธารใสสะอาด ผมคุ้ยขยะเพื่อหาเสื้อผ้าสวมใส่ เก็บเกี่ยวความรู้จากหนังสือที่ถูกโยนทิ้ง

                คุณซองมินครับ ความบังเอิญชักนำให้เราสองคนได้พบกัน ตอนนั้นผมเข้ามาในเมืองด้วยความทุกข์สุดแสนจากคำสาปที่แบกรับไว้ แต่แม้จะหมดหวังจากความตาย ร่างกายของผมยังรู้จักความเหน็ดเหนื่อยเมื่อเดินโดยไม่หยุดพัก ผมเดินเร่ร่อนอยู่หลายเดือนจนสมองมีแต่ความว่างเปล่า เฝ้าแต่ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ จนหมดเรื่องจะคิด ในที่สุดความเหนื่อยล้าก็กัดกินร่างกายจนทำให้ล้มฟุบลงไป

                ช่างบังเอิญที่คุณอยู่ตรงนั้นพอดี วินาทีที่คุณสัมผัสตัว ผมตกใจจนคิดว่าคงไม่มีวันลืม นานเหลือเกินที่ผมระหกระเหินตัวคนเดียวจนเลิกคิดที่จะคาดหวังสัมผัสจากผู้คน ไออุ่นของคุณมอบความรู้สึกอุ่นซ่านถึงเบื้องลึกในใจ ผมจึงได้แต่ตะลึงพรึงเพริด แยกแยะไม่ออกว่าเป็นเพราะความยินดีหรือหวาดกลัว จนในที่สุดก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาเดียวกับครอบครัวคุณ

                ณ บ้านหลังนั้น ผมมีคนให้พูดคุย มีใครให้เอ่ยทักทาย เป็นชีวิตธรรมดาที่เคยละทิ้งเองกับมือ เมื่ออยู่กลางป่าที่เงียบสงัด ผมเคยถวิลหาชีวิตแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน บัดนี้ผมมีหลังคาคุ้มหัว ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อให้ตนเองสุขสบาย ช่วยกระตุ้นเตือนให้ผมรู้ว่าตัวเองเกือบพลาดพลั้งก้าวออกนอกครรลองที่ควรจะเป็น

                ผมซาบซึ้งในความเมตตาของพวกคุณเหลือเกิน แต่ผมรู้ตัวดีว่าไม่อาจอยู่รบกวนได้นาน บางสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมดายังปรารถนาในร่างกายของผม และบันดาลให้เงามืดน่าสะพรึงยิ่งลึกล้ำขึ้น นำมาซึ่งความอับโชคและสิ้นหวัง

                คุณทราบหรือไม่ครับว่ามีนกกระจอกมาทำรังตรงชายคาห้องที่ผมอาศัย ขณะเดินตามคุณเข้าไปในห้อง พ่อแม่นกกำลังคาบเหยื่อมาป้อนลูกนก ทว่าฉับพลันที่สังเกตเห็นผม พวกมันรีบบินหนีไป ทิ้งลูกน้อยให้ร้องหาอย่างหิวโหย ลูกนกสามตัวที่ยังไม่อาจโผบินตะเกียกตะกายหนีจนร่วงลงสิ้นใจกับพื้น ในขณะที่พวกที่เหลือพากันอดตายคารัง

                ผมตระหนักดีว่าควรจากไป แต่คงเพราะช่วงเวลาแสนสุขในบ้านของคุณ ทำให้ผมแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าอาจใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาอย่างใครเขาได้ หากข้างกายมีใครสักคนพร้อมจะเข้าใจความขมขื่น

                ด้วยเหตุนี้ ผมจึงตกลงอาศัยร่วมชายคาต่อไปตามคำเชิญ ไม่รู้จะขอบคุณเช่นไรจึงจะเพียงพอต่อความกรุณาของคุณที่อุตส่าห์ขอร้องพี่ชายให้ฝากผมเข้าทำงานในโรงงานของเพื่อน น่าเสียดายที่ทุกอย่างไม่เป็นดังหวัง

                คุณคงจะเคยได้ยินใช่ไหมครับ เสียงสบถบริภาษและก่นด่าผมด้วยความขุ่นแค้น

                ผู้คนคิดเช่นไรกับการหายตัวไปอย่างปุบปับของผมเมื่อไม่กี่วันก่อน แล้วเหตุร้ายในคฤหาสน์แพ็คเมื่อคืน ป่านนี้ถูกจัดการสะสางอย่างไรกัน

     

    -----------------------------------------30%---------------------------------------------

    href="file:///C:\DOCUME~1\Administrator\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_filelist.xml" /> href="file:///C:\DOCUME~1\Administrator\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_themedata.thmx" /> href="file:///C:\DOCUME~1\Administrator\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_colorschememapping.xml" />


    ซองมิน

              ซองอุงพี่ชายของซองมินมีเพื่อนสองคน ชื่อแพ็คซึงโฮและคิมจองกุก ทั้งสามรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม จนเดี๋ยวนี้ก็ยังมาเที่ยวที่บ้านบ่อยๆ และมักจะอยู่พูดคุย หัวเราะเฮฮาในห้องของซองอุงหลายชั่วโมง

                แพ็คซึงโฮเป็นลูกชายเศรษฐีของหมู่บ้าน ชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง แต่งตัวดี ในขณะที่คิมจองกุกซึ่งเป็นเพื่อนสนิทนั้นรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอจนถูกมองว่าเหมือนลิ่วล้อตามติดนาย

                ชื่อเสียงของทั้งสองคนไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนซึงโฮเป็นพวกรักสนุก ชอบเดินยิ้มกริ่มไปทั่วเมืองเพื่อสรรหาเรื่องแผลงๆ ทำแก้เบื่อ เขาเคยถึงขั้นใช้เงินจ้างขอทานให้กระโดดน้ำ บ้างก็มีเรื่องชกต่อยกับกรรมกรในหมู่บ้าน แต่เพราะอิทธิพลของผู้เป็นพ่อ จึงไม่มีใครกล้าทำอะไรนัก

              หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่คยูฮยอนอาศัยอยู่ที่บ้าน ซองอุงพาเพื่อนทั้งสองมาที่บ้าน แล้วชวนกันเข้าไปคุยในห้องส่วนตัว

                ซองมินยกน้ำชาไปรับรอง จึงได้ยินว่าทั้งสามกำลังคุยเรื่องงานเทศกาลที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกไม่นาน ทุกปีจะมีร้านรวงเบียดเสียดตามถนนสองข้างทางไปจนถึงสถานีรถไฟ ซองอุงทำงานในร้านขายผลไม้ เจ้าของร้านจึงขอให้เขามาร่วมออกร้านด้วยเสมอ โชคดีที่ซึงโฮมีเส้นมีสาย รู้จักคนมากมาย หากขอให้ช่วย ซองอุงต้องได้ทำเลดีแน่นอน

                "มานั่งด้วยกันสิ เรากำลังคุยเรื่องงานเทศกาลอยู่พอดี ซึงโฮเอ่ยปากชวนขณะที่ซองมินยกชาเข้าไปให้

                เด็กหนุ่มปฏิเสธคำชวน อ้างว่ามีงานต้องทำต่อ เขาไม่ค่อยถนัดร่วมวงสนทนากับใคร เกรงว่าหากเผลอทำอะไรให้ลูกเศรษฐีหนุ่มไม่พอใจจะพลอยทำพี่ชายลำบากไปด้วย

                ซองมินออกจากห้อง ตามหามินโฮเห็นว่าไม่อยู่แถวนั้นจึงเดินหาทั่วบ้าน สุดท้ายจึงพบเด็กชายในห้องของคยูฮยอน

                ช่วงที่เขาไปโรงเรียน ดูเหมือนว่าเด็กชายตัวน้อยจะสนิทกับคยูฮยอนมากขึ้น

                ซองมินรู้สึกผ่อนคลายที่ได้อยู่ในห้องนี้มากกว่า จึงนั่งเป็นเพื่อนเล่นมินโฮในห้อง เล่านิทานให้ฟังบ้าง ระหว่างนั้น คยูฮยอนเอาแต่ชำเลืองออกไปนอกหน้าต่าง หันมามองบ้างบางคราว

                เขาชวนคยูฮยอนคุยแต่ก็เป็นการถามคำตอบคำเสียมากกว่า ชายหนุ่มแปลกหน้าไม่ถนัดพูดตลกหรือสร้างเสียงหัวเราะให้ใคร แต่ท่าทางการพูดที่ดูใสซื่อไร้มารยากลับทำให้ซองมินผ่อนคลาย ไม่ตื่นเกร็งเหมือนตอนพูดคุยกับพวกซึงโฮ

    ประตูห้องเปิดออก ซองอุงยื่นหน้าเข้ามาแล้วชักสีหน้าไม่พอใจนักเมื่อเห็นซองมินกับมินโฮอยู่ในห้องกับคยูฮยอน

                “ไปซื้อโซจูให้หน่อยสิ” ซองอุงพูด ยื่นธนบัตรปึกหนึ่งใส่มือซองมิน

                “เงินใครกันครับ”

                “ของซึงโฮน่ะ”

                ซองมินฝากมินโฮไว้กับคยูฮยอนก่อนจะก้าวออกจากห้อง ร้องเรียกพี่ชายที่กำลังจะกลับเข้าไปในห้องของตนเอง

                “อย่าลืมนะครับ ฝากงานให้คุณคยูฮยอนด้วย”

                ซองอุงไม่ตอบ แต่พยักหน้ารับ

                ร้านขายโซจูอยู่ไม่ไกลนัก ซองมินซื้อโซจูด้วยเงินที่รับมาจากพี่ชายก่อนจะจัดแจงยกไปให้ที่ห้อง ขณะกำลังจะเปิดประตู ได้ยินเสียงซองอุงพูดถึงคยูฮยอนพอดี

                “คนอะไรประหลาดชะมัด” ซองอุงพูดล้อเลียนคยูฮยอนอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขันว่าพันเนื้อพันตัวด้วยผ้าพันแผล เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องซ้ำยังไม่ปริปากบอกว่าตนเองเป็นใครมาจากไหน

                “งั้นเรอะ ชักจะสนุกแล้วสิ อยู่ในบ้านนี้หรือเปล่า” เสียงของซึงโฮท่าทางสนอกสนใจ

                ซองมินเปิดประตูห้องเข้าไป วางโซจูแล้วรีบผละออกมา ในใจหวั่นวิตกอย่างบอกไม่ถูก รีบเดินไปยังห้องของคยูฮยอน ชายหนุ่มยังคงนั่งพักผ่อนสบายๆ เหมือนเมื่อครู่ ดูเหมือนกำลังเล่าอะไรบางอย่างให้มินโฮฟัง

                “กลับมาแล้วเหรอครับ”

                เมื่อเรื่องเล่าขาดตอน เด็กชายตัวน้อยก็ทำแก้มป่องอย่างขัดใจ

                “รีบเล่าต่อสิ ผมอยากฟังเรื่องหมี”

                “ผมกำลังเล่าเรื่องหมีที่เจอในป่าให้มินโฮฟังน่ะครับ” คยูฮยอนตอบสายตาสงสัยของซองมิน

                สงสัยจะเป็นเรื่องแต่งกระมัง ซองมินคิดในใจ

                ระหว่างนั่งข้างมินโฮ ใจของซองมินว้าวุ่น เกรงว่าซึงโฮจะเปิดประตูห้องเข้ามา แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่มีเจตนาจะทำร้าย แต่เธออดห่วงไม่ได้ว่าพวกนั้นจะทำท่าทางสนใจใคร่รู้ เห็นคยูฮยอนเป็นตัวประหลาดตามร้านปาหี่

                ซองมินสัมผัสได้ว่าคยูฮยอนหวาดกลัวสายตาผู้คนมาก กลัวจนขึ้นสมอง เขาจึงไม่อยากให้ใครมาทำให้คยูฮยอนระคายใจ ระหว่างที่พยายามนั่งฟังเรื่องเล่าของคยูฮยอน เด็กหนุ่มจึงเอาแต่ภาวนาว่าอย่าให้ซึงโฮเปิดประตูเข้ามาเลย

                แต่จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออก พี่ชายโผล่หน้าเข้ามา

                “พวกนั้นจะกลับแล้ว” เขาเบนสายตามาทางคยูฮยอนพร้อมกำชับเสียงเข้ม “ฉันฝากให้นายทำงานในโรงงานแล้ว เห็นว่าเริ่มวันมะรืนได้เลย หาเงินได้แล้วก็อย่าลืมจ่ายค่าเช่าบ้านด้วยล่ะ”

     

                โรงงานอยู่ห่างจากบ้านพอสมควร ต้องใช้เวลาในการเดินไปค่อนข้างนาน อาณาบริเวณล้อมรอบด้วยรั้วตาข่ายลวด โรงงานแห่งนี้เป็นโรงงานถลุงเหล็กเพื่อนำไปทำสว่านติดตั้งปลายเครื่องเจาะ คยูฮยอนได้รับหน้าที่ขนเหล็กไปเข้าเตาหลอม กระบวนการผลิตทำให้เกิดฝุ่นคลุ้ง คนงานหลายคนล้มป่วยด้วยโรคปอดไม่เว้นแต่ละวัน ซองมินจึงอดเป็นห่วงคยูฮยอนไม่ได้

                “ผมไม่ตายหรอกครับ” คยูฮยอนพูด ดูท่าทางเขาเองก็กังวลแต่ไม่น่าจะใช่เรื่องสุขภาพ

                หากไม่ได้ออกไปไหน ชายหนุ่มมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แม้แต่เรื่องอาหาร ถ้าซองมินไม่ยกสำรับไปให้ คยูฮยอนก็จะถือโอกาสไม่ยอมกิน จนซองมินต้องพูดขึ้นมา “ถ้าคุณไม่ยอมกิน ผมจะไม่ให้อยู่ที่นี่แล้วนะฮะ” ซองมินอดคิดไม่ได้ว่าฝีมือการปรุงอาหารของตัวเองแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ

                เช้าวันที่ต้องไปทำงานวันแรก คยูฮยอนออกมาจากห้องในชุดคนงานที่ซองอุงนำมาให้ตั้งแต่เมื่อคืนแต่ก็ยังคงพันผ้าพันแผลเหมือนเดิม

                คยูฮยอนทานอาหารเช้าจนหมดก่อนจะยกถ้วยชามเปล่าไปวางในครัว แววตาชายหนุ่มฉายแววตระหนก

                “ถ้ามีคนถามเรื่องผ้าพันแผลให้ตอบว่าไว้ป้องกันฝุ่นหรือไม่ก็ปิดบังแผลไฟไหม้นะครับ” ซองมินแนะนำ คยูฮยอนพยักหน้ารับ

                หลังรอส่งทุกคนออกจากบ้าน เด็กหนุ่มจึงไปโรงเรียน แต่กลับไม่มีสมาธิเรียนนักเพราะใจมัวแต่ห่วงคยูฮยอน ไม่รู้ว่าป่านนี้ชายหนุ่มผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง รอบกายของเขามีกลิ่นอายชั่วร้ายบางอย่างที่น่าสะพรึง ทำให้ผู้คนรอบข้างหวาดกลัวรังเกียจ

                ซองมินไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้คยูฮยอนถูกใครต่อใครเกลียดชังทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ชายผู้นั้นจะปรับตัวเข้าหาคนงานอื่นในโรงงานได้ไหมหนอ

                ตกค่ำ ซองมินค่อยโล่งใจเมื่อเห็นคยูฮยอนกลับจากโรงงาน หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่คยูฮยอนกลับกระตือรือร้นตื่นเต้น คล้ายเด็กได้ของเล่นถูกใจ แถมยังพูดว่าต่อจากนี้คงเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองได้เสียที

                เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างราบรื่นจนผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ คยูฮยอนมักเล่าเรื่องราวต่างๆ ในโรงงานให้ซองมินฟัง ท่าทางเขาสนุกกับงานมากทีเดียว นัยน์ตาฉายแววเป็นประกายจนพลอยคิดว่าโรงงานคงมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ชายหนุ่มเล่าว่าในโรงงานมีคนงานรายหนึ่งตามองไม่เห็น เขาจึงช่วยอาสาหยิบจับข้าวของให้ ซองมินรู้สึกเป็นสุขที่เห็นคยูฮยอนเริ่มเปิดใจเข้าหาคนรอบข้าง

     

                เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในวันศุกร์ โรงเรียนมีวิชาสอนเพียงครึ่งวัน ซองมินจึงกลับบ้านราวเที่ยง ยายกำลังซักผ้า ส่วนมินโฮนั่งเบื่ออยู่คนเดียวเพราะไม่มีใครเล่นด้วย คยูฮยอนยังไม่กลับเพราะต้องทำงานเต็มวัน

                “ออกไปเดินเล่นกับพี่ไหม” ซองมินเอ่ยชวนมินโฮ ตั้งใจว่าจะเลยไปแถวโรงงานเพื่อดูว่าคยูฮยอนเป็นอย่างไรบ้าง

                โรงงานตั้งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ ต้องเดินทะลุบ้านเรือนที่ตั้งเป็นแถว อยู่ๆ มินโฮก็หยุดเดินเอาดื้อๆ พลางบ่นว่าเหนื่อย ซองมินจึงต้องแบกเด็กชายตัวน้อยขึ้นขี่หลัง

                เมื่อเข้าใกล้โรงงาน ทัศนียภาพก็ขุ่นมัวด้วยฝุ่นผง ไกลออกไปมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา ชายคนหนึ่งเดินอยู่ไม่ห่างนัก ซองมินเพ่งตามอง คยูฮยอนนั่นเอง เขามาทำอะไรแถวนี้ทั้งที่ไม่ใช่เวลาเลิกงาน

                ซองมินโบกมือทักทายก่อนจะสืบเท้าเข้าไปหา เดินเข้าไปใกล้จนพอมองเห็นสีหน้าอีกฝ่าย แววตาคยูฮยอนหม่นหมอง ท่าทีก็ผิดแผกจากที่เคย ร่างนั้นโงนเงน ฝีเท้าไม่มั่นคง ซองมินรู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในโรงงาน

                “วันนี้กลับเร็วจังนะครับ”

                “เกิดเรื่องไม่ค่อยดีครับ”

                สีหน้าเขานิ่งสนิท แววตาแข็งทื่อประหนึ่งสัตว์ป่า ไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์ใดๆ

                ซองมินปั่นป่วนในอก นึกอยากถามเดี๋ยวนั้นให้รู้แล้วรู้รอดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คงจะโหดร้ายเกินไปถ้าให้คยูฮยอนพูดเรื่องย่ำแย่นั้นซ้ำสอง

                มินโฮนอนหลับอยู่บนหลัง ซองมินบอกคยูฮยอนว่าพาเด็กชายมาเดินเล่นเลยตั้งใจจะแวะมาที่โรงงานด้วยแล้วจึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

                ทั้งสองเดินเคียงกันกลับบ้าน ซองมินฉุกคิดขึ้นได้ถึงงานเทศกาลที่จะจัดขึ้นในวันอังคารจึงเล่าให้คยูฮยอนฟังว่าจะมีพ่อค้าแม่ค้ามากมายมาออกร้านแน่นขนัด ผู้คนหลั่งไหลมาเที่ยวงานพร้อมทั้งทำพิธีสักการะบูชาพระเจ้า

                “คุณเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงไหมครับ”

                อยู่ๆ คยูฮยอนก็ถามขึ้นมา สีหน้าของเขาก้ำกึ่งโกรธเคืองและเศร้าสร้อย

                “อืม ไม่รู้สิฮะ” ซองมินตอบพลางเอียงคอคิด “เอ้อ! จริงสิ ผมนึกเรื่องตลกอะไรได้อย่างหนึ่ง”

                “เรื่องอะไรครับ”

                “สมัยเด็กๆ ผมเคยสร้างพระเจ้าขึ้นมาเองด้วยนะครับ แถมยังภาวนาขอพรด้วย”

                ตอนนั้นครอบครัวของซองมินยังมีพร้อมหน้า

                พ่อกับแม่ทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวัน จำได้ว่าซองมินหวาดกลัวจับใจ เวลาได้ยินเสียงโวยวายเอะอะ ซองมินมักไม่อยากอยู่บ้านจึงออกมากับพี่ชายที่เพิ่งขึ้นชั้นประถม แต่ซองอุงชอบหนีออกไปเล่นกับเพื่อนทั้งสั่งไม่ให้ซองมินตามไปเกะกะ เด็กชายตัวน้อยไปไหนไม่ได้ไกล ได้แต่นั่งยองๆ อยู่ข้างบ้าน เสียงพ่อกับแม่ตะโกนใส่กันยังคงลอยกระทบหู ซองมินนึกอิจฉาทุกครั้งที่เห็นพ่อแม่ลูกจูงมือเดินผ่านหน้าไป

                ในเวลาเช่นนั้นซองมินจึงนึกภาวนาถึงพระเจ้าที่อุปโลกน์ขึ้นมาเอง เด็กชายประสานมือภาวนาขอให้พ่อแม่คืนดีกันและอ่อนโยนต่อเราสองพี่น้องดังเดิม หากคำอธิษฐานเป็นจริง ชีวิตของเขาคงมีความสุขเหลือล้น เด็กชายไม่ได้ยินเสียงทะเลาะโหวกเหวกอีก หนำซ้ำความหิวก็ยังเลือนหายไปด้วย

                “หลังจากนั้นพ่อกับแม่ก็หย่ากันครับ ผมกับพี่ชายเลยย้ายมาอยู่กับแม่ที่บ้านหลังปัจจุบันนี้

                คยูฮยอนนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยอะไรออกมา

                จนถึงบัดนี้ซองมินก็ยังคิดว่าพระเจ้าที่เขาสร้างขึ้นมายังคงปกป้องคุ้มครองตนเองอยู่ คงด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เขาคิดต่างจากคนอื่น แม้จะมีเจตนาใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป แต่ใครต่อใครกลับมองว่าเขาจริงจังเกินไป

                “เวลาเห็นใครนินทาว่าร้ายใคร ไม่รู้ทำไมผมทนไม่ได้ทุกที ไม่ว่าจะเห็นใครเคียดแค้นอิจฉาใคร ผมเป็นต้องหายใจลำบากทุกครั้ง”

                ซองมินคิดว่าคงเป็นผลจากการที่เห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเป็นประจำ

                คยูฮยอนปิดปากเงียบ สีหน้าเหมือนคนครุ่นคิดอย่างหนัก ชายหนุ่มรับมินโฮมาแบกไว้ที่หลังแทนซองมิน และไม่พูดอะไรอีกเลยตลอดทาง

                เมื่อกลับถึงบ้าน ซองมินจึงได้รู้ว่าคยูฮยอนมีเรื่องชกต่อยกับซึงโฮเมื่อเที่ยง ทุกสิ่งได้รับการถ่ายทอดจากพี่ชาย แต่เจ้าตัวกลับไม่พูดอะไรสักคำ

     

                ซองอุงบอกว่าได้ฟังเรื่องราวโดยตรงจากคนงานในโรงงาน

                ช่วงเที่ยงวัน แพ็คซึงโฮมาที่โรงงานพร้อมคิมจองกุกเพื่อนคู่หู คนงานต่างหันมองด้วยความแปลกใจ เนื่องจากร้อยวันพันปีไม่เห็นทั้งสองมาเหยียบย่างที่นี่เท่าไหร่นัก แต่เพราะโรงงานนี้เป็นของบิดาของซึงโฮ หากเขาจะมาเยี่ยมบ้างก็คงไม่เป็นไร

                สักครู่ถัดมา คนงานได้ยินเสียงซึงโฮร้องลั่น จึงวิ่งถลันไปตามเสียง และพบว่าลูกชายเจ้าของโรงงานอยู่ในสภาพจวนเจียนจะถูกคยูฮยอนผลักตกเตาหลอมเหล็กร้อนเบื้องล่าง

                เมื่อได้ยินเสียงร้องห้าม คยูฮยอนปล่อยมือจากอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเหมือนคนเพิ่งได้สติ ส่วนจองกุกหมอบคุดคู้ส่งเสียงร้องลั่นอยู่ข้างๆ

                “แกรู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป”

                ซองอุงถามเสียงกร้าว กระชากคอเสื้อคยูฮยอน ใบหน้าซีดขาวด้วยแรงโทสะ การทำให้ซึงโฮโกรธไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลย ไม่เคยมีใครอยู่อย่างสงบสุขถ้าคิดจะเป็นปฏิปักษ์กับลูกชายเศรษฐีผู้นี้

                ชายหนุ่มไม่ชอบคยูฮยอนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงใส่อารมณ์เต็มที่ หลังปล่อยมือจากคอเสื้อ เขาปัดมือแรงๆ ราวกับเพิ่งแตะต้องของโสโครก

                “ฉันเลยต้องเดือดร้อนเพราะเป็นคนฝากงานให้แก”

                ซองอุงบอกว่าจะไปโรงงานเพื่อขอโทษซึงโฮในวันรุ่งขึ้น

                คยูฮยอนขยับปากเหมือนจะพูด แต่ไม่มีคำใดเล็ดรอดออกมา ชายหนุ่มหลุบตาลงต่ำด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

                “ยังดีนะที่แกไม่มีข้าวของมากมาย ตอนหาที่อยู่ใหม่จะได้ไม่เสียเวลาเก็บ”

                “อยู่ดีๆ คุณคยูฮยอนจะลุกขึ้นมาทำร้ายคนอื่นได้ยังไง เขาต้องมีเหตุผลสิฮะ” ซองมินแย้งขึ้นมา

                ซองอุงเหลือบมองน้องชายแวบหนึ่งแล้วหันหน้าหนีอีกทาง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสีย ส่วนคยูฮยอนเอาแต่นิ่ง ไม่ยอมแก้ตัวหรืออธิบายสักคำ ยิ่งทำให้ซองมินปวดใจ

               

                วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดของโรงงาน คยูฮยอนหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ซองมินจึงเป็นฝ่ายเข้ามาหา

                “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ” เขาถาม แต่คยูฮยอนไม่ตอบ “จริงอย่างที่พี่ชายพูดทั้งหมดหรือเปล่า”

                เด็กหนุ่มภาวนาในใจขอให้คยูฮยอนปฏิเสธ เขาอยากให้เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด แต่คยูฮยอนกลับเบนสายตาออกมาจากนอกหน้าต่าง หันมาพยักหน้ารับเหมือนไม่ยินดียินร้าย

                ประตูเปิดออก มินโฮยืนอยู่หน้าห้อง ท่าทางจะอยากเข้ามาเล่นกับชายหนุ่มเหมือนเคย

                ซองมินอ้าปากจะห้ามปรามเพราะคิดว่าคยูฮยอนคงไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเป็นเพื่อนเล่นให้เด็กชาย

                ทันใดนั้น แขนหนึ่งยื่นออกมาดึงร่างมินโฮให้ถอยกลับ โซยอนนั่นเอง เธอรีบรวบตัวลูกชายมาอุ้มไว้แนบอกก่อนร้องบอกคยูฮยอน

                “อย่ามายุ่งกับลูกชายฉันอีก”

                สายตาคู่นั้นฉายแววตำหนิชัดแจ้ง โซยอนอุ้มลูกชายเดินขึ้นบันไดชั้นสองไป ระหว่างนั้นมินโฮได้แต่มองหน้าแม่ด้วยสีหน้างงงวย

                ซองมินรู้สึกอึดอัดทรมานประหนึ่งหัวใจถูกบีบ ทว่าคยูฮยอนกลับก้มหน้า ยอมรับสายตาเป็นปฏิปักษ์จากรอบข้าง

                “ไม่เป็นไรครับ ผมทราบอยู่แล้วว่าสักวันต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

                น้ำเสียงอ่อนโยนปลอบขวัญ ราวกับคนปวดร้าวคือซองมินไม่ใช่ตัวเขา ฉับพลันนั้น ซองมินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำหน้าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

                เรื่องราวหลังจากนั้นราวกับปาฏิหาริย์ เที่ยงวันเดียวกันนั้น โรงงานโทรศัพท์มาบอกว่าวันจันทร์ขอให้เขากลับมาทำงานตามปกติ

                “ทำไมเขายังคิดจะจ้างผมอยู่อีก” คยูฮยอนเอ่ยด้วยความสับสน

                เช้าวันจันทร์ คยูฮยอนเตรียมตัวออกไปโรงงาน

                “ทำตัวให้ร่าเริงนะครับ วันพรุ่งนี้ก็มีงานเทศกาลแล้ว เราค่อยไปเดินเที่ยวด้วยกัน”

                ซองมินพูดให้กำลังใจขณะมายืนส่ง งานเทศกาลจะเริ่มขึ้นในวันอังคารและจัดติดต่อกันสามวัน

                ใบหน้าครึ่งล่างของคยูฮยอนยังคงปิดซ่อนไว้ภายใต้ผ้าพันแผล ซองมินจึงมองไม่ถนัด แต่รู้สึกได้ว่าเขาผุดยิ้มบางเบา เพราะดวงตาคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย

                แต่คืนนั้น ไม่ว่าซองมินรออยู่นานเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็ไม่กลับมาอีกเลย

                เด็กหนุ่มลองสอบถามคนในโรงงาน ได้ความมาว่าคยูฮยอนทำงานตามปกติและกลับบ้านไปตั้งแต่ช่วงเย็น หลังเกิดเหตุคยูฮยอนเป็นที่รู้จักของคนทั้งโรงงาน จึงไม่มีใครจำผิดแน่นอน

                ซองมินเป็นกังวลมาก บอกพี่ชายว่าควรออกไปตามหา

                “ช่างเถอะน่า” ซองอุงพ่นเสียงก่อนเสริมว่า “เลิกยุ่งกับมันเสียที”


    Writer Talks: ไรท์เตอร์ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ เพิ่งเข้ามาดูแล้วเห็นเนื้อเรื่องมันหายไปเยอะมาก ตอนนั้นก็ไม่ได้เช็คก่อนว่าเกิดเออเร่ออะไรขึ้นมา เด็กดีนะเด็กดี เล่นกันอีกแล้ว หลังสอบไรท์เตอร์จะมาอัพต่อให้นะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×