ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]The Sixth Senseสัมผัสรัก สื่อวิญญาณKyuMin,KiHae,YeRyeo

    ลำดับตอนที่ #31 : [SF] Curse-2

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 616
      0
      7 ก.ย. 55



    />

    Part 2

     

              ซองมิน

     

              บ้านของซองมินเป็นที่อยู่อาศัยของสองครอบครัวคือครอบครัวของซองมินเองซึ่งประกอบด้วยตัวซองมิน ยาย และพี่ชายที่ชื่อซองอุงและครอบครัวที่มาเช่าห้องชั้นสอง ซึ่งก็คือหญิงสาวชื่อโซยอนกับลูกชายวัย 5 ขวบ มินโฮ ส่วนพ่อของมินโฮนั้นหนีหายไปแล้วเมื่อสามปีก่อน

                พวกเขากินอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน ช่วยเหลือกันและกันประหนึ่งเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ซองมินนับถือโซยอนเหมือนพี่สาวแท้ๆ บางครั้งก็คอยนวดไหล่คลายความเมื่อยให้หลังจากที่เธอกลับมาจากที่ทำงาน ส่วนมินโฮนั้นก็เหมือนน้องชายที่ซองมินรักและเอ็นดู

                ส่วนใหญ่ซองมินจะทำหน้าที่หุงหาอาหาร บางครั้งโซยอนก็เป็นง่ายทำ แม้แต่ซองอุงผู้เป็นพี่ชายก็มาช่วยบ้าง

                ช่วงแรกทุกคนในบ้างกังวลที่คยูฮยอนเข้ามาอาศัยร่วมชายคาด้วย เพราะไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ซ้ำยังพันตัวด้วยผ้าพันแผลทั้งตัว ทำให้ซองมินรู้สึกผิดแต่พอเวลาผ่านไปเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้ดูมีพิษมีภัยอะไรทุกคนจึงค่อยคลายความกังวลลง

                คยูฮยอนมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง หากไม่มีใครเรียกหาก็จะไม่ออกมา ซ้ำยังดูไม่กระตือรือร้นที่จะเปิดใจหาคนรอบข้าง แต่ซองมินกลับไม่คิดว่าเป็นเพราะความเกลียดชังหรือไม่ชอบหน้าแต่เป็นเพราะชายผู้นี้เจียมเนื้อตัวคล้ายเกรงว่าผู้อื่นไม่เต็มใจจะทำความรู้จักด้วย

                คนอื่นๆ คิดเห็นแตกต่างกันต่อตัวชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้ แต่ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าซองมินทำถูกแล้วที่เห็นคนล้มแล้วเข้าไปช่วยเหลือ แต่ขณะกำลังอธิบายว่าพบคยูฮยอนในสภาพอิดระโหยโรยแรงล้มทั้งยืนที่ถนน ซองอุงที่เพิ่งกลับมาจากงานที่ร้านขายผลไม้กลับกอดอกตีหน้าบึ้ง

                หมอนั่นไม่ใช่หมาหรือแมวนะจะได้รับเลี้ยงดูได้ จะไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้

                เขาพันผ้าพันแผลไว้ทั้งตัวเลยนะฮะ จะมีแรงทำร้ายใครได้

                แล้วไปหาหมอรึยัง

                พอซองมินบอกว่าเขาไม่ต้องพบหมอ ซองอุงยิ่งทำหน้าเคลือบแคลง แต่สุดท้ายก็ยินยอมให้คยูฮยอนพักอยู่ด้วยตามคำอ้อนวอนของซองมิน

                แต่จะไว้ใจได้แน่น่ะเหรอ จะทำอะไรมินโฮหรือเปล่าก็ไม่รู้ โซยอนพูดด้วยความเป็นห่วง อุ้มเด็กชายไว้แนบอก โซยอนก็เพิ่งกลับจากทำงานที่โรงงานทอผ้า

                ซองมินตอบไม่ได้ จริงอยู่ที่หลังจากพูดคุยกันแล้ว ซองมินคิดว่าคยูฮยอนไม่ใช่คนเลวร้าย พอจะทำร้ายใครได้ แต่ก็ไม่กล้าออกปากรับประกัน

                คงไม่เป็นไรหรอก ยายช่วยพูดอีกแรง มีเพียงหญิงชราที่เห็นด้วยกับความหวังดีของหลานชายคนเล็ก

                เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของซองมิน แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ทุกคนก็ไม่กล้าออกปากไล่คยูฮยอน ชายหนุ่มจึงได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ในฐานะแขกของบ้าน

     

     

                เราไว้ใจหมอนั่นได้จริงๆ เหรอ ซองอุงกระซิบถามซองมินอย่างไม่ค่อยวางใจนัก เมื่อเห็นคยูฮยอนเต็มๆ ตา

                แต่นอกจากเรื่องผ้าพันแผลและกลิ่นอายประหลาดผิดมนุษย์มนาแล้ว คยูฮยอนก็ไม่ต่างจากปุถุชนธรรมดาสามัญทั่วไป เมื่อได้ลองพูดคุยด้วยแล้วก็รับรู้ได้ว่าเป็นคนจิตใจดีคนหนึ่ง

                ซองมินเคยผ่านไปได้ยินคยูฮยอนคุยกับยาย ชายหนุ่มเงียบไม่ตอบเมื่อถูกถามเรื่องบ้านเกิด แต่เมื่อยายชวนคุยเรื่องเหตุการณ์เมื่อยี่สิบปีก่อนเขากลับร่วมวงคุยด้วยเป็นอย่างดีราวกับอยู่ในยุคนั้นทั้งที่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกและน้ำเสียง คยูฮยอนน่าจะมีอายุไม่เกินยี่สิบด้วยซ้ำ

                หลังจากนั้นซองมินลองถามยายว่าคิดอย่างไรหลังจากที่ได้พูดคุยกับเขา

                ตอนแรกยายคิดว่าเขาดูเหมือนเก็บสิ่งชั่วร้ายไว้กับตัว แต่พอได้ลองคุยกันจริงๆ ก็ดูเป็นคนธรรมดานะ

                แต่สำหรับซองมิน คำว่าคนธรรมดานั้นออกจะไม่ค่อยตรงกับนิยามความเป็นคยูฮยอนนัก

                เมื่อใดก็ตามที่ซองมินเอ่ยปากแสดงความช่วยเหลือ ทั้งการช่วยเปลี่ยนผ้าพันแผล เสนอให้เขาไปหาหมอหรือแม้แต่ยกสำรับอาหารมาให้ คยูฮยอนดูจะซาบซึ้งกับทุกเรื่องทั้งที่เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ราวกับเจียมเนื้อเจียมตัวว่าตนเองไม่ควรค่าพอจะให้ใครมาเอื้อเฟื้อ หลายต่อหลายครั้งซองมินอดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในโลก ทั้งชีวิตคงไม่เคยพบเจอเรื่องดีๆ เลย

     

               

                เย็นวันหนึ่งหลังกลับจากโรงเรียน ซองมินเห็นมินโฮวิ่งเข้าไปในห้องคยูฮยอน ขณะกำลังจะเปิดประตูได้ยินเสียงเด็กชายถามเจ้าของห้องไม่หยุด ทำไมต้องพันผ้าพันแผล ทำไมต้องมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ และสารพัดคำถาม คยูฮยอนตอบคำถามโดยไม่เกี่ยงงอน แต่ดูเหมือนในหัวของเด็กน้อยจะอัดแน่นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงเจื้อยแจ้วต่อไม่ยอมหยุด

                ซองมินค่อยๆ เปิดประตู เห็นสีหน้าคยูฮยอนเต็มไปด้วยความลำบากใจเมื่อถูกมินโฮจ้องตาแป๋ว แต่พอเห็นซองมินเขาก็ผ่อนคลายขึ้นเหมือนได้ยินเสียงระฆังช่วยชีวิต

                ตอนแรกซองมินจะปรามไม่ให้มินโฮเซ้าซี้กวนคยูฮยอนแต่กลับเอ่ยปากออกไปอีกแบบ

                ดีจังเลยนะมินโฮ ได้เพื่อนใหม่แล้ว

                จบคำ เด็กชายวัยห้าขวบยิ่งรัวคำถามใส่เพื่อนใหม่ไม่ยั้ง คยูฮยอนอึกอักทำตัวไม่ถูก ภาพนั้นน่าเอ็นดูจนซองมินอมยิ้มบางเบา ปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันตามลำพัง

                ภายหลังซองมินถามมินโฮด้วยความสงสัยเพราะไม่เห็นเด็กน้อยจะมีท่าทีหวาดกลัวและหวั่นเกรงชายหนุ่มแปลกหน้า หรือมินโฮจะไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายความชั่วร้ายที่รายล้อมตัวเขา

                มินโฮนิ่งคิดแล้วตอบอย่างคลุมเครือ

                เหมือนคนอยู่ในสุสานเลย กลิ่นเหมือนหมาด้วย

                ไม่หรอก เขาอาบน้ำทุกวันนะ

                เด็กน้อยเอาแต่ยิ้มพลางส่ายหน้า

     

     

                เย็นวันที่สี่ที่คยูฮยอนเข้ามาพักร่วมบ้าน ระหว่างทางกลับบ้าน ซองมินเห็นคยูฮยอนยืนอยู่ริมน้ำ ทอดสายตามองไปยังอีกฝั่ง ผมยาวถึงบั้นเอวของเขาปลิวสยายตามแรงลม

                ซองมินเรียกชื่อเขา ชายหนุ่มเกร็งตัวด้วยความหวาดหวั่นแต่พอเห็นว่าเป็นซองมินก็ผ่อนคลายความกังวล ซองมินนึกสงสารเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มผู้นี้เคยผ่านชีวิตแบบไหนมากันหนอ รอบกายมีแต่เรื่องเรื่องโหดร้ายน่าเศร้าเสียจนต้องสะดุ้งทุกครั้งที่มีคนเรียกชื่อเลยหรือ

                ผมซื้อผ้าพันแผลมาให้ครับ ซองมินพูด ชูถุงพลาสติกใส่ผ้าพันแผลที่แวะซื้อที่ร้านสะดวกซื้อข้างทางให้คยูฮยอนดู

                ผมไม่มีเงินจ่ายหรอกนะครับ คยูฮยอนเอ่ยเสียงเศร้า

                เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ

                ความจริงคยูฮยอนต้องไปจากที่นี่ในวันรุ่งขึ้นแต่ซองมินเสนอให้เขาอยู่ต่อโดยไม่ต้องเกรงใจ รู้ดีว่าพี่ชายอาจจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ดูเขาไม่มีพิษมีภัย ยายอาจจะเห็นด้วย

                ผมไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่าหรอกครับ

                ซองมินพยักหน้า แน่นอนว่าเขาไม่อาจปล่อยให้คยูฮยอนอาศัยอยู่ที่บ้านตลอดไปฟรีๆ ครอบครัวของเขาไม่ได้มีเงินเหลือกินเหลือใช้ แม้แต่ตัวซองมินเองยังคิดจะหางานพิเศษทำเพื่อช่วยพี่หารายได้เข้าบ้าน

                เด็กหนุ่มเล่าให้คยูฮยอนฟังว่ามีเพื่อนทำงานที่ร้านขายเหล้า อธิบายทั้งชื่อและตำแหน่งของร้านที่อยู่ใจกลางเมือง รวมถึงเครื่องแบบของพนักงาน

                คุณลองไปทำงานที่นั่นดูไหมครับ

                ผมไม่เหมาะกับงานแบบนั้นหรอกครับ

                ก็จริงอยู่ ทั้งสภาพและบรรยากาศรอบตัวคยูฮยอนคงไม่เหมาะทำงานบริการ

                งั้นลองหาที่อื่นดูนะครับ

                ซองมินเสนอว่าเพื่อนของพี่ชายที่ชื่อแพ็คซึงโฮเป็นลูกเศรษฐี มีโรงงานหลายแห่ง หากลองขอร้องพี่ชาย เขาอาจจะช่วยพูดฝากฝังให้คยูฮยอนเข้าทำงานได้

                คยูฮยอนมีท่าทียินดีไม่น้อยแต่ก็ยังลังเล

                ทุกคนอยากให้คุณอยู่ต่อทั้งนั้นแหละครับ คุณเองก็ยังไม่มีที่ไปไม่ใช่เหรอ

                คยูฮยอนพยักหน้า แววตาเศร้าหมอง ไหล่ของชายหนุ่มลู่ลง เหมือนเด็กชายผู้สิ้นหวังผิดกับเงาดำที่ปกคลุมล้อมรอบตัว

                ถึงอย่างนั้นคยูฮยอนก็ตอบตกลง ซองมินโล่งใจ เขาไม่อยากจากลาชายหนุ่มผู้นี้ ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับคยูฮยอน เด็กหนุ่มไม่รู้สึกถึงความห่างเหินเหมือนตอนอยู่กับเพื่อนที่โรงเรียน กลับสัมผัสได้ว่าผู้ชายคนนี้รักและบูชาทุกสิ่ง เห็นคุณค่าแม้กระทั่งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยดูถูกหรือเห็นใครต่ำต้อยกว่า บางครั้งซองมินคิดว่าเขาเหมือนคนป่วยหนักนอนรอความตาย จึงเห็นความสำคัญของเวลาทุกวินาที

                ยามอยู่ที่โรงเรียนซองมินไม่ใช่เด็กสดใสร่าเริงยิ้มเก่งเหมือนตอนอยู่บ้าน ไม่ได้เป็นที่รักและเอ็นดูเหมือนตอนอยู่กับยาย พี่ชายและโซยอน เขาเป็นเด็กเงียบขรึม พูดน้อยและไม่มีเพื่อนสนิท

    มีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนในห้องนินทารูปลักษณ์ครูที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ ทุกคนหัวเราะชอบใจเห็นเป็นเรื่องขบขัน  แต่ซองมินกลับตลกไม่ออก นึกสงสารครูผู้นั้นจับใจ ต่อหน้าทุกคนทำเป็นเคารพเชื่อฟัง แต่ลับหลังกลับประพฤติตัวอีกอย่าง ไม่ใช่แค่กับครู แม้แต่เพื่อนที่กินข้าวร่วมโต๊ะ นั่งเรียนด้วยกันทุกวัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน พออีกฝ่ายไม่อยู่ในกลุ่มก็ต่อว่าลับหลัง เห็นแล้วซองมินคิดระแวงว่าเมื่อตนไม่อยู่เพื่อนก็คงไม่แคล้วทำกับตนแบบเดียวกัน

              หลังจากนั้นซองมินก็เริ่มตีตัวออกห่าง พูดน้อยลงและอยู่คนเดียวมากขึ้น แม้ตอนเพื่อนชวนเดินกลับบ้านด้วยกันซองมินก็ปฏิเสธเพราะตะขิดตะขวงใจคิดว่าที่เพื่อนชวนคงจะเป็นไปตามมารยาทเพราะหากชวนทุกคนแล้วเว้นซองมินไปคงจะดูไม่ดี ไม่รู้ว่าคิดมากไปเองหรือเปล่าแต่ซองมินกลับรู้สึกว่าไม่สนิทใจกับเพื่อนที่โรงเรียน เหมือนยิ่งคุยยิ่งรู้จักก็ยิ่งห่างเหินเหมือนเป็นคนอื่นคนไกล

                เลิกเรียนซองมินก็รี่ตรงกลับบ้าน ไม่แวะเที่ยวเล่นเถลไถลเหมือนเด็กในวัยเดียวกัน เมื่อครูขอให้ช่วยงานอะไรก็รับอาสาทำอย่างเต็มใจ อีกทั้งยังประพฤติตัวตามกฎระเบียบของโรงเรียนอย่างเคร่งครัด มีอยู่ครั้งหนึ่งซองมินเห็นเพื่อนแอบใส่สร้อยคอห้อยจี้ไม้กางเขนเงินมาโรงเรียน แต่โรงเรียนมีกฎห้ามใส่เครื่องประดับจึงเข้าไปทัก ปรากฏว่าสร้อยนั้นเป็นเครื่องประดับที่พนักงานของร้านเหล้าต้องใส่ และเพื่อนคนนั้นก็ทำผิดกฎของโรงเรียนอีกข้อด้วยการทำงานพิเศษที่ร้านเหล้า

                ด้วยเหตุนี้ซองมินจึงถูกเพื่อนมองว่าตั้งใจทำตัวดีเพื่อประจบเอาใจครู แม้ซองมินจะไม่ชอบใจกับความเห็นที่เพื่อนแอบว่ากล่าวแต่ก็ไม่ปริปากพูดอะไร ได้แต่เก็บมาคิดมากคนเดียวในภายหลัง

                ปัญหาที่เผชิญยามอยู่ที่โรงเรียน ซองมินไม่เคยนำไปถ่ายทอดให้ใครฟังแม้แต่คนในครอบครัวหรือคนที่บ้านทั้งที่สนิทใจที่จะคุยด้วย แต่ซองมินกลับระบายให้คนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วันอย่างคยูฮยอนฟังจนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่เรื่องพ่อแม่ที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ถูกหยิบยกเอามาพูดในวันนี้ระหว่างเดินกลับบ้าน

                พ่อทิ้งเราไปตั้งแต่ผมยังเด็กครับ ส่วนแม่ก็เสียไปแล้ว ซองมินพูด เล่าถึงช่วงเวลาที่อยู่ข้างเตียงแม่ยามวาระสุดท้ายในชีวิต คยูฮยอนได้แต่นิ่งเงียบฟัง ไม่ได้เอ่ยเล่าเรื่องราวส่วนตัวของตนเอง ซองมินจึงเป็นฝ่ายชวนคุยเสียมากกว่า

                ขอโทษนะครับที่เล่าเรื่องเศร้าๆ แบบนี้ ผมควรจะเปลี่ยนเรื่องคุยหรือเปล่า

                ไม่เป็นไรครับ เล่าเรื่องเศร้าต่อก็ได้

              ได้ยินอย่างนั้นซองมินก็วางใจจึงเล่าเรื่องราวสมัยเด็กตอนตนถูกเพื่อนแกล้งให้คยูฮยอนฟังต่อ ไม่รู้ทำไมแต่เขารู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้เหมาะจะรับฟังเรื่องทุกข์อัดอั้น

                ขณะเดินมาจนถึงจุดที่พบกันครั้งแรก ซองมินกำลังเล่าเรื่องราวตอนเด็กที่ตนถูกพ่อปล่อยทิ้งให้ร้องไห้กลางป่าตอนกลางคืน

                สุนัขจรจัดตัวหนึ่งนอนอยู่เบื้องหน้า ซองมินคุ้นเคยกับมันดีเพราะชอบเข้าไปลูบเล่นทุกครั้งที่เจอ และตอนนี้ก็ตั้งใจจะทำเช่นนั้น แต่ครั้งนี้กลับแปลกไปจากทุกคราว ปกติมันจะต้องหรี่ตาลงด้วยความพอใจแต่ในวันนี้มันกลับมีท่าทีระแวดระวัง พูดให้ถูกคือมันจ้องคยูฮยอนเขม็ง ซ้ำยังหมอบลงและส่งเสียงครางขู่

                ซองมินแปลกใจ สาวเท้าเข้าไปใกล้มันอีกก้าว แต่ทันใดนั้นมันก็เห่าเสียงดังแล้ววิ่งหนีหางจุกก้น หวาดกลัวราวกับมีสัตว์ใหญ่ไล่ล่า

                แปลกจัง ทุกทีออกจะเชื่องนี่นา ซองมินรำพึงเบาๆ พอหันไปมองคยูฮยอนแล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก

                ชายหนุ่มมองตามสุนัขตัวนั้นด้วยดวงตาหม่นมืด ซองมินไม่กล้าถามเหตุผลเพราะรับรู้ได้ว่าเรื่องนี้เป็นเหมือนบาดแผลลึกที่คยูฮยอนไม่ต้องการให้ใครมาแตะต้อง

     

    -------------------------------------------------50%-------------------------------------------------------


              คยูฮยอน

              หลังฮีชอลไม่ปรากฏตัวอีก ผมใช้ชีวิตต่อไปด้วยความหวาดหวั่น แต่หลังจากเวลาผ่านไป ผมก็ค่อยๆ ลืมเลือนเหตุการณ์ในวันนั้น ทุกอย่างหวนกลับไปเป็นอย่างเดิมอย่างที่ควรจะเป็น

                ผมไม่เคยสังเกตเห็นความผิดปกติของร่างกายตัวเองจนกระทั่งวันหนึ่ง ในคาบเรียนศิลปะ ผมกำลังแกะสลักหน้ากาก ทั้งที่เพื่อนในห้องส่วนใหญ่เลือกทำหน้ากากรูปยักษ์ แต่ผมกลับเลือกทำเป็นรูปหมาป่า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดจึงได้ติดใจสัตว์ตัวนี้นัก คงจะเป็นเพราะก่อนทำ ใจนึกไปถึงเรื่องเล่าลือจากเมืองข้างเคียงที่ว่ามีเด็กประถมถูกวิญญาณหมาป่าเข้าสิงขณะเล่นปีศาจหมาป่า เด็กผู้โชคร้ายคนนั้นลุกขึ้นมาร่ายรำไม่ยอมหยุด บางคนก็พูดจาไม่รู้เรื่อง ผู้คนจึงหวาดผวาจนพากันเลิกเล่นกันไปหมด

                ขณะนั้นผมกำลังใช้ค้อนตอกด้ามลิ่มเพื่อแกะสลักหน้ากาก แต่ด้วยความไม่ระมัดระวัง ลิ่มจึงพลาดไปเฉือนปลายนิ้วชี้ซ้ายเป็นแผลเหวอะ เลือดสาดกระเซ็นเปื้อนเนื้อไม้สีน้ำตาล เพื่อนๆ ต่างพากันเอะอะโวยวาย ครูรีบวิ่งเข้ามาดู แต่น่าแปลกเหลือเกิน ความเจ็บปวดที่ควรจะมีนั้นกลับหายไปอย่างรวดเร็ว

                ผมสังเกตเห็นเศษเล็บของตัวเองหลุดกระเด็น แม้จะกลัวแต่ก็แอบเก็บมันหย่อนใส่กระเป๋าก่อนที่ครูจะพาไปส่งห้องพยาบาล

                หลังจากล้างแผลผมก็ถูกพาไปส่งโรงพยาบาลตามคำแนะนำของครูพยาบาล ตอนนั้นความเจ็บปวดไม่หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำเลือดยังหยุดไหล จนผมนึกแปลกใจว่าเลือดของเรามันหยุดได้ง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ แต่แผลมันคงไม่ลึกและร้ายแรงขนาดนั้นกระมัง ผมจึงไม่คิดมากอะไร

                หมอตรวจอาการอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าปากแผลเริ่มสมานเป็นเนื้อเดียวแล้ว ผมยังจำสีหน้านั้นได้ติดตา หมอทำหน้าประหนึ่งว่าไม่เคยพบเคยเห็นบาดแผลแบบนี้มาก่อนในชีวิต หมอบอกว่าต้องฉีดยาแก้อักเสบ น่าประหลาด ทุกครั้งที่หมอจิ้มปลายเข็มลงบริเวณแผล เข็มฉีดยาต้องหักกลางทุกครั้ง ผมเกลียดเข็มฉีดยาเหมือนเด็กทั่วไป จึงเกร็งนิ้วเอาไว้จนหมอดุว่าอย่าเกร็ง ไม่อย่างนั้นเข็มจะหักอีก

                หลังจากกลับจากโรงพยาบาล ครูก็พาผมมาส่งที่บ้าน แม่คงได้รับข่าวจากโรงเรียนแล้วจึงรอรับอยู่หน้าบ้านด้วยสีหน้าเป็นห่วง ผมตีหน้าทะเล้น ยกนิ้วที่พันผ้าพันแผลให้ดูแล้วบอกว่าไม่เป็นไร อันที่จริงตอนนั้นผมไม่รู้สึกอะไรกับบาดแผลนั้นเลยแม้แต่น้อย

                ผมกลับเข้าไปในห้องนอน หยิบเศษเล็บในกระเป๋าออกมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรผมจึงรู้สึกอาวรณ์ถึงขั้นห่อไว้ในเศษกระดาษแล้วหย่อนเก็บใส่กระป๋องลูกแก้ว

                คืนนั้นผมลืมตาตื่นด้วยความรู้สึกอึดอัดจากผ้าพันแผล ความรู้สึกคล้ายมีอะไรบางอย่างพยายามจะดันตัวให้หลุดจากบริเวณที่พันผ้าไว้ ความรู้สึกคันๆ เจ็บๆ อย่างบอกไม่ถูก ถ้าอธิบายว่ารำคาญเหมือนตอนฟันแท้ขึ้นคุณคงจะพอนึกออกใช่ไหมครับ

                บริเวณใต้ผ้าพันแผลเริ่มร้อนผะผ่าว ผมค่อยๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละทบ ยิ่งผ้าบางลงเท่าใด ความรู้สึกประหลาดน่ารังเกียจยิ่งเอ่อท้น เมื่อผ้าพันแผลที่หมอพันไว้หลุดออกหมด เล็บงอกใหม่ของผมก็ปรากฏสู่สายตา มันไม่ใช่แผ่นเล็บบางใสจนเห็นเนื้อสีชมพูข้างใต้เหมือนเล็บของมนุษย์ทั่วไป แต่กลับกลายเป็นสีดำเหลือบเงินคล้ายกับเป็นโลหะ ซ้ำยังเป็นโลหะเก่าสนิมเขรอะ รูปร่างของมันพิลึกพิลั่น ไม่ได้โค้งมนเหมือนก่อนแต่กลับเรียวแหลมประหนึ่งไว้ฉีก ชำแหละ ทำลายล้างฆ่าฟัน

                ผมเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ ฝืนตัวเองไว้ไม่ให้อาเจียนออกมา

                พลันใจก็ประหวั่นไปถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับฮีชอล เขาต้องการร่างกายของผมเพื่อแลกกับร่างใหม่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า สังหรณ์ร้ายผุดวาบในอก ผมถลันตรงไปที่กระป๋องลูกแก้วซึ่งเก็บเศษเล็บห่อกระดาษไว้ แต่ภายในกระดาษกลับว่างเปล่า เล็บของผมหายไปแล้ว ผมเพิ่งจะเข้าใจเจตนารมณ์ของฮีชอลก็วันนี้นี่เอง เขาหยิบฉวยเลือดเนื้อของผมไปแล้วแทนที่ด้วยชิ้นส่วนใหม่ให้

                ผมหลุดเสียงกรีดร้องออกมาดังลั่น พ่อเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วถามว่าเป็นอะไร ผมรีบซ่อนปลายนิ้วมือซ้าย ตอบปฏิเสธพลางพยายามปั้นหน้าปกติ

                หลังจากนั้นผมใช้ผ้าพันปลายนิ้วไว้ดังเดิม ไม่กล้าให้ใครเห็น แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้หมอตรวจอีกเลย ทุกครั้งที่จะถูกพาไปโรงพยาบาล ผมดิ้นพล่านขัดขืนราวกับคนคลุ้มคลั่ง สร้างความสงสัยให้กับคนรอบข้าง แม้เวลาผ่านไปนานพอจนแกะผ้าพันแผลได้แล้วผมก็ไม่ยอมแกะออก ยืนกรานว่าจะพันเอาไว้อย่างเดิม

                ผมกลัวว่าถ้ามีใครเห็นเล็บของผมแล้วจะถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด จึงค่อยๆ หลีกเร้นจากสังคม เริ่มเก็บตัวเงียบ ไม่พบปะสังสรรค์สมาคมกับผู้อื่น ผมยิ้มน้อยลง พูดน้อยลง ขวัญผวาทุกครั้งเมื่อจินตนาการภาพตัวเองถูกพ่อแม่หรือครูคาดคั้นให้อธิบายเรื่องเล็บประหลาด ใจของผมประหวั่นไปถึงผ้าพันแผลตลอดเวลา กลัวมันจะเลื่อนหลุดเผยโฉมที่แท้จริงให้ผู้อื่นได้เห็น

                จริงอยู่หากลองนึกย้อนกลับไปดู คงไม่มีใครโกรธหรือโมโหด้วยเรื่องพรรค์นี้ แต่ผมยังเยาว์วัยไม่ประสีประสาจึงปักใจเชื่อว่าต้องโดนดุด่าแน่นอน แม้จะโดนหัวเราะเยาะว่าใจปลาซิว แผลแค่นี้ไกลหัวใจแต่ไม่ยอมถอดผ้าพันแผลเสียที ผมก็ไม่มีคำอธิบายให้ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้แรงหนักๆ เพื่อไม่ให้เกิดบาดแผล แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายได้แผลจากการหกล้มบ้าง ถูกของแหลมเกี่ยวบ้าง ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเหมือนกับตอนเล็บงอก คือความเจ็บปวดจะหายไปทันที และบริเวณบาดแผลนั้นจะถูกแทนที่ด้วยสิ่งคล้ายโลหะขึ้นสนิม

                ผิวหนังใหม่แข็งแกร่ง ไม่มีความอ่อนนุ่ม แต่ยังสามารถรับรู้สัมผัสรวมถึงอุณหภูมิร้อนหนาวได้ ผมเคยใช้ดินสอจิ้มโดยออกแรงพอประมาณ ปรากฏว่ายังเจ็บอยู่บ้าง แต่พอออกแรงมากๆ ความเจ็บปวดกลับกลายเป็นด้านชา ราวกับมีแผ่นโลหะแปะแนบอยู่บนผิวหนังจริงๆ

                ทุกครั้งที่ได้แผล เนื้อตัวของผมจะถูกแทนที่ด้วยสิ่งแปลกปลอมจนต้องปิดบังไว้ด้วยผ้าพันแผล จากสายตาของคนรอบข้างการกระทำของผมคงมากจนเกินพอดี พ่อแม่และครูต่างเป็นห่วงถึงสภาพจิตของผม ถึงกระนั้นผมก็ไม่เคยถอดผ้าพันแผลให้ใครเห็นแม้จะมีใครขอเปิดดู ผมก็จะอ้อนวอนขอร้องด้วยสีหน้าราวกับจะร่ำไห้

                ครั้งหนึ่งผมเหยียบพลาดขณะลงบันได หลังพลัดตกลงมา ความเจ็บปวดแทบสิ้นสติทำให้ผมหายใจไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง รู้สึกได้ว่ากระดูกซี่โครงคงจะหัก เพราะหน้าอกกระแทกกับขั้นบันไดอย่างแรง แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานก็รู้สึกดีขึ้น แต่ผมกลับหวาดหวั่นอยู่ในอก ภายในร่างกายเกิดการสึกหรอและงอกใหม่ในเวลาเดียวกัน ซี่โครงที่หักถูกฮีชอลหยิบฉวยไป ก่อนจะถูกแทนที่ใหม่ด้วยชิ้นส่วนอีกชิ้น

                ผมเลิกชายเสื้อขึ้นมา สำรวจบริเวณซี่โครงงอกใหม่ ผิวหนังภายนอกยังเหมือนเดิม แต่รู้ได้ทันทีว่าภายในเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว ผิวหนังบริเวณกระดูกโหนกนูนออกมา คล้ายกับซี่โครงของสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์

                ลองนึกทบทวนดู ตั้งแต่ผมผูกพันธะสัญญากับฮีชอล ผมไม่เคยถูกโรคภัยแผ้วพานเลยสักครั้ง แม้ได้รับบาดเจ็บ ร่างกายก็ถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่น แต่หากถามว่าผมยินดีหรือไม่ก็ต้องตอบเลยว่าไม่แม้แต่น้อย อดรู้สึกไม่ได้ว่าทุกครั้งที่เกิดรอยขีดข่วนบนผิวหนัง ผมก็ต้องสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปทีละน้อย ผมได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญ หวาดกลัวว่าจะมีสิ่งใดคอยอยู่ ณ สุดปลายทางแห่งอนาคต แต่กระนั้นถึงจะมีผ้าพันแผลเต็มตัวหรือถูกมองด้วยสายตาเคลือบแคลง ผมก็ยังไปโรงเรียนและใช้ชีวิตอย่างคนปกติต่อไปได้ถึงสี่ปี

                นับแต่นั้นผมไม่เคยได้ลิ้มรสความสุขอีกเลย ซ้ำร้ายเนื้อตัวยังแผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวซึ่งดูเหมือนจะไหลอวลมาจากชิ้นส่วนใหม่ในร่างกาย หากผู้ใดประสาทสัมผัสไวก็มักจะย่นคิ้วด้วยความรังเกียจแม้เพียงเหลือบเห็น ผมทำได้เพียงหลบเลี่ยงที่จะเผชิญหน้า

                ผมเริ่มใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในมุมมืด ไร้แม้คนเอ่ยทักทาย อยู่กับความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว แต่หากต้องถูกจ้องมองด้วยสายตาหวาดกลัวหรือรังเกียจเดียดฉันท์ ผมขอยอมอยู่แบบนี้ต่อไปดีกว่า อย่างน้อยก็ยังพอกลบเกลื่อนตัวเองได้ว่าผมยังเป็นมนุษย์เหมือนคนอื่นๆ

                ครบสี่ปีเต็มหลังผูกพันธะสัญญากับฮีชอล ผมตัดสินใจออกจากบ้านเพราะคิดว่าคงไม่อาจปิดซ่อนความผิดปกติของตัวเองภายใต้ผ้าพันแผลได้ตลอดไป ผมเก็บเสื้อผ้าข้าวของ แอบย่องเข้าครัวเพื่อหยิบกระเป๋าเงินออกจากถุงผ้าหูรูดของแม่ ผมรู้สึกผิดบาปที่ต้องขโมยเงิน แต่ในอกกลับเจ็บแปลบยิ่งกว่าที่ต้องปุบปับหนีไปโดยไม่ได้ร่ำลาบุพการีผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูผมมาด้วยความรัก

                มาลองคิดดู หากผมสารภาพกับพวกท่านตามตรงอาจจะไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ถึงเพียงนี้ แต่ตัวผมในตอนนั้นกลับปล่อยให้ความหวาดหวั่นว่าจะถูกพ่อแม่ผลักไสมีอำนาจเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ ผมขอจากไปโดยเก็บงำความจริงเอาไว้จะดีกว่า

                ผมตัดสินใจออกเดินทางโดยรถไฟจึงรีบเร่งไปที่สถานี ขณะนั้นจิตใจก็หวนคิดไปถึงฮีชอล แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นใครกันแน่ ตามคำทำนายของฮีชอล ปีนี้ผมจะต้องตายอย่างทรมาน หากไม่ได้พบเขา ผมอาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ได้ หรือไม่คำพูดเหล่านั้นก็เป็นเพียงกับดักล่อให้ผมติดกับและยอมเอ่ยคำสัญญา แต่ผมก็สุดปัญญาจะหาทางพิสูจน์

                ในคืนนั้นสิ่งเดียวที่อยู่ในห้วงคิดของผมก็คือ ผมได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว



    ---------------------------------------------------------------------



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×