ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]The Sixth Senseสัมผัสรัก สื่อวิญญาณKyuMin,KiHae,YeRyeo

    ลำดับตอนที่ #30 : [SF] Curse-1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 839
      0
      17 ส.ค. 55

    Part 1


              คยูฮยอน

             

                ถึง  คุณซองมิน

                หากคุณได้อ่านเนื้อความในจดหมายฉบับนี้แล้ว นั่นก็หมายความว่าเราสองคนคงจะได้เอ่ยคำล่ำลากันแล้ว ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน สิ่งที่ผมกระทำต่อคนถึงสองคนนั้นมันช่างรุนแรงและโหดร้ายเกินกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ ผมจะไม่ร้องขอให้คุณให้อภัยกับความผิดที่ผมได้ก่อ เพียงแต่อยากขอโอกาสให้คุณช่วยอ่านเนื้อความทั้งหมดในจดหมายฉบับนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเปิดเผยให้ผู้ใดได้ทราบมาก่อน

                ผมเคยคิดว่าสักวันหนึ่งผมจะสามารถบอกเล่าเรื่องราวความทุกข์ระทมที่อัดแน่นอยู่ในใจมานานนับยี่สิบปีให้คุณได้ฟัง โดยไม่ต้องกังวลว่าคุณจะเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจหรือหวาดกลัวที่ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของผมซึ่งถูกปิดซ่อนไว้ภายใต้ผ้าพันแผล แต่แท้ที่จริงแล้วมันคงจะเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ของผมเพียงเท่านั้น ไม่ว่าใครก็คงไม่อาจทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้ แม้กระทั่งตัวผมเองก็ตาม

                เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อราวยี่สิบปีก่อน ตอนนั้นผมอาศัยอยู่กับครอบครัวซึ่งประกอบด้วยพ่อ แม่ ผม และยาย เราอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในชนบท ตอนนั้นผมคงอยู่ชั้นประถมต้นได้ ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน ประกอบกับเป็นเด็กอ่อนแอขี้โรค พ่อกับแม่รวมถึงยายจึงเลี้ยงดูประคบประหงมผมเป็นอย่างดีราวกับไข่ในหิน หากเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย แม่ก็จะให้นอนพักอยู่ที่บ้าน ไม่ให้ไปโรงเรียน หลายต่อหลายครั้งจนถูกเพื่อนร่วมห้องมองว่าเป็นคนไม่เอาไหน แต่ก็ไม่ได้เป็นที่รังเกียจจนถึงขั้นไม่มีเพื่อน เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ว่าได้

                สมัยนั้นหน้าหนาวอากาศเย็นยะเยียบ ลมหนาวพัดมาทีหนึ่งหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ วันนั้นก็เช่นกัน เป็นวันที่อากาศหนาวที่สุดในรอบปี ผมถูกจู่โจมด้วยไข้หวัดจนต้องหยุดเรียนอีกเช่นเคย ขณะนั้นผมนอนอยู่ในห้อง ซุกตัวอยู่ในฟูกหนา ใจคิดถึงเพื่อนที่ตอนนี้คงกำลังนั่งเรียนอยู่ในห้องเรียน สมัยประถมไม่ว่าใครก็อยากหยุดเรียนอยู่บ้าน นอนตื่นสาย เล่นได้เต็มที่ ไม่ต้องทนฟังครูสอนเรื่องน่าเบื่อที่โรงเรียน แต่ผมกลับคิดเห็นแตกต่าง อยู่บ้านผมมิเป็นอันต้องทำอะไรนอกจากนอนซมเพราะพิษไข้ ยายก็อยู่อีกห้อง ส่วนพ่อแม่ก็ออกไปทำงานในไร่ ทิ้งผมให้นอนอยู่กับความเบื่อหน่ายคนเดียวแบบนี้ทุกครั้งไป

                ตอนนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้ผมคิดถึงการละเล่นนี้ขึ้นมาได้

                ผมไม่รู้ว่าตอนคุณอายุเท่าผมในตอนนั้น คุณได้เคยเล่นมันหรือเปล่า แต่ในยุคของผม การละเล่นนี้เป็นที่นิยมมาก แม้แต่ผมที่เป็นเด็กเงียบขรึมยังเคยถูกชักชวนให้เข้าร่วมวงเล่นด้วย

                “ปีศาจหมาป่า” นี่คือชื่อของมัน วิธีการเล่นก็ไม่ยากเลย อุปกรณ์มีแค่กระดาษและเหรียญเท่านั้น ผู้เล่นจะต้องอัญเชิญดวงวิญญาณของปีศาจหมาป่าให้เข้ามาประทับที่เหรียญ โดยผู้เล่นต้องวางเหรียญไว้บนกระดาษแล้วใช้นิ้วกดเหรียญเอาไว้ หลังจากนั้นผู้เล่นจะถามอะไรก็ได้ แล้วดวงวิญญาณจะให้คำตอบโดยการเลื่อนเหรียญบนกระดาษที่เขียนตัวอักษรเอาไว้ แรกๆ ผมมองว่ามันไร้สาระสิ้นดีเพราะไม่เชื่อในเรื่องภูติผีนางไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่พอเห็นพวกเพื่อนๆ ตื่นเต้นดีใจยามเหรียญเลื่อนก็ไม่กล้าขัดแย้งอะไรทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าที่เหรียญขยับคงเป็นเพราะแรงดันของใครซักคนที่เล่นอยู่ต่างหาก

                ทั้งที่มองว่าไร้สาระแต่ผมกลับลุกออกจากที่นอน ฉีกกระดาษสมุดมาตีตารางเขียนตัวอักษรแล้วล้วงเหรียญร้อยวอนออกมา ตอนนั้นในใจคิดแต่เพียงว่าอยากหาอะไรทำฆ่าเวลาและพิสูจน์ว่าการละเล่นนี้เป็นเพียงเรื่องเล่นสนุกของเด็กๆ เท่านั้น ในเมื่อมีแค่ผมคนเดียว ถ้าผมไม่ขยับเหรียญเสียอย่าง เหรียญก็คงไม่มีทางเลื่อนได้เองแน่

                ผมวางกระดาษที่เขียนเสร็จแล้วไว้ที่พื้น วางเหรียญทับรูปประตูที่วาดขึ้นเพื่อเป็นจุดเริ่มต้น เอ่ยคำพูดเชิญวิญญาณที่จำมาจากเพื่อนๆ ในห้อง ผมรออยู่ราวครึ่งนาทีก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กำลังจะถอนมือออกจากเหรียญแล้วกลับไปนอนตามเดิม แต่ผมกลับดึงนิ้วออกจากเหรียญไม่ได้ราวกับมีใครมากดตรึงเอาไว้

                เหรียญร้อยวอนที่ควรจะเย็นตามอุณหภูมิห้องนั้นกลับอุ่นจนร้อนทั้งที่ผมกดไว้ไม่ถึงนาที รวมทั้งบรรยากาศในห้องกลับอึดอัด ขนหลังคอของผมตั้งชันเหมือนมีคนคอยจ้องมองจากข้างหลัง แต่ผมก็ไม่กล้าเอี้ยวคอหันกลับไปมอง รู้แต่เพียงว่าในห้องนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ผมคนเดียว

                “มีใครอยู่ในห้องนี้ด้วยเหรอ” ผมหลุดปากถามออกไป เหรียญขยับไปคำว่า ใช่ โดยที่ผมไม่ได้ออกแรงดันเลย

                ณ วินาทีนั้น ผมรู้แล้วว่าตัวเองเจอของจริงเข้าให้แล้ว เป็นวิญญาณปีศาจหมาป่าตัวจริงที่เพื่อนร่วมห้องคนอื่นที่เคยเล่นเกมนี้ไม่เคยได้พบพาน

                “คุณเป็นใคร” ผมทำใจกล้าถามทั้งที่ในใจเริ่มกลัวแล้ว

                เหรียญวิ่งวนรอบกระดาษทับตัวอักษรมั่วซั่วจนจับเป็นคำไม่ออก ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนช้าลง เรียงตัวสระและพยัญชนะเป็นคำที่ผมอ่านออกได้

                ฮีชอล

                “คุณชื่อฮีชอลเหรอ”

                ใช่

                และนั่นคือครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับฮีชอล

     

     

     

     

                ซองมิน

              ซองมินพบคยูฮยอนครั้งแรกระหว่างทางขณะกลับจากโรงเรียน ผู้ชายสวมชุดผ้าคลุมสีดำปิดบังร่างกายทั้งตัวคนนั้นล้มฟุบลงไปต่อหน้าต่อตา แม้จะตกใจแต่สัญชาตญาณบอกซองมินว่าไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ชายหนุ่มคนนั้นมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ซองมินไม่อยากเข้าใกล้

                ผู้ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาสบตาซองมินก่อนจะเสหลบ สายตาคู่นั้นแฝงความหวาดกลัวและตื่นตระหนก เขาพยายามจะยันกายลุกขึ้นแต่ก็ดูจะลำบากเต็มที

                ซองมินรู้ได้โดยทันทีว่าผู้ชายแปลกหน้าที่พบนั้นคงจะบาดเจ็บสาหัสเพราะสภาพล้มทั้งยืนและผ้าพันแผลที่พันปิดทั้งตัว แขนและมือที่พ้นชายแขนเสื้อคลุมตัวเก่ามอซอนั้นก็ถูกพันปิดทับไว้ด้วยผ้าพันแผล แม้แต่ใบหน้าใต้ดวงตาลงมาจนถึงคอก็มีผ้าพันแผลปิดเอาไว้ สภาพของผู้ชายคนนั้นช่างน่าเวทนาเสียจนซองมินละอายแก่ใจที่แสดงความรังเกียจไม่กล้าเข้าใกล้ในคราแรก เขากลายเป็นคนใจแคบตัดสินคนจากภายนอกทั้งที่ไม่รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แค่คิดซองมินก็รู้สึกผิดเหลือเกิน

                “คุณเป็นอะไรครับ ให้ผมช่วยนะ” ซองมินปรี่เข้าไปใกล้ร่างของชายหนุ่มที่ตนไม่รู้จักคนนั้น

                “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ” แม้จะพูดแบบนั้นแต่ผู้ชายคนนั้นก็ต้องฝืนตัวเกาะเสาไฟฟ้าเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้มลงไปอีก

                “ให้ผมไปส่งคุณที่โรงพยาบาลนะครับ ท่าทางคุณจะไม่สบาย” ซองมินเอ่ยด้วยความหวังดี

    คำพูดนี้ทำให้ผู้ชายในชุดคลุมคนนั้นจ้องซองมินไม่วางตา ดวงตากลมที่โผล่พ้นผ้าพันแผลออกมามีน้ำตาเคลือบขังคล้ายกับกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อยิ่งทำให้ซองมินสงสาร ทั้งชีวิตผู้ชายคนนี้คงจะผ่านช่วงเวลาที่ร้ายกาจอย่างสุดแสนสาหัส แม้แต่น้ำใจเพียงเล็กน้อยที่ซองมินหยิบยื่นให้จึงได้ซาบซึ้งถึงเพียงนี้

    “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ เดี๋ยวผมก็หาย” ผู้ชายคนนั้นตอบ หลบสายตาหนีแล้วทำท่าจะก้าวเดินต่อ

    “ให้ผมช่วยดีกว่านะครับ” ซองมินคว้าแขนเขาไว้จะช่วยพยุง

    ผู้ชายคนนั้นหันมองซองมินด้วยสายตาตกตะลึงราวกับไม่คิดว่าซองมินจะกล้าแตะเนื้อต้องตัวเขาทั้งที่ตัวเองสกปรกมอซอแบบนี้

    “คุณจะไปที่ไหนครับ เดี๋ยวผมช่วยพาไปส่ง”

              “ผมไม่มีที่ไปหรอกครับ แค่เดินมาเรื่อยๆ”

                “ถ้าอย่างนั้นแวะพักที่บ้านผมจนกว่าจะหายดีแล้วค่อยไปนะครับ” ซองมินรวบรัดตัดความ คราวนี้ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นไม่ได้จดจ้องมองซองมินด้วยความสนใจเหมือนเคย แต่กลับก้มหน้าลงต่ำ หลบสายตา แน่นิ่งไปนาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังคิดหรือเพราะเหตุผลอื่น

    --------------------------------------------------------60%---------------------------------------------------------------

             
    “บ้านของผมจะเรียกว่าเป็นบ้านเช่าก็ได้ครับ เพราะชั้นสองกว้างขวางมีหลายห้องเลยแบ่งห้องให้คนเช่า ผมอยู่กับยายแล้วก็พี่ชายอีกคนหนึ่ง คนที่มาพักก็มีคุณโซยอนกับลูกชาย เหลือห้องว่างอีกหนึ่งห้อง พอดีมีคนย้ายออก คุณเข้าไปนั่งพักในห้องนั้นได้ตามสบายเลยนะครับ” ซองมินอธิบายให้ผู้ชายแปลกหน้าที่ทราบชื่อภายหลังว่าคยูฮยอนฟังระหว่างที่ช่วยพยุงไปยังห้องนั้น

                “แต่

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมอธิบายให้ยายเข้าใจเอง ท่านไม่ว่าหรอกครับ ยายผมใจดี” ซองมินพูด เปิดห้องให้คยูฮยอนเข้าไป

                “ขอบคุณคุณซองมินมากนะครับ ผมจะอยู่รบกวนคุณไม่นานแล้วจะรีบไปโดยทันที” คยูฮยอนพูดพลางโค้งตัวต่ำแสดงความขอบคุณซองมิน หลังจากนั้น คยูฮยอนก็จ้องมองนิ่งไปที่หน้าต่างอย่างไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไร

    ต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกให้ร่มเงาในสวนหลังบ้านทอดกิ่งผ่านหน้าต่างห้องนี้พอดี บนกิ่งนั้นมีรังนกอยู่ พ่อนกแม่นกกำลังกลับมาที่รังเพื่อป้อนอาหารให้ลูกนก คยูฮยอนคงจะมองภาพนั้นเพื่อหาที่วางสายตา

                “ผมว่าคุณน่าจะเปลี่ยนผ้าพันแผลนะครับ ให้ผมเปลี่ยนให้นะ” ซองมินพูดทำลายความเงียบขึ้นมาด้วยความหวังดี

                “ไม่เป็นไรครับ กรุณาอย่าเข้าใกล้ผมเลย” คยูฮยอนรีบปฏิเสธ น้ำเสียงหมองเศร้

                แม้จะสงสัยว่าคยูฮยอนซ่อนอะไรไว้ภายใต้ผ้าพันแผลแต่ซองมินก็ไม่คิดจะก้าวก่ายยุ่งวุ่นวายเรื่องส่วนตัว จึงปล่อยให้ชายหนุ่มอยู่เพียงลำพังในห้องพร้อมกับผ้าพันแผลม้วนใหม่ที่มีติดตู้ยาสามัญประจำบ้านเพื่อให้คยูฮยอนไว้ใช้ผลัดเปลี่ยน

                เวลาล่วงเลยผ่านไปจนค่ำ คยูฮยอนยังคงหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ซองมินนึกเป็นห่วงจึงยกสำรับอาหารมาที่หน้าห้องก่อนจะเคาะประตู

                “คุณคยูฮยอนครับ ผมเอาอาหารมาให้ครับ”

                “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่หิว” เสียงของคยูฮยอนตอบกลับมา

                “แต่นี่มันเย็นมากแล้วนะครับ คุณยังไม่ได้ทานอะไรเลย”

                “ผมไม่หิวจริงๆ ครับ ไม่ทานอะไรผมก็อยู่ได้” คยูฮยอนยังคงดื้อดึงปฏิเสธน้ำใจของซองมินจนเจ้าตัวนึกฉุนถือวิสาสะเปิดประตูห้องเข้าไป

                “ไม่หิวก็ต้องกินครับ คนเราไม่กินข้าวกินน้ำจะอยู่ได้ยังไง” ซองมินพูด วางสำรับอาหารลงตรงหน้าคยูฮยอน

                ริมฝีปากของชายหนุ่มที่ซ่อนภายใต้ผ้าพันแผลผืนใหม่ขยับยกขึ้นเหมือนเป็นรอยยิ้ม แต่แววตากลับหมองเศร้า ท่าทางหม่นหมองทุกข์ระทมของคยูฮยอนนั้นทำเอาซองมินใจวูบโหวงอย่างแปลกๆ

                “ผมทานแน่ๆ ครับ ขอบคุณมากนะครับ” คยูฮยอนตอบ ซองมินจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังคงนั่งจ้องหน้าชายหนุ่ม ไม่ยอมออกไปเสียที คยูฮยอนคงไม่อยากให้ซองมินเห็นตอนทานข้าวเพราะต้องแกะผ้าพันแผลออกนั่นเอง

                “เอ่อ งั้นเดี๋ยวผมขึ้นมาเก็บนะครับ” พูดเก้อๆ แล้วซองมินก็ออกจากห้องไป ทิ้งคยูฮยอนไว้ในห้องคนเดียวอีกครั้ง

     

                แม้จะบอกกับตัวเองว่าชายหนุ่มคนนั้นน่าสงสาร แต่พฤติกรรมหลายอย่างที่น่าสงสัยของผู้ชายคนนั้นกลับน่าคลางแคลงใจ คยูฮยอนไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้าของตนเองให้ใครได้เห็น ปกปิดซ่อนเร้นไว้ภายใต้ผ้าพันแผลหลายทบ ไม่แน่เขาอาจเป็นคนร้ายที่กำลังหนีการจับกุมของตำรวจ หรืออาจจะบาดเจ็บสาหัสอยู่ก็เป็นได้

                “ไม่ต้องตามหมอมาแน่เหรอครับ” ซองมินถามอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เมื่อเข้าไปเก็บสำรับอาหาร

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ อีกเดี๋ยวผมก็ไปแล้ว รบกวนคุณเปล่าๆ”

                “คุณจะไปที่ไหนครับ”

                คยูฮยอนไม่ตอบ ดูเหมือนเขาออกเดินทางร่อนเร่ไปอย่างไม่มีจุดหมาย

                ซองมินนึกสงสารจับใจ ยิ่งเห็นเขาทำตัวไม่ถูกก็ยิ่งลังเลที่จะปล่อยไป ฝีเท้าโงนเงนเมื่อครู่ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าหากให้คยูฮยอนจากไป ชายหนุ่มอาจจะล้มฟุบลงขาดใจกลางทาง ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่โผล่พ้นผ้าพันแผลบ่งบอกให้รู้ว่าเขาหมดเรี่ยวแรงเต็มที ไม่ควรจะฝืนร่างกายต่อ

                แต่ถึงกระนั้น เสียงบางอย่างในใจร้องเตือนว่าซองมินไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวข้องแวะกับผู้ชายคนนี้อีกต่อไป ชายแปลกหน้ามีเงาดำบางอย่างชวนให้รู้สึกสะพรึงยามเข้าใกล้ แต่ซองมินก็ปัดความรู้สึกนั้นทิ้ง ทำเป็นไม่สนใจ

                “งั้นอยู่บ้านผมสักระยะก่อนเถอะนะครับ”

                แรกๆ คยูฮยอนปฏิเสธ แต่ซองมินก็เกลี้ยกล่อมจนเขายอมและตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อห้าวัน

     

     

                คยูฮยอน

     

              นับตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ตกเข้าไปอยู่ในวังวนแห่ง ปีศาจหมาป่า นึกแล้วก็ได้แต่เสียใจ หากผมทำเป็นเพิกเฉยต่อเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เสีย คิดซะว่าการที่เหรียญเคลื่อนย้ายอาจจะเป็นเพราะพื้นห้องลาดเอียง หรือมือของผมเผลอไปดันเหรียญ แม้จะเป็นการหลอกตัวเอง แต่ชีวิตของผมคงไม่ลงเอยแบบนี้

                ผมเริ่มตื่นเต้นและสนุกกับสิ่งนี้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกวันทันทีที่กลับมาที่บ้าน ผมต้องหาเรื่องคุยกับฮีชอลเสมอ

                “วันพรุ่งนี้อากาศจะแจ่มใสหรือเปล่า”

                แจ่มใส ฮีชอลตอบ

                ฮีชอลมีอำนาจพยากรณ์หยั่งรู้อนาคตได้ แต่คำถามที่ผมถามก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไปอย่างเช่นสภาพอากาศ อุณหภูมิ ทิศทางลม ฮีชอลไม่เคยทำนายผิดพลาดเลยสักครั้ง ทำให้ผมยิ่งสนุก

                “วันนี้ฮีชอลทำนายถูกอีกแล้ว”

                งั้นเหรอ ฮีชอลรับคำอย่างยินดี

                แม้ภาพตรงหน้าจะเป็นเพียงเหรียญร้อยวอน แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฮีชอล แม้แต่ความตื่นเต้นเล็กๆ น้อย ผมก็ยังรู้สึกได้เสมอ

                ผมเคยขอร่วมวงเล่นปีศาจหมาป่ากับเพื่อน แต่กลับไม่รู้สึกถึงบรรยากาศลึกลับเหมือนตอนที่เล่นที่บ้าน ฮีชอลไม่เคยปรากฏตัวและเหรียญก็ไม่ได้ขยับไปตามบัญชาจากสิ่งลี้ลับใดๆ เพื่อนๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรแต่ผมกลับผิดหวังเพราะนี่เป็นเพียงการละเล่นของเด็กธรรมดา ไม่ใช่ประตูเปิดไปสู่สิ่งเร้นลับใดๆ ทั้งสิ้น

                วันพรุ่งนี้นายจะเจ็บตัว ฮีชอลทักผมในวันหนึ่งที่ผมพูดคุยกับเขาผ่านแผ่นกระดาษและเหรียญ

                วันรุ่งขึ้นผมโดนเพื่อนวิ่งชน ได้แผลที่หัวเข่า จริงดังคำทำนายของฮีชอล

                “ผมเจ็บตัวเหมือนที่ฮีชอลว่าไว้เลย ได้แผลที่หัวเข่ามาด้วย”

                เห็นไหมล่ะ ฮีชอลตอบกลับอย่างภาคภูมิ

                คำทำนายของฮีชอลแม่นยำไม่เคยผิดเพี้ยน ณ ขณะนั้น ผมคิดเอาเองว่าหากเชื่อฟังคำทำนายของเขา ชีวิตทั้งชีวิตผมคงไม่ต้องเลือดตกยางออก ไม่ต้องเจ็บตัว คิดว่าตนเองจะเป็นเจ้าของครอบครองโลกทั้งใบ

                ผมเริ่มเปิดใจให้ฮีชอล ถ่ายทอดทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้อีกฝ่ายฟัง ทั้งเรื่องทั่วไป เรื่องครอบครัว เรื่องการเรียน แม้แต่ปัญหาหนักใจที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใครฟังผมก็บอกกล่าวให้ฮีชอลรู้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจเลยสักนิด ฮีชอลเปรียบเสมือนเพื่อนแท้ เป็นคนเดียวที่ผมจะใช้พึ่งพิงได้

                มาลองนึกทบทวนดูอีกที สิ่งที่ผมทำนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน ยอมเปิดหัวใจให้อีกฝ่ายเข้ามาโดยไม่รู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน และต้องการอะไร ฮีชอลช่างหลอกล่อได้อย่างแนบเนียน ผมไม่เคยรู้เลยว่าทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งลวงของเขา ทั้งคำทำนาย ทั้งความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ ฮีชอลใช้ความใกล้ชิดยามพูดคุยกันค้นหาจุดอ่อนในหัวใจผม

                วันหนึ่งฮีชอลบอกผมว่า

                พรุ่งนี้จุนโฮจะพบจุดจบ

                จุนโฮคือชื่อเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งของผม

                “จุนโฮจะตายเหรอ”

                ใช่

                ผมเย็นวาบไปทั้งตัว คำทำนายของฮีชอลไม่เคยผิดพลาด แต่ผมได้แต่หวังว่าครั้งนี้ฮีชอลจะพลาดพลั้งทำนายผิดไปเป็นครั้งแรก

                วันต่อมาผมเล่นกับจุนโฮตามปกติ เขาวิ่งปร๋อคล่องแคล่ว ไม่มีท่าทีจะเจ็บป่วยอะไร ผมนึกโล่งใจ คิดว่าคราวนี้ฮีชอลคงพลาดไปแน่ๆ แต่ระหว่างทางกลับบ้าน จุนโฮพลัดตกน้ำเย็นเยียบ จมน้ำเสียชีวิต ร่างแข็งทื่อด้วยความหนาวเย็น คงจะทรมานไม่น้อยก่อนจะขาดใจ

                “ฮีชอลทายถูกอีกแล้ว” ผมบอกฮีชอลตามความจริง

                งั้นเหรอ ตายแล้วสินะ ตายตายตายตาย…’

    ฮีชอลเน้นซ้ำคำไปมาหลายต่อหลายครั้ง ผมรู้สึกว่าช่วงนั้นฮีชอลดูแปลกๆ ไป เหมือนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เริ่มโต้ตอบไม่รู้เรื่อง บางครั้งเหรียญก็วิ่งวนบนกระดาษอย่างไม่มีทิศทาง ไม่มีเป้าหมาย ตัวอักษรที่จับมาเรียงกันก็ไม่มีความหมาย

    มานึกย้อนไป ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวและใจหินอย่างร้ายกาจ แทนที่จะโศกเศร้าเพราะเสียเพื่อนไป ผมกลับโล่งใจเพราะมีฮีชอลอยู่เคียงข้าง ผมหวาดกลัวความตาย มองคำทำนายของฮีชอลเป็นเกราะป้องกันคุ้มภัยตน

    ความตายต้องมาเยือนทุกคน เป็นธรรมดา เป็นสัจธรรมของโลก แต่ผมกลับปล่อยให้ความกลัวนั้นลากชีวิตตนเองออกนอกทำนองคลองธรรม

    หลังจากนั่งเงียบอยู่นาน ต่อสู้กับความสับสนและขัดแย้งในใจ ประโยคคำถามนั้นก็หลุดออกมาจากปาก

    “แล้วผมล่ะ จะตายเมื่อไหร่”

    เหรียญร้อยวอนเคลื่อนไหวอย่างหนักแน่นโดยไม่ลังเล ชวนให้คิดว่าฮีชอลหยั่งรู้ทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดแน่นอนเท่าคำทำนายของเขา

    อีกสี่ปี ตายอย่างทรมาน

    ในหัวผมร้อนวูบ ผมคิดว่าตนเองจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ แต่ผมกลับมีเวลาเหลืออยู่อีกแค่สี่ปี ซ้ำยังต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน

    “ต้องทำยังไงผมถึงจะไม่ตาย” ผมวิงวอนขอคำตอบ

    เหรียญร้อยวอนขยับอย่างรวดเร็วราวกับคนเสียสติ

    ไม่บอก

    ฮีชอลไม่เคยปฏิเสธผมเลยสักครั้ง ผมรุ่มร้อนใจจนอกแทบระเบิด

    “ได้โปรดบอกผมเถอะ ไม่ว่าอะไรผมก็จะยอมทำทั้งนั้น”

    สัญญาสิว่านายจะยอมทำทุกอย่าง

    ผมพยักหน้ารับโดยไม่ลังเลเลย

    มาเป็นลูกของฉันสิ ฉันจะมอบร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าให้ ร่างกายอันเป็นอมตะ

    ผมหวาดหวั่นต่อความตายจนรีบฉวยโอกาสนั้นไว้โดยไม่ยับยั้งชั่งใจคิดเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้ตระหนักถึงความน่ากลัวจากการฝืนกฎทางธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะฉุกใจคิดว่าตนเองยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฮีชอลเลย

    สัญญาแล้วนะ นายสัญญาแล้วว่าจะมาเป็นลูกของฉัน

    ผมรู้สึกได้ถึงความยินดีปรีดาจาเหรียญร้อยวอน

    “ผมต้องทำยังไงถึงจะเป็นลูกคุณ” ผมละล่ำละลักถาม

    มอบร่างกายของนายให้ฉันสิ ร่างกายของมนุษย์ แล้วฉันจะมอบร่างกายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าให้ นายจะไม่มีวันแก่ชราและมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์

    ตอนนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองคงสะอึกสะอื้น พยักหน้ารับราวกับยอมก้มหน้าศิโรราบแทบเท้าฮีชอล

    ขณะกำลังสะอื้นจนตัวโยน ผมรู้สึกเหมือนมีมือของฮีชอลมาแตะที่บ่า แล้วฉับพลันบรรยากาศอึดอัดที่เคยปกคลุมทั้งห้องยามที่เล่นปีศาจหมาป่าก็หายไป ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ฮีชอลไปแล้ว

    ผมมัวแต่ยินดีปรีดา ไม่ได้ฉุกใจสักนิดว่าตนเองได้เลือกเส้นทางที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าความตายร้อยเท่าพันเท่า

    นับตั้งแต่นั้น ไม่ว่าผมจะพยายามเรียกฮีชอลเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องมาแล้ว เพราะได้รับคำสัญญาจากปากของผมไปเป็นที่เรียบร้อย

    ----------------------------------------------------

    Writer Talks: จบไปละ 1 ตอน ไรท์เตอร์รีบแต่งรีบลงเลยไม่ได้ชี้แจงก่อน เรื่องนี้คือเรื่องสั้นอีกเรื่องที่ดัดแปลงจากเรื่องสั้นของนักเขียนขวัญใจไรท์เตอร์ โอตสึ อิจิ ค่ะ โดยเรื่องนี้เอามาจากเรื่อง "กลลวงเทพจิ้งจอก" แนวเรื่องก็รู้ๆ กันค่ะว่านักเขียนท่านนี้เขาชอบเขียนแนวยังไง (ไม่งั้นจะได้ฉายาว่าผู้เชี่ยวชาญด้านความเศร้าฤา) มีคนทวงถามฟิค Want Need or Love นะคะ ไรท์เตอร์มีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายจะแจ้งค่ะ ข่าวดีคือไรท์เตอร์ยังคิดจะแต่งต่อ (ทั้งที่ดองเค็มไว้นานมาก) แต่มันใกล้จบแล้วอ่ะค่ะ ถ้าไม่แต่งต่อก็เสียดาย แต่อีกใจก็อ่ะนะ จบอบบนี้ไม่กล้าแต่งให้จบเลย กลัวโดนรีดเดอร์ฆ่า แต่ไรท์เตอร์ก็แต่งตอนใหม่ต่อจากนั้นได้นิดนึงแล้วล่ะค่ะ แต่ข่าวร้ายก็คือ ไรท์เตอร์ทำแฮนดี้ไดร์ฟที่เก็บไฟล์ฟิคไว้หาย ซึ่งในนั้นนอกจากมีเรื่อง Want Need or Love แล้วยังมีเรื่องนี้ด้วย งานนี้ไม่ใช่แค่แฮนดี้ไดร์ฟหายค่ะ แต่ชิบหายด้วย T T เพราะเรื่องนี้ไรท์เตอร์ก็แต่งต่อไปได้อีกนิดแล้วเหมือนกัน แล้วต้องเริ่มตอนใหม่หมดเลยแอบท้อ ไรท์เตอร์เลยผิดคำสัญญาเอาฟิคสั้นมาลงตัดหน้าฟืคหลักก่อนด้วยความหวัง (อันล้นปรี่ในใจ) ว่าจะหาแฮนดี้ไดรฟ์ได้เจอในเร็ววัน แต่ถ้าไม่เจอก็ต้องรอให้หลุดจากความนอยด์ก่อนค่ะถึงจะมีอารมณ์แต่งใหม่ได้ ยังไงก็อ่านเรื่องนี้ฆ่าเวลารอไปก่อนละกันเนอะ แหะๆ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×