คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : [SF] Curse-1
คยูฮยอน
ถึง คุณซองมิน
หากคุณได้อ่านเนื้อความในจดหมายฉบับนี้แล้ว นั่นก็หมายความว่าเราสองคนคงจะได้เอ่ยคำล่ำลากันแล้ว ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน สิ่งที่ผมกระทำต่อคนถึงสองคนนั้นมันช่างรุนแรงและโหดร้ายเกินกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ ผมจะไม่ร้องขอให้คุณให้อภัยกับความผิดที่ผมได้ก่อ เพียงแต่อยากขอโอกาสให้คุณช่วยอ่านเนื้อความทั้งหมดในจดหมายฉบับนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเปิดเผยให้ผู้ใดได้ทราบมาก่อน
ผมเคยคิดว่าสักวันหนึ่งผมจะสามารถบอกเล่าเรื่องราวความทุกข์ระทมที่อัดแน่นอยู่ในใจมานานนับยี่สิบปีให้คุณได้ฟัง โดยไม่ต้องกังวลว่าคุณจะเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจหรือหวาดกลัวที่ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของผมซึ่งถูกปิดซ่อนไว้ภายใต้ผ้าพันแผล แต่แท้ที่จริงแล้วมันคงจะเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ของผมเพียงเท่านั้น ไม่ว่าใครก็คงไม่อาจทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้ แม้กระทั่งตัวผมเองก็ตาม
เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อราวยี่สิบปีก่อน ตอนนั้นผมอาศัยอยู่กับครอบครัวซึ่งประกอบด้วยพ่อ แม่ ผม และยาย เราอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในชนบท ตอนนั้นผมคงอยู่ชั้นประถมต้นได้ ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน ประกอบกับเป็นเด็กอ่อนแอขี้โรค พ่อกับแม่รวมถึงยายจึงเลี้ยงดูประคบประหงมผมเป็นอย่างดีราวกับไข่ในหิน หากเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย แม่ก็จะให้นอนพักอยู่ที่บ้าน ไม่ให้ไปโรงเรียน หลายต่อหลายครั้งจนถูกเพื่อนร่วมห้องมองว่าเป็นคนไม่เอาไหน แต่ก็ไม่ได้เป็นที่รังเกียจจนถึงขั้นไม่มีเพื่อน เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ว่าได้
สมัยนั้นหน้าหนาวอากาศเย็นยะเยียบ ลมหนาวพัดมาทีหนึ่งหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ วันนั้นก็เช่นกัน เป็นวันที่อากาศหนาวที่สุดในรอบปี ผมถูกจู่โจมด้วยไข้หวัดจนต้องหยุดเรียนอีกเช่นเคย ขณะนั้นผมนอนอยู่ในห้อง ซุกตัวอยู่ในฟูกหนา ใจคิดถึงเพื่อนที่ตอนนี้คงกำลังนั่งเรียนอยู่ในห้องเรียน สมัยประถมไม่ว่าใครก็อยากหยุดเรียนอยู่บ้าน นอนตื่นสาย เล่นได้เต็มที่ ไม่ต้องทนฟังครูสอนเรื่องน่าเบื่อที่โรงเรียน แต่ผมกลับคิดเห็นแตกต่าง อยู่บ้านผมมิเป็นอันต้องทำอะไรนอกจากนอนซมเพราะพิษไข้ ยายก็อยู่อีกห้อง ส่วนพ่อแม่ก็ออกไปทำงานในไร่ ทิ้งผมให้นอนอยู่กับความเบื่อหน่ายคนเดียวแบบนี้ทุกครั้งไป
ตอนนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้ผมคิดถึงการละเล่นนี้ขึ้นมาได้
ผมไม่รู้ว่าตอนคุณอายุเท่าผมในตอนนั้น คุณได้เคยเล่นมันหรือเปล่า แต่ในยุคของผม การละเล่นนี้เป็นที่นิยมมาก แม้แต่ผมที่เป็นเด็กเงียบขรึมยังเคยถูกชักชวนให้เข้าร่วมวงเล่นด้วย
“ปีศาจหมาป่า” นี่คือชื่อของมัน วิธีการเล่นก็ไม่ยากเลย อุปกรณ์มีแค่กระดาษและเหรียญเท่านั้น ผู้เล่นจะต้องอัญเชิญดวงวิญญาณของปีศาจหมาป่าให้เข้ามาประทับที่เหรียญ โดยผู้เล่นต้องวางเหรียญไว้บนกระดาษแล้วใช้นิ้วกดเหรียญเอาไว้ หลังจากนั้นผู้เล่นจะถามอะไรก็ได้ แล้วดวงวิญญาณจะให้คำตอบโดยการเลื่อนเหรียญบนกระดาษที่เขียนตัวอักษรเอาไว้ แรกๆ ผมมองว่ามันไร้สาระสิ้นดีเพราะไม่เชื่อในเรื่องภูติผีนางไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่พอเห็นพวกเพื่อนๆ ตื่นเต้นดีใจยามเหรียญเลื่อนก็ไม่กล้าขัดแย้งอะไรทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าที่เหรียญขยับคงเป็นเพราะแรงดันของใครซักคนที่เล่นอยู่ต่างหาก
ทั้งที่มองว่าไร้สาระแต่ผมกลับลุกออกจากที่นอน ฉีกกระดาษสมุดมาตีตารางเขียนตัวอักษรแล้วล้วงเหรียญร้อยวอนออกมา ตอนนั้นในใจคิดแต่เพียงว่าอยากหาอะไรทำฆ่าเวลาและพิสูจน์ว่าการละเล่นนี้เป็นเพียงเรื่องเล่นสนุกของเด็กๆ เท่านั้น ในเมื่อมีแค่ผมคนเดียว ถ้าผมไม่ขยับเหรียญเสียอย่าง เหรียญก็คงไม่มีทางเลื่อนได้เองแน่
ผมวางกระดาษที่เขียนเสร็จแล้วไว้ที่พื้น วางเหรียญทับรูปประตูที่วาดขึ้นเพื่อเป็นจุดเริ่มต้น เอ่ยคำพูดเชิญวิญญาณที่จำมาจากเพื่อนๆ ในห้อง ผมรออยู่ราวครึ่งนาทีก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กำลังจะถอนมือออกจากเหรียญแล้วกลับไปนอนตามเดิม แต่ผมกลับดึงนิ้วออกจากเหรียญไม่ได้ราวกับมีใครมากดตรึงเอาไว้
เหรียญร้อยวอนที่ควรจะเย็นตามอุณหภูมิห้องนั้นกลับอุ่นจนร้อนทั้งที่ผมกดไว้ไม่ถึงนาที รวมทั้งบรรยากาศในห้องกลับอึดอัด ขนหลังคอของผมตั้งชันเหมือนมีคนคอยจ้องมองจากข้างหลัง แต่ผมก็ไม่กล้าเอี้ยวคอหันกลับไปมอง รู้แต่เพียงว่าในห้องนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ผมคนเดียว
“มีใครอยู่ในห้องนี้ด้วยเหรอ” ผมหลุดปากถามออกไป เหรียญขยับไปคำว่า ‘ใช่’ โดยที่ผมไม่ได้ออกแรงดันเลย
ณ วินาทีนั้น ผมรู้แล้วว่าตัวเองเจอของจริงเข้าให้แล้ว เป็นวิญญาณปีศาจหมาป่าตัวจริงที่เพื่อนร่วมห้องคนอื่นที่เคยเล่นเกมนี้ไม่เคยได้พบพาน
“คุณเป็นใคร” ผมทำใจกล้าถามทั้งที่ในใจเริ่มกลัวแล้ว
เหรียญวิ่งวนรอบกระดาษทับตัวอักษรมั่วซั่วจนจับเป็นคำไม่ออก ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนช้าลง เรียงตัวสระและพยัญชนะเป็นคำที่ผมอ่านออกได้
‘ฮีชอล’
“คุณชื่อฮีชอลเหรอ”
‘ใช่’
และนั่นคือครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับฮีชอล
ซองมิน
ซองมินพบคยูฮยอนครั้งแรกระหว่างทางขณะกลับจากโรงเรียน ผู้ชายสวมชุดผ้าคลุมสีดำปิดบังร่างกายทั้งตัวคนนั้นล้มฟุบลงไปต่อหน้าต่อตา แม้จะตกใจแต่สัญชาตญาณบอกซองมินว่าไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ชายหนุ่มคนนั้นมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ซองมินไม่อยากเข้าใกล้
ผู้ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาสบตาซองมินก่อนจะเสหลบ สายตาคู่นั้นแฝงความหวาดกลัวและตื่นตระหนก เขาพยายามจะยันกายลุกขึ้นแต่ก็ดูจะลำบากเต็มที
ซองมินรู้ได้โดยทันทีว่าผู้ชายแปลกหน้าที่พบนั้นคงจะบาดเจ็บสาหัสเพราะสภาพล้มทั้งยืนและผ้าพันแผลที่พันปิดทั้งตัว แขนและมือที่พ้นชายแขนเสื้อคลุมตัวเก่ามอซอนั้นก็ถูกพันปิดทับไว้ด้วยผ้าพันแผล แม้แต่ใบหน้าใต้ดวงตาลงมาจนถึงคอก็มีผ้าพันแผลปิดเอาไว้ สภาพของผู้ชายคนนั้นช่างน่าเวทนาเสียจนซองมินละอายแก่ใจที่แสดงความรังเกียจไม่กล้าเข้าใกล้ในคราแรก เขากลายเป็นคนใจแคบตัดสินคนจากภายนอกทั้งที่ไม่รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แค่คิดซองมินก็รู้สึกผิดเหลือเกิน
“คุณเป็นอะไรครับ ให้ผมช่วยนะ” ซองมินปรี่เข้าไปใกล้ร่างของชายหนุ่มที่ตนไม่รู้จักคนนั้น
“ไม่เป็นไรครับ ผม
ไม่เป็นไรจริงๆ” แม้จะพูดแบบนั้นแต่ผู้ชายคนนั้นก็ต้องฝืนตัวเกาะเสาไฟฟ้าเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้มลงไปอีก
“ให้ผมไปส่งคุณที่โรงพยาบาลนะครับ ท่าทางคุณจะไม่สบาย” ซองมินเอ่ยด้วยความหวังดี
คำพูดนี้ทำให้ผู้ชายในชุดคลุมคนนั้นจ้องซองมินไม่วางตา ดวงตากลมที่โผล่พ้นผ้าพันแผลออกมามีน้ำตาเคลือบขังคล้ายกับกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อยิ่งทำให้ซองมินสงสาร ทั้งชีวิตผู้ชายคนนี้คงจะผ่านช่วงเวลาที่ร้ายกาจอย่างสุดแสนสาหัส แม้แต่น้ำใจเพียงเล็กน้อยที่ซองมินหยิบยื่นให้จึงได้ซาบซึ้งถึงเพียงนี้
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ เดี๋ยวผมก็หาย” ผู้ชายคนนั้นตอบ หลบสายตาหนีแล้วทำท่าจะก้าวเดินต่อ
“ให้ผมช่วยดีกว่านะครับ” ซองมินคว้าแขนเขาไว้จะช่วยพยุง
ผู้ชายคนนั้นหันมองซองมินด้วยสายตาตกตะลึงราวกับไม่คิดว่าซองมินจะกล้าแตะเนื้อต้องตัวเขาทั้งที่ตัวเองสกปรกมอซอแบบนี้
“คุณจะไปที่ไหนครับ เดี๋ยวผมช่วยพาไปส่ง”
“ผมไม่มีที่ไปหรอกครับ แค่เดินมาเรื่อยๆ”
“ถ้าอย่างนั้นแวะพักที่บ้านผมจนกว่าจะหายดีแล้วค่อยไปนะครับ” ซองมินรวบรัดตัดความ คราวนี้ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นไม่ได้จดจ้องมองซองมินด้วยความสนใจเหมือนเคย แต่กลับก้มหน้าลงต่ำ หลบสายตา แน่นิ่งไปนาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังคิดหรือเพราะเหตุผลอื่น
--------------------------------------------------------60%---------------------------------------------------------------
“บ้านของผมจะเรียกว่าเป็นบ้านเช่าก็ได้ครับ เพราะชั้นสองกว้างขวางมีหลายห้องเลยแบ่งห้องให้คนเช่า ผมอยู่กับยายแล้วก็พี่ชายอีกคนหนึ่ง คนที่มาพักก็มีคุณโซยอนกับลูกชาย เหลือห้องว่างอีกหนึ่งห้อง พอดีมีคนย้ายออก คุณเข้าไปนั่งพักในห้องนั้นได้ตามสบายเลยนะครับ” ซองมินอธิบายให้ผู้ชายแปลกหน้าที่ทราบชื่อภายหลังว่าคยูฮยอนฟังระหว่างที่ช่วยพยุงไปยังห้องนั้น
“แต่
”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมอธิบายให้ยายเข้าใจเอง ท่านไม่ว่าหรอกครับ ยายผมใจดี” ซองมินพูด เปิดห้องให้คยูฮยอนเข้าไป
“ขอบคุณคุณซองมินมากนะครับ ผมจะอยู่รบกวนคุณไม่นานแล้วจะรีบไปโดยทันที” คยูฮยอนพูดพลางโค้งตัวต่ำแสดงความขอบคุณซองมิน หลังจากนั้น คยูฮยอนก็จ้องมองนิ่งไปที่หน้าต่างอย่างไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไร
ต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกให้ร่มเงาในสวนหลังบ้านทอดกิ่งผ่านหน้าต่างห้องนี้พอดี บนกิ่งนั้นมีรังนกอยู่ พ่อนกแม่นกกำลังกลับมาที่รังเพื่อป้อนอาหารให้ลูกนก คยูฮยอนคงจะมองภาพนั้นเพื่อหาที่วางสายตา
“ผมว่าคุณน่าจะเปลี่ยนผ้าพันแผลนะครับ ให้ผมเปลี่ยนให้นะ” ซองมินพูดทำลายความเงียบขึ้นมาด้วยความหวังดี
“ไม่เป็นไรครับ กรุณาอย่าเข้าใกล้ผมเลย” คยูฮยอนรีบปฏิเสธ น้ำเสียงหมองเศร้
แม้จะสงสัยว่าคยูฮยอนซ่อนอะไรไว้ภายใต้ผ้าพันแผลแต่ซองมินก็ไม่คิดจะก้าวก่ายยุ่งวุ่นวายเรื่องส่วนตัว จึงปล่อยให้ชายหนุ่มอยู่เพียงลำพังในห้องพร้อมกับผ้าพันแผลม้วนใหม่ที่มีติดตู้ยาสามัญประจำบ้านเพื่อให้คยูฮยอนไว้ใช้ผลัดเปลี่ยน
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนค่ำ คยูฮยอนยังคงหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ซองมินนึกเป็นห่วงจึงยกสำรับอาหารมาที่หน้าห้องก่อนจะเคาะประตู
“คุณคยูฮยอนครับ ผมเอาอาหารมาให้ครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่หิว” เสียงของคยูฮยอนตอบกลับมา
“แต่นี่มันเย็นมากแล้วนะครับ คุณยังไม่ได้ทานอะไรเลย”
“ผมไม่หิวจริงๆ ครับ ไม่ทานอะไรผมก็อยู่ได้” คยูฮยอนยังคงดื้อดึงปฏิเสธน้ำใจของซองมินจนเจ้าตัวนึกฉุนถือวิสาสะเปิดประตูห้องเข้าไป
“ไม่หิวก็ต้องกินครับ คนเราไม่กินข้าวกินน้ำจะอยู่ได้ยังไง” ซองมินพูด วางสำรับอาหารลงตรงหน้าคยูฮยอน
ริมฝีปากของชายหนุ่มที่ซ่อนภายใต้ผ้าพันแผลผืนใหม่ขยับยกขึ้นเหมือนเป็นรอยยิ้ม แต่แววตากลับหมองเศร้า ท่าทางหม่นหมองทุกข์ระทมของคยูฮยอนนั้นทำเอาซองมินใจวูบโหวงอย่างแปลกๆ
“ผมทานแน่ๆ ครับ ขอบคุณมากนะครับ” คยูฮยอนตอบ ซองมินจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังคงนั่งจ้องหน้าชายหนุ่ม ไม่ยอมออกไปเสียที คยูฮยอนคงไม่อยากให้ซองมินเห็นตอนทานข้าวเพราะต้องแกะผ้าพันแผลออกนั่นเอง
“เอ่อ
งั้นเดี๋ยวผมขึ้นมาเก็บนะครับ” พูดเก้อๆ แล้วซองมินก็ออกจากห้องไป ทิ้งคยูฮยอนไว้ในห้องคนเดียวอีกครั้ง
แม้จะบอกกับตัวเองว่าชายหนุ่มคนนั้นน่าสงสาร แต่พฤติกรรมหลายอย่างที่น่าสงสัยของผู้ชายคนนั้นกลับน่าคลางแคลงใจ คยูฮยอนไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้าของตนเองให้ใครได้เห็น ปกปิดซ่อนเร้นไว้ภายใต้ผ้าพันแผลหลายทบ ไม่แน่เขาอาจเป็นคนร้ายที่กำลังหนีการจับกุมของตำรวจ หรืออาจจะบาดเจ็บสาหัสอยู่ก็เป็นได้
“ไม่ต้องตามหมอมาแน่เหรอครับ” ซองมินถามอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เมื่อเข้าไปเก็บสำรับอาหาร
“ไม่เป็นไรหรอกครับ อีกเดี๋ยวผมก็ไปแล้ว รบกวนคุณเปล่าๆ”
“คุณจะไปที่ไหนครับ”
คยูฮยอนไม่ตอบ ดูเหมือนเขาออกเดินทางร่อนเร่ไปอย่างไม่มีจุดหมาย
ซองมินนึกสงสารจับใจ ยิ่งเห็นเขาทำตัวไม่ถูกก็ยิ่งลังเลที่จะปล่อยไป ฝีเท้าโงนเงนเมื่อครู่ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าหากให้คยูฮยอนจากไป ชายหนุ่มอาจจะล้มฟุบลงขาดใจกลางทาง ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่โผล่พ้นผ้าพันแผลบ่งบอกให้รู้ว่าเขาหมดเรี่ยวแรงเต็มที ไม่ควรจะฝืนร่างกายต่อ
แต่ถึงกระนั้น เสียงบางอย่างในใจร้องเตือนว่าซองมินไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวข้องแวะกับผู้ชายคนนี้อีกต่อไป ชายแปลกหน้ามีเงาดำบางอย่างชวนให้รู้สึกสะพรึงยามเข้าใกล้ แต่ซองมินก็ปัดความรู้สึกนั้นทิ้ง ทำเป็นไม่สนใจ
“งั้นอยู่บ้านผมสักระยะก่อนเถอะนะครับ”
แรกๆ คยูฮยอนปฏิเสธ แต่ซองมินก็เกลี้ยกล่อมจนเขายอมและตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อห้าวัน
คยูฮยอน
นับตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ตกเข้าไปอยู่ในวังวนแห่ง ‘ปีศาจหมาป่า’ นึกแล้วก็ได้แต่เสียใจ หากผมทำเป็นเพิกเฉยต่อเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เสีย คิดซะว่าการที่เหรียญเคลื่อนย้ายอาจจะเป็นเพราะพื้นห้องลาดเอียง หรือมือของผมเผลอไปดันเหรียญ แม้จะเป็นการหลอกตัวเอง แต่ชีวิตของผมคงไม่ลงเอยแบบนี้
ผมเริ่มตื่นเต้นและสนุกกับสิ่งนี้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกวันทันทีที่กลับมาที่บ้าน ผมต้องหาเรื่องคุยกับฮีชอลเสมอ
“วันพรุ่งนี้อากาศจะแจ่มใสหรือเปล่า”
‘แจ่มใส’ ฮีชอลตอบ
ฮีชอลมีอำนาจพยากรณ์หยั่งรู้อนาคตได้ แต่คำถามที่ผมถามก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไปอย่างเช่นสภาพอากาศ อุณหภูมิ ทิศทางลม ฮีชอลไม่เคยทำนายผิดพลาดเลยสักครั้ง ทำให้ผมยิ่งสนุก
“วันนี้ฮีชอลทำนายถูกอีกแล้ว”
‘งั้นเหรอ’ ฮีชอลรับคำอย่างยินดี
แม้ภาพตรงหน้าจะเป็นเพียงเหรียญร้อยวอน แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฮีชอล แม้แต่ความตื่นเต้นเล็กๆ น้อย ผมก็ยังรู้สึกได้เสมอ
ผมเคยขอร่วมวงเล่นปีศาจหมาป่ากับเพื่อน แต่กลับไม่รู้สึกถึงบรรยากาศลึกลับเหมือนตอนที่เล่นที่บ้าน ฮีชอลไม่เคยปรากฏตัวและเหรียญก็ไม่ได้ขยับไปตามบัญชาจากสิ่งลี้ลับใดๆ เพื่อนๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรแต่ผมกลับผิดหวังเพราะนี่เป็นเพียงการละเล่นของเด็กธรรมดา ไม่ใช่ประตูเปิดไปสู่สิ่งเร้นลับใดๆ ทั้งสิ้น
‘วันพรุ่งนี้นายจะเจ็บตัว’ ฮีชอลทักผมในวันหนึ่งที่ผมพูดคุยกับเขาผ่านแผ่นกระดาษและเหรียญ
วันรุ่งขึ้นผมโดนเพื่อนวิ่งชน ได้แผลที่หัวเข่า จริงดังคำทำนายของฮีชอล
“ผมเจ็บตัวเหมือนที่ฮีชอลว่าไว้เลย ได้แผลที่หัวเข่ามาด้วย”
‘เห็นไหมล่ะ’ ฮีชอลตอบกลับอย่างภาคภูมิ
คำทำนายของฮีชอลแม่นยำไม่เคยผิดเพี้ยน ณ ขณะนั้น ผมคิดเอาเองว่าหากเชื่อฟังคำทำนายของเขา ชีวิตทั้งชีวิตผมคงไม่ต้องเลือดตกยางออก ไม่ต้องเจ็บตัว คิดว่าตนเองจะเป็นเจ้าของครอบครองโลกทั้งใบ
ผมเริ่มเปิดใจให้ฮีชอล ถ่ายทอดทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้อีกฝ่ายฟัง ทั้งเรื่องทั่วไป เรื่องครอบครัว เรื่องการเรียน แม้แต่ปัญหาหนักใจที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใครฟังผมก็บอกกล่าวให้ฮีชอลรู้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจเลยสักนิด ฮีชอลเปรียบเสมือนเพื่อนแท้ เป็นคนเดียวที่ผมจะใช้พึ่งพิงได้
มาลองนึกทบทวนดูอีกที สิ่งที่ผมทำนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน ยอมเปิดหัวใจให้อีกฝ่ายเข้ามาโดยไม่รู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน และต้องการอะไร ฮีชอลช่างหลอกล่อได้อย่างแนบเนียน ผมไม่เคยรู้เลยว่าทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งลวงของเขา ทั้งคำทำนาย ทั้งความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ ฮีชอลใช้ความใกล้ชิดยามพูดคุยกันค้นหาจุดอ่อนในหัวใจผม
วันหนึ่งฮีชอลบอกผมว่า
‘พรุ่งนี้จุนโฮจะพบจุดจบ’
จุนโฮคือชื่อเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งของผม
“จุนโฮจะตายเหรอ”
‘ใช่’
ผมเย็นวาบไปทั้งตัว คำทำนายของฮีชอลไม่เคยผิดพลาด แต่ผมได้แต่หวังว่าครั้งนี้ฮีชอลจะพลาดพลั้งทำนายผิดไปเป็นครั้งแรก
วันต่อมาผมเล่นกับจุนโฮตามปกติ เขาวิ่งปร๋อคล่องแคล่ว ไม่มีท่าทีจะเจ็บป่วยอะไร ผมนึกโล่งใจ คิดว่าคราวนี้ฮีชอลคงพลาดไปแน่ๆ แต่ระหว่างทางกลับบ้าน จุนโฮพลัดตกน้ำเย็นเยียบ จมน้ำเสียชีวิต ร่างแข็งทื่อด้วยความหนาวเย็น คงจะทรมานไม่น้อยก่อนจะขาดใจ
“ฮีชอลทายถูกอีกแล้ว” ผมบอกฮีชอลตามความจริง
‘งั้นเหรอ ตายแล้วสินะ ตายตายตายตาย
’
ฮีชอลเน้นซ้ำคำไปมาหลายต่อหลายครั้ง ผมรู้สึกว่าช่วงนั้นฮีชอลดูแปลกๆ ไป เหมือนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เริ่มโต้ตอบไม่รู้เรื่อง บางครั้งเหรียญก็วิ่งวนบนกระดาษอย่างไม่มีทิศทาง ไม่มีเป้าหมาย ตัวอักษรที่จับมาเรียงกันก็ไม่มีความหมาย
มานึกย้อนไป ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวและใจหินอย่างร้ายกาจ แทนที่จะโศกเศร้าเพราะเสียเพื่อนไป ผมกลับโล่งใจเพราะมีฮีชอลอยู่เคียงข้าง ผมหวาดกลัวความตาย มองคำทำนายของฮีชอลเป็นเกราะป้องกันคุ้มภัยตน
ความตายต้องมาเยือนทุกคน เป็นธรรมดา เป็นสัจธรรมของโลก แต่ผมกลับปล่อยให้ความกลัวนั้นลากชีวิตตนเองออกนอกทำนองคลองธรรม
หลังจากนั่งเงียบอยู่นาน ต่อสู้กับความสับสนและขัดแย้งในใจ ประโยคคำถามนั้นก็หลุดออกมาจากปาก
“แล้วผมล่ะ จะตายเมื่อไหร่”
เหรียญร้อยวอนเคลื่อนไหวอย่างหนักแน่นโดยไม่ลังเล ชวนให้คิดว่าฮีชอลหยั่งรู้ทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดแน่นอนเท่าคำทำนายของเขา
‘อีกสี่ปี ตายอย่างทรมาน’
ในหัวผมร้อนวูบ ผมคิดว่าตนเองจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ แต่ผมกลับมีเวลาเหลืออยู่อีกแค่สี่ปี ซ้ำยังต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน
“ต้องทำยังไงผมถึงจะไม่ตาย” ผมวิงวอนขอคำตอบ
เหรียญร้อยวอนขยับอย่างรวดเร็วราวกับคนเสียสติ
‘ไม่บอก’
ฮีชอลไม่เคยปฏิเสธผมเลยสักครั้ง ผมรุ่มร้อนใจจนอกแทบระเบิด
“ได้โปรดบอกผมเถอะ ไม่ว่าอะไรผมก็จะยอมทำทั้งนั้น”
‘สัญญาสิว่านายจะยอมทำทุกอย่าง’
ผมพยักหน้ารับโดยไม่ลังเลเลย
‘มาเป็นลูกของฉันสิ ฉันจะมอบร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าให้ ร่างกายอันเป็นอมตะ’
ผมหวาดหวั่นต่อความตายจนรีบฉวยโอกาสนั้นไว้โดยไม่ยับยั้งชั่งใจคิดเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้ตระหนักถึงความน่ากลัวจากการฝืนกฎทางธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะฉุกใจคิดว่าตนเองยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฮีชอลเลย
‘สัญญาแล้วนะ นายสัญญาแล้วว่าจะมาเป็นลูกของฉัน’
ผมรู้สึกได้ถึงความยินดีปรีดาจาเหรียญร้อยวอน
“ผมต้องทำยังไงถึงจะเป็นลูกคุณ” ผมละล่ำละลักถาม
‘มอบร่างกายของนายให้ฉันสิ ร่างกายของมนุษย์ แล้วฉันจะมอบร่างกายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าให้ นายจะไม่มีวันแก่ชราและมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์’
ตอนนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองคงสะอึกสะอื้น พยักหน้ารับราวกับยอมก้มหน้าศิโรราบแทบเท้าฮีชอล
ขณะกำลังสะอื้นจนตัวโยน ผมรู้สึกเหมือนมีมือของฮีชอลมาแตะที่บ่า แล้วฉับพลันบรรยากาศอึดอัดที่เคยปกคลุมทั้งห้องยามที่เล่นปีศาจหมาป่าก็หายไป ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ฮีชอลไปแล้ว
ผมมัวแต่ยินดีปรีดา ไม่ได้ฉุกใจสักนิดว่าตนเองได้เลือกเส้นทางที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าความตายร้อยเท่าพันเท่า
นับตั้งแต่นั้น ไม่ว่าผมจะพยายามเรียกฮีชอลเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องมาแล้ว เพราะได้รับคำสัญญาจากปากของผมไปเป็นที่เรียบร้อย
Writer Talks: จบไปละ 1 ตอน ไรท์เตอร์รีบแต่งรีบลงเลยไม่ได้ชี้แจงก่อน เรื่องนี้คือเรื่องสั้นอีกเรื่องที่ดัดแปลงจากเรื่องสั้นของนักเขียนขวัญใจไรท์เตอร์ โอตสึ อิจิ ค่ะ โดยเรื่องนี้เอามาจากเรื่อง "กลลวงเทพจิ้งจอก" แนวเรื่องก็รู้ๆ กันค่ะว่านักเขียนท่านนี้เขาชอบเขียนแนวยังไง (ไม่งั้นจะได้ฉายาว่าผู้เชี่ยวชาญด้านความเศร้าฤา) มีคนทวงถามฟิค Want Need or Love นะคะ ไรท์เตอร์มีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายจะแจ้งค่ะ ข่าวดีคือไรท์เตอร์ยังคิดจะแต่งต่อ (ทั้งที่ดองเค็มไว้นานมาก) แต่มันใกล้จบแล้วอ่ะค่ะ ถ้าไม่แต่งต่อก็เสียดาย แต่อีกใจก็อ่ะนะ จบอบบนี้ไม่กล้าแต่งให้จบเลย กลัวโดนรีดเดอร์ฆ่า แต่ไรท์เตอร์ก็แต่งตอนใหม่ต่อจากนั้นได้นิดนึงแล้วล่ะค่ะ แต่ข่าวร้ายก็คือ ไรท์เตอร์ทำแฮนดี้ไดร์ฟที่เก็บไฟล์ฟิคไว้หาย ซึ่งในนั้นนอกจากมีเรื่อง Want Need or Love แล้วยังมีเรื่องนี้ด้วย งานนี้ไม่ใช่แค่แฮนดี้ไดร์ฟหายค่ะ แต่ชิบหายด้วย T T เพราะเรื่องนี้ไรท์เตอร์ก็แต่งต่อไปได้อีกนิดแล้วเหมือนกัน แล้วต้องเริ่มตอนใหม่หมดเลยแอบท้อ ไรท์เตอร์เลยผิดคำสัญญาเอาฟิคสั้นมาลงตัดหน้าฟืคหลักก่อนด้วยความหวัง (อันล้นปรี่ในใจ) ว่าจะหาแฮนดี้ไดรฟ์ได้เจอในเร็ววัน แต่ถ้าไม่เจอก็ต้องรอให้หลุดจากความนอยด์ก่อนค่ะถึงจะมีอารมณ์แต่งใหม่ได้ ยังไงก็อ่านเรื่องนี้ฆ่าเวลารอไปก่อนละกันเนอะ แหะๆ
ความคิดเห็น