ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]The Sixth Senseสัมผัสรัก สื่อวิญญาณKyuMin,KiHae,YeRyeo

    ลำดับตอนที่ #3 : Part 2 คุณหมอคนใหม่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.98K
      3
      2 พ.ย. 54


     Part 2 คุณหมอคนใหม่

     

                ชีวิตประจำวันของซองมินวันๆ ก็มีอยู่แค่ ตื่นเช้ามา ทานอาหารเช้า สักพักพยาบาลก็จะเอายามาให้ นั่งๆ นอนๆ ดูโทรทัศน์อยู่ในห้อง มีแค่พักหลังๆ ที่บารอมโผล่มาก็มักจะมาแย่งดูการ์ตูน แต่ตั้งแต่เมื่อวานที่ได้เพื่อนใหม่เป็นหนูน้อยหน้าตาน่ารัก เจ้าเด็กแก่แดดที่ซองมินแอบนึกค่อนขอดในใจก็ไม่โผล่มาหาบ่อยๆ เหมือนแต่ก่อน แอบเป็นห่วงอึนจูอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ป่านนี้จะถูกเจ้าทโมนพาไปไหนต่อไหนแล้ว

               

                กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็นึกขึ้นได้ตัวเองยังไม่ได้ทานยาที่เมื่อครู่พยาบาลนำมาให้เลย การ ทานยา ของซองมินที่ต้องทำหลังอาหารเช้า-เย็นของทุกวันจึงเริ่มขึ้น

     

                ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวา เงี่ยหูฟังจนแน่ใจแล้วว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่แถวห้องในระยะที่จะเปิดประตูมาเจอพอดี จึงดึงกระดาษชำระที่วางอยู่ที่โต๊ะข้างหัวเตียงออกมา 2-3 แผ่นแล้วห่อเม็ดแคปซูล 2 เม็ดที่อยู่ในแก้วใบเล็กที่พยาบาลเตรียมมาให้ หันมองไปที่ประตูอย่างหวาดระแวงอีกทีก่อนจะขยำๆ กระดาษห่อยาในมือทิ้งลงถังขยะ

     

                “แหน่ะๆ! ไม่ยอมกินยาอีกแล้วนะเจ๊ คอยดูเหอะซักวันจะไปฟ้องพี่พยาบาล” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้ ซองมินค้อนขวับให้ตั้งแต่ได้ยินคำว่าเจ๊ออกมาจากปากของบารอมที่ลอยเข้ามาในห้องทางระเบียงแล้ว

     

                “แล้วอึนจูล่ะ” ถามถึงเด็กหญิงที่เมื่อวานตอนเย็นยังเข้ามาหาเธอพร้อมกับบารอมด้วยท่าทีสนิทสนมต่างจากตอนแรก ดูก็รู้ว่าคงจะติดพ่อวิญญาณหนุ่มน้อยจอมแสบนี่เข้าให้แล้ว

     

                “อึนจูบอกว่าจะกลับบ้าน เห็นบอกว่าเป็นห่วงแม่รึไงนี่ล่ะ” บารอมทำท่านึกพลางพูดเสียงแจ๋ว

               

                ซองมินพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะกดรีโมตเปิดช่องการ์ตูนให้เด็กชายบารอมด้วยรู้แกวดีอยู่แล้วว่าที่เด็กหนุ่มเข้ามาในห้องก็คงไม่พ้นเพราะการ์ตูนเรื่องโปรดที่ฉายทางช่องเคเบิ้ลที่ออกในเวลานี้

     

                “จะไปไหนแต่เช้าล่ะเจ๊” บารอมถาม แต่ตากลับจ้องไปที่โทรทัศน์เขม็ง ดูท่าว่าจะไม่ได้สนใจซองมินแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่ที่รู้ว่าซองมินคงไม่อยู่ในห้องเพราะถ้าเจ้าตัวครอบครองห้องอยู่ล่ะก็ อย่าหวังว่าจะได้ดูการ์ตูนโปรดง่ายๆ เพราะซองมินรั้นแต่จะเปิดไปช่องรายการเพลงที่เจ้าตัวชอบฟังนักหนา

     

                “บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกเจ๊!” ซองมินว่าเสียงขุ่นพลางทำท่าว่าจะกดเปลี่ยนช่อง

     

                “โอ๋ๆๆ เค้าแค่ล้อเล่นหน่อยเดียวเองน้า พี่ซองมินสุดหล่อ.... ว่าแต่พี่จะไปไหนเนี่ย ไปหาพี่คิบอมเหรอ”

     

                ทีอย่างนี้ล่ะทำเป็นพูดดีประจบเชียวนะ

     

                ซองมินนึกหมั่นไส้อยู่ในใจ

     

                “เปล่า เบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ จะไปเดินเล่น แล้วถ้ามีใครเข้ามาก็อย่าทำให้เขาตกใจล่ะ” ยังไม่วายหันมากำชับกำชาขณะที่ซุกเท้าเข้าไปในรองเท้าแตะของโรงพยาบาล เด็กชายเพียงแต่ตอบรับอือออในลำคอ แล้วก็ไม่หันมาสนใจซองมินอีกเลย

     

     

     

     

                ซองมินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่ง บนเตียงมีร่างของชายคนหนึ่งที่นอนหลับสนิท ใบหน้าผอมซีดเซียวไร้สีเลือด ที่แขนมีสายน้ำเกลือเจาะอยู่ คนไข้คนนี้ไม่สามารถรับประทานอาหารได้เหมือนคนปกติ จึงต้องให้อาหารทางสายน้ำเกลือ

     

                มือเล็กเอื้อมไปหยิบมือผอมแห้งนั้นมาบีบเบาๆ ก่อนจะยกขึ้นลงช้าๆ ให้กล้ามเนื้อค่อยๆ หดและคลาย ก่อนจะเปลี่ยนมาทำกับมืออีกข้าง แล้วย้ายมายกขาทั้งคู่ของคนไข้ขึ้นลงทีละข้าง

     

                นี่คือกิจวัตรที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่รู้จักชายหนุ่มคนนั้น

     

                ชายหนุ่มที่ชื่อคิมคิบอม

     

                “เมื่อไหร่จะฟื้นขึ้นมา รู้รึเปล่าว่าที่นอนอยู่แบบนี้มันทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อไหร่จะเปิดใจซักที” ซองมินเอ่ยเสียงพร่าขณะมองใบหน้าซีดเผือดที่หลับสนิทนั้นนิ่ง อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมาอาบสองแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งที่ปกติก็เห็นหน้าของผู้ชายคนนี้จนชินและแทบจะไม่รู้สึกหดหู่เศร้าใจเหมือนคราวแรกที่ได้เจอแล้ว แต่ทำไมวันนี้เขาถึงได้อ่อนแอนัก

               

                หรือจะเป็นเพราะมีเรื่องที่ยังรบกวนจิตใจอยู่ เรื่องที่ยังค้างคา เรื่องของผู้ชายคนนี้ที่คาราคาซังมากว่าสองปีและยังไม่ได้รับการแก้ไขเสียที

     

                “รีบๆ ฟื้นขึ้นมาซักที ทุกอย่างมันจะได้กลับไปในอย่างที่ควรจะเป็น” ซองมินพูดเสียงเบา

     

     

     

     

                หลังจากที่ทำกายภาพบำบัดให้ผู้ป่วยคนนั้นเสร็จ ซองมินก็ออกมาจากห้อง ตั้งใจว่าจะยังไม่กลับห้องพักของตนเอง เพราะถึงกลับไปตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ครั้นจะไปเยี่ยมฮานึลผู้เป็นแม่ของคิบอมก็กลับรู้สึกละอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

     

                เป็นเพราะความรู้ไม่เท่าทันของตัวเอง ถึงได้ไปกวนตะกอนขุ่นมัวที่อยู่ในใจของคิบอมเข้า แม้แต่คิบอม ตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกผิดเกินกว่าจะเจอหน้า

     

                “อ้าวคุณซองมิน มาเยี่ยมคุณคิมเหรอครับ” เสียงที่ดังทักมาจากข้างหลังทำให้ซองมินที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าต่อหยุดชะงัก ก่อนจะหันกลับไป เป็นคุณหมอหนุ่มที่เป็นเจ้าของไข้ของชายที่อยู่ในห้องนั่นเอง

     

                “สวัสดีครับหมอจงอุน” โค้งทักทายพลางส่งยิ้มหวานให้นายแพทย์คิมจงอุน

     

    ฝ่ายคุณหมอที่รู้จักและสนิทสนมกันมานานเพราะเคยพบซองมินมาเยี่ยมคนไข้ของตนเองบ่อยๆ ก็ยิ้มตอบ ไม่เคยคิดรังเกียจหรือมองคนตรงหน้าในแง่ร้ายเพียงเพราะซองมินเป็นคนไข้แผนกจิตเวชด้วยรู้ดีว่าเด็กหนุ่มคนนี้จิตใจดี และแววตาใสซื่อแบบนี้ก็ไม่เคยคิดร้ายกับใคร

     

    “ถ้าคุณคิมฟื้นขึ้นมาคงดีใจนะครับที่มีคนมาดูแลทุกวันแบบนี้” นายนแพทย์หนุ่มพูดเสียงเศร้าพลางหันไปมองที่ประตูห้องพักที่มีคนไข้ที่กล่าวถึงกำลังนอนหลับสนิทอยู่ข้างใน

     

    “ครับ ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ว่าแต่อาการของเขาเป็นยังไงบ้างครับ ทั้งที่ผ่านมาตั้ง 2 ปีแล้ว แต่ทำไม” ซองมินอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วที่เขาเหยียบย่างเข้ามาในโรงพยาบาลแห่งนี้ คนไข้คนนี้ก็อยู่ในสภาพเจ้าชายนิทราแล้ว และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ฟื้น

     

    “การผ่าตัดครั้งนั้นเป็นไปด้วยดีครับ ไม่มีอะไรผิดปกติเลยซักอย่างเดียว แต่ที่น่าแปลกคือคนไข้กลับไม่ฟื้นขึ้นมา ทั้งที่ร่างกายของคนไข้ก็ไม่ได้รับผลข้างเคียงจากการผ่าตัด อาจจะเพราะสภาพจิตใจไม่พร้อมหรือเหตุผลส่วนตัวอะไรบางอย่าง” คิมจงอุนพูดพลางทำหน้าครุ่นคิด

     

    “แล้วไม่เคยมีจิตแพทย์คนไหนมาตรวจดูเลยเหรอครับ” อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ เพราะตามความคิดของซองมินผู้คลุกคลีอยู่ในสังคมที่รายล้อมไปด้วยคนที่มีความผิดปกติทางจิตคิดว่านอกจากป่วยทางกายแล้ว ชายหนุ่มที่อยู่ในห้องคงป่วยทางใจด้วยไม่ผิดแน่

     

    “เคยครับ แต่การตรวจไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไรนัก เพราะคนไข้อยู่ในภาวะที่ไม่มีสติอยู่กับตัว อย่างเดียวที่ทำได้คือคงต้องรอให้คนไข้ฟื้นขึ้นมาเอง” คุณหมอคิมพูดพลางนึกถึงเมื่อตอนที่คนไข้เพิ่งจะออกจากห้องผ่าตัดแรกๆ แต่กลับไม่ฟื้นขึ้นมา ไม่ว่าจะทำการตรวจหาความผิดปกติทางร่างกายอย่างละเอียดอย่างไรก็ไม่มีอะไรบกพร่องเลยสักอย่าง จึงใช้การตรวจทางจิตวิทยาจากจิตแพทย์ในแผนกจิตเวชมาร่วมรักษา แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากคนไข้เลยแม้แต่น้อย

     

    “ครับ ขอตัวก่อนนะครับ” เมื่อคิดว่าคงไม่ได้เรื่องอะไรแล้ว ซองมินจึงก้มหัวลาก่อนจะเดินจากไป มีเพียงสายตาเรียวของคิมจงอุนเท่านั้นที่มองตามแผ่นหลังเล็กๆ ของซองมินด้วยความไม่เข้าใจ

     

    ทำไมถึงต้องสนใจเรื่องของผู้ชายคนนี้ขนาดนั้นด้วย ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆ คุณอีซองมิน

     

     

     

     

    ร่างบางเดินกลับไปที่แผนกจิตเวชหลังจากไปเยี่ยมหนึ่งในคนไข้ของคุณหมอคิมจงอุน พอมาถึงที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก็พบว่าบรรยากาศกลับเปลี่ยนไปจากที่เคย ทั้งดอกไม้ที่ถูกจัดวางอย่างสวยงามบนเคาน์เตอร์ รวมถึงตามทางเดินก็ประดับประดาไปด้วยช่อดอกไม้เล็กๆ ยังไม่นับเหล่าหมอและพยาบาลที่วิ่งวุ่นกันให้ขวักเพื่อจัดการดูแลคนป่วยที่ออกมาข้างนอกให้กลับเข้าไปในห้อง ภาพเหล่านี้ทำให้ซองมินอดที่จะแปลกใจไม่ได้จนต้องเดินไปถามนางพยาบาลหน้าตาสะสวยที่กำลังจัดดอกไม้ในแจกันใบโตที่วางบนโต๊ะอยู่

     

                “ขอโทษนะครับ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูวุ่นวายกันจัง”

     

                “อ้อ! คุณอีนั่นเอง พอดีวันนี้ลูกชายของผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะมาน่ะค่ะ ก็เลยต้องดูแลให้เรียบร้อยเป็นพิเศษ” พยาบาลสาวหันกลับมาตอบเสียงหวาน แต่ใบหน้าที่ดูอิดโรยรวมถึงรอยเหงื่อที่ขมับและตามแก้มบ่งบอกให้รู้ว่าก่อนหน้านี้เธอเองก็คงทำงานหนักไม่น้อย

     

                “งั้นเหรอครับ แต่แปลกจังนะครับ ทำไมอยู่ๆ ผู้บริหารถึงได้คิดจะมาแผนกจิตเวชได้” ซองมินอดเปรยออกมาด้วยความไม่เข้าใจ จะมีคนปกติที่ไหนอยากจะย่างกรายเข้ามาที่แผนกนี้ เพราะต่างก็กลัวคนผิดปกติทางจิตอย่างพวกเขาจะทำร้ายเอา คนอย่างลูกชายผู้อำนวยการเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้ควรจะไปเยี่ยมชมในส่วนชั้น 1 ซึ่งเป็นส่วนหน้าของโรงพยาบาลมากกว่าไม่ใช่หรือ

     

                “พอดีท่านเองก็เป็นหมอเหมือนกันน่ะค่ะ แล้วก็เป็นจิตแพทย์ด้วย พอจบมาจากอังกฤษปุ๊บก็จะมาทำงานที่นี่ พวกเราก็เลยต้องเตรียมการต้อนรับ”

     

                “อ้อ..” ซองมินพูดเพียงแค่นั้นก็เดินผละออกไป ทิ้งให้พยาบาลสาวดูแลจัดการทำหน้าที่ของเธอต่อ กว่าจะรู้ตัวว่าซองมินเป็นคนไข้แผนกจิตเวชเหมือนกัน และหน้าที่อีกอย่างหนึ่งของเธอคือกันไม่ให้คนไข้ออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกก็สายไปเสียแล้วเมื่อไม่เห็นแม้แต่แผ่นหลังของคนที่เธอเพิ่งโต้ตอบด้วยเมื่อครู่

     

                “แย่แล้ว! คุณอีซองมิน” พยาบาลสาวร้องออกมาก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับ ถ้าว่าที่เจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้คนต่อไปเห็นคนไข้ชุดชมพูออกมาเดินข้างนอกพวกเธอจะถูกตำหนิแค่ไหนที่ไม่ดูแลคนไข้ให้ดีจนปล่อยให้ออกมาได้ เพราะคนไข้จำพวกนี้ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด แม้จะรู้ดีว่าซองมินนั้นเป็นกรณีพิเศษด้วยว่าเจ้าตัวไม่เคยแสดงท่าทีเป็นพิษเป็นภัยต่อใคร เว้นก็แต่ชอบพูดคนเดียวเท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าคุณหมอโจวคยูฮยอนจะรู้ไปกับพวกเธอเสียเมื่อไหร่

     

     

     

     

                “พี่ชาย….” เสียงเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงที่คุ้นเคยดังขึ้น ซองมินหันไปมองตามเสียงก็เห็นหนูน้อยอึนจูยืนบิดมือไปมาอยู่ที่มุมอับตรงทางเดิน ท่าทางแบบนั้นดูออกได้ไม่ยากว่าเด็กหญิงมีเรื่องอะไรอยากจะพูดแต่ก็คงไม่กล้า

     

                “มีอะไรเหรออึนจู” ซองมินถามขณะย่อตัวลงนั่งยองๆ ให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับเด็กน้อย

     

                “คือคือว่า

     

                “คือว่าอะไร” ซองมินถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นเด็กสาวทำท่าทางอึดอัด ไม่ยอมพูดออกมาเสียที

     

                อึนจูอ้าปากกำลังจะพูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่กลายเป็นว่าเด็กหญิงกลับอ้าปากค้าง เบือนหน้าหันไปมองด้านข้าง พลันดวงตาของเด็กหญิงก็เบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวก่อนจะกรีดร้องออกมาดังลั่นแล้วหายวับไปต่อหน้าต่อตาซองมินที่ได้แต่มองปฏิกิริยาที่แปลกไปของวิญญาณเด็กน้อยด้วยความตกใจระคนสงสัย

     

                “ออึนจู อย่าเพิ่งไปสิ ไหนว่ามีอะไรจะบอกพี่ไง!” ซองมินตะโกนร้องเรียก แต่ก็ไม่เป็นผล วิญญาณเด็กหญิงไม่ยอมปรากฏตัวออกมาอีก

     

                อยู่ๆ ก็รู้สึกแปลกๆ รู้สึกอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออกหนาวยะเยือกไปถึงไขสันหลังจนต้องห่อตัวกอดอกแน่น

     

                ร่างบางสั่นไหวน้อยๆ พลางกอดอก ลูบแขนตัวเองไปมา

     

                ทำไมถึงได้รู้สึกไม่ดีแบบนี้นะ

     

                ใบหน้าหวานหันไปทางที่อึนจูเคยเหลียวมองก่อนที่จะหายตัวไป ลางสังหรณ์แปลกๆ เริ่มก่อตัวขึ้น แล้วเขาก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องดี

     

                ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่ร่างกายจะล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นเพราะอยู่ๆ ขาก็หมดแรงเอาดื้อๆ มือเล็กยกขึ้นมาทาบอกโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วพบว่าหัวใจของตนเองเต้นถี่ระรัวอย่างบ้าคลั่งอยู่ในอก

     

                เต้นแรงเพราะความหวาดกลัว

     

                ครั้นพอได้สติ ร่างเล็กก็รีบกระโจนลุกขึ้นก่อนจะวิ่งหนีไปโดยไวเท่าที่ขาที่แทบจะไร้กำลังจะพาร่างกายไปได้

     

                ต้องไปจากที่นี่ ต้องอยู่ห่างจากผู้ชายคนนี้ให้ไกลที่สุด!

     

     

     

                ชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังแอบยืนมองอยู่นานด้วยความสนใจถึงกับผงะไปเมื่ออยู่ๆ เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักคนนั้นที่พูดเจื้อยแจ้วอยู่คนเดียวเมื่อครู่หันมามองทางเขาด้วยสายตาพรั่นพรึงก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งหนีไป

     

                มันก็เป็นเรื่องปกติของคนไข้ที่มีอาการอย่างนี้อยู่แล้ว

     

                ใช่! มันก็เป็นเรื่องปกติของคนไข้ที่มีอาการทางจิตที่จะหวาดระแวงและกลัวคนง่าย เขาเองก็น่าจะทราบตั้งแต่เห็นหนุ่มน้อยคนนั้นสวมชุดคนไข้แผนกจิตเวช และน่าจะเอะใจตั้งแต่เห็นเจ้าตัวพูดคนเดียวอยู่ได้นานสองนาน ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้หยุดยืนมองด้วยความสนใจอยู่นานนัก

     

                ก็แค่เสียดายว่าคนหน้าตาน่ารักแบบนั้นไม่น่าป่วยด้วยโรคแบบนี้เลย

     

                “คุณหมอโจวคะ เอ่อคือ” พยาบาลสาวที่มาต้อนรับถึงกับหน้าถอดสี เมื่อเห็นเต็มสองตาว่าคุณหมอหนุ่มบุตรชายคนเดียวของผู้อำนวยการโรงพยาบาลนี้ผู้มีศักดิ์เป็นเจ้านายของเธอพบเห็นคนไข้ออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกโดยไม่มีเจ้าหน้าที่ตามดูแล ซ้ำยังปล่อยให้หนีไปอีกด้วย แต่เมื่อครู่นี้พอเธอจะสั่งให้บุรุษพยาบาลที่อยู่แถวนั้นเข้าไปพาคนไข้กลับห้องตอนที่ยังนั่งอยู่ตรงหน้านี้ โจวคยูฮยอนกลับยกมือขึ้นปรามเสียอย่างนั้นจนปล่อยให้คนไข้หนีออกไปได้

     

                “คนไข้คนนั้นชื่ออะไร” ชายหนุ่มถามทั้งที่ตายังมองไปยังทิศที่เด็กหนุ่มวิ่งออกไป

     

                “เอ่อ คุณอีซองมินค่ะ เป็นคนไข้อยู่ที่นี่ได้ประมาณปีนึงแล้วค่ะ” พยาบาลตอบเสียงอ่อยพลางก้มหน้ามองพื้น ใจนึกหวั่นๆ ว่าระเบิดอาจจะมาลงตูมเอาได้เมื่อเห็นสีหน้าสีตาเรียบเฉยของคุณหมอหนุ่มทั้งที่เมื่อก่อนหน้านี้ยังยิ้มแย้มแจ่มใสดี

     

                “เขาเข้ามารักษาตัวที่นี่เพราะอะไร”

     

     

     

     

                ซองมินยืนหลบอยู่หลังเสามองชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นที่กำลังยืนคุยกับพยาบาล เขาไม่ได้กลัวคนง่ายหรือหวาดกลัวชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาดี คนนั้นเลยสักนิด แต่เป็นอะไรบางอย่างที่อยู่ที่ตัวของชายหนุ่มคนนั้นต่างหากเล่า

     

                หรือเราควรจะไปเตือนเขา

     

                สำนึกด้านดีทำงานขึ้นมาได้เพียงไม่นาน ใบหน้าหวานก็ส่ายไปมาเร็วๆ เพราะไม่กล้าพอ แม้แต่วิญญาณอย่างอึนจูถึงกับหายวับไปด้วยความกลัว แล้วจะนับประสาอะไรกับคนธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรเลยอย่างเขากันเล่า

     

                แต่ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ผู้ชายคนนั้นต้องแย่แน่ๆ

     

                ทั้งที่รู้อย่างนั้นแต่ซองมินก็ยังคงยึดเสาที่หลบเอาไว้แน่น ไม่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ยังอยู่ที่ตัวของชายหนุ่มคนนั้น

     

                ร่างสูงหมุนตัวหันหลังพร้อมกับออกเดินไปกับนางพยาบาล และนั่นทำให้ภาพนั้นปรากฏสู่สายตาได้ชัดเจน

     

                ซองมินตัวสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นร่างของผู้หญิงผมยาวดำขลับสยายลงมากลางหลังกำลังเกาะแน่นอยู่ที่แผ่นหลังของชายหนุ่มที่ชื่อโจวคยูฮยอน และเหมือนกับเธอจะรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมอง ใบหน้าที่เคยหันหลังให้จึงเอี้ยวกลับมามองสบสายตาที่กำลังจับจ้องที่เธออยู่

     

                ดวงตากลมโตถลึงเหลือกตาขึ้นด้วยความอาฆาตมาดร้าย หยาดเลือดสีแดงฉานไหลลงมาจากตาลงมาถึงร่องแก้มดูราวกับเป็นน้ำตาเลือดและยังคงจ้องเขม็งที่ซองมินอย่างไม่วางตาจนกระทั่งชายหนุ่มคนนั้นเดินลับหายไป

     

                ซองมินถึงกับเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้น เมื่อได้รับรังสีอาฆาตจากวิญญาณร้ายตรงๆ

     

                เขาทำไม่ได้ วิญญาณตนนั้นน่ากลัวเกินไป….

               

     

    ----------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×