ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]The Sixth Senseสัมผัสรัก สื่อวิญญาณKyuMin,KiHae,YeRyeo

    ลำดับตอนที่ #27 : [SF] Twin-5

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 767
      0
      22 ก.ค. 55

     

    5

     

    ผมนั่งก้มหน้าเหมือนอย่างเคยระหว่างที่เรียนในห้องเรียน ปกติสมาธิของผมไม่ค่อยจดจ่ออยู่กับการเรียนเท่าใดนัก เพราะรู้ดีว่าต่อให้พยายามตั้งใจเรียนแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ซ้ำร้ายอาจจะโดนแม่ตีอย่างหนักอีกก็ได้

    คุณครูเคยเรียกพบผมไปคุยเป็นการส่วนตัวหลายครั้งเพราะคะแนนของผมร่อแร่จนน่ากลัวว่าจะซ้ำชั้น ผมได้แต่นั่งฟังแล้วพูดว่าจะตั้งใจเรียนให้มากขึ้น สุดท้ายก็ผ่านชั้นปีมาได้อย่างหวุดหวิด

    ในสายตาของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ ผมเป็นเด็กหัวขี้เลื่อย เก็บตัว ไม่น่าคบหาสมาคม แต่ผมไม่เดือดร้อน ยังคงใช้ชีวิตอยู่ต่อไปวันๆ โดยไร้ความหมาย

    แต่วันนี้แตกต่างจากทุกวัน จริงอยู่ที่ผมยังคงนั่งก้มหน้าเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะแอบหลับหรือมองเหม่ออย่างเคย แต่เพราะสมาธิของผมกำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือนิยายที่ป้าเซนาให้เป็นของขวัญ หนังสือเล่มนั้นวางหมิ่นเหม่อยู่ใต้ลิ้นชักโต๊ะ ผมแอบอ่านในชั้นเรียนได้โดยที่คุณครูไม่สนใจ เพราะที่นั่งของผมเป็นมุมอับด้วยอยู่ตรงมุมห้องข้างหลังสุด ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ที่บ้านตอนที่แม่กับพี่อยู่ไม่ได้จึงต้องอาศัยแอบอ่านที่โรงเรียนแบบนี้

    ออดดังเป็นสัญญาณว่าชั้นเรียนเลิกแล้ว ผมรีบสอดหนังสือเล่มนั้นกลับเข้าไปใต้โต๊ะแล้วลุกออกจากที่นั่งไปหาพี่ที่นั่งอยู่หน้าสุดเพื่อไปกินข้าวด้วยกัน ทุกเที่ยงผมต้องติดตามพี่ไปเพราะไม่มีเงินติดกระเป๋าซื้อข้าวเอง

    “วันนี้นายไปกินคนเดียวละกันนะ” พี่พูดแล้วโยนเศษเหรียญให้ผม ผมรีบคว้าเอาไว้ แม้จะเป็นเงินแค่เล็กน้อยพอซื้อข้าวปั้นราคาถูกก้อนเดียว แต่ก็ยังดีกว่ากินของเหลือจากพี่มาก คิดในใจว่าพี่ใจดีผิดปกติระหว่างที่มองพี่ลุกออกไปจากห้องด้วยท่าทีเนือยๆ

    พี่ดีกับผมมากขึ้น หรือนี่จะเป็นสัญญาณที่ดี!

     

     

     

    พอออดวิชาเรียนคาบสุดท้ายดังขึ้น ผมก็รีบยกกระเป๋าขึ้นพาดบ่า เตรียมตัวไปบ้านป้าเซนาอย่างทุกวันด้วยความกระตือรือร้น คาบสุดท้ายเป็นวิชาสังคมศาสตร์ แค่เสียงของคุณครูก็ทำผมหลับตั้งแต่ยังไม่ทันได้เปิดหนังสือเรียนด้วยซ้ำ

    ผมยัดหนังสือเรียนสังคมเก่าๆ ของตัวเองใส่กระเป๋าแล้วรีบออกจากห้องเรียน แทบจะวิ่งเลยทีเดียวถ้าไม่ติดว่ายังมีคนอื่นๆ อยู่ในห้อง ทุกคนรวมถึงพี่คงจะแปลกใจที่เด็กซึมกระทืออย่างผมจะร่าเริงสดใสขึ้นมา ผมจึงต้องรักษาท่าทีไว้

    หลังจากนั้นประมาณสิบนาที ผมก็เดินมาถึงบ้านป้าเซนา ประตูรั้วยังคงไม่ได้ล็อคอีกตามเคย ผมเข้าไปในบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ลุ้นอยู่ในใจว่าวันนี้จะได้เล่นสนุกอะไรกับป้าเซนาอีก

    ประตูบ้านปิดสนิท ป้าเซนาคงจะไม่อยู่บ้านอีกแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะป้าเซนาทิ้งกุญแจสำรองเอาไว้ให้ผมเผื่อเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นแล้ว ผมเปิดกระเป๋า ควานหาหนังสือนิยายที่สอดกุญแจเอาไว้

    ไม่มี!! หนังสือหายไปไหน!

    ผมยืนนิ่งอึ้งอยู่ชั่วนาทีก็นึกออก ผมแอบอ่านหนังสือในห้องเรียนแล้วสอดหนังสือไว้ในลิ้นชัก สงสัยจะลืมเอาไว้ คิดได้อย่างนั้นผมก็รีบวิ่งกลับไปที่โรงเรียน เวลาเย็นอย่างนี้น่าจะไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว ภารโรงก็คงยังไม่ล็อคประตูหรอก แต่ถ้ามีคนเจอหนังสือของผมเข้าล่ะ จะทำยังไง

    ผมมาถึงห้องเรียนโดยไม่ได้หยุดพัก รีบมุ่งตรงไปที่โต๊ะนักเรียนมุมในสุด หลังสุดของห้อง ไม่มีใครอยู่ในห้องจริงตามคาด หนังสือของผมยังวางอยู่อย่างสงบใต้โต๊ะ ผมถอนหายใจโล่งอก รีบหยิบมันออกมา แต่ยังไม่ทันได้เก็บใส่กระเป๋าก็ต้องหยุดชะงักเมื่ออยู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออก สัญชาตญาณทำให้ผมถอยหลบเข้ามุมมืด โชคดีที่โต๊ะของผมเป็นจุดอับแสงพอดี

    จะมีอะไรบังเอิญไปมากกว่านี้อีกไหมนะ คนที่เข้ามาในห้องเรียนดันเป็นคนที่ผมไม่อยากเจอที่สุด

    พี่ซองยูกับเพื่อนผู้ชายต่างห้องที่ผมไม่รู้จักชื่อแต่คุ้นหน้าเดินเข้ามา ผมยืนนิ่งสนิท ในใจร้อนรุ่มกระวนกระวาย จะทำยังไงดี ถ้าพี่ซองยูเห็นผมเข้าล่ะ ไหนจะยังหนังสือนี่อีก

    แต่ดูเหมือนว่าพี่ซองยูจะไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่ามีใครคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย

    “ไม่มีใครแล้วล่ะซองยู” ผู้ชายคนที่ผมไม่รู้จักพูด ยิ้มกริ่มให้พี่ซองยู ผมไม่เห็นว่าพี่ซองยูทำหน้ายังไง เพราะพี่ซองยูหันหลังให้ผม

    “นายนี่มัน” พี่ซองยูพูดอยู่แค่นั้น ก็เงียบไป พร้อมๆ กับที่ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับภาพที่เห็น

    พี่ซองยูกับผู้ชายคนนั้นโน้มใบหน้าเข้าหากันแล้วจูบกันอย่างดูดดื่ม ได้ยินเสียงพี่ซองยูครางในลำคอเบาๆ ไม่จบแค่นั้นมือของผู้ชายคนนั้นยังลูบไล้ตามเนื้อตัวลามไปถึงข้างในเสื้อนักศึกษาของพี่ซองยูด้วย

    อารามตกใจกับภาพที่ไม่สมควรเห็น หนังสือในมือของผมจึงร่วงปุลงไปกองอยู่ที่พื้น ทั้งสองคนสะดุ้งรีบผละออกจากกันแล้วหันมามองทางต้นเสียง

    ทั้งพี่ซองยูและผู้ชายคนนั้นก็ตกใจไม่ใช่น้อยที่เห็นว่าผมเป็นพยานรับรู้การกระทำอันไม่เหมาะสมของทั้งสองคน แต่พี่ซองยูได้สติเป็นคนแรก หันไปสั่งให้ผู้ชายคนนั้นออกไปก่อน แล้วหันมาจ้องหน้าผมนิ่ง

    ผมหลบตา ก้มลงไปเก็บหนังสือยัดใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วแล้วรีบจ้ำอ้าวตรงไปที่ประตู แต่พี่ซองยูคว้าแขนผมเอาไว้ บีบแน่นจนผมนิ่วหน้า

    “เมื่อกี้นายเห็นอะไรรึเปล่าซองมิน” พี่ซองยูกระซิบข้างหูผม น้ำเสียงเย็นเยียบจนผมขนลุก

    “มไม่เห็น ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” ผมตอบเสียงสั่น แล้วรีบออกไปทันทีที่พี่ซองยูปล่อยให้เป็นอิสระ

    นี่สินะสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้พี่ซองยูไม่กลับบ้านตั้งหลายคืน ไม่ใช่เรื่องรายงานที่ยกมาอ้างกับแม่หรอก เพราะรายงานที่ว่านั่นมันไม่มีอยู่จริง ผมเรียนอยู่ชั้นเดียว ห้องเดียวกับพี่ซองยู ทำไมจะไม่รู้ว่าครูสั่งงานอะไรบ้าง ผมจึงรู้อยู่แล้วว่าพี่ซองยูโกหกแม่ แต่ทำเป็นไม่รู้เรื่องซะเพราะคิดว่าพี่ซองยูคงอยากหาเรื่องออกไปนอนบ้านเพื่อนตามประสาเด็กวัยรุ่นผู้ชาย แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้

    ถ้าคนอื่นรู้ว่าดาวเด่นของโรงเรียน เด็กหนุ่มผู้สมบูรณ์แบบ เป็นที่หมายปองของสาวๆ เกือบครึ่งโรงเรียนชอบผู้ชาย และมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงขั้นนั้นจะเกิดอะไรขึ้น แล้วแม่ล่ะ ถ้าแม่รู้ว่าลูกชายสุดที่รักของตัวเองเป็นแบบนี้ แม่จะทำยังไง

    ผมไม่อยากคิดเลย

     

     

    “ซองมินจ๊ะ เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมวันนี้ดูเหม่อๆ ล่ะ” ป้าเซนาถามด้วยความเป็นห่วง

    ผมสะดุ้งน้อยๆ เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองถือตะเกียบที่คีบเนื้อย่างค้างกลางอากาศอยู่นานจนเนื้อเย็นหมดแล้ว ผมส่ายหน้า เลือกที่จะเก็บปัญหานี้เอาไว้ในใจคนเดียวเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องของพี่ที่ผมไม่ควรจะเข้าไปก้าวก่าย ปิดปากเงียบไว้จะดีกว่า

    “มีปัญหาอะไรก็บอกป้าได้นะจ๊ะ” ป้าเซนายังคงเป็นห่วงอยู่ แต่ผมก็ปฏิเสธเหมือนเดิม จนป้าเซนาคงคร้านจะถามจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ซองมินจะปิดเทอมเมื่อไหร่เหรอ”

    “อีกสองเดือนครับ” ผมตอบ

    “ไว้ปิดเทอมป้าจะพาไปเที่ยวทะเลแถวทางใต้ดีไหม”

    เพียงแค่ประโยคนี้ประโยคเดียวทำให้เรื่องของพี่หายวับไปจากใจ

    “จริงเหรอครับ!” ผมถามด้วยความตื่นเต้น

    ป้าเซนาพยักหน้า

    “ถ้าไปแล้วไม่กลับมาได้ไหมครับ” ผมถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลง แล้วมาคิดได้ทีหลังว่าไม่ควรเสียมารยาทถามออกไปแบบนั้นเลย

    ป้าเซนานิ่งไปวินาทีหนึ่งแล้วพยักหน้าพร้อมกับยิ้มบางๆ

    ผมมีความรู้สึกว่าป้าเซนาอ่านความรู้สึกของผมออก แล้วอาจจะรู้ว่าชีวิตผมต้องผ่านกับอะไรมาบ้าง

     

     

    ผมเดินกลับมาที่บ้านอย่างเคย ตามปกติทั้งพี่และแม่ยังไม่น่าจะกลับมาถึง แม่คงติดพันอยู่กับงาน ส่วนพี่นั้นคิดมาถึงตรงนี้ผมก็ยังตกใจไม่หาย

    ผมกลับมาถึงอพาร์ตเมนท์แล้ว แหงนหน้าขึ้นมองหน้าต่างห้องพักจากล่างอพาร์ตเมนท์เห็นไฟเปิดสว่าง ผมทั้งประหลาดใจทั้งหวั่นใจเพราะไม่คิดว่าจะมีใครกลับมาเร็วกว่า

    ถ้าเป็นพี่กลับมาก็ไม่น่ากลัว เพราะปกติพี่จะไม่ค่อยชอบมายุ่มย่ามกับผมเท่าใดนัก ถ้าเป็นแม่กลับมาแล้วอารมณ์ดีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอารมณ์เสียมิวายผมคงจะเป็นที่รองมือรองเท้าเหมือนเคย แต่ถ้าทั้งพี่และแม่กลับมาทั้งคู่ ผมต้องโดนหนักแน่ เพราะกลับมาช้ากว่าพี่

    ถึงจะกลัวแค่ไหน ผมก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ จำต้องเดินขึ้นไปบนห้องพักทั้งที่อยากวิ่งหนีไปใจแทบขาด

    ผมเปิดประตูห้อง ทั้งแม่และพี่อยู่พร้อมหน้า รู้แล้วว่าต้องเจอกับอะไร แต่ผมก็ไม่ค่อยหวาดหวั่นเท่าไหร่แล้วเพราะเตรียมตัวเตรียมใจมาตลอดทางตั้งแต่ชั้นล่างจนขึ้นมาถึงชั้นบน

    แม่จ้องผมจากอีกมุมหนึ่งของห้องขณะที่พี่ยืนกอดอกพิงผนัง สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์อะไรทั้งสิ้น ผมมองทั้งสองคนสลับกันไปมาด้วยความหวาดระแวง แม่กับพี่ทำท่าทางเหมือนกำลังรอผมอยู่

    ผมยืนรออยู่สักพักก็ไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น สงสัยผมคงจะคิดมากเกินไป ปลดกระเป๋าที่สะพายไว้ที่บ่า ยังไม่ทันจะได้วางลงบนพื้น แม่ก็คว้าเอาไว้โดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัว

    “แม่! เอากระเป๋าผมคืนมา!” ผมรีบเข้าไปยื้อแย่ง ใจหล่นลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม ทำไมอยู่ๆ แม่เกิดนึกอยากจะค้นกระเป๋าของผมขึ้นมา

    พี่ยังคงยืนกอดอกอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว มองผมกับแม่ที่แย่งชิงกระเป๋าสะพายใบเก่าคร่ำคร่าของผม ผมจะให้แม่ค้นกระเป๋าไม่ได้ หนังสือรวมถึงกุญแจบ้านของป้าเซนาอยู่ในนั้น ถ้าแม่เห็นล่ะก็

    “วันนี้ไม่มีประกาศผลสอบครับ” ผมบอกอย่างอับจนปัญญา เหตุผลเดียวที่แม่น่าจะค้นกระเป๋าผมคือค้นหาผลสอบที่ผมซ่อนเอาไว้ไม่ยอมเอาออกมาให้ดู

    “ไม่มีฉันก็จะดู ไม่ได้เหรอ หรือแกซ่อนอะไรเอาไว้” แม่พูด ผมชะงักนิ่ง แสดงท่าทีพิรุธชัดเจน แม่ใช้จังหวะนั้นที่ผมมัวแต่ตกใจ เปิดกระเป๋าแล้วเทข้าวของในกระเป๋า หนังสือเรียน สมุด เครื่องเขียนของผมหล่นกระจายเต็มพื้นห้อง รวมทั้งหนังสือของป้าเซนาที่มีกุญแจสอดไว้ข้างในด้วย

    “ไม่มีอะไรนี่ฮะ” ผมแกล้งพูดกลบเกลื่อนแล้วย่อตัวลงเก็บข้าวของของตัวเองใส่กระเป๋า มือของผมวางบนหนังสือของป้าเซนา กะจะใช้จังหวะที่แม่เผลอซ่อนหนังสือให้พ้นสายตา แต่ก็ไม่อาจทำได้อย่างที่ใจคิด

    “โอ๊ย!” ผมร้อง นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด แม่เหยียบมือผมเต็มเท้าแล้วบดขยี้อย่างแรงจนกระดูกแทบหัก

    “นี่หนังสืออะไร” แม่ถามเสียงเย็น

    ผมเงยหน้าขึ้นมองแม่ที่ยืนค้ำหัวและยังคงเหยียบมือผมอยู่ พูดอะไรไม่ออก ทั้งชีวิตผมไม่เคยโกหกแม่ แต่จะให้บอกความจริงก็ไม่ได้ จะคิดหาข้อแก้ตัวตอนนี้ก็คิดไม่ออกเลยสักข้อ

    “ฉันถามว่าหนังสืออะไร แกไปเอาหนังสือนี่มาจากไหน” แม่ตะคอก ผมตกใจกลัวจนตัวสั่น ทรุดฮวบลงไปนอนคว่ำกับพื้นเมื่อแม่วาดขาเตะไปที่แขนของผมที่ยันพื้นอยู่จนผมเสียการทรงตัว

    แม่นั่งลง มือกำจิกที่ผมของผม บังคับให้ผมเงยหน้าขึ้นมา มืออีกข้างก็บีบเข้าที่คอของผม จนผมหายใจแทบไม่ออก ผมน้ำตาไหลเปรอะหน้าแต่แม่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสงสารเลย

    “แกไปขโมยมาใช่ไหม” แม่เค้นเสียงถามลอดไรฟัน

    ผมพยายามจะส่ายหน้า แต่ติดที่มือของแม่ยังคงบีบอยู่ที่คอ จึงพยายามส่งสายตาปฏิเสธ

    “อย่ามาโกหกฉัน!” แม่ตวาด ออกแรงบีบคอผมมากขึ้น จนผมทั้งสะอื้นไห้ ทั้งสำลักเพราะขาดอากาศหายใจ ถ้าแม่ออกแรงเพิ่มอีกนิดผมคงขาดใจตายคามือแม่แน่ๆ “ไอ้เด็กสารเลว! ไอ้เด็กเหลือขอ! ฉันไม่เคยสั่งสอนแกให้มีสันดานแบบนี้! แกไม่น่าเกิดมาเลย ฉันน่าจะฆ่าแกให้ตายตั้งแต่แรก”

    ผมเริ่มดิ้นพล่านเพราะอากาศหายใจไม่เพียงพอ ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอขอร้องให้แม่ปล่อยแต่ก็ฟังไม่เป็นคำ เหลือบตาไปด้านข้างเห็นพี่ยังคงกอดอกหน้าตาเรียบเฉยอย่างเดิม ไม่คิดจะเข้ามาช่วยหรือยั้งแม่ไว้เลย

    แต่สุดท้ายแม่ก็ปล่อยผมให้เป็นอิสระด้วยการเหวี่ยงผมไปชนกับผนังห้อง ผมกุมคอตัวเอง งอตัวไอโขลกๆ สลับกับสะอึกสะอื้นจนหายใจแทบไม่ทัน ส่วนแม่หยิบหนังสือต้นเรื่องขึ้นมาแล้วโบกตรงหน้าผม

    “หนังสือเล่มนี้ฉันจะริบเอาไว้ แล้วถ้าแกกล้าขโมยมันล่ะก็ ฉันฆ่าแกแน่” แม่พูดเสียงเหี้ยมแล้วเดินหายเข้าไปในห้อง

    ผมกัดฟันมองตามด้วยสายตาพร่ามัวเพราะน้ำตาบดบังตา หมดกัน! ของที่มีค่าที่สุดในชีวิต ของขวัญชิ้นแรกตั้งแต่เกิดมาถูกพรากไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ผมไม่อาจทำอะไรได้เลย

    แม่รู้ได้อย่างไรว่าผมมีบางอย่างเก็บซ่อนไว้ในกระเป๋า

    ผมหันไปมองพี่ นึกถึงตอนที่ตัวเองลืมหนังสือไว้ในห้องเรียนแล้วกลับไปเอาจนเห็นภาพที่ไม่ควรเห็น ตอนนั้นผมทำหนังสือตก ถึงจะรีบเก็บใส่กระเป๋าแต่ก็ไม่พ้นสายตาพี่ที่มองอยู่

    พี่ยังคงยืนกอดอกอยู่ที่เดิม แต่ตอนนี้เงยหน้าขึ้นมองเพดาน ไม่ยินดียินร้ายกับสภาพน่าสมเพชของผม

    “ทำไม” ผมครางออกมาแผ่วเบา มองพี่ด้วยสายตาปวดร้าวทั้งน้ำตา

    พี่หันมองหน้าผมแต่ไม่ตอบ ยักไหล่ทีหนึ่ง ท่าทีไม่ใส่ใจแล้วเดินหายเข้าห้องตัวเองไปอีกคน ทิ้งผมให้นอนร้องไห้ด้วยความผิดหวังและเสียใจ

    ทั้งที่ผมคิดจะเก็บเรื่องของพี่ไว้เป็นความลับแต่พี่กลับหักหลังผม พี่น่าจะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าบอกแม่เรื่องหนังสือนี่แต่พี่ก็ยังทำ จะให้ผมแก้แค้นด้วยการแฉเรื่องของพี่บ้างงั้นเหรอ แม่ที่อยู่ข้างพี่มาตลอดก็คงมองว่าเด็กเหลือขออย่างผมสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายพี่ สุดท้ายคนที่จะลำบากก็เป็นผมอยู่ดี

    ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้จะถูกทุบตีจนเจ็บทั้งกายและใจแค่ไหนแต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะทรมานได้มากเท่าครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพราะถูกแม่แท้ๆ ทำร้ายหรือโดนพี่กลั่นแกล้ง แต่เพราะของสำคัญที่เป็นหลักฐานว่ายังมีคนที่มองเห็นคุณค่าในตัวผมอยู่บนโลกใบนี้ถูกยึดไปแล้ว

    ผมควรจะทำยังไงต่อไปดี….

     

     

    วันนี้ตลอดทั้งวันจิตใจผมไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลย เป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนวานที่หนังสือรวมถึงกุญแจบ้านของป้าเซนาที่สอดไว้ข้างในถูกแม่เอาไป เรื่องหนังสือ ตอนนี้ผมไม่คิดมากแล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากได้คืนคือกุญแจที่ซ่อนอยู่ในหนังสือต่างหาก

    เพราะอะไรผมก็ไม่อาจทราบได้ แต่กุญแจดอกนั้นเป็นของสำคัญที่ผมอยากจะพกติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะมันทำให้ผมอุ่นใจและมันเป็นเครื่องหมายแทนความไว้เนื้อเชื่อใจที่ป้าเซนามีให้ผม

    ผมรู้ดีว่าไม่ควรจะเสี่ยงแอบเข้าไปห้องแม่แล้วเอากุญแจคืนมา แต่กุญแจดอกนั้นถูกเก็บไว้ในหนังสือ ถ้าผมเอามาแต่กุญแจโดยทิ้งหนังสือไว้ในห้องแม่ก็ไม่มีทางรู้

    ผมต้องรีบกลับบ้านเพื่อทำตามแผนการนี้ก่อนที่แม่และพี่จะกลับ ผมคิดในใจระหว่างที่เหม่อมองพี่คุยอย่างออกรสกับเพื่อนกลุ่มเดียวกันเรื่องการแสดงดนตรีในงานปฐมนิเทศที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน

     

     

    ตอนเย็น ผมรีบวิ่งกลับไปที่บ้านโดยไม่ได้แวะบ้านป้าเซนาเหมือนทุกครั้งเพราะมีภารกิจสำคัญรออยู่ โชคยังดีที่ตอนนี้ทั้งแม่และพี่ยังไม่มีใครกลับมา ทางเลยสะดวกเป็นใจ

    หลังจากหันซ้ายแลขวาไม่เห็นว่ามีใครอยู่แล้วจริงๆ ผมก็แอบย่องเข้าไปในห้องแม่ ข้าวของวางระเกะระกะบ่งบอกว่าแม่ไม่ได้เก็บของมานาน คงจะเป็นเพราะงานสำคัญทำให้ไม่มีเวลา บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของแม่ด้านหนึ่งมีตั้งเอกสาร กองหนังสือและแผ่นซีดีวางซ้อนกันอย่างไม่เป็นระเบียบ พื้นที่เล็กๆ บริเวณกลางโต๊ะมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คซึ่งคงเต็มไปด้วยงานสำคัญวางไว้ ข้างๆ กันนั้นมีแก้วกาแฟใบใหญ่ แม่คงดื่มกาแฟตอนกลางคืนเพื่อไม่ให้ง่วงระหว่างทำงาน หนังสือของผมวางสงบนิ่งอยู่บนยอดกองเอกสารตั้งสูงของแม่ ไม่รอช้า ผมรีบตรงไปหยิบหนังสือแล้วเปิดไปที่หน้าที่ใช้กุญแจคั่นไว้

    กุญแจดอกนั้นยังอยู่ที่หน้าเดิม บอกให้รู้ว่าแม่ไม่รู้เลยว่าผมแอบเอากุญแจซ่อนไว้ในนี้ ผมหยิบกุญแจออกมา ยิ้มดีใจอยู่ได้แค่เสี้ยววินาทีก็ต้องเหลียวหันกลับไปมองประตูด้วยความตกใจ มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ประตู ผมหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก แม่ไม่น่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้ แต่ผมไม่มีเวลาคิดว่าทำไมแม่ถึงรีบกลับ ต้องหาทางแก้ปัญหาก่อน ถ้าแม่รู้ว่าผมแอบเข้ามาในห้องล่ะก็ เป็นเรื่องแน่

    ผมวางหนังสือไว้ที่เดิมแล้วรีบวิ่งเข้าไปซ่อนใต้เตียง พอดีกับที่ประตูเปิดออก ถ้าช้าไปกว่านี้เพียงแค่นิดเดียว ผมต้องโดนจับได้แน่ๆ

    ผิดคาด คนที่เข้ามาในห้องไม่ใช่แม่แต่กลับเป็นพี่ซองยู!

    แม่ไม่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายในห้องส่วนตัวแม้แต่ลูกรักอย่างพี่ซองยู มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ซองยูเคยเข้ามาเอาโน้ตบุ๊คแล้วโดนแม่ดุ หลังจากนั้นพี่ซองยูจึงไม่เคยเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตอีก ผมจึงแปลกใจที่เห็นพี่ซองยูเข้ามาในห้องนี้ จะว่าแม่อนุญาตให้เข้ามาได้ก็คงไม่ใช่ เพราะผมยังจำได้ว่าช่วงนี้แม่ไม่ให้พี่ซองยูเข้ามายุ่งในห้องเพราะมีเอกสารสำคัญอยู่ รวมถึงไม่ให้ยืมโน้ตบุ๊คเพราะในนั้นมีงาน

    แล้วพี่ซองยูเข้ามาในห้องนี้ทำไม

    ด้วยความสงสัย ผมจึงแอบส่องดูจากใต้เตียง เห็นพี่ซองยูเดินไปที่โต๊ะทำงาน ไล่นิ้วเรียงอ่านตรงสันกล่องซีดีที่วางอยู่ใต้กองเอกสาร พี่ซองยูคงเข้ามาหาซีดีเพลงที่เคยจะขอยืมแม่ แต่แม่ไม่มีเวลาหาให้ เพราะเวลาที่งวดกระชั้นเข้ามาทุกที อีกไม่นานก็จะถึงวันแสดงดนตรีแล้ว พี่ซองยูทนรอไม่ไหว เลยเข้ามาหาด้วยตัวเองเลย

    พี่ซองยูนิ่งไปแล้วยิ้มออกมาด้วยความพอใจ คงจะหาซีดีที่ว่านั่นเจอแล้ว แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะพี่ซองยูดึงซีดีกล่องหนึ่งออกมาจากกอง แต่ด้วยความรีบและไม่ทันได้ระวัง ตั้งเอกสารและกล่องซีดีที่อยู่ข้างบนจึงเอนล้มลงไปด้านข้าง

    มันคงไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่ถ้ากองเอกสารและกล่องซีดีไม่ล้มไปโดนแก้วกาแฟที่ยังมีกาแฟเหลือค้างอยู่ ผลก็คือกาแฟหกรดกระจายเต็มโน้ตบุ๊คที่วางอยู่ข้างๆ กัน

    พี่ตกใจมาก ยืนทำอะไรไม่ถูก ผมเองก็ตกใจเช่นกันเพราะทั้งผมและพี่รู้ดีว่าโน้ตบุ๊คโดนน้ำราดเข้าไปขนาดนั้น คงพังอย่างไม่ต้องสงสัย

    ลำพังแค่โน้ตบุ๊คเสียก็ซ่อมได้อยู่แล้ว แต่ข้อมูลงานสำคัญที่แม่อุตส่าห์กลับบ้านดึกดื่น อดตาหลับขับตานอนทำคงจะหายวับไปกับตาไม่อาจกู้คืนได้ ผมรู้ดีว่างานนี้สำคัญกับแม่มากแค่ไหน และพี่เองก็คงจะรู้เพราะนอกจากเงินเดือนที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังได้เลื่อนขั้นเป็นตำแหน่งที่สูงขึ้น  ทำให้ได้รับความเคารพนับถือจากเพื่อนร่วมงานและได้รับความไว้วางใจจากเจ้านาย แม่จะได้หลุดพ้นจากความทรมานจากการโดนกดขี่ข่มเหงเสียที แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่แม่คิดแล้ว

    แม่จะทำอย่างไรหนอ ถ้ารู้ว่าลูกชายสุดที่รักทำลายความฝันนั้นจนย่อยยับไม่มีชิ้นดีแล้ว

    พี่หันซ้ายหันขวาอย่างทำอะไรไม่ถูกก่อนจะก้มลงไปหยิบหนังสือของผมที่ตกอยู่ที่พื้นตอนกองข้าวของล้ม มองอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็เห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าพี่ ทำไมพี่ถึงยิ้มออกทั้งที่ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้นะ

    หลังจากนั้นผมจึงเข้าใจ พี่ออกจากห้องไปโดยทิ้งสภาพโน้ตบุ๊คเปื้อนน้ำกาแฟและกองของที่ตกเรี่ยราดพื้นไว้โดยไม่จัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างไปจากเดิมคือไม่มีหนังสือนิยายของน้องชายฝาแฝดที่ควรจะตกอยู่ที่พื้นเหมือนข้าวของชิ้นอื่นๆ พี่หยิบหนังสือเล่มนั้นติดมือออกไปด้วย

    ผมนอนตัวแข็งทื่ออยู่ใต้เตียง ตาเบิกโพลงมองดูไม้กระดานเตียง ใจเต้นระรัวบ้าคลั่ง ผมรู้ว่าพี่คิดจะทำอะไร

    ถ้าแม่กลับมาที่ห้อง เห็นสภาพยับเยินที่โต๊ะทำงาน โน้ตบุ๊คที่มีงานสำคัญโดนกาแฟหกราด หนังสือของลูกชายคนเล็กที่ตัวเองริบมาหายไป คุณคิดว่าแม่จะเข้าใจว่าใครเป็นคนทำ

    ผมเริ่มตัวสั่น แววตาไหวระริกด้วยความหวาดกลัว คราวนี้ผมตายแน่ๆ ผมต้องโดนแม่ฆ่าตายแน่ๆ!



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×