ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]The Sixth Senseสัมผัสรัก สื่อวิญญาณKyuMin,KiHae,YeRyeo

    ลำดับตอนที่ #26 : [SF] Twin-4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 771
      1
      14 ก.ค. 55



     4

     

    หลังเลิกเรียนผมกลับไปที่บ้านของป้าเซนาอีกครั้งด้วยความหวังล้นเอ่อเต็มหัวใจ ป้าเซนาจะยังต้อนรับผมเป็นอย่างดีเหมือนกับเมื่อวานหรือเปล่านะ

    พอไปถึงหน้าประตูรั้วไม้ทึบที่คุ้นเคยผมก็กดออด สักพักป้าเซนามาเปิดประตู รอยยิ้มใจดีที่ผมเห็นเมื่อวานยังคงแต้มอยู่บนใบหน้า

    “เข้ามาสิจ๊ะ ป้ากำลังรออยู่เลย หวั่นใจอยู่เหมือนกัน นึกว่าซองมินจะไม่มาซะแล้ว” ป้าเซนาพูดแล้วจับมือจูงผมเข้าไปในบ้าน ผมสะดุ้งเฮือกเพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครแตะเนื้อต้องตัวผมอย่างสนิทสนมโดยไม่แสดงท่าทีรังเกียจมาก่อน

    ป้าเซนาพาผมมานั่งที่ห้องรับแขกห้องเดิมกับเมื่อวาน บอกให้ผมรอก่อนแล้วป้าก็เดินหายไปทางหลังบ้าน เจ้าฮยาคุเดินมาคลอเคลียแล้วนั่งตักผมอย่างเคย พอได้เข้ามาที่บ้านหลังนี้จิตใจผมรู้สึกสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

    ป้าเซนากลับมาพร้อมกับแก้วใส่นมช็อกโกแลตและพุดดิ้งก้อนโตน่ากิน ผมมองตามตาโต ป้าเซนาพยักหน้าให้เป็นเชิงบอกว่ากินได้ตามสบายไม่ต้องเกรงใจ ผมจึงก้มหัวขอบคุณแล้วลงมือกิน พยายามไม่ให้มูมมามจนเลอะเทอะแบบเมื่อวาน

    “ซองมินคงจะชอบทานของหวานสินะจ๊ะ” ป้าเซนาถามขณะมองผมจัดการขนมและนม

    ผมพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ไม่ใช่แค่ของหวานหรอก ผมกินได้ทุกอย่าง คนที่ทั้งชีวิตกินแต่เศษอาหารเหลือๆ ไม่ว่าอะไรผมก็กินได้ทั้งนั้น

    “ตอนแรกป้าก็คิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไรมาดี กลัวว่าซองมินจะไม่ชอบกิน หลานชายป้าเขาชอบกินพุดดิ้งก็เลยลองซื้อมา เห็นซองมินกินอย่างอร่อยแบบนี้ป้าก็วางใจ”

    ผมเงยหน้าขึ้นมองป้าเซนา ดวงตาของป้าเอ่อด้วยน้ำตาอีกแล้ว ผมพูดอะไรไม่ออกอีกตามเคย ได้แต่ก้มหัวขอบคุณอีกครั้ง ความซาบซึ้งใจจุกล้นอยู่ในลำคอ ป้าเซนาถึงกับไปเลือกซื้อขนมมาเพื่อรอต้อนรับผม แม้จะเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แต่มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินสำหรับคนไม่มีค่าอย่างผม

    “ซองมินชอบกินอะไรล่ะจ๊ะ ไว้คราวหน้าป้าจะได้ซื้อมาให้ถูกปาก” ป้าเซนาถาม

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมรีบตอบอย่างเกรงใจ ผมจะไปมีสิทธิสั่งให้ป้าเซนาทำอะไรตามใจผมได้อย่างไร แค่คิดก็รังเกียจตัวเองแล้ว

    “ไม่เป็นไรหรอกจ่ะ ซองมินเป็นหลานป้า ป้าก็ต้องดูแลซองมินให้ดี” ป้าเซนาพูดแล้วก็ยิ้มให้ผม ผมก้มหลบตาด้วยความเก้อกระดาก รู้สึกไม่ชินเวลามีคนมาทำดีด้วย

    “ผมไม่ทราบครับ” เมื่อคิดอะไรไม่ออกก็ตอบแบบนี้เสมอ มันเป็นนิสัยของผมไปแล้ว

    “เอาเถอะจ่ะ แล้ววันพรุ่งนี้ซองมินจะมาอีกหรือเปล่า” ป้าเซนาถาม

    “ถ้าคุณป้าไม่อยากให้ผมมา

    “เปล่าหรอกจ่ะ ป้าอยากให้ซองมินมาหาป้าทุกวันเลย”

     

     

    วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมกลับบ้านอย่างมีความสุข นอกจากจะสุขกายแล้วยังอิ่มท้องด้วยเพราะป้าเซนาทั้งเลี้ยงขนมและอาหารเย็น ป้าเซนาบอกว่าเพราะไม่ได้เตรียมซื้อของทำอาหารเย็นเลยมีแค่คิมบับที่มีติดตู้ แต่สำหรับผมนั่นถือเป็นอาหารชั้นยอดแล้ว วันพรุ่งนี้ป้าเซนาบอกว่าจะเตรียมทั้งขนมและอาหารเย็นให้ แค่คิดผมก็ยิ้มจนแก้มปริแล้ว

    คุณอาจจะมองว่าผมเห็นแก่กินหรือเปล่า หวังจะกินของอร่อยๆ ถึงได้ไปที่บ้านป้าเขาทุกวัน เปล่าเลย ผมโหยหาบางอย่างที่มากกว่าของกิน บางอย่างที่ผมไม่เคยได้รับจากใครแม้แต่คนในครอบครัว สิ่งนั้นทำให้ผมรู้สึกมีค่า รู้สึกว่าตัวเองก็เป็นมนุษย์ที่เลือดเนื้อ มีความรู้สึกเหมือนคนอื่น

    ก่อนจะกลับป้าเซนาถามผมเรื่องรอยช้ำตามตัว ป้าเซนาบอกว่าสงสัยมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ไม่กล้าถาม ผมตอบว่าผมซุ่มซ่ามหกล้มจนได้แผลเหมือนกับที่ตอบคนอื่นๆ แต่ในใจกลับร้อนรุ่มเพราะความรู้สึกผิดทั้งที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเวลาโกหก อาจจะเพราะคำถามนี้ถ้าออกมาจากปากของคนอื่นเป็นเพราะความสงสัยหรือไม่ก็ถามไปตามมารยาท แต่กับป้าเซนา ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยทางสายตาและน้ำเสียงที่สื่อออกมาอย่างชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่กล้าบอกความจริงอยู่ดี

    ผมกลับมาถึงอพาร์ตเมนท์ หวังว่าวันนี้คงไม่มีเรื่องอะไรให้เจ็บตัวอีก แหงนหน้ามองจากข้างล่างเห็นว่าไฟระเบียงปิดมืด ทั้งแม่และพี่ชายยังไม่กลับ ผมจึงขึ้นไปบนห้องอย่างสบายใจเพราะอย่างน้อยก็พอจะช่วยยืดเวลาแห่งความทรมานไปได้บ้าง

    แม่กลับมาถึงบ้านหลังจากผมมาถึงได้สามชั่วโมง พี่ยังไม่กลับ คงไปนอนค้างบ้านเพื่อนเพราะเรื่องรายงานเหมือนเมื่อวาน แม่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยอิดโรย จึงไม่ได้สนใจผมที่นอนอยู่มุมห้อง งานสำคัญที่แม่พูดถึงเมื่อเช้ากับพี่คงจะดูดพลังแม่ไปโข พอกลับมาถึงก็ตรงเข้าห้องนอนทันที วันนี้ที่บ้านจึงไม่มีข้าวเย็นให้ผมกินแต่ผมไม่เดือดร้อนเพราะอิ่มแปล้มาจากบ้านป้าเซนาแล้ว

    วันนี้โชคดีจังที่มีแต่เรื่องดีๆ มีทั้งป้าเซนาที่รักและเอ็นดูผม ได้กินอิ่มนอนหลับสบาย และที่สำคัญไม่โดนแม่ตีด้วย

     

     

    หลังเลิกเรียนผมจะแวะไปหาป้าเซนาที่บ้านทุกวัน แรกๆ ก็กังวลว่าป้าจะรำคาญผมหรือเปล่า แต่ป้าก็ให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี ซ้ำยังเตรียมอาหารอร่อยๆ ไว้รอท่าไม่เคยขาด หลังๆ ป้าเซนาบอกให้ผมเปิดประตูรั้วเข้ามาข้างในได้เลย เพราะป้าเซนาไม่เคยล็อคประตูรั้ว ผมจึงเข้าไปในบ้านป้าเซนาโดยไม่ได้กดออดเรียกเหมือนวันแรกๆ

    แต่วันนี้แปลกกว่าทุกวัน ประตูบ้านลงกลอนล็อคเอาไว้ แม้แต่ประตูบานเลื่อนที่ติดกับสวนก็ปิดสนิททั้งที่ปกติป้าเซนาจะเปิดไว้เพื่อรับลม ผมลองเลื่อนดูก็พบว่าล็อคไว้เช่นกัน ป้าเซนาคงไม่อยู่บ้าน ผมจึงนั่งรอที่เก้าอี้หินอ่อนที่อยู่ในสวน มองเจ้าฮยาคุที่นอนขดตัวหลับอุตุตากแดดอ่อนๆ

    ผมไม่มีอะไรทำจึงหยิบรูปประกาศตามหาตัวเจ้าฮยาคุที่เป็นสื่อชักนำให้ผมกับป้าเซนาได้พบกัน นับตั้งแต่วันนั้นผมก็พกกระดาษแผ่นนี้ไว้ติดกระเป๋าตลอด

    ผมเทียบรูปแมวที่ถูกวาดด้วยหมึกสีดำกับเจ้าแมวตัวจริงแล้วยิ้มออกมา พอได้สังเกตพินิจพิเคราะห์ดูดีๆ แล้ว ผมมองว่ารูปการ์ตูนนี่เหมือนแมวตัวเป็นๆ ไปได้อย่างไรนะ บางทีอาจจะสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของเจ้าฮยาคุที่ป้าเซนาถ่ายทอดลงไปในรูปก็ได้ถึงทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น

    นั่งรออยู่สักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตูรั้ว ก่อนที่ร่างอวบที่คุ้นเคยจะเข้ามา ป้าเซนาหิ้วถุงข้าวของพะรุงพะรัง ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยถือของ

    “ขอโทษจริงๆ นะจ๊ะซองมินที่ป้าปล่อยให้คอยนาน พอดีเจอคนรู้จักก็เลยคุยกันยาวไปหน่อย เดี๋ยวป้าไปเปิดประตูก่อนนะจ๊ะ” ป้าเซนาพูดแล้วเดินไวๆ ไปที่ประตูบ้าน ไขกุญแจดอกใหญ่ที่ดูโบราณเหมือนลักษณะบ้าน แล้วจึงเปิดประตูให้ผมเข้าไป

    ผมเดินตามป้าเซนาเข้าไปในห้องครัวแล้ววางถุงข้าวของลงบนโต๊ะ หลังๆ มานี้ผมเดินเข้านอกออกในบ้านป้าเซนาได้ทุกห้อง เว้นก็แต่ห้องนอนของป้าเซนาและหลานชายที่ผมไม่กล้าเข้าไปเพราะอยากรักษาความเป็นส่วนตัวของป้า

    “วันพรุ่งนี้เป็นวันอะไร ซองมินรู้หรือเปล่าจ๊ะ” ป้าเซนาถาม ขณะที่แกะถุงของที่ซื้อมา

    “วันอังคารครับ” ผมตอบพาซื่อ เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากป้าเซนา

    “วันซอลลัลจ่ะ” ป้าเซนาตอบยิ้มๆ

    จริงสิ ผมลืมไปเสียสนิท วันพรุ่งนี้เป็นวันซอลลัล วันตรุษของเกาหลี ที่โรงเรียนก็หยุดเรียนเพื่อเฉลิมฉลองกัน แต่ผมไม่ได้สนใจเพราะไม่ว่าจะวันไหนๆ สำหรับผมก็ไม่แตกต่างกัน แม่ก็คงจะฉลองกับพี่สองคน ทิ้งผมให้นอนมองเหมือนเดิม

    “ป้าเตรียมซื้อของมาเยอะแยะเลยจะได้เตรียมฉลอง ว่าแต่พรุ่งนี้โรงเรียนหยุดใช่ไหมจ๊ะ ถ้าฉลองกับครอบครัวเสร็จแวะมาหาป้าหน่อยสิ ซื้อของมาเยอะคงกินคนเดียวไม่หมดแน่ๆ”

    “ผมมาตั้งแต่เช้าเลยก็ได้ครับ” ผมตอบอย่างกระตือรือร้น แค่คิดว่าจะได้อยู่ฉลองวันปีใหม่กับป้าเซนาทั้งวันก็มีความสุขแล้ว

    “เอาอย่างนั้นเหรอจ๊ะ แต่ที่บ้านจะไม่ว่าเอาเหรอ วันของครอบครัวแท้ๆ แต่ลูกชายกลับไม่อยู่บ้าน” ป้าเซนามีท่าทีกังวล

    “ไม่ว่าหรอกครับ” ผมตอบ นิ่งไปสักพักแล้วจึงเอ่ยปากถาม “ผมมาได้ไหมครับ”

    “ได้สิจ๊ะ อยู่กับป้าทั้งวันเลยยิ่งดี” ป้าเซนายิ้ม

    “คุณป้าซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยครับ” ผมชวนคุย พักหลังๆ นี้ผมเริ่มพูดมากขึ้น จากปกติที่เอาแต่เก็บตัวไม่ค่อยกล้าสุงสิงกับใคร

    “ซื้อของกินมาตุนเอาไว้ฉลองพรุ่งนี้ไงจ๊ะ วันพรุ่งนี้ร้านคงปิดกันหมด เลยต้องรีบซื้อของไว้ก่อน” ป้าเซนาตอบ จัดของเข้าตู้เย็นไปด้วยโดยมีผมเป็นลูกมือช่วย

    “ซื้อมาเยอะอย่างนี้จะกินหมดเหรอครับ” ผมถาม

    “ป้าจะขุนซองมินต่างหากล่ะ พรุ่งนี้ต้องกินให้หมดนะ ถ้าไม่หมดป้าจะโกรธจริงๆ ด้วย” ป้าเซนาพูดแล้วทำหน้างอนแบบเด็กสาวๆ ทำเอาผมหัวเราะคิกคักชอบใจ

    อ่า….แค่คิดถึงวันพรุ่งนี้ก็ตื่นเต้นแล้ว

     

     

     

    วันต่อมาผมตื่นแต่เช้าเตรียมตัวไปบ้านป้าเซนา ใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นเพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จะได้ร่วมงานเลี้ยงฉลอง ได้กินอาหารดีๆ เต็มอิ่ม

    แม่กับพี่ก็ตื่นแล้ว สองคนแม่ลูกนั่งทานอาหารที่โต๊ะอาหาร ฉลองกันอยู่สองคนตามที่ผมคิดไว้โดยไม่ได้หันมามองผมเลย พี่ใส่ชุดฮันบกตัวใหม่ที่แม่ซื้อมาเมื่อวาน แม่ชมพี่ไม่ขาดปากว่าดูดีเหมาะสมกับพี่มาก ส่วนผมก้มมองชุดเก่าๆ ซอมซ่อของตัวเองแล้วถอนใจ

    “จะไปไหนน่ะซองมิน” พี่ถามเมื่อเห็นผมลุกขึ้นมาหยิบกระเป๋า ทำท่าจะออกจากห้อง

    “ปล่อยมันไป” แม่พูดแค่นั้นโดยไม่หันหน้ามามองผม ผมจึงรีบเผ่นแผล็วออกจากห้องก่อนที่แม่จะเปลี่ยนใจมาสงสัยและคาดคั้นว่าผมจะไปไหนแต่เช้าโดยที่ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย

    ผมรีบวิ่งมาที่บ้านป้าเซนา พอก้าวเข้ามาในเขตบ้านก็ได้กลิ่นหอมฉุยลอยเตะจมูกจนน้ำลายสอ ผมตรงเข้าไปในครัวเห็นอาหารหน้าตาน่าทานวางอยู่เต็มโต๊ะ ส่วนป้าเซนากำลังต้มแกงอยู่หน้าเตาแก๊สแต่พอได้ยินเสียงฝีเท้าของผมก็หันมายิ้มให้

    “อรุณสวัสดิ์จ่ะซองมิน มาเช้าจัง ป้ายังทำอาหารไม่เสร็จเลย”

    “ไม่เป็นไรครับ ให้ผมช่วยทำนะครับ” ผมยิ้มแล้วเดินไปล้างมืออย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะช่วยเป็นลูกมือคอยส่งข้าวของอุปกรณ์ให้ป้า

    หลังจากนั้นไม่นานอาหารทุกอย่างก็พร้อมเต็มโต๊ะ ผมกับป้าเซนานั่งกินอาหารด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย ถ้าพี่ซองยูมาเห็นต้องอิจฉาแน่ๆ เพราะอาหารของป้าเซนานั้นมากกว่าที่บ้านซ้ำยังอร่อยเหาะจนผมกินไม่หยุด

    “กินเกี๊ยวสิจ๊ะซองมิน พระเอกของวันนี้เลยนะ” ป้าเซนาพูดแล้วเลื่อนจานเกี๊ยวมาให้ผม
                “ทำไมเหรอครับ” ผมถาม

    “เลือกกินซักชิ้นก่อนสิจ๊ะ” ป้าเซนาตอบกำกวม ผมจึงคีบเกี๊ยวเข้าปาก แล้วก็หยุดชะงัก เมื่อรู้สึกได้ถึงวัตถุแปลกปลอม

    “เอ๊ะ! พุทรานี่นา เข้าไปอยู่ในนี้ได้ยังไง” ผมพูดหลังจากที่คายพุทราออกมา

     “โชคดีจังเลยนะจ๊ะซองมิน ทั้งจานเนี่ยป้าใส่พุทราไว้แค่ลูกเดียว แต่ซองมินกินชิ้นแรกก็เจอแล้ว”

    “ทำไมต้องใส่เอาไว้เหรอครับ” ผมถาม

    “คนเกาหลีอย่างเราๆ มีความเชื่อว่าถ้าใส่เหรียญไว้ในเกี๊ยว แล้วใครที่ได้เกี๊ยวที่มีเหรียญอยู่ ปีนั้นจะโชคดี แต่เพราะเหรียญสกปรก ก็เลยเปลี่ยนมาใส่พุทราแทน ซองมินได้เกี๊ยวที่มีพุทราตั้งแต่คำแรกแบบนี้ สงสัยปีนี้จะต้องโชคดีมากแน่ๆ เลย”

    ผมยิ้ม คิดในใจว่าตัวเองโชคดีตั้งแต่ได้พบกับป้าเซนาแล้ว

     

     

    หลังจากกินเสร็จ ผมกับป้าเซนาก็ช่วยกันยกจานชามไปไว้ที่อ่างล้างจาน ทั้งที่เมื่อวานบ่นว่าซื้อของมาเยอะคงกินไม่หมด แต่สุดท้ายกลับเกลี้ยงไม่เหลือเลยสักอย่าง

    “เอาทิ้งไว้อย่างนั้นก็ได้จ่ะ” ป้าเซนาพูดเมื่อเห็นผมทำท่าว่าจะล้าง

    “ไม่ได้หรอกครับ ผมมารบกวนบ้านคุณป้าแล้วจะให้คุณป้าล้างจานได้ยังไง” ผมตอบ

    “งั้นช่วยกันล้างดีกว่า จะได้เสร็จไวๆ” ป้าเซนาพูดแล้วช่วยผมล้างจาน

    “อาหารวันนี้อร่อยมากเลยครับ ขอบคุณนะครับคุณป้า” ผมพูดไปล้างจานไปด้วย

    “ป้าต่างหากที่ต้องขอบคุณซองมินที่อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนป้า ที่บ้านเขาจะไม่โกรธเอาใช่ไหม” ป้าเซนายังไม่วายถามด้วยความเป็นห่วง

    “ไม่หรอกครับ แม่ของผมใจดี” ผมตอบ ก้มหน้าก้มตาล้างจาน

    “ซองมินอยู่กับแม่แค่สองคนเหรอจ๊ะ” ป้าเซนายังคุยเรื่องครอบครัวต่อ

    ผมนิ่งไปสักพักจึงพูด “เปล่าหรอกครับ ผมมีพี่ชายอีกคน”

    “ดีจังเลยนะ มีพี่น้องจะได้ไม่เหงา ซองมินกับพี่อายุห่างกันมากหรือเปล่า” ป้าเซนาชวนคุยเรื่องครอบครัวต่อ แม้จะไม่อยากตอบแต่ผมก็เสียมารยาทเปลี่ยนเรื่องไม่ได้

    “เขาเป็นพี่ชายฝาแฝดครับ” ผมตอบ มือที่ถูฟองน้ำกับจานเริ่มช้าลง

    “จริงเหรอ แฝดเหมือนหรือเปล่าจ๊ะ” ป้าเซนายังถามต่ออย่างอารมณ์ดี

    “ไม่เหมือนหรอกครับ ไม่เหมือนกันเลย”

    ป้าเซนาหยุดมือจากการล้างจานหันมามองหน้าผม คงเพราะน้ำเสียงของผมเปลี่ยนไป ผมเห็นแววตาเป็นห่วงเป็นใยของป้าก็รีบส่งยิ้มแกนๆ ให้

    “พี่ชายของซองมินเขาเป็นยังไงเหรอ” ป้าเซนาถาม

    “เขา” ผมพูดได้แค่นั้นก็หยุดไป หยุดมือจากการล้างจานด้วย ในหัวมีคำตอบลอยอยู่แล้ว เขาเป็นคนสมบูรณ์แบบ ดีพร้อมไปหมดทุกอย่าง มีแต่คนรัก มีแต่คนชื่นชม ไม่เหมือนกับผมเลยสักนิดเดียว ใจจริงผมอยากจะตอบไปแบบนี้ แต่คำตอบของผมกลับกลายเป็นอีกอย่าง “เขาเป็นคนอ่อนแอ แล้วก็น่าสงสารมากเลยครับ”

    ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่พี่ชายของผม แต่เป็นผมต่างหาก

    ป้าเซนาไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแต่ยิ้มจางๆ แล้วก็ล้างจานต่อไป ป้าเซนาจะรู้หรือเปล่านะว่าผมโกหก

    “ซองมินคนเราถ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงก็ย่อมทำได้ บอกพี่ชายของเธอนะจ๊ะ สักวันหนึ่งเขาจะต้องเข้มแข็งแน่ๆ” ป้าเซนาพูดแล้วเดินออกไป ทิ้งผมให้ล้างจานใบสุดท้ายพร้อมกับคำพูดของป้าที่ยังดังวนอยู่ในหัว

    คนเราถ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงก็ย่อมทำได้

    แต่ผมจะทำได้หรือเปล่า จะเข้มแข็งได้อย่างที่ป้าเซนาพูดจริงๆ น่ะหรือ

     

     

    หลังจากล้างจานเสร็จผมก็เดินมาที่ห้องรับแขก ปกติผมกับป้าเซนาจะนั่งคุยหรือไม่ก็ดูทีวีกันที่นี่ แต่ป้าเซนาไม่อยู่ ผมเดินตามหาจนทั่วชั้นล่างก็ไม่เจอจึงขึ้นไปดูชั้นบน ผมยังไม่เคยขึ้นมาถึงที่นี่เลย

    ข้างบนนี้มีเพียงสองห้อง ถ้าเดาไม่ผิดห้องหนึ่งน่าจะเป็นของป้าเซนา อีกห้องคงจะเป็นของหลานชายที่เสียไปแล้ว ผมไม่กล้าเปิดเข้าไปโดยพลการจึงตะโกนเรียกหาป้าเซนา

    “ซองมิน เข้ามาหาป้าในห้องสิจ๊ะ” เสียงของป้าเซนาดังมาจากห้องซ้ายมือ ผมลังเลชั่วครู่แต่สุดท้ายก็เปิดประตูเข้าไปเพราะป้าเซนากำลังรอผมอยู่

    ป้าเซนากำลังนั่งอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า มีชุดเสื้อผ้าวางอยู่บนตัก พอผมเข้าไป ป้าก็หันมาหาผม ตาของป้าบวมแดงเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา

    ผมหันมองรอบห้องขณะที่เดินข้าไปหาป้าเซนา ห้องนี้เป็นห้องเล็กๆ มีข้าวของแค่ไม่กี่ชิ้น การจัดตกแต่งเรียบง่าย มุมหนึ่งของห้องมีชั้นวางหนังสือ ผมเห็นผ่านๆ ตาน่าจะเป็นหนังสือการ์ตูน เตียงเดี่ยวหลังเล็กดูแข็งกระด้างเย็นชืด ผ้าคลุมเตียงเรียบตึงราวกับไม่มีใครใช้งานมานาน ห้องนี้เป็นห้องของหลานชายผู้ล่วงลับของป้าเซนานั่นเอง

    “คุณป้าครับ” ผมเรียกแผ่วเบาเมื่อเดินไปถึงตัวป้าเซนา ป้าเซนากำลังมองชุดเสื้อผ้าบนตักด้วยสายตาอาวรณ์ เมื่อเห็นใกล้ๆ จึงรู้ว่าเป็นชุดฮันบกสีสันสดใส คงจะเป็นของหลานชายคุณป้า

    “วันนี้เป็นวันปีใหม่ ป้าเห็นซองมินไม่ได้ใส่ชุดฮันบกก็เลยขึ้นมาหาดู” ป้าเซนาตอบ ยังไม่ละสายตาจากชุดนั้น

    ตามธรรมเนียมเกาหลี วันซอลลัลซึ่งถือว่าเป็นวันปีใหม่เกาหลี ผู้คนจะสวมใส่เสื้อผ้าใหม่หรือไม่ก็ชุดฮันบก ป้าเซนาเห็นผมใส่เสื้อผ้าหมองๆ เก่าๆ ก็คงจะขัดตา

    “ลองใส่ดูสิจ๊ะ น่าจะใส่ได้นะ” ป้าเซนาพูด ยื่นชุดให้ผมที่มองด้วยความลำบากใจเพราะเป็นชุดของหลานป้าเซนา

    “แต่

    “ใส่เถอะนะจ๊ะ เดี๋ยวป้าจะออกไปรอข้างนอกนะ” ป้าเซนาวางชุดไว้แล้วออกไปนอกห้องจริงๆ ผมมองชุดฮันบกนั้นอย่างชั่งใจ แต่ก็มีทางเลือกนอกจากยอมสวมชุดของหลานชายป้า

    หลังจากจัดการตัวเองเสร็จ ผมก็ออกไปนอกห้อง ป้าเซนาไม่ได้อยู่หน้าห้องอย่างที่คิดไว้ ผมเลยเดินลงไปข้างล่าง เห็นป้าเซนานั่งในห้องรับแขก พอเห็นผมในชุดฮันบกของหลานชาย ป้าเซนานิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วจึงโผเข้ากอดผม

    ผมยืนแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก รับรู้ได้ถึงแรงสะอื้นของป้า ไหล่เปียกชื้นด้วยหยาดน้ำตา ผมควรจะลูบหลังกอดปลอบคุณป้า แต่กลับรู้สึกเหมือนแขนทั้งสองข้างหนักอึ้ง

    “ซองจินอ่า….!” ป้าเซนาร้องออกมา กอดผมเอาไว้อย่างนั้น แม้จะถูกเรียกด้วยชื่ออื่นที่ไม่ใช่ชื่อของตัวเองแต่ผมก็ไม่ต่อต้านขัดขืน ป้าคงจะรักและคิดถึงหลานชายที่ตายไปแล้วมาก

    ผ่านไปสักพัก แรงสั่นของร่างป้าเซนาเริ่มหยุดลง ป้าเซนาผละออกจากตัวผมแล้วเช็ดน้ำตาที่ไหลเต็มหน้า ดูเหมือนจะเริ่มได้สติแล้ว

    “ขอโทษนะจ๊ะ ป้าเผลอทำอะไรน่าอายไปซะแล้ว” ป้าเซนาหันไปอีกทาง มือยังคงปาดเช็ดน้ำตาอยู่ “เห็นซองมินแล้วป้าคิดถึงหลานชาย บังเอิญจังเลยนะ ซองมินน่ะคล้ายหลานของป้ามาก แม้แต่ชื่อก็ยังคล้าย ตอนที่เจอครั้งแรกป้าเลยถูกชะตา” ป้าเซนาพูด

    ผมพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

    “ชุดนี้ ป้าซื้อให้เขาตอนปลายปี เตรียมให้เขาใส่ในวันปีใหม่ แต่เขาก็จากป้าไปก่อน พอเห็นซองมินใส่ ป้าก็เลยยิ่งคิดถึงเขา ขอโทษจริงๆ นะจ๊ะซองมิน”

    “ไม่เป็นไรครับ” ผมรีบตอบ ป้าเซนาจึงยิ้มออก

    ป้าเซนามองหน้าผมแล้วก็ลูบหัวแผ่วเบา ยกยิ้มเอ็นดู “ซองมินใส่ชุดนี้แล้วดูดีมากเลยนะ แต่ยังมีอะไรบางอย่างที่ไม่เข้าชุด” ป้าเซนาพูด

    ผมทำหน้างง ป้าเซนาเดินออกห่างแล้วพยักหน้าเรียกให้ผมตามมา

    ป้าเซนาพาผมกลับขึ้นไปชั้นบนของบ้านอีกครั้ง เดินนำไปยังอีกห้องที่ผมยังไม่ได้เข้าไป รู้โดยทันทีว่าเป็นห้องของป้าเซนาเอง ผมจึงลังเลที่จะเข้าเพราะความเกรงใจ แต่ป้าเซนาส่งสายตายืนยันให้เข้ามาให้ได้ ผมจึงไม่ขัด

    ผมถูกป้าเซนาดึงตัวให้นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองเข้าไปในกระจกเห็นเงาสะท้อนเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาหม่นหมอง ผมกระเซอะกระเซิง สวมแว่นตากรอบหนา ไม่เข้ากับชุดฮันบกสีสันสดใสจริงอย่างที่ป้าเซนาว่า

    ป้าเซนาหยิบหวีที่วางบนโต๊ะขึ้นมาแปรงผมให้ผมอย่างนุ่มนวล ผมมองเงาตัวเองในกระจกไม่วางตา เด็กผู้ชายคนนั้นเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย

    “ซองมิน ที่จริงเธอเป็นคนหน้าตาน่ารักนะ เวลาเธอยิ้มสดใสน่ะ ไม่ว่าใครเห็นก็อยากจะยิ้มตาม” ป้าเซนาพูด แปรงหวีไปตามเส้นผมของผม

    อันที่จริงผมเองก็เคยได้ยินคำพูดทำนองนี้จากเพื่อนที่โรงเรียน แต่เขาพูดถึงพี่ซองยู ไม่ใช่ผม

    ป้าเซนาหวีผมให้ผมจนเสร็จก็วางแปรงลงแล้วถอดแว่นตาที่ผมสวมอยู่ออก เครื่องหน้าของเด็กหนุ่มในกระจกที่ผมเห็นจึงปรากฏชัดเจน ไม่มีอะไรมาบดบัง

    “มองเห็นหรือเปล่าจ๊ะ” ป้าเซนาถาม

    ผมพยักหน้า แว่นตาที่ผมสวมไม่มีเลนส์ เป็นเพียงกระจกเปล่าๆ ที่สวมไม่ใช่เพราะสายตามีปัญหา แต่เพราะต้องการใช้แว่นตานี้เป็นตัวแทนของพ่อไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจเท่านั้น

    “เป็นยังไงจ๊ะ เปลี่ยนไปมากหรือเปล่า” ป้าเซนาถามอีกครั้ง

    ผมไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธเพราะเอาแต่จ้องหน้าตัวเองในกระจก คนในกระจกนี่ไม่ใช่ตัวผม แต่เป็นพี่ซองยูต่างหาก

    เหมือนกับพี่ซองยูตอนที่ยังไม่ได้ย้อมสีผมไม่มีผิด

    “ไหนซองมินลองยิ้มสิจ๊ะ ยิ้มกว้างๆ เลย” ป้าเซนาพูด

    ผมพยายามจะยิ้มแต่เหมือนกับแค่บังคับกล้ามเนื้อใบหน้าให้ยกขึ้นท่านั้น รอยยิ้มที่ได้จึงดูแกนๆ

    “ไม่ได้ครับ ผมมันน่าเกลียด” ผมก้มหน้า เอาฝ่ามือสองข้างปิดบังใบหน้าตัวเองไว้ ไม่กล้ามองหน้าตัวเอง

    ถึงจะเหมือนพี่ซองยูแล้วจะมีความหมายอะไร ถึงอย่างไรผมก็ไม่ได้ร่าเริงสดใสเหมือนพี่ซองยู แม้แต่บังคับให้ตัวเองยิ้มก็ยังทำไม่ได้ ไม่น่ารักเลยสักนิด

    “ไม่เป็นไรนะซองมิน ไม่ต้องอายหรอกนะจ๊ะ ลองมองตัวเองดีๆ สิ ซองมินน่าเกลียดจริงๆ น่ะเหรอ” ป้าเซนาดึงมือที่ปิดหน้าออก แล้วจับแก้มผมให้มองตัวเองในกระจกอีกครั้ง

    ผมไม่ได้น่าเกลียด ไม่ได้อัปลักษณ์และดูน่าสมเพชเหมือนที่ผ่านมา แต่ไม่รู้ทำไม พอเห็นว่าเงาในกระจกตัวเองละม้ายคล้ายพี่ซองยูที่ใครต่อใครชื่นชมว่าทั้งหล่อทั้งเท่ห์แล้ว ผมกลับรู้สึกผะอืดผะอมอย่างบอกไม่ถูก

     

     

    ผมอยู่ที่บ้านป้าเซนาทั้งวัน ก่อนจะกลับป้าเซนายื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้ผม เป็นหนังสือที่นิยายแนวผจญภัยที่ผมอ่านจนแทบวางไม่ลงทั้งวันนั่นเอง

    “เห็นว่าซองมินชอบ ป้าเลยยกให้”

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมค่อยมาอ่านที่บ้านคุณป้าต่อก็ได้”

    “รับไว้เถอะจ่ะ ถือว่าเป็นของขวัญวันปีใหม่จากป้า” ป้าเซนายัดหนังสือใส่มือผมจนได้ “อ้อ! แล้วก็เอานี่ไปด้วยนะ เป็นกุญแจสำรองอีกดอกของบ้าน เผื่อเวลาป้าไม่อยู่ ซองมินก็เข้ามาได้เลย” ป้าเซนาส่งกุญแจดอกโตเหมือนกับที่ป้าเคยใช้ไขประตูบ้านเมื่อวานให้

    ผมโค้งขอบคุณป้าเซนา ยิ้มกว้างดีใจที่ได้ของขวัญชิ้นแรกในชีวิตซ้ำยังได้รับความไว้วางใจจากป้าเซนาจนถึงกับให้กุญแจบ้าน เพื่อกันไม่ให้หายผมเลยสอดกุญแจเอาไว้ในหนังสือแล้วเก็บใส่กระเป๋า

    ระหว่างทางกลับบ้าน ผมขยี้ผมที่ถูกหวีเรียบร้อยให้กลับมายุ่งกระเซิงเหมือนเดิมเพื่อไม่ให้ที่บ้านสงสัย รวมทั้งแว่นตาของพ่อก็ถูกสวมไว้เหมือนเดิม เสื้อผ้าก็กลับกลายเป็นเก่ามอซอเหมือนเดิมหลังจากที่ถอดชุดฮันบกคืนให้ป้าเซนาตั้งแต่ก่อนจะออกมาพอถึงบ้าน ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดแต่แม่ก็ไม่อยู่บ้าน คงจะไปทำงานอีกตามเคย พี่ซองยูก็ไม่อยู่ หมู่นี้พี่ซองยูไม่กลับบ้านบ่อย แต่ผมก็ไม่สงสัยอะไร เรียกว่าไม่สนใจคงจะถูกกว่า อันที่จริงก็โล่งใจด้วยซ้ำที่ตัวเองอยู่ในห้องพักคนเดียว

    ผมนั่งลงบนเบาะอันเดิมของตัวเอง ค่อยๆ หยิบหนังสือที่ป้าเซนาให้ออกมาอย่างเบามือแล้วดึงกุญแจที่เสียบคั่นอยู่ในหนังสือออกมา ดูของสองอย่างแล้วก็ยิ้ม

    วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดในโลกเลย!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×