ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]The Sixth Senseสัมผัสรัก สื่อวิญญาณKyuMin,KiHae,YeRyeo

    ลำดับตอนที่ #25 : [SF] Twin-3

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 757
      1
      12 ก.ค. 55


     3

     

    ผมเดินมาตามที่อยู่ที่อยู่ในประกาศจนพบบ้านหลังที่ว่า เป็นบ้านไม้ทั้งหลังทรงโบราณ ใหญ่ที่สุดในละแวกนั้นเลยก็ว่าได้ ให้บรรยากาศเหมือนกลับไปอยู่ในยุคสมัยโชซอน ท่าทางเจ้าของบ้านน่าจะเป็นคนที่มีอายุพอสมควร

    ผมกดออดที่อยู่ริมรั้วบ้าน ถึงบ้านจะเป็นแบบเก่าแต่ก็ยังเข้ากับยุคสมัยปัจจุบันตรงที่มีออดไฟฟ้าเหมือนบ้านทั่วๆ ไป สักพักประตูรั้วไม้ทึบก็ถูกเปิดออก เจ้าของบ้านผู้มาเปิดเป็นหญิงวัยกลางคนหน้าตาใจดี ยังไม่ทันได้ถามไถ่ธุระอะไร พอเห็นสิ่งที่ผมอุ้มมาด้วย เธอก็ยิ้มอย่างดีใจแล้วรับเจ้าแมวตัวน้อยที่ชื่อฮยาคุมาอุ้ม พร่ำขอบคุณผมไม่หยุดปาก

    “ขอโทษทีนะจ๊ะ ฉันมัวแต่ดีใจจนเสียมารยาทกับแขกไปเสียได้ เชิญเข้ามาในบ้านก่อนสิจ๊ะพ่อหนุ่ม” ผู้หญิงคนนั้นออกปากเชิญ แต่ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แต่สุดท้ายก็ทนคำขอร้องปนอ้อนวอนจากผู้เป็นเจ้าของบ้านไม่ไหวจึงยอมเดินเข้าไปในบ้านตามคำชวน

    นอกจากขนาดของบ้านที่ใหญ่โตแล้ว พื้นที่ภายในบ้านก็ร่มรื่น มีสวนเล็กๆ เต็มไปด้วยต้นไม้มากหมายหลากหลายพันธุ์ที่ผมไม่รู้จัก ผมหันมองรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ เพราะไม่เคยเข้าไปในบ้านคนอื่นแบบนี้มาก่อน ผมไม่มีเพื่อนชวนไปเที่ยวบ้านเหมือนคนอื่นเขา ตอนที่พี่พาเพื่อนมาเที่ยวที่ห้องพักในอพาร์ตเมนท์ บางครั้งก็จะไปนอนค้างบ้านเพื่อน คนที่ไม่มีใครคบอย่างผมไม่เคยเข้าใจถึงความรู้สึกแบบนั้น

    “เข้าไปนั่งในบ้านก่อนสิจ๊ะ เดี๋ยวฉันจะชงชามาให้” คุณป้าเอ่ยอย่างเป็นกันเอง ด้วยความที่ขัดใครไม่ค่อยจะเป็น ทำให้ผมต้องเข้ามานั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้านจนได้ ภายในบ้านก็ถูกจัดตกแต่งเหมือนในละครพีเรียดที่เคยเห็นผ่านๆ ตาไม่มีผิด บ้านหลังนี้จึงให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในราชวังโบราณยังไงยังงั้น

    ผ่านไปสักพักคุณป้ากลับมาพร้อมกับชาและขนมเค้ก ผมมองตาโต เพราะเกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยกินของดีๆ แบบนี้ ได้แต่มองพี่กินด้วยความอิจฉา เฝ้าจินตนาการถึงรสชาติของมัน ไม่คิดว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้ลิ้มลองจริงๆ

    “ผมกินได้เหรอครับ” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ เมื่อคุณป้าเจ้าของบ้านวางทั้งแก้วชาและจานขนมเค้กลงตรงหน้าผม

    “ได้สิจ๊ะ กินได้เต็มที่เลย ฉันยังไม่ได้ตอบแทนเรื่องที่เธอช่วยพาเจ้าฮยาคุมาคืนให้เลยนะ”

    เจ้าฮยาคุเดินมาคลอเคลียแถวตัวผม ก่อนจะกระโดดแผล็วขึ้นมานั่งบนตัก หลับตาอย่างสบายอารมณ์ ผมอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้

    ผมมองเค้กอย่างไม่กล้ากิน แม้จะได้รับคำอนุญาตแล้ว เค้กก้อนนี้สวยน่ากินจนไม่อยากกินเพราะมันดูดีเกินไป

    “กินสิจ๊ะ หรือไม่ชอบเค้ก” เธอถาม ผมรีบส่ายหน้า จะไม่ชอบได้อย่างไรในเมื่อทั้งชีวิตยังไม่เคยกินมาก่อนเลย

    เมื่อเห็นสายตาคาดหวังของคุณป้าเจ้าของบ้าน ผมจึงหยิบช้อนขึ้นมาตักเค้กเข้าปาก กลิ่นหอมของครีมและวนิลา รสชาติหวานอร่อย เค้กเนื้อนุ่มนิ่มจนแทบละลายในปากทำให้ผมแทบตัวลอยอย่างมีความสุข ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยกินของอร่อยขนาดนี้มาก่อน เมื่อได้กินไปคำนึงแล้วก็หยุดไม่ได้ ผมตักเค้กกินมูมมามอย่างลืมตัว มานึกขึ้นได้ก็ตอนที่มันหมดก้อนแล้ว โต๊ะเต็มไปด้วยเศษเค้กที่ผมกินหก

    “ขอโทษครับ” ผมพูดเสียงเบา ก้มหน้างุดด้วยความกลัว อยู่ที่บ้านถ้าผมกินเลอะเทอะจะต้องถูกแม่ตี ผมกลัวว่าคุณป้าจะโกรธแล้วตีผมเหมือนแม่

    “ไม่เป็นไรหรอกจ่ะ เห็นเธอกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้วฉันมีความสุข” น้ำเสียงที่ได้ยินนั้นฟังดูอ่อนโยน ผมเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ไม่ใช่แค่น้ำเสียง แต่รอยยิ้มของคุณป้าก็อ่อนโยนเช่นกัน

    ผมใจเต้นแรง เพราะชั่วชีวิตนี้ไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างดีเช่นนี้มาก่อน

    “ว่าแต่เธอชื่ออะไรเหรอจ๊ะ ฉันจะได้เรียกถูก” คุณป้าถาม ยิ้มให้ผมอย่างเอื้อเอ็นดู

    “ออีซองมินครับ” ผมตอบเกร็งๆ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่แนะนำชื่อตัวเองให้คนอื่นฟังคือตอนเรียนมัธยมต้นเพราะอาจารย์ให้ออกมาแนะนำตัวทีละคนหน้าห้อง นับจากนั้นก็ไม่มีใครถามชื่อของผมอีก ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีใครสนใจอยากคบหาเลยไม่จำเป็นต้องจำชื่อให้เสียเนื้อที่ในสมอง อีกส่วนหนึ่งเพราะรู้จักเผินๆ แล้วในฐานะคู่แฝดของพี่ซองยูผู้โด่งดัง

    “ซองมินเหรอ ฉันชื่อเซนานะ”

    “ครับคุณเซนา” ผมไม่กล้าเรียกเธอว่าคุณป้าตามที่นึกแทนตัวในใจ กำแพงที่มองไม่เห็นแม้จะเริ่มบางลงแล้วแต่ก็ยังมีอยู่

    “เธอไปเจอเจ้าฮยาคุที่ไหนเหรอ” คุณป้าถาม

    “ในสวนสาธารณะครับ มันติดอยู่บนต้นไม้” ผมตอบ

    “ตายจริง! โชคดีนะที่ซองมินไปเจอเข้า ไม่อย่างนั้นต้องแย่แน่ๆ เลย ฉันไม่รู้จะขอบใจเธอยังไงดี ปกติเจ้าฮยาคุชอบหายตัวไปบ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยหายไปนานข้ามคืนแบบนี้ ฉันก็เลยเป็นห่วง”

    คงจะเป็นห่วงจริง เพราะหายไปแค่คืนเดียว คุณป้าเจ้าของบ้านผู้ใจดีถึงกับวาดรูปทำประกาศตามหาแล้ว

    “ฉันน่ะก็มีแค่แมวตัวนี้เป็นเพื่อน อยู่ๆ มันก็หลงเข้ามาในบ้าน ฉันเองก็เหงาๆ เลยเลี้ยงเอาไว้ ถ้าไม่มีมันฉันก็คงแย่เหมือนกัน” คุณป้าเซนาพูด สายตาของป้าหม่นลง

    ผมอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ว่าทำไมป้าถึงอยู่ตัวคนเดียวแต่ไม่กล้าถาม กลับเป็นป้าเซนาเสียอีกที่พูดมันออกมาเอง

    “เมื่อหลายปีก่อนฉันมีหลานชายคนนึง อายุคงรุ่นราวคราวเดียวกับซองมินนี่แหละ แต่น่าเสียดายที่เขาทิ้งฉันไปด้วยโรคร้าย ตั้งแต่นั้นฉันก็ต้องอยู่คนเดียวมาตลอด พอมาเจอซองมินเข้าเลยอดคิดถึงหลานชายไม่ได้” ป้าเซนาพูดไป น้ำตาก็คลอเบ้าไป ผมเห็นแล้วใจไม่ดี อยากจะยื่นมือออกไปจับมือป้าเป็นการปลอบให้กำลังใจ แต่ก็ไม่กล้า

    ผมพูดอะไรไม่ออก ก้มหน้าลงเหมือนเดิมเพราะทนเห็นแววตาเศร้าโศกของป้าเซนาไม่ได้

    “ขอโทษทีนะจ๊ะ ฉันไม่น่าพูดเรื่องอะไรแบบนี้ต่อหน้าแขกเลย” ป้าเซนาพูด รีบเช็ดน้ำตาที่ปริ่มๆ จะไหล

    ผมส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร แม้จะรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสีย รู้สึกได้ถึงความว้าเหว่และเดียวดายจากการใช้ชีวิตตัวคนเดียว แต่ผมก็พูดปลอบใจไม่ออก เพราะทั้งชีวิตผมไม่เคยได้รับคำพูดแบบนั้นจากใครเลย

    “คุณป้าครับเอ่อ..ขอโทษครับ” ผมรีบพูดขอโทษเมื่อเผลอใช้สรรพนามสนิทสนมจนเกินไป แต่ป้าเซนารีบโบกมือแล้วบอกว่าไม่เป็นไร

    “เรียกป้านั่นแหละจ่ะดีแล้ว ป้าอยากให้ซองมินเป็นหลานของป้า ไม่รู้จะขอมากเกินไปหรือเปล่า”

     

     

     

    เวลาล่วงเลยไปกว่าสองชั่วโมงที่ผมอยู่ในบ้านของป้าเซนา ผมเอาแต่นั่งเงียบฟังป้าเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยยังเป็นสาวจนแต่งงานมีครอบครัว ป้าเซนาไม่มีลูกเพราะต้องตัดมดลูกออกเนื่องจากโรคมะเร็ง สามีของป้าเซนาเสียไปเพราะอุบัติเหตุ น้องสาวก็แยกตัวออกไปมีครอบครัว ป้าเซนาจึงใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว จนกระทั่งน้องสาวที่มีปัญหาทั้งทางด้านครอบครัวและการเงินทิ้งลูกไว้ให้เลี้ยง แต่ก็มาเด็กคนนั้นก็มาด่วนจากป้าเซนาไปอีกคนตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยโรคมะเร็งอีกเช่นเดียวกัน หมอสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากพันธุกรรม เพราะป้าเซนาเองก็เคยเป็นมะเร็ง นี่จึงเป็นตราบาปติดตัวมาตลอดทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ว่าตนเองถ่ายทอดโรคร้ายให้หลานชายจนต้องจากไปอย่างทุกข์ทรมานก่อนวัยอันควร

    “คุณป้าไม่ใช่คนผิดหรอกครับ” ผมพูดแค่นั้นแล้วก็นิ่งเงียบรอฟังว่าป้าจะพูดอะไรอีก แต่ป้าเพียงแค่ยิ้ม น้ำตาคลอเบ้าแล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูด

    ผมนั่งฟังป้าพูดเรื่องสัพเพเหระต่อโดยไม่ขัด แม้จะนั่งเงียบๆ ไม่พูดอะไรเลยแต่ผมกลับไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด เพราะไม่เคยมีใครพูดกับผมดีๆ ทำราวกับผมมีตัวตนแบบนี้ ระหว่างที่ฟังหัวใจในอกก็พองโตราวกับกำลังจะระเบิด ผมมีเพื่อนแล้ว มีคนที่ไม่มองผมด้วยสายตารังเกียจและดูแคลนแล้ว

    “ตายจริง ค่ำขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย ไม่ไหวเลยนะ ป้าก็มัวแต่คุยจนลืมดูเวลา ซองมินรีบกลับบ้านดีกว่า เดี๋ยวคุณแม่จะเป็นห่วงเอาได้” ป้าเซนาพูด ผมนิ่งเงียบไม่พูดอะไรทั้งที่ใจอยากเถียงกลับไปว่าแม่คงไม่คิดเป็นห่วงผมหรอก “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวป้าเดินไปส่งดีกว่า กลับบ้านค่ำมืดมันอันตราย” ป้าเซนารีบบอกอย่างหวังดี แต่ผปฏิเสธ ผมกลัวว่าถ้าป้าเซนาได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของผมแล้วจะรับไม่ได้จนทิ้งผมไป กลัวว่าถ้าแม่รู้ว่าผมมีที่พึ่งพิงแม่จะพรากมันไป แม่ไม่พอใจเวลาที่เห็นผมมีความสุข

    “ผมมาที่นี่อีกได้ไหมครับ” ผมถามตอนที่ป้าเซนามาส่งที่ประตูรั้ว

    “ได้สิจ๊ะ มาบ่อยๆ เลย ก็ซองมินเป็นหลานป้านี่นา” ป้าเซนาพูดแล้วลูบหัวผมด้วยความเอ็นดู

    ผมยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่จริงใจและสดใสที่สุดในชีวิต แม้น้ำตาจะคลอขังเคลือบเต็มตาจนเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของป้าพร่ามัว ผมก้มหน้าโค้งลาป้าพอดีกับที่น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่น เป็นน้ำตาหยดแรกที่เกิดจากความปลื้มเปรม ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดเหมือนทุกครั้ง

    ผมเดินกลับบ้านด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข ไม่เคยรู้สึกปลอดโปร่งและสบายใจขนาดนี้มาก่อน การถูกมองว่าเป็นคนสำคัญมันรู้สึกดีแบบนี้เองหรือ ผมก็เพิ่งจะเข้าใจวันนี้

    พอถึงห้องพักผมก็ตีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม เตรียมตัวเตรียมใจรับกับพายุอารมณ์ของแม่เพราะคิดว่าตัวเองน่าจะกลับบ้านช้ากว่าพี่ซองยู แต่ก็คิดผิดเมื่อเห็นว่ามีแค่แม่คนเดียวที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ ถ้าพี่ซองยูกลับมาแล้วก็น่าจะนั่งกินข้าวกับแม่ แสดงว่ายังไม่กลับ โล่งใจจัง

    ผมเลี้ยวกลับไปที่มุมห้อง ที่เดียวในบ้านที่เป็นของตัวเอง ยังไม่ทันได้นั่งลงอย่างที่ใจคิดก็ได้ยินเสียงแม่ตะโกนแหวกอากาศมา

    “หายหัวไปไหนมา!

    ผมไม่ตอบเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง เรื่องที่ไปบ้านป้าเซนาแล้วคุยด้วยกันเพลินจนลืมเวลานั้น พูดถึงไม่ได้เป็นอันขาด

    “ฉันถามว่าไปไหนมา!” แม่ตะคอกถามซ้ำ ผมก็ยังนิ่งเงียบ แต่ตัวสั่นไปหมดเพราะความกลัว

    พอเห็นว่าผมเอาแต่ยืนหันหลังให้ ไม่ยอมพูดอะไรออกมาซักที แม่ก็คงยิ่งโมโห กระชากแขนผมให้หันมาอย่างแรงจนไหล่แทบหลุด ผมรู้ตัวแล้ว เดี๋ยวผมก็คงถูกแม่ตีอีก

     

     

     

    หลังจากที่แม่ตีผมจนพอใจ แม่ก็กลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเดิม ผมได้แต่นอนที่พื้นตรงมุมห้องที่เดิมทั้งน้ำตา

    แม่ยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด ปากพร่ำพูดความทุกข์ใจที่อัดอั้นอยู่ในอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมถูกทารุณโดยไม่มีเหตุผล ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่ดื่มหนักหลังจากที่ลงไม้ลงมือกับผม ตลอดเวลาที่ผ่านมาความรู้สึกที่ถูกกดเก็บไว้ในใจถูกระบายออกมาจนหมดสิ้น มีเพียงผมคนเดียวที่รับรู้ ไม่ใช่ลูกสุดที่รักอย่างพี่ซองยูที่ได้เห็นแง่มุมปวดร้าวของแม่ตนเอง

    “ไม่ใช่ความผิดของฉัน แกโทษฉันไม่ได้ ที่ฉันทำแบบนี้ไม่ใช่ความผิดของฉันเลย” แม่พูดแล้วเดินโซเซหายเข้าไปในห้องพร้อมกับขวดเหล้า คงจะไปดื่มต่อ

    ผมเม้มปากแน่น กลั้นเสียงสะอื้น แล้วมันความผิดของผมหรือ ถึงต้องเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ของแม่แบบนี้

    แต่ไหนแต่ไรมา ตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากมีชีวิตอยู่ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในบ้าน ผมยังรับหน้าที่เป็นกระสอบทรายให้แม่ทุบตีจนกว่าจะระบายความโกรธแค้นออกไปหมด หลังจากนั้นแม่จะดื่มเหล้าเพื่อให้ลืมการกระทำที่โหดร้ายของตัวเอง ผมไม่เคยเกลียดแม่ ไม่เคยโกรธแม่เลย ผมรักแม่มากซ้ำยังสงสารถึงได้ยอมมาตลอด เพราะรู้ดีว่าแม่เจ็บปวดแค่ไหน รู้ว่าใจจริงแล้วแม่ไม่อยากจะทำแบบนี้เลย

    เวลาอยู่ที่ที่ทำงานแม่คอยเป็นลูกไล่ของทุกคนในบริษัท โดนจิกหัวใช้ โดนด่า โดนกลั่นแกล้ง โดนมาสารพัดแต่ไม่เคยมีปากมีเสียง ไม่มีความกล้าพอจะลุกขึ้นมาต่อต้าน ได้แต่เก็บตัว สงบปากสงบคำยอมอยู่ใต้อาณัติของทุกคน

    ทำไมผมถึงรู้เรื่องนี้ในขณะที่พี่ซองยูไม่รู้น่ะเหรอ เพราะทุกครั้งที่แม่เก็บอารมณ์อัดอั้นมาจากที่ที่ทำงาน คนที่แม่จะใช้เป็นเครื่องระบายความโกรธแค้นก็คือผมเองคนๆ เดียวที่อยู่ใต้อำนาจแม่ คนเดียวที่จะยอมให้แม่ทำทุกอย่างได้ตามใจ เพราะผมเองก็อ่อนแอ ผมเองก็ยอมโดนรังแกโดยไม่คิดจะฮึดสู้

    เหมือนแม่เหมือนกับแม่ไม่มีผิด

    แม่คงจะเกลียดด้านนั้นของตัวเอง ยิ่งเห็นผมที่มีลักษณะนิสัยเหมือนกันก็เลยพลอยเกลียดผมที่เป็นภาพเงาสะท้อนของตัวเองด้วย ทั้งเกลียด ทั้งรังเกียจ

    ผมกลัวว่าสักวันหนึ่ง ถ้าผมเจอคนที่อ่อนแอกว่าให้กดข่มได้ ผมจะกลายเป็นแบบแม่ ผมไม่อยากเหมือนแม่

     

     

    เช้าวันใหม่ ผมลืมตาตื่นเพราะโดนเท้าของแม่เขี่ยให้หลบไปให้พ้นทาง ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อคืนตอนไหนก็ไม่รู้จนนอนขวางทางเข้าออกห้อง

     

    สาเหตุที่ทำให้แม่ต้องเดินไปที่ประตูเพราะต้องเปิดประตูให้พี่ที่เพิ่งกลับมาถึงหลังจากหายไปทั้งคืน

    แม่ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจที่พี่ไม่กลับมานอนบ้าน ได้ยินเสียงพี่กับแม่คุยกัน ได้ความว่าพี่ไปนอนค้างบ้านเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเพราะต้องทำรายงาน พี่โทรบอกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แม่จึงไม่ได้เป็นห่วงอะไรมากนัก

    แม่พาพี่มานั่งที่โต๊ะกินข้าว จัดหาสำรับอาหารมาให้ โดยมีผมที่ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืนคอยมองอยู่อย่างเคย หวังว่าพี่จะเหลือขนมปังให้ผมสักแผ่นก็ยังดี

    “แม่ครับ ผมเห็นแม่สะสมซีดีเพลงเก่าๆ ไว้ตั้งหลายแผ่น แม่มีของวงนี้หรือเปล่า” พี่ถามแม่ระหว่างที่กินอาหาร

    “มีสิ ลูกอยากฟังเหรอ”

    “ครับ ผมจะใช้เพลงนี้ร้องขึ้นเวทีตอนวันงานปฐมนิเทศนักเรียนใหม่ ขอยืมซีดีของแม่ได้ไหมครับ”

    “อยู่ในห้องนอนน่ะ ช่วงนี้แม่ไม่ค่อยว่าง ไว้ว่างๆ แม่จะหาให้นะ”

    “แต่ผมอยากได้ตอนนี้เลย ไม่ได้เหรอฮะ”

    “ไม่ได้หรอกจ่ะ ช่วงนี้งานแม่ยุ่งมากเลย ห้องก็รกมากด้วย ถ้าหาคงใช้เวลานาน”

    “ให้ผมหาเองก็ได้ครับ”

    “ไม่ได้ๆ ในห้องแม่มีแต่เอกสารงานสำคัญๆ เต็มไปหมด ถ้าลูกเข้าไปค้น ของแม่ย้ายที่แม่จะหางานไม่เจอนะ” แม่ปรามเสียงไม่เข้มนัก

    “ผมไม่ยุ่งกับงานของแม่หรอก” พี่ก็ยังคงไม่ยอม

    “ไม่ได้จริงๆ จ่ะ เอาไว้แม่จะรีบเคลียร์งานแล้วจะหาเพลงให้ลูกเลย อ้อ แล้วก็ช่วงนี้แม่คงให้ลูกยืมใช้โน้ตบุ๊คไม่ได้นะ เพราะในนั้นมีแต่งานสำคัญ เกิดเสียขึ้นมาหรือข้อมูลหายล่ะเรื่องใหญ่แน่”

    “ก็ได้ครับ” พี่จำยอมต้องรับปากเพื่อเอาใจแม่ แม่จึงกอดพี่แล้วลูบหัวเบาๆ อย่างเอ็นดู

    “เพราะลูกเป็นเด็กดีแบบนี้ไง แม่ถึงได้รัก งานครั้งนี้สำคัญมาก ถ้าแม่ทำสำเร็จ นอกจากจะได้เลื่อนขั้น ได้เพิ่มเงินเดือนแล้วยังได้เงินพิเศษอีก ไว้แม่จะซื้อโน้ตบุ๊คเครื่องใหม่ให้ลูกใช้ส่วนตัวเลยนะ” แม่พูดยิ้มๆ

    “จริงเหรอครับแม่ ผมก็รักแม่ที่สุดในโลกเลย” พี่ร้องออกมาเสียงดังแล้วกอดเอวแม่แน่นแบบเด็กๆ แม่ก็ยิ้มอย่างมีความสุข

    ผมมองภาพการแสดงความรักของแม่กับฝาแฝดผู้พี่ของตัวเองแล้วสะท้านใจ

                บางครั้งผมก็อยากให้แม่รักผม อยากให้แม่กอดผม อยากให้แม่พูดดีๆ กับผมเหมือนอย่างที่แม่ทำกับพี่ซองยูบ้าง



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×