ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]The Sixth Senseสัมผัสรัก สื่อวิญญาณKyuMin,KiHae,YeRyeo

    ลำดับตอนที่ #24 : [SF] Twin-2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 797
      0
      12 ก.ค. 55


     2

     

                ผมนอนนิ่งอยู่บนเบาะเก่าๆ สีมอซอใกล้ขาดของตัวเอง บาดแผลจากการโดนแม่ตีปวดตุบๆ เหมือนมีอะไรกำลังจะวิ่งทะลุผิวหนังออกมา ถึงปากจะบอกว่าชินแล้ว แต่ผมไม่ชอบเลยที่ต้องทนเจ็บระบมไปหมดทั้งตัวแบบนี้ เลยไม่อยากจะทำอะไรแม้แต่จะขยับตัว

                นอกเหนือจากความเจ็บที่บาดแผล ท้องก็แสบเพราะความหิว แม้อาหารเย็นในวันนี้จะได้มากเป็นพิเศษแต่ก็ไม่ช่วยบรรเทาความหิวที่เก็บสะสมจากเมื่อตอนกลางวันเลย อยากจะลุกไปเปิดหาของกินจากในตู้เย็น แต่ผมก็ไม่กล้า ผมกลัวถึงขั้นว่าแสงไฟจากตู้เย็นจะปลุกให้พี่กับแม่ตื่นขึ้นมา

                มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเคยแอบย่องไปขโมยอาหารตอนกลางดึก ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทางสะดวก ปลอดโปร่ง แค่นมสตรอเบอร์รี่กล่องเดียวก็เพียงพอที่จะช่วยประทังความหิวจนท้องกิ่วของผมได้แล้ว แต่พอเช้าวันต่อมาผมก็ต้องชดใช้ค่านมกล่องนั้นด้วยราคาสูงลิบลิ่วเมื่อพี่โวยวายว่านมของโปรดของตนเองหายไปหนึ่งกล่อง

                เช้านั้นผมไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะโดนตีจนลุกไม่ขึ้น อีกวันต่อมาถึงได้รู้ว่าพี่บอกกับทุกคนว่าผมไม่สบายเพราะไข้หวัด ถ้าครูไม่ถามเพราะเห็นที่นั่งว่างไปที่หนึ่งในห้องคงไม่มีใครสนใจอยากรู้ว่าผมไปที่ไหน อาจจะไม่มีใครสังเกตเห็นเลยก็ได้ว่ามีเพื่อนร่วมโรงเรียนที่ชื่อว่าอีซองมินหายไป

    หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมก็ไม่กล้าเฉียดกรายเข้าใกล้ตู้เย็นอีกเลย

                ถ้าหิวก็ต้องทน ถ้าเจ็บก็ต้องทน ชีวิตของผมก็มีแค่นี้เท่านั้น

                พรุ่งนี้ก็ต้องไปโรงเรียนอีกแล้วพร้อมกับรอยช้ำสดๆ ใหม่ๆ ผมจะหาข้อแก้ตัวกับอาจารย์ว่าอย่างไรต่อไป เรื่องที่ผมสะดุดซุ่มซ่ามจนได้แผลมาบ่อยๆ ก็ดูจะฟังไม่ค่อยขึ้นแล้ว

                ถ้าอย่างนั้นผมควรจะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้ จะได้สอบได้คะแนนดีๆ แล้วไม่โดนแม่ตี คุณคงจะคิดแบบนี้ใช่ไหม ผมเองก็เคยคิดแบบนั้น

                ตอนอยู่ ม.1 ผมเคยตั้งใจเรียนอย่างจริงจังอยู่เทอมหนึ่งจนสอบได้คะแนนดีถึงขั้นเป็นอันดับหนึ่งของห้อง ผมกลับบ้านด้วยหัวใจพองโต หวังว่าจะได้รับคำชมจากแม่เหมือนที่พี่เคยได้ แต่เรื่องกลับไม่เป็นไปอย่างนั้น คุณจำได้ไหมที่ผมเคยบอกว่าหัวแตกเพราะแม่ขว้างที่ทับกระดาษใส่ เหตุการณ์ตอนนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่แม่เห็นว่าผมได้คะแนนมากกว่าพี่ พี่เองก็ร้องไห้เสียใจใหญ่ที่โดนคนน่ารังเกียจอย่างผมเอาชนะได้ ผลสุดท้ายเลยกลายเป็นว่าผมโดนตีอย่างหนักโทษฐานที่โกงจนสอบได้คะแนนดี ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็ไม่เคยตั้งใจเรียนอีกเลย

                ไม่ว่าผมจะทำตัวเป็นเด็กดีหรือไม่เอาไหน ยังไงในสายตาของแม่ผมก็เป็นแค่ส่วนเกิน เป็นแค่เศษขยะเน่าๆ ชิ้นหนึ่งในบ้าน ถ้าไม่มีผมซักคนแม่คงจะมีความสุขมากกว่านี้ ซักวันผมอาจจะร่วงหล่นจากระเบียงชั้นเจ็ดในห้องนี้ลงไปเป็นศพร่างเหลวแหลกอยู่ข้างล่างด้วยฝีมือแม่ก็ได้

                ผมขยับตัวเพราะความปวดเมื่อย หันไปเห็นซากกระเป๋าขาดๆ ของตัวเองแล้วก็อนาถใจ ข้าวของในกระเป๋าทั้งหนังสือเรียน เครื่องเขียน สมุดยังคงกระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง เพราะกลัวว่าถ้าเช้ามาแม่เห็นสภาพห้องยังรกเละเทะจะโดนตีได้อีก ผมเลยกวาดของของตัวเองมากองไว้มุมข้างๆ เบาะนั่งของผมแล้วก็ล้มลงนอนใหม่ หยิบซากกระเป๋าคู่เก่งติดมือมาดู ตอนนี้ไม่มีแรงจะเย็บซ่อม อยากนอนพักมากกว่า พรุ่งนี้คงต้องหอบข้าวของไปโรงเรียน ผมไม่กล้าขอยืมกระเป๋าของพี่หรอกถึงพี่จะมีหลายใบให้เลือกใช้ได้ตามใจชอบก็เถอะ

                จนถึงตอนนี้คุณคงไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมผมถึงยังนอนบนเบาะนั่งมุมห้องนี้ ไม่เข้าไปนอนในห้องนอนอุ่นๆ บนเตียงนอนนุ่มๆ ซุกตัวใต้ผ้าห่มหนาๆ แล้วหลับฝันดี

                ใช่แล้วล่ะ ของพวกนั้นผมไม่มีเลยสักอย่าง หนึ่งในสมบัติติดตัวที่มีค่าซึ่งมีไม่กี่ชิ้นของผมก็คงจะเป็นเบาะอันนี้นี่แหละ แล้วยิ่งให้นอนหลับฝันดีน่ะหรือ มันคืออะไรผมยังไม่เคยได้ลองสัมผัสเลย

                ผมหลับตาลง นอนหลับไปทั้งที่ยังมีแว่นตาของพ่อวางไว้บนดั้ง สมบัติชิ้นเดียวที่ไว้ดูต่างหน้าพ่อ พ่อที่ผมไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า ตอนเด็กๆ ผมคุ้ยลังเก่าๆ แล้วบังเอิญเจอแว่นตาอันนี้ ไม่รู้ว่าติดใจอะไรทั้งที่เป็นแค่แว่นตาเก่าๆ รูปแบบเชยๆ ใส่แล้วบังหน้าผมไปแล้วเสียครึ่ง มารู้จากปากแม่ในตอนหลังว่าเป็นของพ่อผมก็เลยยึดเอาไว้กับตัว แม่ไม่ห้ามซ้ำยังบอกว่าของไม่มีค่าไม่ต่างจากขยะแบบนั้นก็เหมาะกับผมดี

                แว่นตาอันนี้จึงเป็นสมบัติอีกชิ้นที่ล้ำค่าของผม

                หลายครั้งที่ผมสงสัยว่าตอนนี้พ่ออยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่

                “พ่อแกหายหัวไปตั้งแต่แกยังอยู่ในท้องฉันแล้ว ทิ้งภาระให้ฉันต้องเลี้ยงแก แค่ซองยูกับเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองก็ลำบากแล้ว ทำไมฉันต้องเบ่งให้แกเกิดตามมาอีกคนด้วย แกมันตัวซวย ถ้าไม่มีแกฉันกับซองยูคงจะได้อยู่อย่างสุขสบายกว่านี้ พ่อแกที่บอกว่าจะพาแกไปอยู่ด้วยก็หายเข้ากลีบเมฆ สุดท้ายก็ต้องเป็นภาระฉันอยู่ดี”

                แม่เคยด่าว่าผมแบบนี้เมื่อนานมากแล้ว แต่น่าแปลกที่ผมยังจำได้ทุกคำพูด

    พ่อไปอยู่ซะที่ไหน ทำไมถึงยังไม่มาพาผมไปจากที่นี่ หรือพ่อเองก็ไม่ต้องการผมเหมือนกับแม่ เหมือนกับพี่ซองยู

                ผมนอนหลับไปทั้งน้ำตา ซึ่งไม่ได้ไหลเพราะเจ็บแผลเลย

     

     

     

                วันนี้ผมเดินไปโรงเรียนตามหลังพี่ซองยูตามปกติเหมือนทุกวัน แตกต่างจากเดิมนิดหน่อยตรงที่ผมหอบข้าวของมาเต็มอ้อมแขนเพราะกระเป๋าคู่ใจถูกกระชากขาดจนใช้การต่อไม่ได้ถ้าไม่ซ่อม กลับไปถึงบ้านผมคงต้องเย็บกระเป๋าจริงๆ แล้วล่ะ เดินถือแบบนี้เมื่อยแขนชะมัด

                ระหว่างเดินผมก้มหน้าก้มตาหลบสายตาของเพื่อนนักเรียนที่เดินผ่าน พี่ชายของผมที่เดินนำหน้ามีเพื่อนกลุ่มเดียวกันที่ไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นประจำวิ่งเข้ามากอดคอหยอกล้อกันตามปกติ คนรู้จักที่เดินผ่านไปมาหันมาโบกมือทักทายพี่ บ้างก็ส่งยิ้มให้ ในขณะที่ผมเหมือนเป็นเงาที่คอยเดินตาม ถึงจะมีคนสนใจบ้างก็มองด้วยสายตาดูถูก บ้างก็สังเวช ยิ่งสภาพของผมตอนนี้ เด็กผู้ชายใส่แว่นกรอบหนา บดบังเครื่องหน้าไปกว่าครึ่ง ผมสีดำฟูกระเซิงเหมือนไม่เคยผ่านการหวี สวมเครื่องแบบนักเรียนเก่าซอมซ่อ วันๆ เอาแต่เก็บตัวเงียบ ไม่สุงสิงพูดคุยกับใคร นั่งอยู่มุมหลังสุดของห้อง ตามเนื้อตัวมีแต่รอยแผลช้ำเป็นจ้ำๆ สร้างความแปลกใจและสงสัยให้แก่ทุกคนที่พบเห็น แต่ในเมื่อผมไม่ปริปากพูดอะไรมากไปกว่าซุ่มซ่ามเอง ก็ไม่มีใครซักไซ้อะไรให้มากความ

                “นี่เหรอแฝดของพี่ซองยู ไม่เห็นเหมือนกันเลยเนอะ” เด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งหันมาป้องปากซุบซิบกัน ผมได้ยินแต่ก็ทำเฉยเหมือนเป็นแค่เสียงลมผ่านไป ใครๆ ก็พูดแบบนี้ แฝดของซองยูไม่เห็นเหมือนกันเลย

                ถ้าผมบอกว่าผมกับพี่ซองยูเป็นแฝดไข่ใบเดียวกันที่หน้าเหมือนกันคุณจะเชื่อหรือเปล่า เราสองคนนอกจากนิสัยแล้วทำไมรูปลักษณ์ถึงแตกต่างกันราวกับฟ้าเหวทั้งที่หน้าเหมือนกัน

                ในขณะที่ผมแต่งตัวซอมซ่อ ผมฟูกระเซิง สวมแว่นตากรอบหนาเตอะ ไม่สุงสิงกับใคร พี่กลับแต่งตัวเนี๊ยบทุกระเบียบนิ้ว ผมที่ย้อมสีน้ำตาลอ่อนก็ถูกหวีจัดทรงอย่างดี ยิ้มเก่ง ร่าเริง อัธยาศัยดี เก่งไปหมดทุกด้าน

    ถ้าเปรียบพี่เป็นสีขาว ผมก็คงเป็นสีดำ เปรียบพี่เป็นแสงสว่างเจิดจ้า ผมก็เป็นความมืดมิดที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้

    แม้แต่ข้างหลังพี่ก็ยังดูดี ช่างแตกต่างจากผมเหลือเกิน ทั้งที่อยู่ใกล้แค่นี้ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าพี่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ

    ผมละสายตาจากแผ่นหลังของพี่ หันไปมองข้างทางเมื่อเห็นว่าคนเริ่มบางตาเพราะพี่กับเพื่อนเดินเข้าในซอยลัดที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก สายตาของผมไปประทะเข้ากับกระดาษที่แปะที่เสาไฟฟ้า เป็นรูปวาดของลูกแมวสีขาวที่มีปลายหางสีดำ ชื่อที่เขียนข้างใต้ทำให้รู้ว่าแมวตัวนี้ชื่อฮยาคุ เจ้าของที่เป็นคนวาดรูปนี้และเอากระดาษแบบนี้แปะตามเสาไฟฟ้ากำลังตามหามันอยู่และวอนขอให้คนที่พบเจอเจ้าฮยาคุนำมันมาส่งคืนตามที่อยู่ที่ระบุไว้เอาไว้ ผมมองรูปวาดของเจ้าแมวน้อยตัวนี้ด้วยความสนใจ ผมชอบแมว เวลาเห็นแมวจรจัดเมื่อไหร่ อดเข้าไปเล่นด้วยไม่ได้ ใจจริงอยากจะเลี้ยงแมวไว้ที่บ้านสักตัว แต่อย่างที่คุณก็รู้ แม่ต้องไม่ยอมแน่ๆ

    พี่กับพวกเพื่อนๆ เดินห่างไปไกลแล้ว แต่ผมก็ยังคงไม่ละสายตาจากประกาศแผ่นนั้น อีกสิ่งที่สะดุดตาผมคือภาพแมวในประกาศเป็นรูปวาด แม้จะไม่ใช่รูปในเชิงภาพเหมือน ออกแนวเป็นภาพการ์ตูนธรรมดา แต่มันกลับจับหัวใจของผมอย่างประหลาด เหมือนกำลังมองแมวตัวเป็นๆ

    ผมแกะประกาศนั้นสอดเอาไว้ในสมุดเล่มหนึ่ง เจ้าของประกาศแผ่นนี้ถ่ายเอกสารไว้หลายแผ่น ถ้าหายไปสักแผ่นคงไม่เป็นไร แล้วอีกอย่างถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากช่วยตามหาแมวตัวนี้ด้วยเหมือนกัน

     

     

    หลังเลิกเรียนพี่กับกลุ่มเพื่อนพี่ไปกินแฮมเบอร์เกอร์กันที่ร้านประจำ ปกติผมจะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปด้วย แต่วันนี้พี่อารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยให้ผมตามมาได้

    พี่กับเพื่อนๆ สั่งเบอร์เกอร์กันมาคนละชิ้น เหลือแค่ผมคนเดียวที่ได้แต่มองเมนูตาละห้อยเพราะไม่มีเงินติดตัวเลยสักวอน ปกติแม่ไม่ให้เงินผมมาโรงเรียน เวลาจะกินข้าวเลยต้องอาศัยพี่ซื้อให้ อาหารที่พี่ไม่ชอบหรือกินไม่หมดคืออาหารของผม ครั้งนี้ก็คงจะเหมือนกัน

    เพื่อนของพี่หันมองผมด้วยสายตาแฝงคำถามว่าผมไม่สั่งอะไรกับเขาบ้างเหรอ แต่ผมก้มหน้าหลบตา

    หลังจากได้อาหารครบถ้วนพวกเราก็มานั่งกินกันที่โต๊ะของร้านที่จัดให้ลูกค้ารับลมข้างนอก เพื่อนของพี่สองคนและพี่ต่างก็กินเบอร์เกอร์ของตัวเองอย่างเอร็ดอร่อย มีแค่ผมที่ได้แต่นั่งมอง

    “ซองมิน ฉันไม่ชอบกินมะเขือเทศ นายเอาไปสิ” พี่ซองยูยื่นชิ้นมะเขือเทศให้ผมที่รับไปกินด้วยท่าทางดีใจ เพื่อนของพี่มองหน้ากันเลิ่กลั่กเพราะไม่คิดว่าพี่จะทำแบบนี้ ซ้ำปฏิกิริยาของผมยังดูจะเอร็ดอร่อยกับของเหลือของพี่ด้วย

    “ทำแบบนี้จะดีเหรอซองยู” เพื่อนของพี่ถาม แต่พี่หัวเราะร่าตอบว่าไม่เป็นไร เพราะเป็นเรื่องปกติ

    “มากกว่านี้ก็ยังได้ ดูนะ” พี่พูดเสริมแล้วกัดเบอร์เกอร์เข้าปากคำโต เคี้ยวอยู่สองสามครั้งแล้วคายออกมาใส่มือ ยื่นให้ผม “กินสิซองมิน”

    ผมหยิบเศษอาหารในมือพี่มากินอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนเดิมโดยไม่มีทีท่าจะรังเกียจ เรียกเสียงหัวเราะด้วยความพอใจจากพี่ได้ดังลั่น ในขณะที่เพื่อนสนิทอีกสองคนนั่งทื่อทำอะไรไม่ถูกเพราะยังตกใจไม่หาย

    “บอกแล้วไง น้องชายของฉันน่ะทำได้ทุกอย่างที่ฉันอยากให้ทำ” พี่คุยอวด ผมยิ้มกว้างแล้วกลับมานั่งก้มหน้าเหมือนเดิม “เอาล่ะ ฉันอิ่มละ ที่เหลือนายก็จัดการด้วยละกันนะซองมิน” พี่พูดก่อนจะหันมาดึงแขนเพื่อนเดินจากไป ทิ้งผมไว้กับเศษขนมปังเบอร์เกอร์เหลือๆ

    พอพ้นสายตาพี่ ผมก็ปล่อยน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ออกมา สำหรับพี่ผมไม่ใช่น้องชาย แต่เป็นแค่ตัวตลกเอาไว้ทำให้พี่หัวเราะมีความสุขแค่นั้นสินะ ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อให้พี่พอใจ ยอมกินอาหารที่พี่ไม่ชอบ ยอมแม้กระทั่งกินเศษอาหารที่พี่คายทิ้ง แต่พี่ก็ไม่เคยเห็นผมเป็นน้องเลย

    ผมลุกขึ้น เดินออกจากร้านโดยไม่แตะเศษขนมปังที่พี่ทิ้งเอาไว้ให้ด้วยความสมเพช

     

    ผมเดินมาเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดหมายจนมาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะที่อยู่แถวบ้าน ความคุ้นเคยกับสถานที่เพราะเป็นทางผ่านกลับบ้านทุกวันทำให้ผมเดินมาตรงนี้โดยไม่รู้ตัวเลย ผมอ้อยอิ่งเดินเล่นแถวนั้น เพราะรู้ว่าวันนี้พี่จะไปดูหนังกับเพื่อน กว่าจะกลับก็คงอีกนาน เดินไปเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงแมวร้อง ผมจึงหยุดเดินและเหลียวมองว่าเสียงมาจากไหน

    มองซ้ายก็แล้ว มองขวาก็แล้วก็ยังไม่เห็นแมวสักตัว เงยหน้าขึ้นไปถึงได้เห็นว่าต้นเสียงอยู่บนต้นไม้

    แค่เห็นครั้งแรกก็จำได้ทันทีโดยไม่ต้องดูภาพ เจ้าแมวน้อยจอมซนที่ปีนขึ้นต้นไม้แล้วลงมาไม่ได้นี้เป็นตัวเดียวกับที่มีคนลงประกาศตามหา แต่เพื่อความแน่ใจผมจึงหยิบประกาศที่แอบเอามาด้วยเมื่อเช้ามาเทียบดูให้เห็นกันชัดๆ ไปเลย

    ไม่ผิดแน่ ลูกแมวสีขาว ปลายหางสีดำเหมือนในรูปไม่ผิดเพี้ยน นี่แหละคือเจ้าฮยาคุ!

    ผมทิ้งข้าวของที่หอบไว้ลงกับพื้นแล้วค่อยๆ ปีนขึ้นต้นไม้ ออกจะทุลักทุเลหน่อยเพราะปกติผมไม่ค่อยออกกำลังกาย แต่สุดท้ายก็เอาตัวเจ้าลูกแมวตัวปัญหาลงมาได้จนได้

    เหลือแค่เอาไปคืนเจ้าของ….

    ผมปล่อยเจ้าฮยาคุลงพื้นแล้วหยิบกระดาษประกาศที่ทิ้งลงพื้นเมื่อครู่ขึ้นมาดูที่อยู่ที่ทิ้งไว้ให้ เจ้าฮยาคุก็ไม่หนีไปไหน เดินคลอไปเคลียมาตามขาผมจนจั๊กกะจี้

    “แถวบ้านนี่นา” ผมพึมพำเบาๆ ที่อยู่ของเจ้าของแมวตัวนี้อยู่ซอยตรงข้ามอพาร์ตเมนท์ที่ผมอยู่พอดี แต่เป็นที่ที่ผมไม่เคยย่างกรายเข้าไปเลย เห็นทีวันนี้คงได้เปิดหูเปิดตาเพราะพาแมวไปส่งเนี่ยแหละ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×