ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]The Sixth Senseสัมผัสรัก สื่อวิญญาณKyuMin,KiHae,YeRyeo

    ลำดับตอนที่ #12 : Part 10 พบกันอีกครั้ง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.77K
      4
      27 ม.ค. 55

     
    Part 10 พบกันอีกครั้ง

     

                คยูฮยอนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานอย่างเหนื่อยอ่อน ทั้งที่ตอนนี้เพิ่งจะเช้าและเขายังไม่ได้เริ่มงานเลยเสียด้วยซ้ำแต่ก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยราวกับตรวจคนไข้มาแล้วเป็น 100 คน สาเหตุก็คงเป็นเพราะช่วงนี้เขาพักผ่อนไม่ค่อยเพียงพอ

     

                ตั้งแต่กลับมาที่เกาหลีจนตอนนี้ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว คยูฮยอนรู้สึกว่าตัวเองนอนหลับไม่สนิทเลย แทบจะทุกคืนที่เขาสะดุ้งตื่นกลางดึกโดยไม่มีเหตุผล บางคืนก็รู้สึกอึดอัดแน่นหน้าอกหายใจไม่สะดวก แรกๆ เขาโทษว่าคงจะเป็นเพราะร่างกายยังไม่ชินกับสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศของเกาหลี แต่นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ยังจะปรับตัวไม่ได้อีกหรือ

     

                ชายหนุ่มปวดตุบๆ บริเวณท้ายทอยจนต้องใช้กำปั้นทุบเบาๆ เป็นอาการของคนพักผ่อนไม่เพียงพอ บางทีในใจเขาคงจะมีเรื่องเครียดบางอย่างถึงทำให้นอนหลับได้ไม่สนิท

     

                “ผมไม่รู้ว่าคุณไปทำอะไรมา แต่คุณกำลังถูกวิญญาณผู้หญิงที่มีความอาฆาตแรงตามอยู่ บางทีเธออาจจ้องจะเอาชีวิตคุณ”

     

                อยู่ๆ คำพูดของซองมินที่เคยได้ฟังเมื่อหลายวันก่อนก็แล่นวาบเข้ามาในหัว

     

                “ไร้สาระน่า ผีไม่มีในโลกซะหน่อย” คยูฮยอนพึมพำ หัวเราะแห้งๆ ในลำคอกลบเกลื่อนความคิดประหลาดๆ ที่ว่าบางทีอาการทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขานั้นเกิดจากวิญญาณอาฆาตอย่างที่ซองมินพูด

     

                มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ทั้งชีวิตเขาไม่เคยเชื่อเรื่องอะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นจิตแพทย์ที่ต้องทำงานเกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์ที่สลับซับซ้อนและบางเรื่องก็จับต้องไม่ได้ แต่มันก็ยังพอมีพื้นฐานอยู่บนหลักการที่น่าเชื่อถือ ไม่ใช่เรื่องผีสางนางไม้ที่เอาไว้ใช้หลอกเด็ก คำพูดเพ้อเจ้อของคนไข้ที่มีอาการทางจิตแบบนั้นไม่มีน้ำหนักเลยแม้แต่น้อย

     

                คยูฮยอนยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ พยายามทำจิตใจให้ปลอดโปร่งเพื่อรับคนไข้คนแรกที่กำลังจะมาพบตามนัด ชายหนุ่มเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบแฟ้มประวัติคนไข้แต่สร้อยห้อยจี้ไม้กางเขนเงินที่วางอยู่ข้างกันกลับดึงดูดสายตาของคุณหมอหนุ่มแทน

     

                สร้อยที่ซองมินกำชับกำชาว่าให้ใส่ตลอดเวลา

     

    แต่เพราะเขาเป็นคนไม่ชอบสวมเครื่องประดับ สร้อยเส้นนี้จึงถูกนำมาใช้แค่เวลาที่ต้องการจะพบหน้าซองมินเพื่อให้คนไข้แสนรั้นคนนั้นพอใจเท่านั้น แต่ก็น่าแปลก ทุกครั้งที่เขาสวมสร้อยเส้นนั้นอยู่กลับรู้สึกว่าร่างกายโปร่งโล่งสบาย อะไรบางอย่างที่กดทับให้รู้สึกอึดอัดก็มลายหายไป แต่ชายหนุ่มก็ปัดข้อสงสัยนั้นทิ้งด้วยการตีความตามหลักจิตวิทยาว่าการที่เขาสวมสร้อยเส้นนั้นแล้วรู้สึกสบายใจก็คงจะเป็นเพราะอุปาทานไปเองแล้วใช้สร้อยเส้นนั้นเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ บางทีเขาอาจจะถูกซองมินกล่อมจนทำให้จิตใต้สำนึกลึกๆ เชื่อไปแล้วว่าสร้อยเส้นนี้จะช่วยเขาได้ ทุกครั้งที่สวมมันจึงทำให้รู้สึกดีขึ้น มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

     

    แต่เขาก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าตนเองมีปัญหาอะไรถึงได้รู้สึกหดหู่และอึดอัดแปลกๆ แบบนี้

     

    เห็นทีสักวันเขาคงต้องไปหาหมอเหมือนกัน….

     

     

     

     

                ซองมินนั่งนิ่งจนเกร็ง ในขณะที่คุณหมอประจำตัวชั่วคราวใช้สเตทโตสโคปฟังเสียงหัวใจ หากเป็นทุกครั้งกับหมอประจำตัวคนเดิมซองมินคงจะไม่แสดงอาการหวาดเกรงมากขนาดนี้

     

                “หัวใจเต้นปกติดี ไข้ก็ไม่มี สภาพร่างกายโดยรวมไม่เป็นอะไรนะครับ ช่วงนี้คุณเป็นยังไงบ้าง รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า” คยูฮยอนถามเสียงนุ่ม พลางจดผลการตรวจร่างกายทั่วไปของซองมินไปด้วย

     

                “ผมไม่เป็นอะไร” ซองมินตอบเสียงเบา ก้มหน้ามองฝ่ามือตนเองเพราะไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหน

     

                “คุณมีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า” คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษในมือ มองหน้าซองมิน สายตาฉายแววแปลกใจ ปกติอีซองมินไม่ได้มีท่าทีแบบนี้ เขารู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่ตอนตรวจร่างกายแล้ว ตอนแรกเขาก็คิดไปเองว่าซองมินดูกลัวๆ เขา แต่การแสดงออกของซองมินตอนนี้ ทั้งหลบสายตา ไม่กล้าพูดจาตรงๆ เหมือนทุกคราว ซ้ำไม่ต่อปากต่อคำแบบเดิม มันดูแปลกไปจริงๆ

     

                “ผมสบายดี อันที่จริงคุณไม่ต้องลำบากทำแบบนี้ก็ได้ ผมไม่ได้เป็นอะไร” ซองมินพูดกับมือตัวเอง ยังไม่ยอมมองหน้าคุณหมอหนุ่มผู้เป็นคู่สนทนา

     

                “ผมเป็นหมอ มีหน้าที่ต้องดูแลคนไข้ ในเมื่อผมรับปากกับคุณหมอชินว่าจะดูแลคุณระหว่างที่ท่านไม่อยู่ผมก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถ้าคุณมีเรื่องไม่สบายใจ คุณสามารถพูดคุยกับผมได้ทุกเรื่องเหมือนกับผมเป็นหมอประจำตัวของคุณ มันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องรับผิดชอบคุณอยู่แล้ว”

     

                ซองมินเผลอเงยหน้าขึ้นสบสายตาคมที่ฉายแววจริงจังเหมือนคำพูดก่อนจะหลบตากลับมาจ้องมือของตนเองต่อ แล้วส่ายหน้าช้าๆ ปฏิเสธว่าเขาไม่มีอะไรให้ปรึกษาจริงๆ เพราะถึงพูดไปผู้ชายคนนี้ก็ไม่เชื่ออยู่ดี และอีกอย่าง เขาไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องของคยูฮยอนอีก แค่นี้ชีวิตของเขาก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว

     

                “คุณอีซองมินครับ ตอนนี้ผมอยู่ในฐานะหมอที่จะช่วยรักษาคุณ ไม่ใช่ผู้ชายกวนประสาทที่คอยเอาแต่แกล้งให้คุณรำคาญเหมือนเดิม ได้โปรดเชื่อใจผมเถอะนะ”

     

                เอาอีกแล้ว ด้านที่จริงจังของคยูฮยอนกำลังทำให้ซองมินหวั่นไหว ผู้ชายคนนี้ดูเป็นห่วงเป็นไยคนไข้อย่างเขาเสียจนไม่น่าเชื่อว่าจะร้ายกาจถึงกับทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องจบชีวิตลง แต่เพราะความจริงข้อนี้ทำให้ซองมินยังคงยืนกรานปฏิเสธว่าตนเองไม่เป็นอะไร ทั้งที่อาการของเขาตอนนี้มันบ่งชี้ชัดเจนว่ามีอะไรในใจ

     

                “คุณมีปัญหาอะไรกับผมหรือเปล่า” คยูฮยอนตัดสินใจถามออกไปตรงๆไม่อ้อมค้อม

     

                “เปล่าครับ” ซองมินตอบเพียงคำเดียว และไม่ต่อบทสนทนาอีก

     

                “ถ้าเป็นเรื่องที่ผมทำกับคุณเมื่อวาน ผมก็ขอโทษคุณจริงๆ ผมจำเป็นต้องทำ หวังว่าคุณจะเข้าใจ” คยูฮยอนพูดก่อนจะเงียบไปเพื่อรอให้ซองมินตอบกลับอะไรมาบ้าง

     

                “ครับ” เพียงเท่านั้นจริงๆ คำตอบรับของผู้เป็นคนไข้

     

                ถ้าเป็นเรื่องที่คยูฮยอนฉีดยาระงับประสาทแถมยังสั่งมัดเขาเสียแน่นหนา ซองมินก็อาจจะเคืองอยู่บ้าง แต่สาเหตุที่ทำให้เขามีท่าทีห่างเหินเกินปกติกับคุณหมอผู้นี้มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ซับซ้อนกว่านั้น เขาไม่อยากกลับไปฝันเห็นหญิงสาวผู้นั้นอีก และที่สำคัญเขาไม่ต้องการจะเกี่ยวข้องกับคยูฮยอนอีกแล้วไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม

     

                “คุณซองมิน” ได้เพียงแค่เอ่ยชื่อ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ ชายหนุ่มทั้งสองที่อยู่ในห้องหันไปมองที่ประตู เป็นรยออุคผู้เป็นน้องชายของซองมินนั่นเอง

     

                “รยออุค!” ซองมินมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าใครมาเยี่ยม รยออุคก้มหัวทักทายคยูฮยอนเล็กน้อยแล้วเดินผ่านไปเกาะขอบเตียงซองมิน

     

                “พี่ซองมิน เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนรึเปล่า” รยออุคพูดพลางจับเนื้อจับตัวซองมินดู

     

                “ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่สบายดี!” ซองมินพูดเสียงร่าเริง

     

                สองพี่น้องพูดคุยหัวเราะกันสนุกสนาน คยูฮยอนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินจึงบอกลาและถอยออกมาจากห้อง

     

                พอคยูฮยอนไปแล้ว รยออุคก็แอบเบ้หน้าแลบลิ้นไล่หลัง จึงถูกซองมินตีเผียะเข้าที่ต้นแขน

     

                “ทำตัวไม่น่ารักเลยนะคิมรยออุค”

     

                “พี่ซองมินอ่ะ เจ็บน้า” รยออุคพูดเสียงอ่อยพลางลูบแขนที่ถูกตีป้อยๆ “ผมไม่ชอบหน้าตาหมอขี้เก๊กนั่นนี่นา บังอาจมาทำร้ายพี่ซองมินของผม”

     

                “เขาทำตามหน้าที่น่า”

     

                “คนไม่ได้บ้าก็ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้นี่นา ถ้าเขาเก่งจริงเขาก็ต้องดูออกสิว่าพี่ซองมินเป็นคนปกติ” รยออุคยังคงพูดด้วยความไม่ชอบใจ

     

                “ใครๆ ก็คิดว่าพี่บ้ากันทั้งนั้นแหละ” ซองมินพูดปลงๆ

     

                “จริงสิ! พี่ยังไม่ได้เล่าให้ผมฟังเลยว่าระหว่างที่ผมอยู่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” รยออุครีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นหน้าซองมินเหี่ยวเหมือนผักโดนน้ำร้อนราด

     

                ซองมินถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เป็นสาเหตุทำให้เขาต้องอยู่ในโรงพยาบาลแผนกจิตเวชจนทุกวันนี้

     

     

     

     

                “ไอ้คุณหมอ! นี่ถ้าแกไม่มีปัญหาคงไม่โผล่หน้ามาเจอฉันใช่มั้ย” จงอุนพูดเสียงเจือแววน้อยใจ ก่อนจะดูดกาแฟเย็นจากหลอดพลางมองหน้าชายหนุ่มรุ่นน้องด้วยสายตาเคืองๆ

     

                “โธ่พี่! พี่เป็นที่พึ่งเดียวในชีวิตของผมเลยนะ” คยูฮยอนพูดเสียงอ่อย

     

                เขากับคิมจงอุนเป็นพี่น้องรหัสเดียวกันตั้งแต่สมัยเรียนคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังของเกาหลี จงอุนนั้นอายุมากกว่า 2 ปี แต่ถึงกระนั้น เขากลับสนิทสนมมากกว่าพี่รหัสคนอื่นรวมถึงเพื่อนรุ่นเดียวกันเสียด้วยซ้ำ จนตอนนี้จงอุนก็เข้ามาทำงานในโรงพยาบาลของบิดาของเขาหลังจากที่ทำงานใช้ทุนให้รัฐบาลครบตามกำหนดพร้อมๆ กับเรียนต่อเฉพาะทางด้านศัลยกรรมซึ่งตรงกับช่วงที่เขาก็ไปเรียนต่อเฉพาะทางที่อังกฤษพอดี

     

                “เลยจะมาเจอหน้าแค่ตอนต้องการที่พึ่งใช่มั้ย” จงอุนยังคงบ่นด้วยความน้อยใจ ก็มีอย่างที่ไหนล่ะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน แทนที่จะโผล่หน้ามาให้เห็นบ่อยๆ ดันมาทักแค่ตอนเพิ่งกลับมา เจอกันอีกทีก็ตอนนี้ หลังจากที่ผ่านมาตั้งสองอาทิตย์แล้ว “ว่าแต่แกเถอะ มีปัญหาอะไรวะถึงโทรมาตามฉันตั้งแต่เช้า โชคดีนะที่ไม่มีคนไข้”

     

                เมื่อไม่กี่นาทีก่อน อยู่ๆ คยูฮยอนก็โทรหาจงอุนแล้วนัดให้มาเจอที่ร้านกาแฟเล็กๆ ในโรงอาหารของชั้นแผนกจิตวิทยา ดูมันสิ ตัวเองมีปัญหาแท้ๆ ยังต้องให้เขาเป็นคนไปหาถึงที่

     

                “คือผมมีเรื่องจะปรึกษาพี่ 2 เรื่อง”

     

                “หืม” จงอุนเลิกคิ้ว วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ “หมอโรคจิตอย่างคุณยังจะมาปรึกษาอะไรหมอผ่าตัดอย่างผมวะครับ ผมรู้แต่เรื่องมีดกับเรื่องผ่า คงช่วยคุณหมอไม่ได้หรอกนะครับ” จงอุนพูดด้วยท่าทีประชดประชันเต็มที่

     

                “ผมจริงจังนะพี่! ผมเครียดด้วย” คยูฮยอนพูดพลางส่งค้อนให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ ขัดใจตั้งแต่เรียกเขาด้วยคำกำกวมอย่าง หมอโรคจิตแล้ว เล่นเอาฝ่ายนั้นขนลุกที่เห็นท่าทางแสนงอนเกินชายของคยูฮยอนทั้งที่พ่อคุณนั้นตัวจริงทั้งห่ามทั้งเถื่อน

     

                “เออๆ จะปรึกษาอะไรก็รีบๆ พูดมา”

     

                “คืองี้พี่ เรื่องแรก ช่วงนี้ผมรู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ ไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวเลย เหมือนจะไม่ปกติ”

     

                “เป็นอะไรไปวะ” จงอุนมีท่าทีเป็นห่วงขึ้นมาทันทีที่คยูฮยอนพูดแบบนั้น

     

                “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีผมอาจจะป่วยเป็นโรคอะไรร้ายแรงแล้วยังไม่รู้ตัวก็ได้ เลยอยากจะตรวจดู เผื่อเป็นอะไรจะได้รีบหาทางรักษาก่อน แต่ผมยังไม่รู้จักหมอเก่งๆ เลยซักคน ยังไงขอพี่ช่วยติดต่อให้ผมหน่อยได้มั้ย”

     

                “อืม.. ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนั้นเดี๋ยวฉันจัดการให้ อาจารย์หมอเก่งๆ ในโรงพยาบาลแกมีหลายคนเลย ให้เขาตรวจให้ละเอียด ตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยว่าตกลงแกเป็นอะไรกันแน่” จงอุนพูดด้วยท่าทีจริงจัง เพราะใจจริงเขาก็เป็นห่วงชายหนุ่มรุ่นน้องคนนี้อยู่ไม่น้อย “แล้วอีกเรื่องล่ะ แกมีปัญหาอะไร”

     

                “เรื่องแรกมันปัญหาทางกาย แต่เรื่องนี้ปัญหาทางใจ ป่วยกายไม่เท่าไหร่ แต่ป่วยใจนี่สิหนักกว่า”

     

                จงอุนถึงกับสำลักกาแฟที่เพิ่งจะดูดเข้าปากเมื่อได้ยินคำพูดเสี่ยวๆ ของคยูฮยอน ไหนจะยังท่าทีเพ้อๆ ของมันอีกล่ะ

     

                “ไปปิ๊งใครเข้าอีกล่ะ” จงอุนพูดด้วยท่าทีหน่ายๆ

     

                “พี่ถ้าเราจะชอบคนไข้นี่ถือว่าผิดจรรยาบรรณมั้ย” คยูฮยอนถาม

     

                “ก็ไม่นะ มีถมเถไปที่คนไข้กับหมอรักกัน หมอกับพยาบาลยังรักกันได้ แม้แต่ลูกศิษย์แต่งงานกับอาจารย์ก็ยังมีเลย อย่าบอกนะว่าแกไปตกหลุมรักคนไข้ เลยมานั่งกลุ้มใจแบบนี้”

     

                “มันก็ไม่เชิงหรอกพี่ แต่พี่ก็รู้นี่ว่าผมเป็นหมออะไร” คยูฮยอนพูดกลุ้มๆ

     

                “แกชอบคนไข้แผนกตัวเอง?” คนไข้แผนกของคยูฮยอนก็คือคนไข้ที่มีอาการทางจิตนั่นเอง

     

    และเมื่อคำตอบของคยูฮยอนคือการพยักหน้า จงอุนจึงพูดต่อ

     

                “แกกลุ้มใจเพราะเขามีปัญหาทางจิต แกกลัวว่าสังคมจะไม่ยอมรับ กลัวว่าที่บ้านจะไม่เห็นด้วย อะไรแบบนี้เหรอ” จงอุนถาม

     

                “มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก พี่ก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง ผมไม่แคร์หรอกว่าใครจะมองแบบไหน แล้วถึงครอบครัวผมไม่ยอมรับ แต่ถ้าผมรักเขาจริงก็ไม่มีใครห้ามผมได้หรอก”

     

                “แล้วแกกังวลอะไรล่ะวะ” จงอุนชักรำคาญที่คยูฮยอนยังไม่ยอมพูดตรงประเด็นเสียที จึงเผลอเร่งเสียงดังขึ้น

     

                “ผมกับเขามีความคิดบางอย่างที่ขัดแย้งกัน ผมกลัวว่าซักวันหนึ่งมันจะเป็นปัญหา” คยูฮยอนตอบ นึกไปถึงคนไข้หน้าหวานที่เชื่อในเรื่องผีสางนางไม้ ถึงกับบอกว่าเขามีวิญญาณตาม ซึ่งเรื่องพวกนั้นเขากลับมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระและไม่เคยยอมรับเลย

     

                “แต่ถ้าเรื่องนั้นมันไม่ทำให้แกรู้สึกไม่ดีเวลาเจอหน้าเขา ถ้าเขายังทำให้แกมีความสุขเวลาอยู่ใกล้ มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา หรือว่าแกยังรับเขาไม่ได้เพราะเรื่องที่ว่านี่”

     

                “แค่เรื่องนี้มันไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ผมรู้สึกว่าเขากำลังปิดกั้นตัวเองจากผม ไม่ใช่ว่าเกลียดหรือไม่ชอบหน้า แต่เหมือนเขาพยายามจะสร้างกำแพงกันผมไม่ให้เข้าไปใกล้ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เป็นแบบนี้ ผมอยากจะถาม อยากจะรู้ความคิดของเขา แต่เขาก็คงไม่ยอมตอบ” คยูฮยอนพูด สีหน้าและท่าทางหนักใจ ดูจะเครียดกับเรื่องนี้มากกว่าปัญหาสุขภาพที่ปรึกษาเป็นเรื่องแรกเสียอีก

     

                ท่าทางคนนี้จะชอบจริงจัง

     

                “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่รู้จะช่วยอะไรแล้วล่ะว่ะ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่แก แต่มันอยู่ที่เขา บางทีเขาอาจจะมีความหลังฝังใจเกี่ยวกับความรักก็ได้ถึงไม่ยอมเปิดใจให้แก ไหนๆ ก็เป็นจิตแพทย์ทั้งทีก็ช่วยเยียวยารักษาแผลใจเขาด้วยเลยสิวะ”

     

                “เฮ้อ..ไม่รู้สิ” คยูฮยอนถอนใจยาว ยกแก้วกาแฟร้อนขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ ไม่รู้เพราะอะไรแต่เขาคิดว่ามันน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น ความรู้สึกของเขามันบอกจากท่าทีหวาดเกรงเขาของซองมิน

     

                “คนไข้แผนกแกนี่คงจะมีน่ารักๆ อยู่หลายคน” อยู่ๆ จงอุนก็พูดขึ้นมา คยูฮยอนจึงละจากความคิดของตนเองเหลือบสายตามองชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ยิ้มลอยๆ พิกล

     

                “อย่าบอกนะว่าพี่” คยูฮยอนพูดพลางชี้หน้าจงอุนอย่างจับผิด

     

                “อะไรๆ รีบๆ กินเข้าไปเลย ฉันมีเคสต้องไปผ่าตัดต่อ” จงอุนตัดบทแก้เขินที่เห็นสายตารู้ทันด้วยการผลักจานเค้กที่แทบจะไม่พร่องลงไปเลยเข้าไปใกล้คยูฮยอน

     

                “ติดเคสผ่าตัดอะไรล่ะ ผมถามจากพยาบาลหมดแล้วว่าพี่ว่างทั้งเช้าเลย บอกหน่อยสิว่าพี่ไปปิ๊งใครเข้า เผื่อผมรู้จักจะได้ช่วยแนะนำไง” คยูฮยอนยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นเต็มที่

     

                “นี่แน่ะ! ปิ๊งเปิ๊ง..อะไรเล่า ไอ้นี่นิ” ดีดหน้าผากพ่อน้องชายตัวดีก่อนจะหันหน้าหลบไปอีกทาง พยายามปั้นหน้าขรึมเต็มที่

     

                “ในที่สุดพี่เยซองจะมีความรักกับเขาแล้วเหรอเนี่ย….” คยูฮยอนยังคงแซวต่อไป คุณหมอผู้ตกเป็นหัวข้อสนทนาไปไม่เป็นได้แต่หน้าแดงแล้วหน้าแดงอีกแต่ก็แกล้งกลบเกลื่อนด้วยการทำเป็นโกรธแล้วลุกเดินหนีไปหน้าตาเฉย

     

                “อ้าว! สรุปมื้อนี้เราเลี้ยงเหรอเนี่ย พี่เยซองเนี่ยน้า เนียนอย่างนี้ทุกทีเลย” คยูฮยอนพึมพำกับตัวเองเบาๆ มองตามหลังชายหนุ่มรุ่นพี่พลางส่ายหน้าแล้วยิ้ม

     

                คิมจงอุนหรือเยซองผู้อ่อนหัดเรื่องความรักในที่สุดก็มีใครมาทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยเสียที ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ทั้งที่เป็นคนจัดว่าหน้าตาดีและป๊อบในมหาลัยพอสมควรเพราะเป็นถึงนักศึกษาแพทย์ แถมยังเป็นนักร้องประจำวงของคณะจนได้ชื่อเล่นอีกชื่อที่ทุกคนเรียกว่า เยซอง ซึ่งแปลว่า เส้นเสียงที่ไพเราะ แต่ก็น่าแปลกทั้งที่มีตัวเลือกมาให้ชายหนุ่มเลือกมากหน้าหลายตาแต่คิมจงอุนก็ไม่เคยสนใจใครเลย อ้างว่ายังไม่เจอคนที่ใช่บ้าง อยากจะตั้งใจเรียนกับร้องเพลงเท่านั้นบ้าง เดาได้ไม่ยากว่าทั้งชีวิตเจ้าตัวคงยังไม่เคยมีแฟน

     

                แต่คราวนี้คงถึงเวลาบอกลาชีวิตโสดที่หวงไว้ถึง 27 ปีเสียที

     

                ในขณะที่น้องรหัสผู้อ่อนกว่า 2 ปีอย่างคยูฮยอนก็เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี แถมยังมีดีกรีลูกชายผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังพ่วงท้าย และก็ยังเป็นนักร้องประจำรุ่นอีกคนของคณะ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นที่หมายปองของใครหลายคนไม่ต่างจากจงอุนแต่จะต่างกันก็ตรงที่ว่า คยูฮยอนนั้นใช้ชีวิตวัยรุ่นเสียคุ้มค่า เรียนๆ เล่นๆ มีคนเคียงข้างกายไม่เคยขาด เพิ่งจะหันมาจริงจังกับชีวิตก็ปาไปช่วงปีท้ายๆ ของการเป็นนักศึกษาคณะแพทย์แล้ว แต่ชายหนุ่มก็ทำผลการเรียนเป็นที่น่าพอใจ ถึงจะไม่ใช่อันดับ 1 ของรุ่น ไม่ได้เกรดเอทุกเทอม แต่ก็ไม่ทำให้ผู้เป็นบิดาและครอบครัวต้องเสียชื่อ

     

                จนตอนนี้ก็จบเป็นหมอแล้วทั้งคู่ แม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีแล้วแต่ความเป็นพี่เป็นน้องที่มีให้กันมาก็ยังไม่เลือนหายไป ถึงแม้เขาอาจจะเกเรนอกลู่นอกทางไม่ยอมมาให้เห็นหน้าจนรุ่นพี่หนุ่มแอบน้อยใจไปบ้างก็เถอะ

     

     

     

     

                คิมจงอุนเดินอมยิ้มจนแก้มตุ่ยเมื่อนึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่กับคยูฮยอนที่ตอนแรกก็เป็นเรื่องของเจ้าตัวที่กลุ้มใจแล้วมาปรึกษา แต่เอาไปเอามาดันวกมาคุยเรื่องของเขาจนได้ สุดท้ายนอกจากจะไม่ช่วยแนะนำอะไรให้รุ่นน้องหนุ่มตัวแสบแล้ว ยังโดนมันรู้ทันอีกต่างหาก

     

                คิมจงอุนคงไม่รู้ว่านอกจากตัวเองจะยิ้มแล้วหน้าก็ยังขึ้นสีจางๆ เพราะความเขินอายจากคำแซวของคยูฮยอน

     

                “ในที่สุดพี่เยซองจะมีความรักกับเขาแล้วเหรอเนี่ย

     

                เขายังไม่รู้เลยว่าไอ้ความรู้สึกที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้จะเรียกว่ารักได้หรือเปล่า รู้แต่เพียงว่ารู้สึกดีที่ได้เห็นหน้าคนๆ นั้น

     

                โดยที่ไม่รู้ตัว จงอุนก็มาหยุดอยู่หน้าประตูกระจก ทางเข้าแผนกจิตเวชแล้วเพราะเป็นทางผ่านจากโรงอาหารเพื่อไปขึ้นลิฟต์ ไหนๆ ก็ผ่านมาถึงแล้ว เขาน่าจะไปเยี่ยมคนไข้คนสำคัญคนนั้นเสียหน่อย

     

                “อ้าวคุณหมอคิม! สวัสดีค่ะ มาทำอะไรแถวนี้คะเนี่ย” พยาบาลที่รู้จักกันเพราะเคยทำงานที่ชั้นที่เขาประจำอยู่ร้องทัก จงอุนจึงส่งยิ้มให้อย่างมีไมตรี

     

                “พอดีมาทานข้าวแถวนี้น่ะครับก็เลย….

     

                “อ้อ….มาเยี่ยมคุณซองมินเหรอคะ แต่ว่าเมื่อวานคุณซองมินเพิ่งจะอาการกำเริบนี่เอง น่าสงสารเชียวค่ะ ทั้งที่อุตส่าห์ไม่แสดงอาการอะไรเลยมาได้ตั้งปีจนดิฉันคิดว่าเขาใกล้จะหายดีจนได้กลับบ้านอยู่แล้ว แต่เป็นคุณซองมินนี่ก็น่าอิจฉานะคะมีแต่คนมาเป็นห่วง” พยาบาลสาวชวนคุยไปตามเรื่อง รู้ว่าถ้าคุณหมอคิมผู้นี้มาป้วนเปี้ยนแถวแผนกจิตเวชก็คงไม่พ้นมาเยี่ยมคนไข้หนุ่มหน้าหวานที่ชื่อซองมินเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่นี่ แต่สิ่งที่เธอพูดกลับทำให้คุณหมอหนุ่มที่กำลังอารมณ์ดีถึงกับใจเสียเพราะความเป็นห่วงจนมองข้ามประโยคหลังของพยาบาลที่บอกเป็นนัยๆ ให้รู้ว่าเขามีคู่แข่งเสียแล้ว

     

                “คุณซองมินอาการกำเริบ?”

     

                “ค่ะ แต่ว่าตอนนี้….

     

                ยังไม่ทันที่พยาบาลจะพูดจบประโยคด้วยซ้ำว่าซองมินกำลังมีญาติมาเยี่ยม คุณหมอหนุ่มผู้ใจร้อนก็เอ่ยคำขอบคุณแล้วรีบเดินหายเข้าไปในส่วนของห้องพักผู้ป่วย

     

                “เฮ้อ…! ไปซะละ รีบๆ ทำคะแนนเข้านะคะคุณหมอคิม เดี๋ยวถูกคุณหมอโจวนำไปก่อนจะแย่เอา” เอ่ยเบาๆ พลางมองตามแผ่นหลังในเสื้อกาวน์สีขาว

     

     

     

     

    “บ้าที่สุดเลย!! ทำไมคนพวกนั้นถึงทำแบบนี้ได้นะ ผมจะแจ้งตำรวจ!” รยออุคลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ สายตากราดเกรี้ยวไม่พอใจ หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของซองมิน

     

                “ช่างเขาเถอะรยออุค อย่าให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่เลย” ซองมินพูด ดึงแขนน้องชายเลือดร้อนให้นั่งลงตามเดิม ร่างเล็กยอมนั่งลงก็จริงแต่ก็ยังคงความไม่พอใจไว้เหมือนเดิม

     

                “ได้ไงอ่ะ! เขาทำให้พี่ติดแหง็กในโรงพยาบาลบ้าตั้งปีนึงแถมยังแย่งทุกอย่างที่ควรจะเป็นของพี่ไปหน้าด้านๆ แบบนี้ ยังไงผมก็ไม่ยอมหรอก”

     

                “เราไม่มีหลักฐานว่าพวกเขาเป็นคนทำเสียหน่อย แล้วอีกอย่างถึงเขาทำจริงก็ดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ฆ่าพี่ทิ้ง ยังอุตส่าห์ให้มากินดีอยู่ดีในโรงพยาบาล สบายจะตาย”

     

                เชื่อเขาเลย รยออุคล่ะอ่อนใจกับความเป็นคนมองโลกในแง่ดีจนเกินไปของซองมินจริงๆ ถึงจะถูกทำร้ายขนาดนี้ซองมินก็ยังหาเหตุผลมาปกป้องแม่เลี้ยงใจร้ายของตัวเองได้

     

                “ไม่ฆ่าแต่ก็ทำให้เหมือนเป็นบุคคลไร้ความสามารถเพื่อจะเข้ามาฮุบสมบัติเนี่ยนะ เหอะ!” รยออุคพ่นลมออกทางจมูก ความคิดนี้ก็คงไม่พ้นเป็นของโกยองอุคสินะ คิดถึงผู้ชายคนนั้นแล้วรยออุคก็รู้สึกระคายในใจอย่างบอกไม่ถูก

     

                “ช่างเถอะๆ รยออุค อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้แย่อะไรเสียหน่อย อีกอย่างพี่ก็ไม่ได้อยากได้สมบัติพวกนั้นอยู่แล้ว แม้แต่หน้าพ่อพี่ยังจำไม่ได้เลย พี่ไม่อยากได้ของของเขา” ไม่ใช่ว่าเพราะเกลียดชังผู้เป็นพ่อที่ทอดทิ้งตนกับแม่ แต่ซองมินรู้สึกว่าตนเองไม่มีสิทธิในทรัพย์สมบัติมหาศาลของอีซองฮวาเพราะทั้งชีวิตเขายังไม่เคยอะไรดีๆ ให้พ่อในฐานะที่ลูกพึงกระทำเลยสักครั้ง แค่จำหน้าพ่อตัวเองไม่ได้ซองมินก็รู้สึกละอายแล้ว

     

                “ไม่ได้แย่อะไรงั้นเหรอ พี่ยอมรับได้เหรอที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนบ้าทั้งที่พี่ก็ไม่ได้เป็น”

     

                “ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่ มันแตกต่างจากเมื่อก่อนตรงไหนเหรอ ในเมื่อใครๆ ก็มองว่าพี่บ้ามาตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงพยาบาลอยู่แล้ว” ซองมินพูดเสียงนิ่ง แต่เพราะความที่สนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี รยออุคจึงรู้ว่ามีความน้อยเนื้อต่ำใจเคลือบแฝงในท่าทีเฉยชานั้นอยู่

     

                แต่ไหนแต่ไรมาซองมินมักถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดในสายตาผู้อื่นเสมอ เพราะความสามารถพิเศษที่ไม่ได้อยากให้มี ต่อให้เขาจะแกล้งวางเฉยทุกครั้งที่เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น สัมผัสในสิ่งที่ไม่มีใครรับรู้ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝืนทนได้ทุกครั้ง เขาไม่ใช่คนจิตแข็งเพียงพอที่จะมองภาพน่าสยดสยองของวิญญาณบางตนได้โดยยังมีท่าทีไม่รู้สึกรู้สาอะไร เมื่อตอนเด็กๆ ที่ยังควบคุมตัวเองไม่ได้ขนาดนี้บ่อยครั้งเมื่อเขาเห็นบางสิ่งจึงกรีดร้องแสดงท่าทีหวาดกลัวจนแม้แต่ผู้เป็นแม่ยังเคยพาเขาไปพบจิตแพทย์เสียด้วยซ้ำ แต่ก็โชคดีที่ภายหลังเฮรินรวมถึงตากับยายก็เข้าใจถึงสัมผัสพิเศษที่ซองมินมี ชีวิตของซองมินจึงมีแค่แม่ ตา ยาย และรยออุคเท่านั้นที่ยังเห็นว่าเขาเป็นคนปกติไม่ใช่สัตว์ประหลาดอย่างที่เพื่อนร่วมห้องที่โรงเรียนมอง ด้วยเหตุนี้ซองมินจึงไม่เคยมีเพื่อนสนิท มีแค่ตัวเขากับครอบครัวเท่านั้น

     

                แต่พอมาอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แม้จะยังถูกมองด้วยสายตาแสดงความรังเกียจหรือหวาดกลัวจากคนรอบข้างเหมือนเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีเพื่อน เขายังสามารถพูดคุยกับพยาบาลหรือหมอในโรงพยาบาลได้อย่างสนิทสนมเพราะคนเหล่านั้นล้วนมองว่าซองมินอยู่ที่นี่ในฐานะคนไข้ ไม่ใช่คนที่แปลกแยกจากสังคมเหมือนที่เคยถูกมองมาก่อน นอกจากนี้เขายังสามารถสื่อสารพูดคุยกับวิญญาณได้โดยตรงโดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะมองว่าเขาเป็นบ้าที่พูดคนเดียวเพราะตอนนี้ทุกคนก็เข้าใจกันอย่างนั้นอยู่แล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมซองมินถึงได้ไม่รู้สึกลำบากใจและทนอยู่ในโรงพยาบาลนี้ได้เป็นปีๆ

     

                แต่ดูเหมือนว่ารยออุคจะไม่ได้คิดเหมือนกัน

     

                “ยังไงผมก็ไม่ยอมปล่อยให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้หรอกครับ ผมต้องช่วยพี่ออกไปจากที่นี่ให้ได้แล้วก็ต้องลากคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย รวมถึงคนที่ใช้กฎหมายมาทำเรื่องสกปรกๆ แบบนี้ด้วย” รยออุคพูดพลางกัดฟันกรอด

     

                ซองมินพอจะเข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นน้องชาย นอกจากความเป็นห่วงแล้ว รยออุคคงจะยึดมั่นในจรรยาบรรณอาชีพของตนเองด้วย เขาจึงไม่ได้ขัดอะไรอีก

     

                ก๊อกๆๆ

     

                เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นหันเหความสนใจของรยออุคและซองมิน ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความแปลกใจว่าใครมา เพราะถ้าเป็นพยาบาลหรือคยูฮยอนก็คงจะเปิดประตูเข้ามาหลังจากที่เคาะประตูให้สัญญาณไปแล้ว ไม่เคาะซ้ำหลายรอบแล้วนิ่งรอให้คนมาเปิดแบบนี้

     

                “เดี๋ยวผมไปดูให้ครับ” รยออุคอาสาก่อนจะลุกเดินไปเปิดประตู

     

                ชายหนุ่มที่ยืนรออยู่หน้าประตูด้วยสีหน้ากระวนกระวายทำให้รยออุคเบิกตาโตด้วยความตกใจ ไม่ต่างจากแขกผู้มาเยือนที่มีท่าทีไม่ต่างกัน

     

                “คุณ!!” ต่างฝ่ายต่างร้องออกมา ชี้หน้ากันด้วยไม่คาดคิดว่าจะมาเจอกันอีกที่นี่ตอนนี้

     

                ในความคิดของรยออุค ผู้ชายใส่เสื้อกาวน์สีขาวที่เขาจำชื่อไม่ได้คือคุณหมอใจดีที่อุตส่าห์พาเขามาส่งที่โรงพยาบาล เช่นเดียวกับที่จงอุนมองหนุ่มน้อยร่างเล็กในชุดสูทสีสุภาพเป็นชายหนุ่มที่เขาช่วยเหลือไว้เพราะความสงสาร

     

                แต่ต่างฝ่ายต่างมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?!

                                                                                                                                

    ------------------------------------------------------



    Writer Talks: ตอนนี้อาจจะมีคำผิด มีอ่านไม่รู้เรื่อง งงๆ บ้างนะคะ เพราะไรท์เตอร์แต่งตอนเบลอมากเพราะความง่วงจัด - - อย่างตอนนี้ก็นั่งพิมพ์ทอล์คอย่างเบลอๆ และรวมถึงชื่อตอนตอนนี้ก็ตั้งอย่างเบลอๆ คิดซะว่าเป็นการพบกันอีกครั้งของทั้งคุณหมอโจวกับคุณหมอคิม (ที่เจอกันครั้งแรกตอนตากี้แกเพิ่งกลับมา เรียกได้ว่าถ้าไม่มีปัญหาก็อย่าหวังจะได้เจอ ฮ่าๆๆ) ซองมินกับรยออุค และปิดท้ายด้วยรยออุคกับคุณหมอจงอุนแก  ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีอะไรมีแต่คุยกันเพื่อสร้างความกระจ่างในบางเรื่องและให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของตัวละครแค่นั้นเองค่ะ 
    หวังว่าจะชอบกันนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×