คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Part 1 Love at First Sight
Part 1 Love at First Sight
เด็กหนุ่มรูปร่างอวบอ้วน สวมแว่นตากรอบหนาเตอะเดินจ้ำอ้าวผ่านสนามฟุตบอลที่ตอนนี้ทีมฟุตบอลของโรงเรียนกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ สองมือหอบหิ้วหนังสือพะรุงพะรัง สองขาก็รีบก้าวเร็วๆ ให้พ้นจากเขตของสนามฟุตบอลแห่งนี้ด้วยกลัวเจ้าลูกกลมๆ ที่กำลังลอยไปลอยมาอยู่กลางสนามมันจะพุ่งเข้ามาจู่โจมเข้า
ถึงจะเป็นผู้ชายแต่รยออุคกลับไม่ชอบเล่นกีฬา ไม่ชอบกิจกรรมที่ต้องใช้แรงเยอะหรือเสียเหงื่อมากๆ ที่สำคัญเขายังกลัวลูกบอลเสียอีกต่างหาก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คะแนนวิชาพละศึกษาของเด็กหนุ่มถึงได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนน่าใจหายในขณะที่วิชาอื่นกลับสูงพรวดๆ จนเกือบจะได้เต็ม 100
ทั้งที่ไม่ได้อยากจะเดินเฉียดลัดกรายสนามกีฬาแห่งนี้เลยแต่รยออุคกลับหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมันเป็นทางผ่านทางเดียวระหว่างห้องสมุดกับตึกเรียน เขาจึงจำเป็นต้องกึ่งวิ่งกึ่งเดินผ่านทุกวันด้วยความหวาดระแวงว่าหากนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนยังเตะบอลส่งลูกกันรุนแรงแบบนี้ ซักวันมันคงต้องลอยหวือมาปะทะหัวเขาแน่ๆ
แล้ววันนั้นที่รยออุคกลัวก็คือวันนี้นี่เอง
“เฮ้ย! ระวัง!!”
“อ๊ะ โอ๊ย!!” แรงปะทะจากลูกฟุตบอลที่เข้าหัวอย่างจังทำให้รยออุคเสียหลักล้มหน้าคว่ำดิน กองหนังสือที่หอบมาตกกระจัดกระจายคนละทิศคนละทาง แว่นตาที่สวมอยู่หลุดกระเด็นตกไปแตกอีกทิศก่อนที่เจ้าของมันจะล้มกระแทกพื้น
“ชิบหายแล้วไอ้คยู! กูว่าแล้วไง” เสียงสบถของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงของเด็กหนุ่มสองคนรีบวิ่งเข้ามาดูอาการคนที่โชคร้ายโดนลูกหลงเข้าไปเต็มๆ มีนักฟุตบอลที่เหลือยืนชะเง้อชะแง้มองจากในสนาม
“เหี้ยแล้ว เป็นอะไรรึเปล่าวะ” ชายหนุ่มเจ้าของลูกเตะแรงมหาศาลนั้นพูดขึ้นมาด้วยความกังวลใจ เมื่อเห็นร่างของคนเคราะห์ร้ายนอนคว่ำหน้าไม่ไหวติง
“มึงจะยืนดูอยู่เฉยๆ รึไง มาช่วยกันหน่อยสิ” คนเป็นเพื่อนพูดก่อนที่สองหนุ่มจะช่วยกันพยุงตัวเด็กหนุ่มร่างอ้วนให้นอนหงายเพื่อดูอาการ
“ซวยแล้วไงมึง เลือดออกด้วย กูไม่เกี่ยวนะ”
“ทำไมพูดหมาๆ งี้วะ มึงบอกให้กูส่งลูกให้ กูก็ส่ง ถ้าผิดก็ผิดด้วยกันสิวะ”
“กูบอกให้ส่งให้กู ไม่ได้ให้เตะโด่งออกมานอกสนามจนโดนคน”
บทโต้เถียงคงจะยืดยาวกว่านี้ ถ้านักกีฬาที่เหลือไม่รีบวิ่งมาดูเพราะเห็นท่าไม่ดี แต่พอเห็นคนที่หมดสติไปเมื่อครู่นั้นเริ่มขยับตัว บรรดานักฟุตบอลที่รุมล้อมอยู่จึงเริ่มเบาใจ
“ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะตายไปแล้วซะอีก”
“ถ้าตายมึงก็ติดคุกหัวโตนั่นแหละไอ้คยู”
“ไอ้คิบอม..มึง”
“หยุดๆ หยุดทั้งคู่นั่นแหละ รีบพาเขาไปห้องพยาบาลก่อนเถอะ เดี๋ยวก็ได้ตายจริงขึ้นมาหรอก” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หนึ่งในนักฟุตบอลตัดบทด้วยความรำคาญ เด็กหนุ่มที่ชื่อคยูฮยอนกับคิบอมที่เถียงกันจะเป็นจะตายเมื่อครู่จึงช่วยกันพยุงคนเจ็บให้ลุกขึ้นมา
“เงยหน้าไว้นะ เลือดจะได้ไม่ไหล” คิบอมบอกด้วยความหวังดีเมื่อเห็นเลือดกำเดาของเด็กหนุ่มไหลเปรอะจากจมูกย้อยลงมาตามแก้มเปื้อนไปถึงครึ่งหน้า คงเพราะแรงกระแทกระหว่างที่ล้มหน้าคะมำลงไปบนพื้นทำให้เส้นเลือดที่จมูกแตก
“ม..ไม่เป็นไร” รยออุคพูดเสียงอ่อนระโหย แขนขาอ่อนแรงป้อแป้จนชายหนุ่มทั้งสองต้องช่วยกันหิ้วปีกคนละข้าง
“ยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีก แค่ยืนยังจะไม่อยู่เลย” คยูฮยอนออกปากพูด
“ขอโทษนะครับที่ทำให้ลำบาก”
“จะขอโทษทำไม คนที่ต้องขอโทษน่ะต้องไอ้คยูฮยอนโน่น มันเป็นคนเตะบอลโดนนายน่ะ” คิบอมพูดพลางพยักเพยิดไปทางคยูฮยอนที่พยุงรยออุคอยู่อีกด้าน
“เอ่อ..ขอโทษนะ” คยูฮยอนเอ่ยเสียงอ่อยพลางหัวเราะแหะๆ ในลำคอ
ทั้งที่รยออุคคิดว่าตัวเองหายมึนจากแรงกระแทกของลูกบอลเมื่อครู่แล้ว อีกทั้งอาการปวดหัวก็เริ่มทุเลาลงแล้ว แต่ทำไมกันนะ รอยยิ้มของเด็กหนุ่มตรงหน้ากลับทำให้ตาของเขาพร่ามัวราวกับมีแสงสว่างจ้ามาแยงตา ก้อนเนื้อในอกกลับโลดแรงขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผลจนตัวเขาต้องก้มหน้าหลบดวงตาคมคู่นั้นก่อนที่หัวใจมันจะเต้นแรงจนทะลุออกนอกอก
“บอกให้เงยหน้าไว้ไง เหี้ยแล้วมึง เลือดไหลออกมาเต็มเลย” คิบอมร้องโวยวายเมื่อรยออุคก้มหน้าจนเลือดกำเดาเกือบไหลลงเปื้อนเปรอะเสื้อ
“เดี๋ยวกูจัดการเอง มึงจับไว้ก่อน” คยูฮยอนออกคำสั่งก่อนจะปล่อยให้คิบอมพยุงร่างปวกเปียกของรยออุคไว้คนเดียว ส่วนตัวเขานั้นถอดเสื้อกีฬาที่สวมอยู่โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นทำให้คนเจ็บยิ่งอาการหนักเข้าไปใหญ่
“เฮ้ยมึง! รีบๆ เอามาอุดเร็ว เลือดออกเยอะกว่าเดิมอีก” คิบอมร้องด้วยความตกใจ เพราะเห็นเลือดกำเดาของรยออุคนั้นกลับยิ่งไหลทะลักออกมาเป็นเขื่อนแตก คยูฮยอนไม่รอช้ารีบใช้เสื้อของตัวเองที่เพิ่งถอดออกมาอุดจมูกช่วยห้ามเลือดเอาไว้
“อาจจะเหม็นเหงื่อหน่อยนะ ทนๆ เอาหน่อยแล้วกัน” คยูฮยอนพูด มือข้างหนึ่งก็จับผ้าให้ปิดจมูกรยออุคไว้ อีกข้างก็จับแขนช่วยคิบอมพยุงร่างอวบของเด็กหนุ่มไปส่งที่ห้องพยาบาล
รยออุคเพียงแต่ตอบรับอู้อี้ในลำคอ ไม่กล้าหันไปมองชายหนุ่มเปลือยครึ่งตัวที่กำลังหิ้วแขนข้างซ้ายเขาอยู่ กลัวว่าเลือดกำเดามันจะพาลไหลออกมาหนักกว่าเดิมเพราะเพียงแค่เห็นแผ่นอกขาวๆ เนียนๆ ที่ถึงแม้จะไม่ได้เต็มไปด้วยมัดกล้าม แต่ก็ไม่ได้แห้งจนผอมกะหร่องนั้นเขาก็เสียเลือดไปจนแทบจะหมดตัวแล้ว
-------------------------------------------------
“ขอโทษนะครับ ผมทำเสื้อคุณเปื้อนหมดเลย” รยออุคพูดเสียงอ่อย มือก็คอยประคบน้ำแข็งห้ามเลือดที่จมูกตัวเอง หลังจากที่ครูพยาบาลส่งถุงน้ำแข็งให้พร้อมกับให้กินยาแก้ปวดแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอก นายไม่เป็นไรก็ดีอยู่แล้ว” คยูฮยอนพูด “แต่นายคงจะไม่เอาผิดฉันใช่ไหม” คยูฮยอนลดดเสียงลงไปเป็นกระซิบพลางเหลือบมองไปที่ครูพยาบาลที่กำลังเดินไปดูแลคนไข้ที่เตียงอื่น
รยออุคเผลอขยับถอยหนีโดยอัตโนมัติเมื่ออยู่ๆ ชายหนุ่มก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ไม่ใช่แค่ใจที่เต้นแรงเท่านั้น หน้าของเขายังร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยอีกต่างหาก เจ้าตัวจึงแก้เก้อด้วยการดันแว่นที่ปกติจะวางอยู่บนดั้งจมูก แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
“เอ่อ..คือ แว่นนายน่ะ มันแตกไปเมื่อกี้แล้วน่ะ แล้วฉันจะซื้อคืนให้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้เอง” รยออุคตอบปัดๆ ไม่กล้ามองสบสายตาคู่นั้นเลยจริงๆ ถึงว่าล่ะเขาถึงมองอะไรไม่ค่อยชัดเจน ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะตายังเบลอจากแรงกระแทกเสียอีก แต่น่าแปลกที่ใบหน้ามัวๆ ของคยูฮยอนที่เห็นผ่านม่านตากลับส่งอิทธิพลต่อเขาถึงขนาดนี้ ถ้าเห็นหน้าชัดเจน เขาจะอาการหนักขนาดไหนกันนะ
“ไหนๆ ใครก่อเรื่องอะไรอีก วุ่นวายกันจริงๆ เลยพวกนายนี่” เสียงดังโวยวายก่อนตัวที่ดังขึ้นดึงให้เด็กหนุ่มในห้องทั้งสามหันไปหาต้นเสียง สองหนุ่มนักฟุตบอลตัวต้นเรื่องนั้นสะดุ้งโหยงที่เห็นว่าเป็นใคร ต่างคนต่างก็หน้าซีดเซียวไปตามๆ กัน
“รุ่นพี่เยซอง!/พี่เยซอง!” สามเสียงดังพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย คยูฮยอนกับคิบอมหันขวับไปมองหน้ารยออุคที่นั่งทำหน้าตกใจอยู่บนเตียงด้วยความแปลกใจเพราะไม่คิดว่ารยออุคจะรู้จักกัปตันทีมฟุตบอลอย่างเยซอง
“เฮ้ย! เป็นนายเองเหรอที่ซวยโดนลูกหลงน่ะรยออุค” เยซองร้องเสียงดังก่อนจะปรี่เข้าไปดูอาการชายหนุ่มที่สนิทคุ้นเคยกันดี
“ม..ไม่เป็นไรมากหรอกครับ แค่นี้เอง” รยออุคพูดเสียงเบา พยายามปัดมือไม้ของเยซองที่จับเนื้อจับตัว แสดงอาการเป็นห่วงออกนอกหน้าเสียจนเขาอาย ทำอย่างกับเขาเป็นเด็กอายุ 2-3 ขวบอย่างนั้นล่ะ
“ไหน..ไอ้ตัวไหนมันทำนาย บอกพี่มาซิ”
“แม่ง ซวยแล้วไงมึงไอ้คยูฮยอน เตะบอลอัดใครไม่เตะเสือกเตะใส่เด็กกัปตันทีม” คิบอมกระซิบข้างหูคยูฮยอนที่ยืนก้มหน้านิ่งหน้าซีดแล้วซีดอีก ยิ่งประโยคท้ายที่เพื่อนรักพ่นออกมาก็ทำเอาชายหนุ่มยิ่งใจหายวาบ “อย่างเบาก็โดนไล่ออกจากทีม หนักหน่อยเรื่องคงถึงผอ.”
“เป็นอะไรไปรยออุค ใช่ไอ้สองตัวนี่รึเปล่า” เยซองซักไซ้ต่อเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเคราะห์ร้ายไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ
“ไม่ใช่ผมนะครับรุ่นพี่”
แม่ง มึงนี่รักเพื่อนดีจริงๆ เลยนะไอ้คิบอม
คยูฮยอนอดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจไม่ได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ออกเพราะมันเป็นเพราะเขาจริงๆ นั่นแหละ
“นายเป็นคนทำเหรอโจวคยูฮยอน” เยซองถามเสียงเหี้ยม รังสีอำมหิตแผ่ออกจากตัวจนเจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือก
“ช่างเถอะครับพี่เยซอง ผมไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อย” รยออุคพูดพลางกระตุกชายเสื้อของเยซองเบาๆ เป็นเชิงให้ใจเย็นๆ
“ไม่ได้เป็นอะไรมากแต่ถึงกับเลือดกำเดาไหลเนี่ยนะ” เยซองพูดพลางหันขวับไปมองเสื้อกีฬาของคยูฮยอนที่มีคราบเลือดติดอยู่
“เอาเถอะครับ อย่าถือสาหาความกันเลยนะครับ เขาก็ขอโทษผมแล้ว ให้เรื่องมันจบแค่นี้เถอะนะครับ”
“นายก็อย่างนี้ทุกทีเลย เอาเถอะ แต่ยังไงฉันก็ต้องลงโทษนายแน่คยูฮยอน โทษฐานที่ไม่ระวังจนทำคนเจ็บแบบนี้ วิ่งรอบสนามซักร้อยรอบเป็นไง” บทลงโทษของเยซองทำให้คยูฮยอนถึงกับร้องโอดครวญ ก็สนามฟุตบอลมันเล็กๆ เสียเมื่อไหร่ล่ะ ขืนให้วิ่ง 100 รอบเขาคงได้เป็นลมตายคาที่แน่ๆ
“พี่เยซอง” รยออุคปรามเสียงไม่เบานักพร้อมกับส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“ก็ได้ๆ วิ่งรอบสนาม 10 รอบ ถ้ารยออุคไม่ขอเอาไว้นายเจอหนักกว่านี้แน่” เยซองพูดพลางชี้หน้าคาดโทษคยูฮยอนที่กลับไปยืนก้มหน้าทำหน้าจ๋อยตัวหดลีบเล็กอีกครั้ง “งั้นวันนี้พี่ไปส่งนายที่บ้านนะรยออุค ส่วนคยูฮยอน พรุ่งนี้ตอนเย็นหลังซ้อมเสร็จค่อยมาจัดการเรื่องบทลงโทษของนาย” ยังไม่วายหันมาเล่นงานชายหนุ่มคู่กรณีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพยุงตัวรยออุคให้ลุกขึ้น
“เอ้อ คุณ เอ่อ.. คยูฮยอน ไว้ผมจะซักเสื้อเอามาคืนให้นะครับ ขอบคุณมากครับ” รยออุคพูดพลางโค้งให้หนึ่งทีก่อนจะปล่อยให้เยซองจับจูงพาตนเองออกไปนอกห้อง พอเห็นว่าทั้งสองคนไปแน่แล้ว คิบอมที่นิ่งเงียบอยู่นานจึงเปิดปากพูด
“แม่งโครตซวยเลยว่ะไอ้คยูฮยอน ดีนะเนี่ยที่รยออุคไม่เอาเรื่องนาย ไม่งั้นมีหวัง
” คิบอมยกนิ้วขึ้นปาดคอตัวเองแทนคำพูดที่หายไป
“มึงก็ไม่ช่วยอะไรกูเลยนะไอ้เพื่อนทรพี” คยูฮยอนด่ากลับ ระหว่างที่เดินออกมาจากห้องพยาบาลเพื่อกลับไปที่สนามฟุตบอลเพื่อซ้อมต่อ
“กูจะไปช่วยอะไรมึงได้ มึงทำตัวเองทั้งนั้นน่ะ โดนวิ่งรอบสนามแค่สิบรอบก็ดีแค่ไหนแล้ว ว่าแต่ว่าน่าเสียดายชะมัดยาดเลยว่ะ”
“เสียดายอะไรวะ” คยูฮยอนเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัยที่อยู่ๆ เพื่อนรักก็เปลี่ยนเรื่องคุยเสียอย่างนั้น
“ก็เสียดายที่รุ่นพี่ดันเป็นแฟนกับรยออุคแล้วน่ะสิ” คิบอมพูดพลางถอนใจ
“ทำไมวะ มึงเสียดายรยออุคเหรอ”
“บ้านเตี่ยมึงสิ เสียดายรุ่นพี่เยซองสิวะ หล่อก็หล่อ พ่อก็รวย เรียนดี กีฬาเลิศดันไปตกร่องปล่องชิ้นกับเด็กอ้วน หน้าตาแย่ แถมยังเนิร์ดเชยสะบัดอย่างรยออุคได้ เสียดายจริงๆ”
“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่ามึง
.” คยูฮยอนหยุดคำพูดไว้เท่านั้นก่อนจะมองหน้าคิบอมด้วยสายตาตกใจ
“เดี๋ยวกูถีบให้เลยไอ้คยู กูเสียดายแทนสาวๆ ที่หลงปลื้มรุ่นพี่เยซองต่างหาก ก็เยซองเอฟซีแต่ละคนแม่งขาวๆ สวยๆ กันทั้งนั้น ไม่น่ามาเลือกคนไม่มีอะไรเลยอย่างรยออุคเลย”
“เหอะ! แล้วมึงรู้ได้ไงล่ะว่าเขาเป็นแฟนกัน”
“ใครไม่รู้แม่งก็ควายแล้ว เป็นห่วงเป็นใยออกนอกหน้าขนาดนั้น แถมข่าวลือที่เขาบอกรุ่นพี่มีแฟนย้ายมาอยู่ม.4 ใหม่ก็คงจะเป็นรยออุคเนี่ยแหละ” คิบอมสาธยายเหตุผลของตัวเองให้คยูฮยอนที่พยักหน้าหงึกๆ รับรู้ ก็ว่าล่ะ ทำไมถึงไม่คุ้นหน้ารยออุคเลย เพราะเพิ่งย้ายมาใหม่นั่นเอง
“มึงนี่รู้ดีจังเลยนะ”
“แหมมึงก็ ก็ได้ยินพวกกลุ่มผู้หญิงเขาพูดกัน ผู้หญิงวันๆ จะทำอะไรล่ะวะ ถ้าไม่เม้าท์เรื่องชาวบ้าน”
“รู้มาจากเด็กในสังกัดมึงอีกล่ะสิ” คยูฮยอนดักคออย่างรู้ทัน เพื่อนเขาคนนี้ใช่ย่อยที่ไหน มีสาวๆ ตามติดเป็นพรวนไม่น้อยไปกว่าเยซองด้วยซ้ำ แต่ดูท่าว่าเจ้าตัวจะไม่จริงจังกับใครซักคน ยังทำตัวลอยไปลอยมาอยู่แบบนี้จนเขาอดหมั่นไส้ไม่ได้
“เออสิ มึงก็เถอะ หัดทำตัวเข้ากับพวกผู้หญิงบ้าง เลิกเก๊กขรึมซักที กูล่ะสงสารแฟนคลับมึงจริงๆ เข้าหามึงยากยังกับเป็นดาราดังระดับซุป’ตาร์งั้นล่ะ”
“มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบอ่อยใครเขาไปทั่วอย่างมึง อีกอย่างกูก็มีคนที่ชอบอยู่แล้วด้วย”
“เออๆ ไอ้คนรักเดียวใจเดียว กูก็เห็นมึงกินแห้วอยู่อย่างเนี้ย กูจะรอดูว่าเมื่อไหร่มึงกับพี่ซองมินจะได้กันจริงๆ ซักที” คิบอมพูดออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ คยูฮยอนไม่ใช่คนหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ จัดไปทางดีเสียด้วยซ้ำ คุณสมบัติก็ดีพร้อมทุกอย่าง ไม่แปลกที่มีใครหลายคนต้องการเข้าหา มีตัวเลือกอีกมากมายที่เสนอตัวมาให้เลือก แต่เพื่อนเขาคนนี้กลับขอเป็นคนถูกเลือกแทน ก็เล่นปักใจรักอยู่แค่คนๆ เดียว รักมาได้ตั้งหลายปีโดยที่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่าคิดกับเขาแค่น้องชาย แต่เจ้าตัวก็ดันทุรังไม่ยอมแพ้ เลยครองตัวเป็นโสดจนถึงทุกวันนี้ในขณะที่เขาเปลี่ยนแฟนมาหลายสิบรอบได้แล้ว
“ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกเว่ย มึงไม่เคยได้ยินเหรอ รักแท้แพ้ใกล้ชิดไง อยู่บ้านเดียวกัน เจอหน้ากันทุกวัน ซักวันพี่เขาต้องหวั่นไหวกับกูบ้างแหละ เออ
พูดถึงพี่ซองมิน กูไปก่อนนะเว่ย ป่านนี้คงเรียนเสร็จแล้วล่ะ” พูดจบชายหนุ่มก็รีบวิ่งผลุนผลันไปอีกทิศกับที่เดินจากมา
“เฮ่อ
! ขอให้มึงโชคดีละกันนะไอ้คยู” คิบอมพูดเบาๆ พลางหันมองไล่หลัง
“กลับมาแล้วเหรอคะลูก ตายแล้ว! ทำไมสภาพมอมแมมอย่างนั้นล่ะคะ” หญิงร่างท้วมวัยกลางคนผู้เป็นมารดาแท้ๆ ของรยออุคยกมือขึ้นทาบอก ทำท่าคล้ายจะเป็นลมเมื่อเห็นสภาพของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่เสื้อผ้ายับยู่ยี่เปื้อนฝุ่นเกือบทั้งตัวแถมยังมีรอยบวมที่หน้าผาก โชคดีที่รยออุครอบคอบล้างคราบเลือดกำเดาที่เปื้อนหน้าออกหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นคนเป็นแม่ที่ห่วงลูกชายยิ่งกว่าอะไรดีได้ลมจับแน่
“เอ่อ..พอดีผมซุ่มซ่ามหกล้มน่ะครับ แหะๆ” รยออุคพูดพลางหัวเราะเสียงอ่อย หันไปมองหน้าเยซองที่ขับรถมาส่งที่บ้านอย่างรู้กัน ขืนบอกความจริงไปสิ แม่ของเขาได้ไปเล่นงานคยูฮยอนจนเรื่องถึงอาจารย์แน่ เขาไม่อยากให้เรื่องเล็กๆ บานปลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะความเป็นห่วงเกินเหตุของแม่ตัวเอง
“โถๆๆ ลูกแม่ เจ็บมากไหมคะ พรุ่งนี้จะไปโรงเรียนไหวไหมคะเนี่ย” คิมมินจองเข้าไปจับเนื้อจับตัวลูกชายหมุนสำรวจรอบตัวว่าสึกหรอไปตรงไหนบ้าง จนรยออุคต้องปราม แอบอายเยซองที่ยังอยู่ข้างๆ ที่แม่ของเขาทำอย่างกับเขาเป็นเด็กตัวเล็กๆ เจ็บหนักเจียนตายแบบนั้น
“แค่หกล้มเองครับ ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับแม่ ไม่ต้องห่วงหรอก อีกอย่างพี่เยซองเขาก็ดูแลผมเป็นอย่างดี ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ เนอะ”
“เอ่อ..ครับ” เยซองตอบพลางกระแอมไอแก้ขัด
“ตายจริง! แม่ลืมเยซองไปเลย ขอโทษทีนะจ๊ะ ต้องขอบใจมากเลยนะที่อุตส่าห์ดูแลน้อง รยออุคนี่ก็ไม่ไหวจริงๆ ทำให้พี่เขาลำบากทุกทีเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ รยออุคก็เหมือนน้องชายของผมคนหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ เจ้าตัวเล็ก เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะมารับนะ” หันไปบอกน้องชายคนสนิททิ้งท้ายแล้วโค้งลามินจองก่อนจะออกไปไม่ทันให้รยออุคได้ปฏิเสธเลยสักคำ
“เยซองนี่เป็นคนดีจริงๆ เลยนะ ลูกก็ต้องทำตัวน่ารักกับเขาไว้นะคะ อนาคตก็จะเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว” มินจองมองตามหลังเยซองพลางยิ้มอย่างชื่นชมโดยไม่ได้สังเกตสีหน้าของลูกชายตัวเองเลยว่าทั้งอึดอัดและกระอักกระอ่วนใจแค่ไหน
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” รยออุคพูดก่อนจะแยกตัวเดินขึ้นห้องนอน
------------------------------------------
“เฮ้อ!” รยออุคถอนหายใจเสียงดัง เหวี่ยงกระเป๋าไปอีกทางอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างแรงทันทีที่เข้ามาในห้อง
เห็นท่าทีของผู้เป็นแม่ที่มีต่อเยซองแล้วก็อดหนักใจไม่ได้ ยิ่งผ่านไปนานวัน ยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่ามินจองต้องการให้เขากับเยซองลงเอยกัน ทั้งการที่ให้เขาย้ายมาเรียนมัธยมปลายโรงเรียนเดียวกับเยซองเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกันแล้วยังท่าทีชื่นชมออกหน้าออกตา ฝากฝังเขากับเยซองอีก ไม่ใช่แค่ทางบ้านเขาที่มีจุดประสงค์นี้ แต่ยังรวมถึงบ้านตระกูลคิมของเยซองด้วยที่คิดจะจับเขาทั้งคู่คลุมถุงชนกันเมื่อถึงเวลา
อาจจะเพราะทั้งสองบ้านสนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่าที่เป็นเพื่อนรักกัน ลามเลยมาถึงรุ่นลูกซึ่งก็คือพ่อแม่ของพวกเขาทั้งคู่ พอมาถึงรุ่นหลานซึ่งก็คือเขากับเยซอง ทั้งพ่อและแม่ของทั้งสองฝ่ายจึงอยากให้ทั้งคู่แต่งงานกันเพื่อสานต่อธุรกิจออกแบบตกแต่งภายในที่ทั้งสองร่วมหุ้นกันอยู่ เข้าตำราเรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน โดยที่ผู้ใหญ่ไม่เคยคิดจะถามความเห็นของเด็กเลยว่าทั้งสองคนเห็นด้วยกับความคิดนั้นหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบของรยออุคคือไม่ แล้วเขาก็มั่นใจว่าเยซองเองก็คิดเหมือนกัน
ทั้งเขาและเยซองรู้จักสนิทสนมหยอกล้อเล่นหัวกันมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยความที่ต่างก็เป็นลูกคนเดียวทั้งคู่ ความรู้สึกที่มีให้แก่กันจึงเป็นเพียงแค่พี่น้องที่รักกันมากเหมือนพี่น้องท้องเดียวกันเท่านั้น ไม่เคยมีอะไรเกินเลยกว่านั้นเลย แต่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายกลับเห็นดีเห็นงามกันไปเองว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะจับคู่ให้พวกเขา พอเริ่มโตต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปคนละที่ แต่ก็เป็นแม่ของเขานั่นล่ะที่จัดการย้ายเขาไปอยู่ที่โรงเรียนแห่งเดียวกับเยซอง แรกๆ เขาเองก็ดีใจที่จะได้กลับไปเจอกับพี่ชายที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่เขาไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วจึงดูจุดประสงค์แฝงออกว่าที่ทำแบบนี้เป็นเพราะอะไร
และนั่นยิ่งทำให้เขาลำบากใจเหลือเกิน
แต่ถึงอย่างนั้น เขากับเยซองก็ยังคงแสดงท่าทีปกติ ไม่อึดอัดมึนชาใส่กัน แม้จะรู้ถึงความต้องการของผู้ใหญ่ก็ตาม อาจจะเพราะความผูกพันระหว่างพี่น้องที่มีให้แก่กันมาเนิ่นนานเป็นตัวรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเยซองเอาไว้
จะว่าไป
เขาเองยังไม่รู้เลยว่าความรักแบบที่ผู้ใหญ่ต้องการยัดเยียดให้เขานักมันเป็นอย่างไร รยออุคไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีใครมาสนใจ และไม่เคยคิดจะสนใจใคร เพราะตัวเขาเป็นแบบนี้ เด็กอ้วน เรียบร้อย ติ๋มๆ หงิมๆ ไม่ค่อยมีปากมีเสียง ใส่แว่นกรอบหนาเตอะ วันๆ อยู่กับหนังสือ ไม่ค่อยพบปะสังสรรค์กับใคร คนลักษณะแบบนี้ช่างห่างไกลกับโลกความรักสีชมพูตามหนังสือนิยายที่วางขายเกลื่อนตามท้องตลาดเหลือเกิน
เขาว่ากันว่าเมื่อมีความรัก ไม่ว่าจะมองอะไรก็จะเห็นแต่หน้าของคนๆ นั้น ทั้งยามหลับ ยามตื่น หัวใจเต้นแรงเมื่อเจอหน้า แค่นึกถึงเขาก็ทำให้ยิ้มออก แค่เขามองมาก็พาลทำอะไรไม่ถูก แต่เขาไม่เคยมีความรู้สึกในแง่แบบนั้นกับเยซองเลย ถ้าจะมีก็แต่
พลันใบหน้าขาวจัดได้รูป ดวงตาคม ปากหยักวาดรอยยิ้มสวยของผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งพานพบก็แล่นเข้ามาในหัว รยออุคเผลอยกมือขึ้นกุมอกข้างซ้ายของตัวเองที่รู้สึกได้ว่าสิ่งที่อยู่ภายในนั้นกำลังเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าพร้อมๆ กับความร้อนผ่าวที่แล่นแผ่ซ่านไปทั่วผิวแก้ม
อาการแบบนี้เขาเรียกกันว่ามีความรักไม่ใช่หรือ
บ้าน่า! แค่เจอกันครั้งเดียวก็รักเลยเหรอ เขาไม่ค่อยเชื่อเรื่องเพ้อฝันจำพวกรักแรกพบอย่างนั้นหรอกนะ
ถึงจะปฏิเสธไปอย่างนั้น แต่รยออุคกลับคว้าเอากระเป๋านักเรียนที่โยนทิ้งในคราวแรกขึ้นมา ดึงเอาเสื้อนักกีฬาที่ชายหนุ่มที่นึกถึงทิ้งเอาไว้ให้ออกมากอดไว้แนบอกก่อนจะยกขึ้นมาสูดดมกลิ่นเหงื่ออ่อนๆ ผสมกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่ติดอยู่บนเสื้อแล้วหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว
“บ้าไปแล้วรึไงนะเรา” รยออุคพูดกับตัวเองเบาๆ เมื่อหันไปเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกว่ากำลังทำสิ่งน่าอายอยู่ มือก็โยนเสื้อตัวต้นเหตุลงบนเตียง คิดจะทำเป็นไม่ใส่ใจเสื้อตัวนี้แล้ว แต่เสียงเรียกร้องลึกๆ ในใจกลับทำให้รยออุคหยิบเสื้อตัวนั้นขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพลิกไปพลิกมา เก็บสำรวจรายละเอียดบนเสื้อโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงทำอะไรแบบนั้น
“โจวคยูฮยอน เบอร์ 13” รยออุคอ่านตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลขกำกับเบอร์ที่ติดอยู่ด้านหลังเสื้อเบาๆ ก่อนจะยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง มือทั้งสองข้างลูบไปบนเนื้อผ้าแผ่วเบาพลางคิดถึงใบหน้าของเจ้าของเสื้อตัวนี้
หรือรักแรกพบมันจะมีอยู่จริงๆ กันนะ
--------------------------------------------------------
สุดท้าย ขอบคุณมากค่ะที่แวะเข้ามาอ่าน ^ ^
ความคิดเห็น