ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความรู้เกี่ยวกับเวทย์มนต์

    ลำดับตอนที่ #4 : ไขปริศนามายาเวทย์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 461
      0
      25 เม.ย. 54

    หากจะกล่าวว่า ประเทศใดในโลกใข้เวทมนต์ก่อน ก็คงจะเป็นเรื่องยากแบบสุด ๆ - - ที่จะระบุลงไปแต่หากจะบอกว่ามีหนังสืออะไรบ้างที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเวทมนต์ไว้บ้าง แน่นอนว่า หลายคนคงนึกไม่ถึง นั่นก็คือ แต่น แต๊นน... คัมภีร์ไบเบิ้ล!! คัมภีร์ไบเบิ้ลไม่เพียงแต่เป็นหนังสือที่สอนคริสเตียนอย่างดีแล้ว ยังเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ของโลกที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีการคัดลอกต่อกันมานานหลายยุคมาก ๆ แน่นอนว่าเรื่องเวทมนต์ในอดีตก็ถูกบันทึกเอาไว้ด้วยแหละ...

    เรื่องราวการกำเนิดมนุษย์เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ เพราะบันทึกแรกได้กล่าวว่า มนุษย์คนแรกได้เกิดมาจากดิน และผู้หญิงมาจากซี่โครงผู้ชาย เท่านั้นไม่พอยังมีงูพูดได้อีกต่างหาก

    อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงนึกว่าเป็นเรื่องแฟนตาซีเหมือนกัน (และบางคนเริ่มบ่นว่าเมื่อไหร่จะเข้าเรื่อง - -") ความเชื่อในเรื่องความประหลาดถูกสอดแทรกเข้ามาในชีวิตประจำวันซะแล้ว ซึ่งก็ต่างกันไปแต่ละท้องถิ่นล่ะว่าเขาจะเล่ากันยังไง
    แต่หากจะวัดว่าชาติใดเชื่อถือเรื่องนี้มาก่อน คงต้องกล่าวว่าคือพวก ซูเมเรียน (Sumerian) ที่อาศัยอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมีย (ชื่อแหม่ง ๆ พิกล ) เพราะว่าประวัติศาสตร์ที่ค้นพบระบุว่า ชนเผ่าโบราณนี้มีความเก่าแก่ไม่ต่ำกว่า 3000 ปี ก่อนคริสตกาล (ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่าไม่ใช่ชนชาติอียิปต์หรอกหรือที่เป็นชนชาติแรก - - @)


    เมโสโปเตเมีย-บาบิโลเนีย


    เหตุที่ดินแดนเหล่านี้เป็นชนชาติแรกที่มีการใช้เวทมนต์ ก็คงมาจากความเชื่อทางศาสนา พิธีกรรม การบูชาเทพเจ้า และ นักบวช
    เมืองเออร์ ถือเป็นเมื่องแรกที่มีวิหารขนาดใหญ่สำหรับบูชาเทพเจ้า ซึ่งนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดี อีกทั้งนักศาสนศาตร์ต่างตกลงปลงใจ เชื่อว่าวิหารนี้ได้รับอิทธิพลมาจาก "หอบาเบล" ซึ่งถูกบันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล หนังสือเล่มแรกของคัมภีร์ไบเบิ้ล เพราะลักษณะหอดังกล่าวมีส่วนเหมือนกับ "มหาวิหารซิกกูรัท"ซึ่งเป็นวิหารที่ใช้บูชาเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์

    มีบันทึกไว้ว่า
    ชาวเมืองนี้มีความสามารถในการผลิตอิฐขึ้นมาใช้เอง แทนการใช้หิน หรืออาศัยอยู่ในถ้ำ และพูดจาภาษาเดียวกัน ซึ่งหลังจากที่พวกเขากระจัดกระจายไปเพราะพูดจากันไม่รู้เรื่อง แน่นอนว่าพวกที่พูดกันรู้เรื่องก็ยังคงอาศัยอยู่ที่นั้น การสร้างวิหารก็ทำกันต่อไป แต่คงทำให้สูงมากไม่ได้ (- - ฟังดูงง ๆ )

    สิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวคืออำนาจจากเบื้องบนที่ทำให้เกิดสิ่งเหนือธรรมชาติ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในโลกที่มักจะหาเหตุผลมาอธิบายปรากฎการธรรมชาติ (จิง) แม้จะถูกหรือผิดก็ตาม ดังนั้นเทพของพวกซูเมเรียนในยุคนั้น จึงเป็นเทพที่มีลักษณะที่เป็นอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ เชื่อว่ามนุษย์เป็นข้ารับใช้ของเทพเจ้าและจะมีนักบวชเป็นตัวแทนพูดคุยกับเทพเจ้าว่าต้องการอะไร

    ตำนานซูเมเรียนมีการบันทึกเรื่องการสร้างมนุษย์ไว้เหมือนกันแต่ต่างจากคัมภีร์ไบเบิ้ล คือ มนุษย์ถือกำเนิดเพราะความผิดพลาดของเทพ ลาฮาร์ (เทพแห่งโค) และ อัชนาน(เทวีแห่งธัญญาพืช) ทั้งสองมีหน้าที่นำอาหารมาถวายแด่เทพผู้ยิ่งใหญ่คือ นานนา(เทพแห่งดวงจันทร์) อีนานนา(เทวีดวงดาว) และอูตู(เทพแห่งดวงอาทิตย์) แต่ทั้งสองเผลอหลับระหว่างงาน (แอบงีบเพลิน) ทำให้ นามมู และ นินมาฮ์ เทวีแห่งการเกิดต้องสร้างมนุษย์จากดินเหนียวเพื่อเลี้ยงเหล่าทวยเทพ ด้วยการถวายธัญญาพืช และสัตว์ เพื่อบูชายัญ และนี่คือสาเหตุที่ชนเผ่านี้เชื่อว่าพวกเขาถูกสร้างมาเพื่อรับใช้เทพเจ้า


    - อับราฮัม บิดาแห่งความรักของชาวยิว คริสต์ และ อิสลาม ก็เกิดที่เมื่อเออร์ เขาเดินทางจากเมืองเออร์เพื่อหาดินแดนใหม่ โดยเดินทางตามแนวของแม่น้ำยูเฟรติส ขึ้นไปทางเหนือ และวกกลับทางตะวันตก คือดินแดนคานาอัน จนไปถึง อียิปต์ ซึ่งเป็นแหล่งทำมาหากินของคนยุคโบราณ ทำไมอับราฮัมถึงตัดสินใจออกเดินทางจากบ้าน เพราะเหตุใดเขาจึงปฏิเสธที่จะบูชาเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดวงดาวต่าง ๆ ที่คนที่นั่นเขานับถือ คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่า

    เราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื่อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาว ในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองของเจ้าเป็นกรรมสิทธ์(คัดลอกจากหนังสือปฐมกาล บทที่ 22 ข้อที่ 17)

    ลูกหลานของอับราฮัมจะมีมากขึ้นเหมือนดวงดาวในท้องฟ้า ซึ่งตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าความเชื่อของเขาเปลี่ยนไป พระเจ้าของอับราฮัมให้สิทธิพิเศษให้เขามีพรเหนือเทพเจ้าแห่งดวงดาว เพราะดวงดาวต่าง ๆ จะกลายเป็นเพียงลูกหลานของเขา เขาจะกลายเป็นบิดาแห่งดวงดาว (สังเกตจากสัญลักษณ์ของธงชาติยิวจะเป็นรูปดาว และสัญลักษณ์ของอิสลามก็เป็นรูปดาว)

    ดาว ยังเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเวทมนต์อีกด้วย ดาวห้าแฉกหรือเพนทาเคิล เป็นสัญลักษณ์ของดวงดาวแห่งผู้วิเศษ สามารถป้องกันอำนาจและอิทธิพลจากปีศาจร้ายได้ด้วย^^ เพนทาเคิลกลายเป็นสัญลักษณ์ของพวกแม่มดไปได้อย่างไรไม่มีใครทราบ แต่น่าเชื่อว่าการใช้สัญลักษณ์นี้พัฒนามาจากความเชื่อของศาสนาโบราณ ซึ่งเกี่ยวของกับดินน้ำลมไฟ และจิตวิญญาณ


    อียิปต์

    เมื่อเอ่ยชื่อดินแดนนี้ นร.ตามห้องเรียนก็ยกมือ ปีรามิด รองมาก็สฟิงค์ มัมมี่ สมบัติล้ำค่า...ไม่จบไม่สิ้น ดินแดนนี้มีชื่อเสียงมากทางด้านเวทมนต์มากกว่าดินแดนใด ๆ ในอดีตกาล มีเรื่องราวถูกเล่ามามากมาย (บางคนเริ่มเซ็ง เกริ่นนานอีกแล้ว) การดำรงชีวิตเกี่ยวข้องกับแม่น้ำไนล์เป็นส่วนใหญ่ ทำให้เทพเจ้าต่าง ๆ ของอียิปต์มีหน้าตาบุคลิกเป็นสัตว์ประจำถิ่น แต่เทพสูงสุดก็เกี่ยวกับดาวบนท้องฟ้าแบบเดียวกับซูเมเรียนอยู่ดี

    เทพ “รา” คือเทพสูงสุดของอียิปต์ มีวาจาสิทธิ์ในการสร้างสรรพสิ่ง เช่นเดียวกับพระเจ้าของยิวนั่นเอง

    เมื่อเทพราตรัสว่า “ข้าคือ เคปารา ในยามรุ่งอรุณ คือ รา ในยามเที่ยงวัน และคือ ตุม ในยามเย็น” และปรากฏเป็นดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้าจากทิศตะวันออก และหายไปในทิศตะวันตกในวันแรกของการกำเนิดโลก

    เมื่อเอ่ยนาม ชู สายลมก็พัด

    กล่าวคำว่า เตฟนุด ฝนก็ตกลงมา

    และคำว่า เกบ แผ่นดินโลกก็เกิดขึ้น

    นุต กลายเป็นท้องฟ้า

    ฮาปิ กลายเป็นแม่น้ำ (ไนล์นั่นแหละ)

    เทพรากล่าวคำใดสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นบนโลก คำตรัสสุดท้ายคือ ชาย และหญิง จึงกำเนิดเป็นประชาชนอียิปต์ แล้วเทพราก็กลายร่างเป็นมนุษย์ลงมาปกครองอียิปต์นับพันปี ถือว่าเป็นฟาโรห์องค์แรก

    ดังนั้นสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์จึงพบเห็นบ่อย ๆ ในรูปสลัก หรือภาพวาดของอียิปต์ เรื่องเวทมนต์คาถานั้น หากสังเกตจากเรื่องนี้ก็พอจะให้เราคลำทางได้บ้างว่า คาถาอาคมต่าง ๆ ก็เกิดจากการพูดนี่เอง... การท่องคำเดิมซ้ำ ๆ เป็นการเพิ่มพลังสมาธิให้แก่ผู้ท่องบ่น (- -?) จนเมื่อคน ๆ นั้นกล่าวสิ่งใดสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น

    ฟาโรห์แห่งอียิปต์มักจะมีไม้เท้าหรือคทาที่ใช้ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ และการเรียนรู้เวทย์มนต์เป็นเรื่องปกติที่เจ้าชาย เจ้าหญิง และนักบวชชั้นสูงต้องกระทำกัน

    โมเลส เป็นบุคคลหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวอ้างถึงบ่อย ๆ เรื่องราวของเขามีมากมายทั้งแบบการ์ตูน ภาพยนตร์ กล่าวว่า เขาใช้อำนาจพิเศษจากพระผู้สร้างสูงสุดเรียกร้องให้ฟาโรห์ปลดปล่อยทาสชาวฮีบรูออกจากอียิปต์ การประลองเวทจึงเกิดขึ้น และสุดท้าย ฝ่ายอียิปต์ก็พ่ายแพ้ไปอย่างสิ้นเชิงทั้ง ๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งเวทมนต์
    บันทึกโบราณได้กล่าวว่า


    ...ต่อมาในเวลาเที่ยงคืน พระเยโฮวาห์ทรงประหารบุตรหัวปีทุกคนในประเทศอียิปต์ ตั้งแต่พระราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้ประทับนพระที่นั่ง จนถึงบุตรหัวปีของเชลยที่อยู่ในคุกใต้ดิน ทั้งลูกหัวปีของสัตว์เลี้ยงทุกตัว ฟาโรห์กับข้าราชการ และชาวอียิปต์ทั้งปวงตื่นขึ้นในตอนกลางคืน มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังทั่วทั้งอียิปต์ เนื่อยด้วยไม่มีบ้านใดเลยที่ไม่มีคนตาย
    ฟาโรห์จึงตรัสเรียกโมเลสกับอาโรนให้มาเฝ้าในคืนวันนั้น ตรัสว่า
    “เจ้าทั้งสองกับทั้งชนชาติอิสราเอลจงยกออกไปจากประชาชนของเราเถิด ไปปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ตามที่ได้พูดไว้นั้น เอาฝูงแพะแกะลูงวัวของเจ้าไปด้วยตามที่เจ้าได้พูดไว้แล้ว ไปและอวยพรให้เราด้วย”
    ฝ่ายชาวอียิปต์ก็เร่งรัดให้พลไพร่นั้นออกจากประเทศโดยเร็ว เพราะเขาพูดว่า “พวกเราตายกันหมดแล้ว” พลไพร่นั้นเอาก้อนแป้งดิบที่ยังมิได้ใส่เชื้อกับอ่างขยำแป้ง ห่อผ้าใส่บ่าแบกไป ชนชาติอิสราเอลกระทำตามคำสั่งของโมเลสคือ ขอเครื่องเงิน เครื่องทอง และเครื่องนุ่งห่มของชาวอียิปต์ และพระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้พลไพร่นั้นเป็นที่โปรดปรานในสายตาของชาวอียิปต์ เขาจึงให้สิ่งของทั้งปวงตามที่ขอ เขาจึงได้ริบเอาสิ่งของต่าง ๆ ของชาวอียิปต์เสีย

    (คัดลอกจากหนังสืออพยพ บทที่ 12 ข้อที่ 29-36)

    เรื่องราวของโมเลสยังมีอีกมาก แต่จะกล่าวถึงเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากบันทึกที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล นั่นคือ “คาบาลา” หรือสัญลักษณ์ของการเดินทางของดวงดาว หรือต้นไม้แห่งชีวิต ประกอบด้วยพระนามของพระเจ้า ชาวยิวเชื่อกันว่า โมเลสรู้ความลับเกี่ยวกับคาบาลา เมื่อโมเลสไปพยกับพระเจ้าบนยอดเขาซีนาย และหากใครได้เรียนรู้วิชานี้ก็จะสามารถสะกดวิญญาณอันชั่วร้ายหรือภูตผีปีศาจได้ มีชาวยิวหลายคนศึกษาวิชานี้และใช้หากินกับการขับไล่ภูตผีจนเป็นอาชีพประจำเลยก็ว่าได้ จะเห็นได้ว่า นี่เป็นเรื่องประติที่ชาวยิวทำกัน แม้ในปัจจุบันก็ยังมีผู้สนใจเรียนรู้คาบาลาอยู่ บางครั้งก็ปรากฏในรูปแบบของครอป เซอร์เคิลด้วย คือสัญลักษณ์ที่เกิดขึ้นในทุ่งนา เชื่อกันว่ามนุษย์ต่างดาวเป็นผู้กระทำขึ้นมา (ก็นี่แหละที่เขาเอาไปทำเรื่อง Sign สัญญาณมรณะ ที่เป็นหนังโรง ที่เป็นรูปบนไร่ข้าวโพดอ่ะ)

    เดี๋ยวจะเลยไปไกล(เพิ่งรุตัวหรอ - -) กลับมาที่อียิปต์ต่อ อาณาจักรนี้ยังคงดำรงอยู่ต่อมาจรถึงสมัยกรีกเรืองอำนาจ และราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองอียิปต์ก็หาใช่ชาวอียปิต์ไม่ แต่เป็นชาวกรีก นั่นคือ ราชวงศ์ ปโตเลมี โดยมีพระนาง คลีโอพัตราที่ 7 ที่สร้างชื่อเสียงจนชาวโลกรู้จัก และให้ความสนใจ


    กรีก-โรมัน

    อาณาจักร 2 อันนี้คนละอาณาจักรกันแต่มีหลายอย่างเกี่ยวข้องกันจึงขอเล่ารวม ๆ กัน

    เรื่องเวทมนต์ของ 2 ชนชาตินี้เล่าผ่านตำนานเทพเจ้าของโฮเมอร์ นั่นคือ อีเลียดและโอดิสซี สงครามต่อสู้เพื่อแย่งชิงหญิงงาม เฮเลน เหล่าเทพเทวีปรากฏตัวแทรกอยู่เป็นช่วง ๆ จนเฮเลียดได้เขียนขึ้นให้เป็นตำนาน โดยมีเทพซีอุสผู้ยิ่งใหญ่ประทับอยู่บนยอดเขาโอลิมปัส ต่างจากตำนานของซูเมเรียนแต่ก็มีส่วนคล้ายอียิปต์ เพราะเหล่าเทพ-เทวีเริ่มมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์บางครั้งก็มาได้ภรรยาเป็นมนุษย์บ้าง และมักมีบุตร-บุตรีที่เป็นมนุษย์ด้วย อย่างตัวประหลาด ๆ ที่ชื่อเซนทอร์(คนครั้งม้า)หรือ มิโนทอร์(คนที่มีหัวเป็นวัว) ก็มาจากตำนานของกรีก

    เวทมนต์ของกรีก-โรมัน ไม่ปรากฏในหมู่คนธรรมดา นอกเสียจากว่าเหล่าทวยเทพดลบันดาลให้เกิดขึ้น ดังนั้นพวกที่มีคาถาอาคมเหล่านี้จึงไปตกอยู่ที่นักบวชหรือเทพเจ้า
    ประชาชนคนธรรมดาจึงบูชาเทพเทวีต่าง ๆ แบบโงหัวไม่ขึ้นและบุคคลสำคัญต่าง ๆ ก็มีความเชื่อว่าตนเองกำเนิดมาจากเทพเจ้า

    -อเล็กซานเดอร์มหาราช ได้รับการสั่งสอนจากมารดาตนเองว่าเป็นบุตรแห่งซีอุส

    -รีมัส,โรมิวรัส สองพี่น้องผู้ก่อตั้งโรมเชื่อว่าตนเองเป็นบุตรแห่งมาร์ส (เทพเจ้าแห่งสงคราม)

    การที่ลูกหลานของเทพเจ้าลงมาปกครองมนุษย์ ถูกถ่ายทอดผ่านอาณาจักรเก่าด้วย น่าสังเกตุความเชื่อเดิมที่มนุษย์ถูกสร้างมาให้เป็นทาสรับใช้เทพเจ้า บนท้องห้า จนอับราฮัมกลายเป็นบิดาแห่งดวงดาว ความเชื่อเคลื่อนสู่อียิปต์ จนถึง กรีก-โรมัน ดินแดนที่อยู่รอบ ๆ ทะเล เมติเดอเรเนี่ยน ก็ได้รับอิทธิพลอย่างแนบเนียนจนไม่รู้ว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงเป็นอย่างไร

    ในช่วงนั้นตำราเวทมนต์มีมากมาย ใคร ๆ ก็หาซื้อมาเป็นเจ้าของได้ มีการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง และเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ก็กลายเป็นเรื่องที่ผู้คนชื่นชอบและน่าตื่นเต้น

    ชาวบ้านเชื่ออย่างสนิทใจว่าปาฏิหารย์มาจากเทพเจ้า แต่ต่อมาความเชื่อแบบพระเจ้าเข้ามาสู่อาณาจักรโรมัน พวกคริสเตียนทวีมากขึ้น ชนชั้นสูงกลับใจมาเชื่อพระเจ้าของชาวยิว เพราะแตกต่างจากความเชื่อเดิม และสอดคล้องกับหลักคำสอนของนักปราชญ์กวีหลายคน

    คำสอนของอริสโตเติ้ลอีกหลาย ๆ บท กลับกลายเป็นหลักคำสอนที่สนับสนุนแนวคิดของพวกคริสเตียนในยุคต่อมา ซึ่งมีผลยาวนานถึง 1800ปี นับจากอายุของเขาถึงยุควิทยาศาสตร์

    ชาวกรีก-โรมันในยุคนั้นไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือกันทุกคน มีเพียงชนชั้นสูง หรือชนชั้นปกครองเท่านั้นที่ได้เรียน ดังนั้นความเชื่อในลักษณะงมงายโดยใช้ศรัทธาเป็นหลักจึงคงอยู่อย่างถาวร แสดงออกมาให้เห็นเป็นวิหารขนาดใหญ่ คือ วิหารเทพซีอุส ที่โอลิมเปีย วิหารแห่งอาร์เทมิส ที่เมืองเอเฟซัส ซึ่งทั้งสองนี้ติดอันดับ 1 ใน 7 สิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ และแน่นอนว่าเรื่องราวของการใช้เวทมนต์ในยุคนั้นแพร่หลายเป็นเรื่องปรกติ

    ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ คนที่ใช้เวทมนต์จะมีตำแหน่งหน้าที่อยู่กับคนใหญ่คนโต ในบันทึกจะพบว่าพวกคริสเตียนมีคำพูดที่ศักดิสิทธิ์ หรือที่พวกใช้เวทมนต์เรียกว่า คาถา

    การใช้เวทมนต์แบบแพร่หลายเริ่มลดลงเพราะความเชื่อแบบคริสเตียน นับแต่นั้นเป็นต้นมา และนี่คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งว่า ทำไมพวกคริสเตียนถึงต่อต้านพ่อมดแม่มด หรือความเชื่อที่แตกต่างอย่างออกนอกหน้า (แฮร์รี่ พอตเตอร์ ก็ถูกต่อต้านเช่นเดียวกัน) เมื่อคริสเตียนกลายเป็นศาสนาหลักของกรีก-โรมัน พวกที่ใช้เวทมนต์จังต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำตัวลึกลับ มีกลุ่มของคนเองเพื่อชุมนุมกัน แต่จริง ๆ แล้วความเชื่อในพระเจ้าของพวกชาวยิวก็ปฏิเสธเรื่องการใช้เวทมนต์มานานแล้วไม่ใช่เป็นเฉพาะพวกคริสเตียนดูจากบันทึกคัมภีร์เดิม

    อาณาจักรโรมันอยู่นานพอที่จะแพร่ความเชื่อของคริสเตียนไปทั่วยุโรปทั้งหมด แต่ก็ยังมีผู้ใช้เวทมนต์ยังซ่อนเร้นอยู่ตามชนบทแม้คริสเตียนจะกลายเป็นศาสนาหลักก็ตาม ผู้อ่านออกเขียนได้ก็ยังเป็นชนชั้นปกครองอยู่ดี คริสเตียนในยุคแรกจึงมีลักษณะครอบงำประชาชน ภาพวาดภาพเขียนเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะสื่อสารให้ประชาชนคนธรรมดาเข้าใจในศาสนาที่ลึกซึ้งและซับซ้อน แต่ก็ยากที่จะถึงแก่น(จนถึงยุคที่ปฏิวัติศาสนา เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์ แปลพระคัมภีร์ทั่วไปให้ประชาชนได้อ่านกันเอง แทนที่จะฟังจากนักบวชหรือการสารภาพบาปกับบาทหลวง)

    ขอกล่าวถึงผู้ที่ใช้เวทมนต์ที่แฝงเร้นอยู่ในอาณาจักรโรมันบ้างนั่นก็คือ พวก ดรูอิด วิคคา ซึ่งพวกนี้เป็นชนเผ่าพื้นเมืองกระจายอยู่ทั่วแคว้นกอล(ฝรั่งเศส) และเกาะบริเตน(อังกฤษ) หรือแม้แต่พวกนอร์ส (ยุโรปตอนเหนือ) พวกนี้ยังใช้เวทมนต์ การทำนายดวงดาว การพยากรณ์ด้วยภาษารูนโบราณ จนถึงปัจจุบันพวกเหล่านี้ยังดำรงอยู่ (แหงๆ เห็น ๆ กันอยู่ - - อยากให้คนเขียนหนังสือเล่มนี้มาเห็นบอร์ดนี้จัง หุหุ)

    ที่อังกฤษ สกอตแลนด์ และ ไอร์แลนด์ ซึ่งพ่อมดแม่มดยังคงฝังตัวอยู่อย่างลึกซึ้ง มีหลายเมืองยังคงเค้าความเชื่ออยู่ หรือแม้แต่เรื่องของ เมอร์ลิน พ่อมดแห่งคาเมลอต ที่ปรึกษาของกษัตริย์อาเธอร์ ต้นแบบของพ่อมดอังกฤษ และเป็ฯที่มาของพ่อมดแห่งวรรณกรรมอีกหลายคนทั้งยังถูกกล่างอ้างถึง
    อาทิเช่น แกนดัลฟ์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับเมอร์ลิน
    บากูโมถ่าย(จากเรื่อง สิมิลัน กราภูงา) ก็มีลักษณะผู้วิเศษลึกลับและยังมีพลังเหมือนพวกเจไดในเรื่องสตาร์วอ อีกด้วย

    ในตามไบเบิล นอกจากในเรื่องของโมเสสแล้ว ยังมี "จอมเวทย์" อีกหลายคนที่มีบทบาทมากมายในพระคัมภีร์ด้วย ซึ่งมีพื้นเพมาจากสถาณที่ต่างๆ เช่น สุเมเรี่ยน บาบิโลเนียน ตุลกี และ เยอร์มัน ซึ้งมีบันทึกการใช้เวทมนต์อย่างการเรียกฝน หรือ ลอยตัวในอากาศ

    และในเรื่องดาวดาวิดและคะบาล่าในศาสณายิว ยังมีที่มาที่ไปจากหลายๆที่ ซึ้งในที่สุดแล้วก็ได้ประยุกใช้จนมาถึงทุกวันนี้


    ยุโรป

    ในยุโรปเรื่องของการใช้เวทมนต์ยังคงอยู่ทั่วไปตามแหล่งต่าง ๆ ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ก็พัฒนามาจากเรื่องเล่า นิทานพื้นบ้าน ตำนานเทพเจ้านอร์ส ที่มีโอดินเป็นเทพสูงสุด เป็นเจ้าแห่งเวทมนต์

    เรื่องราวตำนานนอร์สกลายเป็นเรื่องสนุกสนานเป็นเรื่องที่นักเรียน นักศึกษาได้เรียนรู้กัน (หมายถึงในยุโรปเพราะในไทยนั้นไม่มีการเรียนการสอนเรื่องเทพตำนานในแบบเรียนสามัญ)
    ซึ่งส่งผลให้เรื่องเดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง มีตำนานนอร์สผสมอยู่อย่างกลมกลืน หรือ แม้แต่นาร์เนีย ภาพฉากมหาสงครามระหว่างฝ่ายดีและร้าย ก็ยืมมาใช้จากสงคราม แรกนาร็อค เป็นชื่อของมหาสงครามในตำนานนอร์ส ซึ่งบัดนี้กลายเป็นชื่อเกมส์ออนไลน์ของเกาหลีที่เด็ก ๆ บ้านเราติดกันงอมแงมทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่ามีที่มาที่ไปจากแหล่งใด (เราเองก็เคยเล่น ชื่อเซิฟเวอร์เกมส์นั้นต่างก็เป็นชื่อเทพ เช่นโอดิน )

    การมีอิทธิพลทางการเมืองส่งผลให้ผู้นำหลายคนในยุโรปใช้เรื่องพ่อมดแม่มดเป็นเรื่องกำจัดศัตรูทางการเมือง มีหลายคนถูกเผาทั้งเป็นในข้อหาเป็นแม่มด

    ในพจนานุกรมภาษาไทย ได้ให้ความหมายคำว่า witch-hunt หมายถึงการประหัตประหารศัตรูการเมือง อย่างการปราบปรามแม่มดในสมัยก่อน

    ฌอง ออฟ อาค หญิงสาวผู้นำกองทัพฝรั่งเศสปลดแอกประเทศจากอังกฤษก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดเช่นเดียวกัน แต่อีก 500 ปีต่อมา เธอถูกยกย่องให้เป็นนักบุญผู้พลีชีพ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า เซนต์

    กษัตริย์เจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ เป็นผู้หนึ่งที่สนับสนุนการล่าแม่มด และได้แปลพระคัมภีร์ที่มีชื่อเสียงอีกฉบับหนึ่ง คือฉบับ King James Version ในปี 1611 (ชื่อซะ - -)

    "Thur shalt not suffer a witch to live"
    สำหรับหญิงแม่มด เจ้าอย่าให้รอดชีวิตอยู่เลย
    (คัดลอกจากหนังสืออพยพ บทที่ 22 ข้อที่ 18)

    "A man also or woman that hath a familiar spirit, or that is a wizard, shall surely be put to death : they shall stone them with stones : their blood shall be upon them."
    ชายหรือหญิงคนใดที่เป็นคนทรงหรือพ่อมดแม่มด จงฆ่าเสีย จงเอาหินขว้างให้ตาย ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง (โหดร้ายง่า..)
    (คัดลอกจาหนังสือเลวีนิติ บทที่ 20 ข้อที่ 27)

    บันทึกจากพระคัมภีร์เดิมที่ฉบับคิงเจมส์ฉบับเดียวเจาะจงใช้คำว่า witch และ wizard แทนที่จะคำว่า sorceress หรือ sorcerer เหมือนพระคัมภีร์แปลฉบับอื่น ๆ มีผลทำให้หลายคนถูกทรมานและให้ยอมรับสารภาพว่าเป็นพ่อมดแม่มดตามคำกล่าวหา ซึ่งหลายคนยอมรับสารภาพเพราะทนการทรมานไม่ไหว สุดท้ายทุกคนที่สารภาพก็ต้องถูกแขวนคอ หรือ เผาทั้งเป็น ซึ่งนั่นก็ดีกว่าการทรมาน ที่น่าแปลกใจกว่าก็คือ ถ้าพวกนี้เป็นพ่อมดแม่มดจริง ๆ ทำไมไม่ใช้เวทมนต์ที่มีอยู่ต่อสู้ หรือหลบหนี (อันนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเวทมนต์ใช้แบบนั้น - -)


    นักประวัติศาสตร์จึงเชื่อกันว่านี่คือวิธีของนักการเมืองในยุคนั้น ในดินแดนอาณาจักรสยามบ้านเราก็ยังใช้วิธีแบบนั้นเช่นกัน ในบันทึกของ
    มิชชั่นนารีท่านหนึ่งได้บันทึกเรื่องราวในทำนองนี้


    ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้เชื่อในเวทมนต์คาถาในยุโรปได้เฟื่องฟูอีกครั้ง และ แผ่อิทธิพลไปทั่วโลก ซึ่งแท้จริงแล้วเรื่องราวของเวทมนต์มีอยู่ทั้วไปทุกภูมิภาคของโลก แต่การเรียกนั้นแตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็น

    "ชามาน(ชาแมน)(shaman)"พ่อมดหรือหมอผีอินเดียแดงแห่งดินแดนแถบอเมริกาเหนือ และเอเชียตอนเหนือ

    "วูดู(Voodoo)" ในแถบอเมริกากลาง

    "วีดา (Veda)" เป็นความเชื่อของชาวฮินดูโบราณ

    "วู(Wu)" พ่อมดหมอผีของชาวจีน

    "ดรูอิด(Druid)" พ่อมดของพวกเซลติก (Celtic)[พวกดรูอิดยุคใหม่ยังทำพิธีโบราณที่สโตนเฮนจ์ ประเทศอังกฤษ]

    และ "วิคคา(Wicca)"ในประเทศอังกฤษ (d- -b)

    อเมริกา

    แม้ว่าหมอผีอย่างชามาน(ชาแมน)จะมีมานานในอเมริกา แต่เรื่องแม่มดก็แผ่เข้ามาพร้อมกับคริสเตียนยุโรปที่อพยพมาหาแหล่งทำมาหากินใหม่ในอเมริกา ในปี 1692 เรื่องของแม่มดแห่งเมืองซาเลม มลรัฐ แมซซาซูเซตต์ (ชื่อแนวดีจัง) เกิดขึ้นเมื่อคนผิวดำอ้างตนเองว่าเป็นแม่มด และเล่าเรื่องให้เด็ก ๆ ลูกของเจ้านายฟัง ซึ่งต่อมาเด็กเหล่านั้นก็มีอาการประหลาดชักดิ้นชักงอ ตัวสั่น ร้องครวญคราง พูดจาไม่รู้เรื่อง หลายคนลงความเห็นว่าถูกแม่มดเข้าสิง (ทำได้ด้วยหรอเนี่ย??) จากเหตุการณ์ในครั้งนี้มีผู้ถูกกล่าวหาและถูกจับประหารโดยการแขวนคอถึง 22 คน

    t em
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×