ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความรู้เกี่ยวกับเวทย์มนต์

    ลำดับตอนที่ #1 : แม่มด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 306
      0
      14 เม.ย. 54

    ที่มาของแม่มด

    คำว่าแม่มด หรือ witch แผลงมาจากคำว่า wit ในภาษาแองโกลแซกซอน
    หมายถึงหยั่งรู้ ต้องการรู้
    ดังนั้นแม่มดจึงหมายถึงพวกที่ต้องการหาความรู้(ในศาสตร์ลึกลับเหนือธรรมชาติ)
    ส่วนพ่อมดทีเรียกว่า Wizard แปลว่าผู้วิเศษ ตำนานพ่อมดแม่มดไปไกลถึงสมัยดึกดำบรรพ์
    โดยเฉพาะสมัยกรีกโบราณซึ่งเป็นยุคที่เต็มไปด้วยเทพย์นิยาย
    ในสมัยนั้นฐานะของพ่อมดแม่มด เป็นผู้ได้รับการนับถือ โดยยกย่องเป็น
    ผู้ที่ให้ความรู้, หมอรักษาโรค, ที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์
    หรือบางครั้งก็เป็นสื่อกลางกับเทพเจ้า  จนต่อมาภาพพจน์ได้ตกต่ำลง
    ผ่านมาหลายทศวรรษความคิดก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว
    โดยเฉพาะเมื่อฮอเรช กวีชาวโรมัน เขียนถึงแม่มด2 ตน ชื่อคาดิเนีย และซากาน่า
    ซึ่ง ฮอเรชได้บรรยายไว้ว่า เป็นหญิงชราที่น่าเกลียดน่ากลัว ฟัน ยื่น คางงุ้ม ใบหน้าขาวซีด ผมสกปรกยุ่งเหยิง ไม่สวมรองเท้า กำลังเก็บสมุนไพรอยู่ในป่าช้า และฉีกเนื้อลูกแกะออกเป็นชิ้นๆด้วยมือเปล่า
    พวกเธอทำคุณไสย ด้วยการเอาเทียนมาปั้นเป็นรูปของเหยื่อ
    และวิงวอนให้เทพธิดาแห่งนรก และนางปีศาจที่มีผมเป็นงูมาทำร้ายศัตรูของนางทั้งสอง
    จากนั้นงูและสุนัขนรกจำนวนมากก็ปรากฎตัวขึ้น ภูติผีปิศาจส่งเสียงโหยหวน
    รูปปั้นขี้ผึ้งถูกโยนไปในกองไฟ ไฟลุกโชน ภาพลักษณ์จึงเป็นสิ่งที่ติดใจทุกคนจนทุกวันนี้นั่นเอง...



    การล่าแม่มด

    ศตวรรษที่ 16 -17 จำนวนแม่มดในสหรัฐอเมริกามีมากถึง 50,000 คน สหรัฐอเมริกาเป็นดินแดนที่ วิชาว่าด้วยคุณไสย (witchcraft ) เป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการ จำนวนแม่มดในออสเตรเลียและยุโรป อาจจะมีจำนวนมากพอๆกัน ก็ได้ แต่ไม่เป็นที่เปิดเผย มีการเปิดสอนวิชาการแม่มดทางจดหมายซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมมากกว่า 40,000 คน ในสมัยก่อนผู้คนต่างเชื่อว่า การเจ็บป่วยและโชคร้ายนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเอง เชื่อกันว่าเกิดจากความตั้งใจของแม่มด แม่มดเป็นผลพวงของลัทธิป่าเถื่อน ใช้คุณไสยช่วยเหลือผู้คน รักษาโรค นำโชค แต่คุณไสยสามารถนำมาใช้ในทางไม่ดีได้ด้วย ในสังคมอัฟริกานั้นเชื่อว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นจากแม่มดทั้งสิ้น ในซูดานและซาอีร์ เชื่อว่า การเป็นแม่มดนั้นเป็นคุณสมบัติที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ผู้ที่เป็นอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นแม่มด สังคมนี้เชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดจากเชื้อโรค ซึ่งตรงกับนิยามทางวิทยาศาสตร์ ผิดแต่เพียงว่า แม่มดเป็นผู้ควบคุมเชื้อโรคเพื่อสร้างความเจ็บปวดให้กับคนบางคนเท่านั้น


    ภาพลักษณ์ของแม่มดในสังคมยุโรปนั้นไม่ค่อยชัดเจน แม่มดอาจจะเป็นผู้วิเศษที่ช่วยรักษาโรคและนำโชคดีมาให้ก็ได้ พวกเขาจะรักษาโรคโดยใช้ความรู้ทางยาและสมุนไพรประกอบกับเวทมนตร์คาถา ภาษา ละติน และฮิบรู ที่โดยมากสืบทอดมาจากพวกเคลต์ (Celtic : ชาติวงศ์เมื่อพันกว่าปีของยุโรปกลางและยุโรปตะวันตก) นอกจากคุณไสยจะถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคแล้ว ยังอาจนำไปใช้ในการสาปแช่ง และทำเสน่ห์ได้ด้วย บุคคลใดเชื่อว่าตนถูกสาป จะต้องไปหาแม่มดเพื่อแก้คำสาปนั้น
    เรื่องของคุณไสยและเรื่องเหนือธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนในยุคกลาง แม้ในศาสนาคริสต์พลังเหนือธรรมชาติถูกแสดงได้โดยพระเจ้าเท่านั้น



    เรื่องราวของการต่อต้านแม่มดและการใช้คุณไสยเริ่มมีขึ้นก่อนยุคกลาง มีผู้วิเศษออกมากล่าวหาว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้ต่างอะไรกับผู้วิเศษคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจสูงสุดอย่างองค์กรทางศาสนาอ้าง ตั้งแต่นั้นมาองค์กรศาสนาก็ทำการต่อต้านผู้วิเศษรวมทั้งแม่มด ฐานแสดงความขัดแย้งต่อพลังอำนาจของพระเจ้า พ.ศ. 2027 องค์กรทางศาสนาโรมันคาทอลิก ประกาศว่า ผู้ใดก็ตามที่ไม่ไช่สมาชิกของศาสนาแต่ปฏิบัติพิธีกรรม การใช้เวทมนตร์ คาถา และมีพลังเหนือธรรมชาติ ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับซาตานและปีศาจ พลังที่ได้มาไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่ได้มาจากซาตานและปีศาจ องค์กรศาสนาพยามเผยแพร่ศัตรูของพระเจ้าและสร้างภาพลักษณ์ให้ชัดเจน
    ในช่วงปลายยุคกลาง ปีศาจเริ่มมีรูปร่างชัดเจนมากขึ้น โดยเห็นได้จาก ภาพวาดของพี่น้องลิมเบอร์ก(Limbourg) แสดงให้เห็นว่า ปีศาจนั้น มีเขา มีหาง มีเท้าเป็นกีบ ปีศาจอาจจะออกมาในรูปลักษณ์อื่นเพื่อหลอกลวง


         แม่มด ถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่ยอมรับและลุ่มหลงในพลังอำนาจของปีศาจ และถือว่าเป็นสาวกของมัน นั่นเป็นเหตุให้มีการล่าและกำจัดแม่มดในเวลาต่อมา
    ในปี พ.ศ. 2133 พระเจ้าเจมส์ ที่ 6 แห่งสก็อต ได้รับทราบแผนลอบปลงพระชนม์ที่เอิร์ล แห่งโบธเวลล์ (Bothwell) เป็นผู้วางแผนโดยใช้คุณไสยของแม่มดเป็นเครื่องมือ พระเจ้าเจมส์มีความเชื่อในอำนาจของปีศาจอยู่แล้ว จึงสืบสวนแม่มดฐานเป็นกบฏ แอกเนส ซิมพ์สัน (Agnes Simpson) หัวหน้าแม่มดถูกนำมาพิจารณาคดีที่ นอร์ธ เบอร์วิก(North Berwick) หลังจากถูกทรมาน


    แอกเนสสารภาพถึงกรรมวิธีต่างๆที่ใช้เพื่อพยายามปลงประชนม์แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากพระเจ้าเจมส์ ทรงเป็นสาวกของพระผู้เป็นเจ้า เป็นผลให้พลังอำนาจของปีศาจไม่สามารถทำอันตรายต่อพระองค์ได้ จากคำสารภาพ ทำให้เหล่าแม่มดมีความผิดจริง จึงถูกประหารโดยการ เผาที่ เอดินเบิร์ก (Edinberg) ส่วน เอิร์ล แห่ง โบธเวลล์ ผู้เป็นราชนัดดาที่ก่อการทั้งหมดได้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศชิลี

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ นอร์ธ เบอร์วิก เป็นจุดเริ่มต้นของการล่าแม่มด แม่มดกลายเป็นคนชั่วร้าย สมควรแก่การล่า สังหารโดยการแขวนคอหรือเผาทั้งเป็น นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างวิลเลียม เชกส์เปียร์ (William Shakespeare) ก็ได้นำเหตุการณ์ที่ นอร์ธ เบอร์วิก มาเขียนเป็นละครและจัดแสดงต่อหน้าพระพักตร์ที่พระราชวัง แฮมพ์ตัน (Hamton) เนื้อหาของละครเป็นไปตามเหตุการณ์จริงที่แอกเนสสารภาพ


    ในปี พ.ศ. 2029 มีการพิมพ์คู่มือพฤติกรรมแม่มด เพื่อช่วยในการจับและล่า ในคู่มือจะบอกว่า ส่วนใหญ่แม่มดจะเป็นผู้หญิง เพราะผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย จึงถูกปีศาจหลอกได้ง่ายกว่า วิธีที่จะทำให้แม่มดยอมรับสารภาพคือ การทรมานโดยวิธีต่างๆ เช่น การตอกเล็บหรือการทรมานอื่นๆ บางคนต้องยอมรับสารภาพเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว


    บางสมัยมีการสังหารหมู่เหล่าแม่มดในคราวเดียวถึง 600-900 คน วันหนึ่งๆมีผู้หญิงที่ต้องตายเนื่องจากการล่าแม่มดนับพันคน มีตัวอย่างในสมัยพระเจ้าโยฮันจอร์จที่ 2 (Gohannes Georg II ) แห่งเยอรมัน โยฮันเนส จูนิอุส ไม่เห็นด้วยสำหรับการสร้างโรงสำหรับทรมานแม่มดโดยเฉพาะ จึงถูกจำและกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ในที่สุดก็ต้องยอมรับสารภาพและเสียชีวิตเพราะทนรับการทรมานไม่ไหว
    ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า เพราะสาเหตุใดความเชื่อเกี่ยวกับการล่าแม่มดและแม่มดเสื่อมสลายไป อาจจะเป็นไปได้ว่า ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ในพุทธศตวรรษที่ 23 เบี่ยงเบนความสนใจ หลังจากนั้นแม่มดไม่ค่อยเป็นที่พบเห็น มีเพียงคนทรงและผู้วิเศษที่ยังพบเห็นกันอยู่ ในพุทธศตวรรษที่ 21-22


    แม่มดกับไม้กวาด


         ไม้กวาดเป็นเครื่องมือหนึ่งที่พวกแม่มดใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง และกลายเป็นสัญลักษณ์ของแม่มดไปเลย มีหลายคนสงสัยว่าไม้กวาดบินได้อย่างไร


    ในปี 1477 แม่มดแห่งซาวอยเล่าว่า เธอได้ไม้กวาดจากปีศาจร้าย เมื่อขึ้นขี่ระหว่างขาให้ตะโกนว่า "จงไป ในนามแห่งปีศาจร้าย ไป" แล้วไม้กวาดก็จะบินขึ้นสู่อากาศทันที
     

    ในปี 1563 มีชายคนหนึ่งเล่าว่าเห็นแม่ของเขาขึ้นขี่ไม้กวาดแล้วพูดว่า "จงไปในนามของปีศาจร้ายและลูซิเฟอร์เจ้าแห่งศิลาและบัลลังก์"


    ในยุคกลางขอยุโรป หรือ ที่เรียกกันว่า ยุคมืด คือยุคที่อยู่ใต้การปกครองของศริสตจักร แม่มดถูกประนามว่าเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย เป็นมนุนของซาตานจึงมีการไล่ล่าเพื่อกวาดล้างแม่มดอย่างเอาเป็นเอาตายจากบรรดาบาทหลวง ไม่ว่าจะเกิดเหตุร้านผิดปกติอะไร เช่น ภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือคนตายโดยไม่ทราบสาเหตุ มักจะมีการกล่าวหาว่าเป็นผลงานของแม่มด และจะมีการรัดกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นแพะรับบาป การกล่าวหาส่วนใหญ่เป็นไปอย่างเลื่อนลอย หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาดูแล้วน่าสมเพช ใช้แค่การดูรูปลักษณ์ภายนอก ใครที่ดูแปลกๆกว่าคนอื่น จะโดนกล่าวห้องกล่าวหาได้ง่ายๆ เหยื่อส่วนใหญ่คือผู้หญิง โดยเฉพาะหญิงแก่ชรา มักถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและ ถูกลากมาเผาประจานทั้งเป็นอย่างน่าเอนจอนาถ ไม่ใช่แต่คนที่มีหน้าตาอัปลักษณ์เท่านั้น ผู้ที่มีหน้าตางดงามสวยเกินไปก็มักถูกข้อกล่าวหานี้เช่นกัน เพราะสงสัยว่าเอาวิญญานเข้าแลกกับเรือนร่างอันน่างดงาม แถมผู้ชายในสมัยนั้นยังชอบทารุนกรรมผู้หญิงโดยยกข้องอ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างว่า "สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต Thou shlt not suffer a witch to live " การเข่นฆ่าตอนนั้นจึงได้รับรองว่าเป็นสิ่งชอบธรรม


    การสังหารแม่มดเป็นเหมือนรอยแปดเปื้อนในประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษยชาติที่ไม่สามารลบเลือนได้ โดยเฉพาะการทารุนกรรมต่างๆเกิดจากฝีมือของผู้ที่อ้างตนว่าเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่ต้องมีความเมตตาการุณย์อยู่ในจิตใน แต่ตรงกันข้ามศาสนจักรในยุคกลางนั้นป่าเถื่อน และ วิปริตผิดมนุษย์ไม่ปรากฎหลักฐานจริงๆว่า แม่มด เคยได้ทำร้ายผู้คนจริงๆ นอกจากคำสารภาพของบุคคลที่ถูกทรมารให้รับผิด


    เชื่อกันว่าแม่มดเคารพบูชา ซาตาน ในการรับใช้จอมมารนั้น ต้องเกณฑ์ผู้คนเข้าเป็นพวกอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการอันยิ่งใหญ่ ในการทำลายคริสตศาสนา ลดทอนค่านิยมอันดีงาม และ ล่อวิญญาณมนุษย์สู่ขุมนรก ในวันธรรมสวนะ (แซบบัธวีนพักผ่อนตามลัทธิศาสนายิว คือ วันพุธ และ ศาสนาคริสต์ คือวันอาทิตย์) หรือ ในวันชุมนุมของศาสนิกชนยิว โดยเฉพาะอันเรียกว่า ซันอะก๊อก ในพิธีนั้น เหล่าแม่มดจะทำการสักการะซาตาน ผู้เป็นเจ้านายซึ่งจะมาปรากฎตัวให้เห็นเป็นบางครั้ง ในเรือนร่างของมนุษย์ แต่บ่อยครั้งจะปรากฎในรูป! เช่น แพะสีดำสนิท และ ใหญ่มหึมา จากความเชื่อนี้ และ เมื่อคริสตจักรเรืองอำนาจจึงเกิดการเข่นฆ่าพวกนอกศาสนาอย่างโหดเหี้ยม


    เดิมทีมีการจัดการกับพวกแม่มดหมอผีอยู่บ้าง แต่การประหัตประหารเหล่าแม่มดอย่างเป็นระบบนั้น เริ่มต้นจากการพิพากษาของศาลที่สนับสนุนโดยพระสันตะปาปา ที่จัดตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เพื่อกำจัดพวกนอกรีตอัลโบเจนเซียน หรือ ชาวเมือง ฮีลบี ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส อย่างที่เราทราบกันดีกว่าแต่ก่อนนั้น ประสัตะปาปา หรือ โป๊บ เป็นผู้กุมอำนาจ ทั้งการเมือง และ ศาสนาไปพร้อมๆกัน เพราะฉะนั้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 จึงมีบรรดเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่มีโป๊บสนับสนุนเที่ยวไปสอบสวย ระรานพวก อัลโบเจนเซียน แล้วทำเลยเถิดไปกลายเป็นการเข่นฆ่าพ่อมด แม่มด เทียมกันอย่างสนุกมือ แต่สยองใจไปแทน


    การเข่นฆ่าแม่มดขนาดใหญ่ เกิดขึ้นกลางของยุโรปราวศตวรรษที่ 15 ต่อเนื่องไปจนถึง ศตวรรษที่ 17 นานหลายร้อยปีทีเดียว การกล่าวหาบุคคลต่างๆเกิดขึ้นอย่างมากมาย ประบวนการสอบสวนการทารุนต่างๆ ซึ่งไม่มีผู้ไดสามารถทนได้ เช่น การใช้ตะปูควง ตอกเล็ก, ใช้เครื่องดึงชัดรอกดึงแขนให้ไขว้ขึ้น เพื่อให้หัวไหล่หลุดแล้วแขวนไว้ให้ทรมาร และ อื่นๆอีกมาก ซึ่งผลการสอบสวนจะยุติลงเมื่อมีการสารภาพ แน่นอนคือการยอมรับผิดว่าตนเป็นพ่อมด แม่มด แต่เท่านี้ยังไม่พอเหยื่อยังถูกให้ซัดทอดอีก
    บทลงโทษยอดฮิตสำหรับการเป็นพ่อมด แม่มด คือ การเผาทั้งเป็น วิธีการนี้ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งคิดขึ้นมาใหม่ แต่เป็นธรรมเนียมตกทอดกันมา จากหลักฐายเก่าแก่ที่กล่าวถึงการเข่นฆ่าแม่มดที่ได้บันทึกไว้เมื่อ 350 ปีก่อนคริสต์กาล โดย ดิเมอร์ชีนิส นักเล่านิทานแห่งกรีก กล่าวถึงผู้หญิงนามว่า ธีออริส แห่ง เลมมอส ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด แห่งกรุงเอเธนส์ และเธอก็ถูกเผาทั้งเป็นในเวลาต่อมา


    ประเทศที่มีการทารุนกรรมมากที่สุดก็คือ เยอรมนี เฉพาะเมืองแบมเบิร์ก เพียงแห่งเดียว มีแม่มดถูกเผาทั้งเป็นกว่า 600 คน
    การลงโทษนี้เริ่มตั้งแต่ปี 1609 ไดยมีบิชอป ฟอน อาสโซเสน ปกครองโดยบิชอปคนนี้ได้สั่งเผาแม่มดไปกว่า 300 คนภายในเวลา 13 ปี หรือประมาณสองอาทิตย์ 1 ศพ


    อันที่จริงก่อนหน้ายุคกลางใช่ว่าจะไม่มีใครสนใจเรื่องราวของ พ่อมด แม่มดมาก่อน อันที่จริงน่าจะมีพ่อมด แม่มดอยู่ทั่วยุโรป ซึ่งปรากฎในประวัติศาสตร์เสมอมาจนมาถึงยุคกลางที่คริสตจักรเรืองอำนาจจนถึงขีดสุดจึงได้มีความพยายามกำจัดสิ่งที่นอกเหนือจากคำสอนของศาสนาออกไป แม้แต่กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ยังถูกศาสนาพิจารณาความผิด เพราะบังอาจกล่าวว่า โลกกลม ไม่ได้แบน และโลกไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งขัดแย้งกับไบเบิลเป็นอย่างมาก แต่จนถึง ณ เวลานี้ เราก็ทราบกันดีว่าฝ่ายใดถูกต้อง


    Qreaz. 10

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×