ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sweetly Exchange :: รักแรก...แลกรัก

    ลำดับตอนที่ #9 : Sweetly Chapter 8 :: I'm Here For You (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 418
      4
      31 พ.ค. 55

    Sweetly Chapter 8 :: I'm Here For You


     

    Here, dry yourself up before you catch a cold.” (เอ้านี่ เช็ดตัวซะ เดี๋ยวเป็นหวัดกันพอดี)

                อเล็กซ์โยนผ้าขนหนูมาใส่ฉันที่รับมันมาอย่างงงๆ และยิ่งงงมากขึ้นไปอีกเมื่อมองไปรอบๆตัว อ้าว...นี่เรามาถึงบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? เมื่อกี้ยังอยู่ในแท็กซี่อยู่เลย -_-; ฉันเอาผ้าเช็ดผมตัวเอง รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย สงสัยจะเป็นเพราะตากฝนนานเกินไป

                “ขอบใจ...” ฉันเอ่ยเสียงเบา ในขณะที่อเล็กซ์หันมามองแวบหนึ่งแล้วยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

                “Not a problem…So how’re you feeling?” (ไม่เป็นไรอยู่แล้ว เธอรู้สึกยังไงบ้าง?)

                อเล็กซ์ถามแล้วมองมาทางฉันที่นั่งทื่ออยู่บนโซฟา ฉันหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นพลางเบนหน้าไปมองแจกันที่ตั้งอยู่มุมห้องแทน

                “ก็โอเค๊โอเค ไม่มีปัญหาเลย ฝนมันตกหนักฉันก็เลยร้องไห้น่ะ -_-;

                พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเอง มีอย่างที่ไหนฝนตกเลยร้องไห้ ฉันนี่ท่าจะเบลอ =_= อเล็กซ์เลิกคิ้วขึ้นพลางหรี่ตามองฉันอย่างสงสัย ก่อนีจะยื่นแก้วน้ำมาให้ฉัน กลิ่นช็อคโกแลตอุ่นๆลอยออกมาเตะจมูกทันที เขาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆฉัน พลางจิบกาแฟในมือ เฮ้! ฉันก็อยากกินกาแฟนะ ทำไมนายเอาช็อคโกแลตมาให้ฉันเนี่ย ไม่แฟร์เลย -_-;

                “Liar!” (โกหก!)

                หือ? อะไรอ้าๆนะ? -_-;

                “พูดอะไรของนายเนี่ย...”

                “I’ve seen it all…It’s about him, Aunn, right?” (ฉันเห็นหมดแล้ว...มันเกี่ยวกับอั๋นใช่มั้ย?)

                ฉันถึงกับชะงักไปเมื่อได้ยินชื่อของเขา หมะ หมายความว่ายังไง ทำไมอเล็กซ์ถึงรู้ล่ะ ทำไมเขาถึงบอกว่าเห็นล่ะ? ตอนนี้ฉันมีแต่คำว่าทำไมๆๆเต็มหัวไปหมด อเล็กซ์เลยพูดต่อว่า

                “I’ve been walking behind you since I took Aye to a nurse’s room. You saw me too right? In the castle, remember?” (ฉันเดินตามเธอมาตั้งแต่พาไอย์ไปส่งที่ห้องพยาบาลแล้ว เธอก็เห็นฉันนี่ใช่มั้ย? ในปราสาทผีสิงอ่ะ)

                ฉันขมวดคิ้วพลางนึกย้อนไปในปราสาทผีสิง ในนั้นมืดจะตายฉันจะไปเห็นได้ยังไงว่าเขาเดินตามมาหรือไม่ตาม... หรือว่าเขาจะเป็นผีญี่ปุ่นคอด๊อกแด๊กตัวนั้น? บ้าไปแล้ว... อีตานี่จะไปเป็นผีหน้าขาวปากแดงนั่นได้ยังไงล่ะ -_-;; อ๊ะ! นึกออกแล้ว หรือว่าอเล็กซ์จะเป็นผู้ชายคนนั้น? คนที่ฉันวิ่งชนจนกลิ้งลงมาข้างล่าง?

                เพื่อเป็นการพิสูจน์ฉันเลยโน้มหน้าเข้าไปใกล้ๆอเล็กซ์แล้วทำจมูกฟุดฟิดๆ เล่นเอาอเล็กซ์ถอยกรูดอย่างตกใจ

                “What the heck are you doing? Smelling me?” (เธอทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย? ดมฉันทำไม?)

                ฉันไม่สนใจเขาและยังคมเขาต่อไป จนไล่ขึ้นมาที่ปกเสื้อของเขา ก่อนจะได้กลิ่นโคโลญน์ที่ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ ฉันชี้หน้าเขาก่อนจะละล่ำละลักออกมา

                “น่ะ...นี่ นายเป็นคนที่ฉันชนหรอ? ที่เรากลิ้งลงมาข้างล่างอ่ะนะ?”

                “Woah…slow down. I can’t understand Thai that much.” (โว้วว พูดช้าๆหน่อยสิ ฉันไม่ได้เข้าใจที่เธอพูดทุกคำนะ)

                “เออ โทษทีๆ ฉันถามว่า นาย-เป็น-คน-ที่-ฉัน-ชน-หรอ?”

                “Er… If that means I was the one that you ran into, then yes.” (เอ่อ...ถ้าที่เธอพูดหมายถึงว่าฉันเป็นคนที่เธอชน...ก็ใช่)

                ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ รู้สึกเหมือนว่าฉันจะเริ่มฟังที่เขาพูดออกบ้างแล้วล่ะ ถ้าแม่รู้คงดีใจตาย -..- อเล็กซ์ยกกาแฟในมือขึ้นมาจิบแล้วพูดต่อ

                “So what happened?” (แล้วตกลงว่าเกิดอะไรขึ้น?)

                “...you saw ไม่ใช่หรอ”

                “I didn’t see ‘all’ that happened though. I just saw you at the castle and then after you got out of the Ferris wheel. That’s all.” (ฉันไม่ได้เห็นหมดทุกอย่างหรอก เห็นแค่ตอนที่อยู่ในปราสาทแล้วก็ตอนที่เธอลงมาจากชิงช้าสวรรค์แล้ว แค่นั้น)

                “...”

                อะ...อะไรนะ? พูดซะเร็วเลย ใครมันจะไปฟังออก แล้ว ไอ้ Ferris wheel มันคืออะไร =_=?

                “ทำไมนายต้องพูดเร็วด้วยเนี่ย ฉันฟังไม่ทัน”

                “Sorry. I said I didn’t see the whole thing. Do you want to tell me what happened?” (โทษที ฉันบอกว่าฉันไม่ได้เห็นหมดทุกอย่าง เธออยากบอกฉันมั้ยว่า...มันเกิดอะไรขึ้น?)

                “…”

                ฉันเงียบก่อนจะหลบสายตาของอเล็กซ์ที่มองมาอย่างเป็นห่วง เมื่อเขาเห็นว่าฉันไม่ตอบก็ลุกขึ้นและพูดออกมาว่า

                “If you’re not ready to talk about it, that’s fine. But just so you know, I’ll be right here for you whenever you need me” (ถ้าเธอไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร แต่ก็จำไว้นะว่าเธอยังมีฉันอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนเธอเสมอ)

                อเล็กซ์ยิ้มให้ฉันที่มองเขาอย่างอึ้งๆ เขาหยิบแก้วช็อคโกแลตร้อนจากมือฉันไปวางไว้ในห้องครัว ก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงน้ำไหล คิดว่าเขาคงกำลังล้างแก้วอยู่

                จะว่าไปแล้ว อเล็กซ์นี่ก็เป็นไม่ได้เลวร้ายอะไรเท่าไหร่แฮะ ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้เจอเขา ฉันอาจจะยังนั่งร้องไห้อยู่ท่ามกลางสายฝนไม่สบายตายไปแล้ว ฉันอมยิ้มออกมานิดๆเมื่อมองร่างที่กำลังล้างแก้วอยู่ในครัว หลังจากที่เขาล้างเสร็จก็เดินออกมา ทำท่าจะเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง แต่เขากลับชะงักเท้าไว้ก่อน แล้วหันมาหาฉันแล้วยิ้มให้บางๆก่อนจะพูดว่า

                “Good night…umm…ราตีซาหวัดนะ...คับ”

                ฉันยังคงนั่งอึ้งค้างอยู่ที่เดิม แม้ว่าประตูบานนั้นจะปิดลงไปนานแล้ว รู้สึกเหมือนร่างกายมันร้อนวูบขึ้นมาแปลกๆ ใบหน้าร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ให้ตายสิ! ฉันเป็นบ้าอะไรเนี่ย ฉันลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยุดที่หน้าประตูห้องของอเล็กซ์ ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆแล้วเดินเข้าห้องไป

                “ขอบใจนะ...ราตรีสวัสดิ์”


                 ฉันพาสังขารของตัวเองมาโรงเรียนอย่างเอื่อยเฉื่อย ขอบตาทั้งบวมทั้งคล้ำยิ่งกว่าแพนด้าจากเมืองจีน เพราะเมื่อคืนกว่าฉันจะนอนหลับก็ปาไปเกือบตีสี่แล้ว T^T ก่อนออกจากบ้านฉันเลยคว้าแว่นตากันแดดสีดำอันใหญ่มาด้วย ไม่อยากจะบอกว่าใส่แล้วฉันดูเป็นเซเลปมาก ทั้งคนทั้งหมามองกันเต็มไปหมดตั้งแต่ออกจากบ้านยันมาถึงโรงเรียน >O< ป๊อบปูล่าที่สุด

                “Can you just take those of? Your eyes aren’t look that bad -_-;” (ถอดแว่นออกเหอะ ตาเธอก็ไม่ได้คล้ำอะไรมากหรอกน่า)

                อเล็กซ์พูดประโยคนี้เป็นรอบที่ร้อยตั้งแต่ออกจากบ้านยันขึ้นรถเมล์ก็ยังไม่เลิก ไม่รู้จะอะไรนักหนา เดี๋ยวนี้คนเขาใส่กันเยอะแยะไป มันออกจะเป็นแฟชั่น >_<

                “ไม่ เอ้ย โน! ไม่ถอดย่ะ ฉันจะใส่ไม่ใส่ก็เรื่องของฉัน นายอย่ามายุ่งดีกว่าย่ะ”

                “Um…maybe we should pretend we don’t know each other =_=;”(อืม... ฉันว่าเราแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกันดีกว่านะ) อเล็กซ์พูดพลางกระเถิบไปยืนห่างจากฉันทันที

                ฉันสะบัดหน้าหนีไปอีกทางอย่างไม่สนใจ ก่อนจะรีบหันมาทางเดิมเพราะทนกลิ่นตัวคนข้างๆไม่ไหว -_-; แม้ว่าอเล็กซ์กับฉันเหมือนจะญาติดีกัน(บ้าง)แล้วหลังจากเหตุการณ์เมื่อวาน แต่ก็อย่าได้หวังให้เราสองคนพูดกันดีๆเลยจริงๆ เมื่อเช้าฉันแทบจะฆ่าเขาตาย เคาะหน้าประตูห้องตั้งนานจนเกือบมาโรงเรียนสายแน่ะ ให้ตายสิ! ไร้ความรับผิดชอบชะมัด

                กริ๊งง

                ฉันเอื้อมมือไปกดออดเมื่อเราใกล้ถึงโรงเรียน โอ้โห...นั่นคนหรืออะไร ยืนออกันเต็มทางเข้าโรงเรียนไปหมดเลย -O- ทำไมเหรอ? จัสติน บีเบอร์มาเข้าเรียนรึยังไง?

                ฉันกับอเล็กซ์เดินลงจากรถเมล์แล้วเข้าไปชะเง้อคอดูท่ามกลางฝูงไทยมุงนับสิบ (ที่จริงก็มีแค่ฉันเขย่งคนเดียวน่ะแหละ อีตาอเล็กซ์แค่ยืดคอหน่อยเดียวก็เห็นไปถึงภูเขาไฟฟูจิแล้ว คนอะไรสูงยังกับเสาชิงช้า -_-) อั๋นนั่นเอง... นึกว่าใครมาก่อจราจลแถวนี้ซะอีก ทันทีที่ตาสบตา ภาพเหตุการณ์ในสวนสนุกเมื่อวานกลับมารีรันอีกครั้งในหัวของฉัน อเล็กซ์ที่ยืนอยู่ข้างๆสังเกตเห็นเลยจับหัวฉันหันหน้าไปอีกทาง -_-;

                เฮ้ ถึงฉันจะยังเฮิร์ทอยู่แต่อีตานักเรียนแลกเปลี่ยนนี่ก็ไม่มีสิทธิ์มาจับหัวฉันนะยะ!

                “อเล็กซ์!

                ฉันได้ยินเสียงอั๋นตะโกนเรียกอเล็กซ์ที่กำลังจะเดินออกไปจากกลุ่มสาวๆที่ยืนล้อมหน้าล้อมหลังอั๋นอยู่ เขาหันไปบอกลาบรรดาแฟนคลับของเขาที่แหวกทางให้เขาเดินผ่านด้วยความเต็มใจ อั๋นเดินเลยฉันไปและหยุดลงตรงหน้าอเล็กซ์

    Hey so….”

                ไม่มีแม้แต่คำทักทาย หรือคำพูดจาใดๆ แค่จะมองมาเขายังไม่มอง ไม่สนใจฉันเลยด้วยซ้ำ อย่างกับว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นแหละ ฉันได้ยืนมองเขาคุยกับอเล็กซ์สองคน ก่อนจะเดินออกมาเพื่อเข้าโรงเรียน

                Hey! Wait up! -_-“ (เฮ้! รอก่อนสิ!)

                ฉันหันไปมองหน้าอเล็กซ์งงๆ เขากางมือเป็นเครื่องหมายบอกให้ฉันยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนกับตำรวจจราจร นี่จะให้ฉันยืนอยู่มองอั๋นอยู่ตรงนี้ทำไมไม่ทราบ? คนยิ่งไม่อยากเห็นหน้าอยู่ T^T

                “Do you want to ditch school for a day?” (โดดเรียนกันมั้ย?)

                “อะไรนะ?”

                “I said, do you want to skip classes for a day? Do you understand?” (ฉันถามว่า เธออยากจะโดดเรียนมั้ย? เข้าใจป่ะเนี่ย?)

                Skip class? มันคืออะไรรึ? -_-; ฉันกำลังพยายามงัดศัพท์ที่มีในหัวออกมา ก่อนจะเรียบเรียงความหมาย อืม...skip โดด class ห้องเรียน? โดดห้องเรียนคืออะไรเหรอทุกคน ห้องเรียนฉันอยู่ชั้นสี่ โดดลงมาก็ตายสิคะ =_= อ๊ะ! หรือจะแปลว่าโดดเรียน! ใช่แล้ว ต้องแปลว่าโดดเรียนแน่ๆ อีตาอเล็กซ์ชวนฉันโดดเรียน? อารมณ์ไหนเนี่ย!!?

                “ห๊า!? O_O

                “Come on, it’s gonna be fun… and I know you won’t be concentrating very well in class after what happened yesterday, yes?” (มาเหอะน่า น่าสนุกออก... แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าเธอคงไม่มีกระจิตกระใจจะเรียนหรอก ใช่มั้ย?)

     อเล็กซ์พูดประโยคแรกเสียงดังก่อนจะก้มลงมากระซิบพูดกับฉันในประโยคต่อมา แน่นอนว่าฉันฟังไม่ออก พยักหน้าไปก่อนละกัน -_-;

                “Great! Umm…Aunn?” ฉันหันไปมองอเล็กซ์เขม็ง เมื่อเขาเรียกอั๋นเข้ามาในวงสนทนา

                “Yeah? ^^”

                “Can you make up some excuses and go tell the teacher for Ton-Rak and me?” (นายช่วยหาข้อแก้ตัวให้ฉันกับต้นรักหน่อยได้มั้ย?)

                “อ้อ...อืม ชัวร์ ^^” เขาพยักหน้าแล้วหันมามองหน้าฉันชั่วแวบหนึ่งโดยที่แทบไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ

                Thanks, man. Well then, we’d better go now before we get caught.” (ขอบใจมาก เอาล่ะ งั้นเราไปกันเหอะ เดี๋ยวจะถูกจับได้ซะก่อน)

                “อื้อ”

                ฉันพยักหน้าก่อนจะเดินตามอเล็กซ์ไป แล้วแอบชำเลืองไปทางอั๋นเล็กน้อยก่อนจะรีบหันกลับมาทันทีที่เห็นว่าอั๋นก็มองฉันอยู่เหมือนกัน ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าสายตาที่เขามองมันแปลกๆยังไงชอบกลนะ...?

                “ต้นรัก!

                ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่ออั๋นเรียกชื่อ ก่อนจะหันหน้าไปหาเขาช้าๆ

                “เรื่องเมื่อวานนี้น่ะ...” ฉันได้ยินเสียงตัวเองสูดลมหายใจลึก “ขอโทษอีกครั้งนะ เรา...ยังเป็นเพื่อนกันใช่มั้ย ^^

    ฉันพยักหน้าก่อนจะข่มใจพูดตอบเขาไป หัวใจบีบรัดด้วยความอึดอัดไปกับบรรยากาศรอบตัว เหมือนกับว่าอากาศเหล่านี้เป็นแก๊สพิษที่ทำให้ฉันหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ จนกระทั่งเขาหันหลังและเดินเข้าไปในโรงเรียน

    รอยยิ้มกับแววตาของเขา...มันไม่เหมือนเดิมแฮะ หรือว่าฉันรู้สึกไปเองก็ไม่รู้...

               

                เราสองคนตัดสินใจมาเปลี่ยนชุดที่บ้านก่อน ฉันรู้ว่ามันเสียเวลา แต่ว่าเพื่อความเนียนเราก็ต้องทำ เพราะถ้าโดนจับได้ไม่คุ้มกันแน่ๆ ประวัติการเรียนอัน(เกือบจะ)ดีเริดของฉันได้มีรอยด่างพร้อยกันพอดี แค่เกรดอังกฤษอันแสนจะต่ำเตี้ยก็แทบทำแม่บ้าพออยู่แล้ว คราวนี้ถ้าโดนทัณฑ์บนเพราะโดดเรียนไปอีก แม่ไม่จับฉันขังลืมเลยรึยังไง? TOT

                แต่ฉันก็ยังจะไปอยู่ดี -_-;

                “Done yet?”(เสร็จยัง?)

                “แป๊บนึงสิยะ จะรีบไปตามควายที่ไหนก็ไม่รู้ เร่งอยู่ได้ -_-+” ฉันบ่นพลางหยิบกระเป๋าหนังใบเล็กออกมา หมุนตัวรอบกระจกเช็คความงามสักนิด (มีเวลาหลงตัวเองเสมอ -..-)  ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

                Alright? Let’s go!” (โอเคละนะ? งั้นไปกันเหอะ)

                “เดี๋ยววว นี่นายจะไปไหน?”

                “Huh? Err…I don’t know yet.” (เออนั่นสิ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน)

                ฉันน่าจะเข้าโรงเรียนไปตั้งแต่เมื่อกี้ ไม่น่าหลวมตัวมากับอีตานี่เล้ยยย! -_-^

                “Well, you can decide where to go. It’s your country anyway.” (งั้นเธอก็พาไปละกัน นี่ประเทศเธอนี่ -_-)

                ปัดความรับผิดชอบที่สุด! =_=

               

                ฉันเลือกที่จะพาอเล็กซ์มาสัมผัสบรรยากาศไทยๆแทนที่จะพาไปห้างหรือชมสถานที่ที่มีแสงสีตระการตาเหมือนครั้งก่อน เริ่มด้วยการพาเขาไปไหว้พระทำบุญที่วัดพระแก้ว วัดที่มีชื่อเสียงทั้งในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และความสวยงามแบบไทยๆ ด้วยความที่ฉันเคยมาวัดนี้หลายครั้งแล้ว ก็เลยสามารถเล่าประวัติและอธิบายสถานที่ต่างๆในวัดให้อเล็กซ์ฟังได้อย่างคล่องแคล่วเลยล่ะ >_<

                “วัดพระแก้วหรือวัดพระศรีรัตนศาสดารามเปรียบเสมือนเป็นหัวใจแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่ยังคงความยิ่งใหญ่และงดงาม สร้างขึ้นมาพร้อมกับกรุงเทพเลยนะ วัดพระแก้วเป็นเขตพระราชฐานเลยมีกฎว่าต้องแต่งกายให้เรียบร้อย เพื่อเป็นการเคารพต่อสถานที่ แต่นายก็แต่งจนมิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วคงไม่มีปัญหาหรอก ข้างหน้านี้นะคือพระอุโบสถที่เป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต แต่ห้ามถ่ายรูปนะยะ! เขาให้ถ่ายได้จากด้านนอกเท่านั้น นายลองดูที่บานประตูพระอุโบสถสิ เป็นบานประตูประดับมุกที่ยกย่องกันว่าเป็นงานศิลปะที่งามมากเลยนะ นี่! นายฟังฉันอยู่รึเปล่ายะ!? -O-!!

                “=O=?

                แต่เพราะว่าฉันพูดเป็นภาษาไทย อีตาอเล็กซ์ก็เลยไม่เข้าใจเลยแม้แต่คำเดียว -_-; เอาเถอะๆ อย่างน้อยฉันก็ได้พูดล่ะนะ

                “หนูจ๋า สนใจดูดวงหน่อยมั้ยจ๊ะ? รับรองความแม่นเป๊ะพันเปอร์เซ็นต์เลยนะจ๊ะ”

                อยู่ๆก็มีผู้หญิงอายุราวๆสามสิบสี่สิบ แต่งตัวเหมือนพวกยิปซีเดินเข้ามาหาฉันกับอเล็กซ์ ส่งยิ้มให้เราอย่างเป็นมิตร ฉันหันไปมองบู้ทดูดวงเล็กๆที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณวัดอย่างสนใจ >O< อุ๊ยตาย แถวนี้มีดูดวงด้วยเหรอเนี่ย ฉันพลาดไปได้ยังไงกันน!?

                “โอ๊ะ ดูดวงครั้งละเท่าไหร่คะ *O*

                “Hey…what is it?” (นี่...อะไรกันเหรอ?)

                “อ๋อ เขาเรียกว่าดูดวงอ่ะ รู้จักปะ? ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าไรน้า อ้อ! Horoscope ปะ?”

                “Ah…I see. So this is a fortune teller then?”    (อา...เข้าใจละ งั้นนี้ก็เป็นหมอดูใช่มั้ย?)

    อเล็กซ์ร้องอ๋อ แล้วชี้ไปที่หมอดูที่พยักหน้าให้แถมยังตอบเขาเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย =O=

                That’s right J เอาล่ะ เชิญไปที่บู้ทของป้าก่อนนะจ๊ะหนูๆ เดี๋ยวป้าจะตรวจดูดวงชะตาให้ ส่วนเรื่องราคาค่าใช้จ่ายไว้ค่อยพูดทีหลังก็ได้ มาๆ มานั่งก่อนๆ”

                พวกเราเดินตามร่างท้วมๆของหมอดูไปที่โต๊ะสีขาวเล็กๆ ที่มีสำรับไพ่วางอยู่กองหนึ่ง พร้อมทั้งกระดานชนวน ชอล์กสีขาว สายสิญจน์และอะไรอีกมากมาย ฉันรู้สึกว่าใจมันตุ้มๆต่อมๆยังไงก็ไม่รู้สิ >O< หมอดูเงยหน้าขึ้นมองฉันแล้วยิ้มบางๆ

                “ไม่ต้องตื่นเต้นไป ทำใจเย็นๆ เอ้า ยื่นมือซ้ายมาซิ”

                ฉันชูมือซ้ายขึ้นไปตรงหน้า ในขณะที่หมอดูพลิกมือฉันไปมา ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้าน้อยๆ เล่นเอาทั้งฉันแล้วก็อเล็กซ์ชะโงกหน้าไปมองมือของฉันด้วยความสนใจ

                “ฮืมม... ช่วงนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ เหมือนจะมีเรื่องให้ว้าวุ่นใจ ไม่สบายใจ แล้วก็จะเจอแต่เรื่องแย่ๆ ซวยๆ...”

                “ซวย!!? O_O” ฉันตะโกนลั่น

                “ใช่จ้ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ มันจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น หลังจากนั้นหนูก็จะเจอแต่สิ่งดีๆแล้วแหละจ้ะ”

                “คะ...ค่ะ -_-;

                ไม่น่ามาดูดวงเลยฉัน TT^TT แทนที่จะได้เจอเนื้อคู่หรืออะไร ดันเจอแต่เรื่องซวยๆ เฮ้อ! เกิดมาสวยก็ลำบากแบบนี้แหละ (เกี่ยว?) หมอดูคนนั้นยิ้มให้ฉันอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะหันมาทางอเล็กซ์ที่ยังคงทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

                “ส่วนของพ่อหนุ่มนี่...อืม ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจอยู่เหมือนกันนะ”

                “มีอาไร๊บังอย่างรบก๊วน?” อเล็กซ์พยายามทวนคำอย่างงงๆ

                “ใช่จ้ะ ที่เธอมาที่นี่ก็เพราะว่าเธอต้องการตามหาใครบางคนไม่ใช่หรือ?”

                น่าแปลกที่คราวนี้อเล็กซ์กลับสะดุ้งเฮือกหลังจากที่แม่หมอพูด ก่อนที่เขาจะละล่ำละลักพูดออกมา

                “How do you know the reason I came?” (คุณรู้ได้ยังไงว่าผมมาที่นี่ทำไม)

                “หึๆ ฉันก็แค่รู้แล้วกัน เอาเป็นว่าเธอจะได้พบกับสิ่งที่เธอตามหาเร็วๆนี้แน่”

                “But how?” (ทำยังไงล่ะ?)

                “ลองถามคนอื่น ให้คนอื่นช่วยสิ ฉันแนะนำได้แค่นี้ เธอจะทำได้ดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเธอแล้วล่ะ ^^ เอาล่ะ หนูๆทั้งสอง ดูดวงคราวนี้ป้าจะไม่คิดตังนะจ๊ะเพื่อเป็นกำลังใจให้พวกเธอ แต่ยังไงก็ช่วยโฆษณาร้านป้าให้เพื่อนๆบ้างนะจ๊ะ ขอบใจที่มาใช้บริการจ้ะ!

               

                หลังจากไปไหว้พระที่วัดมาแล้วหลายที่ ตบท้ายด้วยการพาอเล็กซ์ล่องเรือด่วนเจ้าพระยาจนน้ำกระจายสาดเต็มหน้าฉันไปหมด -_-^ ให้ตายสิ! ฉันต้องกำลังเจอเรื่องซวยๆเหมือนอย่างที่หมอดูทักแน่ๆเลย อีตาอเล็กซ์เองก็ดูจะเงียบๆลงไปตั้งแต่ดูดวงเสร็จเหมือนกัน ชิ! ตอนแรกยังทำท่าเหมือนไม่เชื่ออยู่เลย แล้วตอนนี้มาคิดมาก อะโด่วเอ๊ย!

                แต่จะว่าไปแล้วฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าอเล็กซ์กำลังตามหาใครอยู่ แล้วอะไรคือสาเหตุจริงๆที่เขามาแลกเปลี่ยนที่ไทย แต่ที่แน่ๆคงไม่ใช่แค่มาเรียนรู้วัฒนธรรมและภาษาไทยอย่างที่บอกไว้ตอนแรกหรอก แค่พูดยังพูดไม่ชัดเลย -_-;

                ตอนนี้เราอยู่ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียนฉันเท่าไหร่นัก มันอยู่ระหว่างทางกลับบ้านพอดี ฉันเลยตัดสินใจแวะมาเดินเล่นกันสักนิดหน่อยก่อนเข้าบ้าน ดีไม่ดีจะได้หาอะไรกินด้วย เพราะที่บ้านไม่มีอาหาร(อีกแล้ว) =_= ทนไว้ต้นรัก! อีกไม่กี่วันแม่ก็กลับแล้ว เราจะไม่ต้องอยู่อย่างอดๆอยากๆอีกแล้วล่ะ TOT

                ฉันเดินเลียบริมทะเลสาบของสวนสาธารณะไปเรื่อยๆ แสงสีส้มยามเย็นตกกระทบผิวน้ำสะท้อนออกมาเป็นประกายวิบวับจนฉันแสบตาไปหมด >_< ฉันเบนสายตาไปมองทางเดินด้านหน้าแทน ก่อนจะสังเกตเห็นว่ามีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนล้อมอะไรบางอย่างเป็นวงกลม เสียงดนตรีดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงปรบมือไปตามจังหวะเพลง

                “อ๊ะ มีวงดนตรีด้วยเหรอเนี่ย ไปดูกันเหอะ >O<

                ฉันไม่รอคำตอบอเล็กซ์แต่ลากเขาวิ่งไปด้านหน้าทันที ใช่จริงๆด้วย มีกลุ่มวัยรุ่นสามสี่คนกำลังเล่นดนตรีกันอยู่อย่างสนุกสนานเชียวล่ะ ดูจากเครื่องดนตรีที่เขาเล่นแล้ว วงนี้น่าจะเป็นเหมือนพวกวงอินดี้นิดๆ เพราะมีทั้งอูคูเลเล่ กีตาร์โปร่ง คีย์บอร์ด กลองที่ฉันเคยตีตอนที่เชียร์กีฬาสีที่โรงเรียน ที่เรียกว่าบองโก แล้วก็มีเครื่องให้จังหวะต่างๆพวกแทมโบลีน แล้วก็คองก้า >O< อ๊ายยย ติสท์มากค่ะ

                พวกเรายืนฟังเพลงจนจบ พร้อมกับปรบมือพร้อมคนอื่นๆที่มายืนดูอยู่ด้วย เล่นเก่งเป็นบ้าเลย ฟังแล้วรู้สึกเหมือนว่าอยู่ชายทะเลเลยอ่ะ ฮิๆ เสียงดนตรีดึงดูดผู้คนที่มาออกกำลังกายยามเย็นให้มายืนฟังเพลงกันมากขึ้น ฉันทำท่าจะเดินออกแต่โดนมือของคนข้างๆฉุดไว้ก่อน O_o?

                Come with me”(มากับฉัน)

                “หือ? นี่นายจะไปไหน เฮ้ย! จะไปทางนั้นทำไม”

     ฉันโวยวายเมื่ออเล็กซ์เริ่มออกแรงลากฉันเข้าไปในวงดนตรี เขาพูดอะไรบางอย่างกับมือกีตาร์ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะพยักหน้าและส่งกีตาร์ให้อเล็กซ์ที่เอามาสะพายหน้าตาเฉย =O= ฉันรีบหันไปกระซิบกับเขาทันที

    “นี่นายจะทำอะไรยะ!?

    Play guitar with the band ^_^” (เล่นกีตาร์ไง)

    ยังจะมีหน้ามายิ้มได้อีกนะยะ!

    “แล้วนายแคนเพลย์กีตาร์รึยังไง ฉันอายเขานะเฟ้ย”

    Of course I can! I played it a lot back when I was in England. I even have a band too. Now you just stand here and listen, okay?” (เป็นสิ! ฉันเล่นออกบ่อยตอนที่อยู่อังกฤษ มีวงของตัวเองด้วยซ้ำ เธอยืนอยู่ตรงนี้แล้วก็ฟังฉันละกัน)

    เขาจับฉันไปยืนข้างๆ หันหน้าไปหาคนดูที่ยืนมองเราสองคนงงๆ T^T ตายแล้วว ฉันแทบจะเอาหน้าซุกเข้าไปในแทมโบลีนที่ถืออยู่ในมือ(ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้)แล้วเนี่ย อีตาบ้าเอ๊ยย! ถ้าร้องไม่ได้ขายขี้หน้าเขาตายเลย คนยิ่งเยอะๆอยู่ อเล็กซ์หันไปพยักหน้าให้กับนักดนตรี(ตัวจริง)ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะเริ่มดีดกีตาร์...

    I've tried playing it cool but when I'm looking at you. I can't ever be brave. 'Cause you make my heart race…”
                Shot me out of the sky. You’re my kryptonite
    . You keep making me weak. Yeah, frozen and can’t breathe…”

    ฉันมองอเล็กซ์ร้องเพลงจนแทบลืมเขย่าแทมโบลีนในมือไปเลย ใครจะไปรู้ว่าเสียงเขาเพราะขนาดนี้ล่ะ แล้วฝีมือการดีดกีตาร์ของเขาก็เยี่ยมสมคำอวดอ้างของหมอนี่จริงๆ จับไม่บอดเลยสักคอร์ด แถมท่าทางตอนร้องเพลงของเขาก็ดูเป็นธรรมชาติมากๆ จนทำให้คนที่ผ่านไปผ่านมา เดินเข้ามาหยุดดูเพิ่มขึ้นอีก เฮ้ย! มีคนเอามือถือมาถ่ายรูปด้วย -O-!!

     “So get out, get out, get out of my head. And fall into my arms instead. I don’t, I don’t, don’t know what it is. But I need that one thing and you’ve got that one thing…”

    คราวนี้เขาหันมามองหน้าฉันแล้วก็ยิ้มให้ทั้งๆที่ยังร้องเพลงอยู่ ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบกลับไปแล้วเริ่มเขย่าแทมโบลีนไปตามจังหวะเพลง ชักสนุกดีเหมือนกันแฮะ >O< ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ความหมายของมันก็เถอะ

    พอเพลงจบ เสียงปรบมือก็ดังขึ้น ทำเอาฉันยิ้มแก้มแทบแตก อเล็กซ์ก้มหัวขอบคุณแล้วหันไปคืนกีตาร์ให้เจ้าของ ก่อนที่เราจะเดินออกมา

    How was it?” (เป็นยังไงบ้าง)

    สนุก เอ้ย Fun มากๆอ่ะ นายก็ร้องเพลงดีเหมือนกันนี่ >O<” ฉันพูดพลางชูนิ้วโป้งให้เขา

    See? I told you so. Do you know that I sang that song for you?”(เห็นมั้ยล่ะ ฉันบอกเธอแล้ว ฉันร้องเพลงนี้ให้เธอนะ รู้ใช่มั้ย? -_-)

    ร้องให้ฉันหรอ? O_O”

    ฉันรู้สึกแก้มร้อนวูบขึ้นมาทันที หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระเด้งออกมาข้างนอก เขาร้องเพลงให้ฉันงั้นเหรอ?

    Yeah, I knew it that you wouldn’t know -_-;” (ใช่สิ ฉันว่าแล้วว่าเธอต้องไม่รู้)

    ก็นายไม่ยอมบอกก่อน ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะยะ  

    “ก็ฉันไม่รู้นี่ โทษทีละกัน =_=

    “It’s alright. I just want to thank you for today. That’s all ^^” (ไม่เป็นไร ฉันแค่อยากขอบคุณเธอที่พาฉันเที่ยว แค่นั้นแหละ)

    “อ้อ ขอบใจมากนะ -///-“

    “Why is your face so red?” (ทำไมเธอหน้าแดงๆอ่ะ?)

    ฉันรีบเอามือจับหน้าตัวเองทันที ก่อนจะรีบตอบเขาไป

    อ้อ เอ่อ คงเพราะแดดล่ะมั้ง ไม่มีไรหรอกน่า ไปหาข้าวเย็นกินกันเหอะๆ >_<

    ฉันพูดแล้วรีบเดินนำอเล็กซ์ไป โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นถึงสายตาอันอบอุ่นและรอบยิ้มบางๆที่ส่งมาจากคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง...

    _________________100% Completed~>>>____________

    G Minor!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×