คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #87 : Lily Of The Valley : Part 16
กษัตริย์พรายโนลดอร์แห่งแดนลับแล ในฉลององค์สีทับทิมเข้ม เรือนเกศาสีดำมีเพียงรัดเกล้าสีทองประดับ
ไว้เหนือเศียรใหญ่แกร่ง ยังคงทอดพระเนตรไปนอกพระบัญชรเพื่อมองทิวทัศน์แห่งนครสีขาว
ในยามเช้า แสงตะวันจับดวงพักตร์อันงามงดแลดูสง่าคมคาย ราวกับแกะสลักมาจากศิลายังคงนิ่งเฉย
จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องทักทายอันแสนน่ารักของพระนัดดาองค์น้อย
“ เสด็จตาจ๋า ! อรุณสวัสดิ์ ! ” เออาเรนดิลวิ่งมาอยู่เบื้องหน้าของพระพักตร์แล้วคำนับ
พร้อมกับสิ่งที่น่าประหลาดใจมากที่สุด นั้นคือ ตุ๊กตาตุ่นสีดำก็มาโค้งคำนับ
และกล่าวด้วยเสียงภาษาซินดารินว่า “ อาราน ' นิน (พระราชาของข้า ) ”
องค์ทัวร์กอนจึงทรงก้มลงมองดูเจ้าที่มาของเสียงนั้น แววเนตรสงสัยยิ่ง
“ เจ้าคือ...โนลปา ? ”
“ ใช่แล้ว เสด็จตา ที่เออาบอกท่านว่า เค้าพูดได้ แต่ว่าท่านไม่ทรงเชื่อ ”
พระหัตถ์แกร่งจึงลูบที่ศีรษะของเจ้าตุ่น โนลปานั้นเป็นตุ๊กตาที่สูงเท่าเอวของเออาเรนดิล
….โนลปานั้นว่าร่างใหญ่กว่าตุ่นทุกตัวที่ทรงเคยเห็น แต่ว่ามายกลิน พระภาคิไนยก็เป็นลอร์ด
แห่งสกุลนรานิลรัตน์ ซึ่งสีประจำสกุลก็คือสีดำสนิท สีแห่งตัวตุ่นนี่เอง...
“ มายกลินทำให้เจ้าพูดได้ซินะ นี่มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่ามณีซิลมาริลของ
ทูลหม่อมลุงเฟอานอร์เสียอีก ฮ่าๆ ”
แล้วโนลปาก็ได้ขึ้นมาอยู่ในอ้อมกอดขององค์ทัวร์กอน “ ยินดีที่รู้จักเจ้านะ ตุ่นเอ๋ย ”
“ โนลดาเร โนลปา คือ นามจริงของกระหม่อมขอรับ ”
“ ดีๆ แล้วนี่นะ ” ดวงเนตรสีเทาก็เห็นว่า องค์พระขนิษฐาก็มาประทับยืนอยู่ทางเบื้องซ้าย
ร่างสูงระหงในชุดกระโปรงสีขาว ประดับด้วยลูกไม้สีเงินส่องแสงระยิบระยับ
ดวงตาคู่นั้นยังคงฉายแววแห่งความดื้อดึงไม่เคยเปลี่ยนไปสักที
“ อิริสเซ เจ้าเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ? ” พี่ชายถามน้องสาวตามปกติ
ท่านหญิงขาวก็เม้มริมฝีปากแน่น และถอนสายบัวลงต่อเบื้องพักตร์ขององค์ราชา
“ หม่อมฉันมาขอประทานอนุญาตอีกครั้ง ให้หม่อมฉันสอนพระนัดดาของพระองค์ ”
องค์กษัตริย์แห่งกอนโดลิน ทรงร่าเริงได้เพียงครู่เดียว ก็ต้องแสดงว่า ' กริ้ว ' อีกครา
“ น้องหญิงข้า ! พี่บอกแล้วว่า เจ้าไม่แข็งแรงแล้วนะ เจ้าจะทำให้ตัวเองลำบากอีกทำไมกัน ? ”
แล้วก็ทรงหันหลังไปทางนอกพระบัญชรอีกครั้งหนึ่ง...น้องสาวแสนดื้อเอ๊ย...
แล้วริมฝีปากสีแดงอิ่มสวยก็เป็นฝ่ายโต้ตอบบ้าง และคราวนี้ก็ไม่ธรรมดาเสียด้วย
“ หม่อมฉัน คือเจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งแห่งนครกอนโดลิน พระมารดาของอุปราชภาคิไนยนาถ
แห่งองค์กษัตริย์ พระอัยยิกาของเจ้าชายฮาล์ฟเอลฟ์เพเรเธล และมีสมญาว่า
ท่านหญิงขาวเศวตนารีผู้กล้าแห่งชาวโนลดอร์ หม่อมฉันขอกราบทูลอีกครั้ง
ให้พระองค์ผู้เป็นเชษฐาองค์เดียวที่เหลืออยู่เมตตาหม่อมฉันเถอะ ! ”
ฝ่ายเจ้าชายน้อยเออาเรนดิลเห็นว่า สถานการณ์เริ่มจะตึงเครียดอีกครั้ง
จึงเดินมายืนข้างกายระหงของนาง มือเล็กก็จับทีเรียวแขนเบาๆ “ เสด็จยาย ”
“ อวดดีจริงนะ หญิงน้อย เวลาผ่านไปเท่าไร เจ้าก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย ” ทัวร์กอนตรัสเสียงแข็งกร้าว
ท่านหญิงขาวก็ยังคงไม่หวั่นเกรงที่จะกราบทูลต่อไป วจีของนางนั้นแสนชัดเจนต่อผู้สดับฟังนัก
“ หม่อมฉันขอพิสูจน์ในเรื่องนี้ว่า หม่อมฉันแข็งแรงดี ทั้งร่างกายและจิตใจ
พอที่จะกลับไปขี่ม้าและล่าสัตว์ได้ดังเคยเมื่อนานมา พระองค์จะทรงยอมหม่อมฉันไหม เสด็จพี่ ? ”
เจ้าตุ่นน้อยซึ่งยังอยู่ในอ้อมพระกรของทัวร์กอนก็เริ่มทำตัวสั่นระริก...ท่านแม่...
“ ได้ หญิงน้อย... เจ้าประสงค์ให้ข้ายอม ข้าจะยอมให้อีกครั้งหนึ่ง ”
แล้วองค์ทัวร์กอนก็ทรงหันกลับมา “ ข้าเป็นกษัตริย์ย่อมตรัสไม่คืนคำ ”
~!~!~!~!~!~!~
“ หมายความว่าไงนะ !!! ” สองเสนาบดีแห่งกอนโดลินอุทานพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
เมื่อลอร์ดทูออร์ได้เล่าถึงเรื่องขององค์ทัวร์กอนและท่านหญิงขาวอาเรเดล
“ ข้าไม่รู้จะห้ามเช่นไรดี ” ดวงตาสีไพลินก็หม่นลง ดวงหน้าคมสันก้มนิ่งกับพิ้น
“ ท่านหญิงขาวจะทรงดวลดาบกับพระเชษฐางั้นเหรอ โอ้ ! เทพวาลาร์ ! ”
ลอร์ดกลอร์ฟินเดลกุมมือเรียวของตนเองไว้แนบทรวงอกด้วยความวิตกกังวล
หน้าตาแสนสง่าของเอคเธลิออนก็ซีดเผือด นัยน์ตาสีเงินเงยขึ้นมองเพดานสูง
“ นางยอมว่า ถ้านางทรงแพ้ นางจะยอมฟังองค์ทัวร์กอนต่อไป แต่ถ้านางชนะ
ต้องยอมให้นางสอนเจ้าชายเออาเรนดิลขี่ม้ากับนางนะซิใช่ไหม ? สหายข้า ”
ขุนนางแห่งสกุลน้ำพุกล่าว พลางถอนใจดังลั่น...เฮ่ออ....งานเข้าจริงๆแน่เราเอ๋ย...
ทูออร์เม้มริมฝีปากหนาได้รูปของตนไว้ และเอ่ยเสียงขรึม
“ เท่านั้นยังไม่พอนะ นางยังขอให้อิดริลกับมายกลินมาดวลดาบกันด้วย เพื่อเป็นตัวสำรอง
ถ้าโอรสของนางชนะ ก็ถือว่านางชนะ ง่ายๆ แบบนี้ล่ะ ”
ลอร์ดกลอร์ฟินเดลก็ส่ายดวงหน้างดงามแสนละมุนของตน จนเรือนผมสีทองอร่ามส่ายตาม
“ โธ่เอ๋ย ! สองพี่น้องคู่นี้จะหาเรื่องอะไรกันหนักหนา ”
เอคเธลิิออนซึ่งนั่งพิงอยู่ข้างเสาหินอ่อนก็ทำหน้าเหม่อลอย แต่ในความคิดของเขา
เป็นห่วงองค์กษัตริย์ทัวร์กอน และก็เจ้าชายมายกลิน นี่ล่ะ...ทั้งสององค์คงลำบากใจมาก...
“ ท่านหญิงขาวผู้ทรงโฉมฉาย และอิดริลผู้งดงามยิ่งกว่ามวลบุปผาดอกใดในดินแดนลับแล
อนิจจา...สองอิสตรีผู้บอบบางก็ต้องโดนคมดาบน่าสะพรึงให้ฉวีวรรณงามผ่องได้เสียโฉม ”
วจีหวานละเลี่ยนเช่นนี้ ทำให้เอคเธลิออนก้มลงกับพิ้น และอุทาน “ ออร์คเอ๊ย ! ”
“ เอคธี่บ้า ! เจ้ากล้าว่าข้าพูดเหมือนพวกปีศาจอัปลักษณ์นั้นเหรอ ! ”
มือเรียวบางของพรายหนุ่มก็ดึงเสื้อคลุมสีเงินของฝ่ายนั้นอย่างแรง “ โอ้ยๆ กลอร์ฟี่ ข้าแค่..”
แต่แล้วดวงตาสีเงินสดใสก็สบกับสีมรกตงามคู่นั้น...มาบรรจบพบกันพอดี...
มือแกร่งของเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งองค์กษัตริย์ก็คว้าแขนเรียวบางของอีกฝ่าย
“ กลอร์ฟี่ ข้าก็แค่ล้อเล่นเองนะ เพื่อนข้า ”
เสียงทุ้มแสนไพเราะที่เหนือกว่าชาวโนลดอร์คนใดของเอคเธลิออน นั้นก็ทำให้กลอร์ฟินเดล
นั้นรู้สึกได้ทันทีว่า หน้าตาของตน เริ่มสีสันแห่งกุหลาบมาระบายไว้...ราวกับโลกนี้หยุดหมุน
ทูออร์เห็นอาการของสองสหายแล้วก็อ้ำอึ้งเล็กน้อย แต่จะดีกว่า...ถ้าเรานั้น...
“ เมลลอน ' นิน ( เพื่อนข้า ) อย่าเพิ่งมาเถียงกันเลยนะ ”
พรายหนุ่มทั้งสองจึงผละตัวออกจากกัน และไม่มองหน้ากันต่อเพราะความอาย
...เราจะสนเจ้าหมอนี้ ทำไม เอคธี่มันหลงแต่เจ้าชายน้อยๆของมันนี่หว่า...
...ไอ้กลอร์ฟี่จอมปากหวาน ไร้ซึ่งความรักเดียวใจเดียว...ข้าจะแคร์ทำไมล่ะ ?
ความคิดเห็น