ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานอันสาบสูญของทูริน {The Lost Legend Of Turin Blacksword}

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 3 : ผ่านด่านประตูเจ็ดชั้น

    • อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 56



    ในที่สุด ยามอรุณของวันที่สิบแปดแห่งฮิซิโลเมหรือเดือนพฤศจิกายน ผ่านมาจนถึงวันที่สามสิบเจ็ดของการเดินทาง

     

    จากเนฟวรัสต์มานั้น พวกเขาก็ได้เดินทางมายังนครลับแลแห่งหุบเขาวงแหวนเอโคธริอัธ

     

    มาเถอะ ทูออร์ เราต้องเข้าไปในอุโมงค์นี้ และก็ใกล้ถึงประตูอารักขาแล้ว ”

     

    ชายหนุ่มจึงได้นำคลุมศีรษะทองหม่นของตนด้วยผ้าสีเทาขององค์อุลโม มือแกร่งยังจับโล่ของตนไว้แน่น

     

    ข้าพร้อม โวรอน ข้าจะเดินตามเจ้าไป ”

     

    ทูออร์จึงได้ก้าวฝีเท้าเข้ามาในทางเข้าอีกแห่งซึ่งดูคล้ายกับถ้ำมาก ไม่มีแสงสว่างเล็ดรอดเข้าไปได้

     

    เขาได้วางมือของตนบนเรียวไหล่ของพรายหนุ่ม ฝ่ายโวรอนเวก็ได้เดินต่อไปอย่างมุ่งมั่น

     

    ทางในอุโมงค์นี้เงียบและก้อนหินบนทางเดินก็ไม่ได้สร้างความลำบากในการเดินแต่อย่างใดนัก

     

    เราจะถึงประตูอารักขาหรือยัง ? ” ชายหนุ่มชาวเอไดน์ถาม

     

    ใกล้แล้วล่ะ ข้าคิดว่า จะน่าจะได้ยินเสียงในความมืดแบบนี้แล้ว ”

     

    ทูออร์ก็ได้ฟังจากศิลาที่อยู่รอบกาย เขาได้ยินเสียงของภาษาชั้นสูงของพรายโนลดอร์ ซึ่งไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลาย

     

    มากในแผ่นดินเบเลริอันด์ หากแต่ภาษานี้ไพเราะ รุ่มรวยด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงมากกว่าภาษาพรายที่เขาทราบ

     

    ชายหนุ่มก็ได้เห็นแสงตะเกียงหลายดวง...แต่ไม่เห็นใบหน้าของผู้ถือเลยสักคน...

     

    เสียงทุ้มกังวานหนึ่งก็ดังก้องขึ้นจนชายหนุ่มชะงักการเดิน “ ใครน่ะ เป็นมิตรหรือศัตรู จงบอกเรามา ! ”

     

    เราเป็นมิตร ” โวรอนเวกล่าว

     

    เช่นนั้น เจ้าก็จงแสดงใบหน้าของเจ้าออกมา ! ”

     

    พรายหนุ่มจึงได้เลิกฮู้ดขึ้น ใบหน้าคมคายแบบพรายโนลดอร์ได้กระทบแสงตะเกียงใส

     

    งามกระจ่างราวกับแกะสลักจากหินอ่อน และนั้นทำให้ชายหนุ่มอดตะลึงไม่ได้ที่ได้เห็นโวรอนเวในเวลานี้

     

    เจ้าไม่ทราบคนที่เจ้าเห็นเหรอ ? ข้าคือ โวรอนเว บุตรแห่งอารันเว ผู้เติบโตในราชสกุลฟิงโกลฟิน

     

    หรือข้าถูกลืมไปจากที่แห่งนี้เสียแล้ว ถึงจะจากไปนาน ข้าจำเสียงเจ้าได้ เอเลมมาคิลเพื่อนเรา ”

     

    เสียงนั้นจึงฟังแล้วผ่อนคลายลง เกือยจะเป็นเสียงรื่นเริง “ จำได้ซิ โวรอน เพื่อนเราที่อยู่มาแต่วินยามาร์ด้วยกัน

     

    ...แต่ว่า..แต่ว่า... เจ้าจำกฎของเราได้ไม่ใช่เหรอ ว่าเจ้าได้รับราชโองการให้ออกไปได้ เจ้าจึงมีสิทธิ์กลับมา

     

    แต่ว่าคนแปลกหน้า ตามกฎแล้ว เขาต้องถูกจับกุม เพื่อลงอาญา หรือถ้าส่อให้เห็นว่าเป็นศัตรู

     

    เขาจะต้องได้รับการลงทัณฑ์จากท่านนายทัพผู้พิทักษ์ประตูหลวง ”

     

    โวรอนเวจึงได้สะกิดให้ชายหนุ่มเอไดน์ออกมาจากทางเดินในอุโมงค์ทันที

     

    พวกเขาจึงได้เห็นทหารประมาณเจ็ดนายในชุดเกราะสีเงินและถืออาวุธครบมือ เดินออกมาจากความมืด

     

    และได้ใช้ดาบประจำกายชี้มาที่พวกเขา เอเลมมาคิลผู้เป็นหัวหน้าซึ่งได้ถือตะเกียงส่องสว่าง

     

    ก็ได้มองมายังพรายหนุ่มในชุดสีเทา และเดินมาจับมือเรียวด้วยความยินดี

     

    โวรอน ! เจ้ากลับมาแล้วจริงๆ ข้าดีใจมากทีเดียว แต่ว่า เจ้าคนนี้จะทำให้เจ้าและข้าตกที่นั่งลำบาก

     

    มากกว่า เพราะเขาได้เจ้านำทางมายังเมืองของเรา ถึงเขาจะเป็นสหายของเจ้า เขาจะต้องถูกสังหารเป็นแน่ ! ”

     

    พรายหนุ่มก็หัวเราะ และตบไหล่หนาของพรายหนุ่มเรือนผมสีดำอ่อนผู้เป็นสหายเก่า

     

    เคร่งแต่กฎ...กฎ...ไม่เปลี่ยนเลยนะ มาคิล ข้าได้ออกไปยังโลกภายนอก ได้พบแต่ความล้มเหลว

     

    ผ่านท้องทะเลจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด...ข้าได้รับหน้าที่ยิ่งใหญ่มากกว่านั้น เพื่อพาชายผู้นี้มาเข้าเฝ้าองค์ราชา ”

     

    ทูออร์จึงได้ตอบว่า “ ข้ามาพร้อมกับโวรอนเว บุตรแห่งอารันเว เพราะเขาเป็นผู้นำทางให้ข้า

     

    ตามพระบัญชาของเทพเจ้าแห่งแดนสมุทร เขาได้รอดพ้นจากความพิโรธของท้องทะเลมา

     

    เพื่อให้ข้าได้นำสารมาถวายแด่ราชโอรสแห่งกษัตริย์ฟิงโกลฟิน ”

     

    เจ้าเป็นใครกัน ? ” เอเลมมาคิลกอดอกถามเสียงขรึม

     

    ทูออร์ บุตรแห่งฮูออร์ หลานชายของฮูริน ธาลิออน ทายาทแห่งตระกูลฮาดอร์

     

    นามนี้คงเป็นที่ทราบกันดีในอาณาจักรแห่งนี้ ข้าเดินทางมาจากเนฟวรัสต์และผ่านอุปสรรคมากมาย ”
     

    เอเลมมาคิลก็ทำสีหน้าของตนเองตกใจ เช่นเดียวกับทหารคนอื่นๆที่อยู่รอบกาย

     

    จากเนฟรัสต์ ? ข้าได้ยินว่า ไม่มีใครอาศัยที่แห่งนั้นนานแล้ว ตั้งแต่คนของเรามาอยู่ที่นี้ ”

     

    ทูออร์ก็ค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นการเคารพต่อเขาอย่างสุภาพ

     

    คงจะจริง ท้องพระโรงแห่งวินยามาร์ ทั้งว่างเปล่าและอ้างว้าง ดังนั้นจงพาข้าไปเข้าเฝ้าผู้สร้างวังเถิด ”

     

    องครักษ์หนุ่มก็ส่ายหน้า “ ข้าไม่ใช่คนตัดสิน ! ข้าจะพาเจ้าผ่านประตูทั้งเจ็ดไปพบท่านนายทัพ ”

     

    ~!~!~!~!~!~

     

    ดังนั้น ทูออร์และโวรอนเวจึงถูกรายล้อมด้วยทหารสองนายด้านหน้า และอีกสองนายด้านหลัง

     

    เดินตามหลังเอเลมมาคิลอย่างกระชั้นชิด โดยผ่านประตูไม้ซึ่งดูสูง แต่ว่าไม่ค่อยประณีตเอาเสียเลย

     

    เมื่อสายลมพัดมา ทูออร์จึงกระชับผ้าคลุมของตนเอง “ สายลมจากแดนลับแลหรือ ? ”

     

    ใช่ซิ ทูออร์ หนทางยังไกลนะกว่าจะได้เข้าถึงเมือง และก็คงทำให้พวกเราเหนื่อยและหิวจัดเป็นแน่ ! ”

     

    เอเลมมาคิลก็เห็นด้วย “ ไปถึงประตูศิลา ข้าจะให้ทานอะไรหน่อยแล้วกัน คนอื่นๆก็ไม่ต้องตามข้ามแล้ว

     

    เพราะต่อจากนี้ ทูออร์ผู้นี้จะกลับออกไปข้างนอกไม่ได้อีก ”

     

    ข้าทราบดีขอรับ...ท่านมาคิล พรายผู้ตอกย้ำเหลือเกิน ”

     

    แต่โวรอนเวได้ยินถ้อยคำหลังพอดี จึงแอบหัวเราะอยู่ในใจ

     

    ประตูศิลา นั้นเรียบง่ายเป็นแท่นศิลาสูง ทหารอยู่ในชุดสีเทาหม่น เอเลมมาคิลได้เดินไปห้องหนึ่ง

     

    ซึ่งพวกเขาได้ทานอาหารเช้าและดื่มไวน์เล็กน้อย ทำให้ทูออร์รู้สึกว่ามีกำลังวังชามากขึ้น

     

    ต่อมาก็ถึงประตูทองแดงเป็นประตูชั้นที่สาม ซึ่งได้ติดตั้งตะเกียงสีแดง และเหล่าทหารก็สวมชุดเกราะสีเพลิง

     

    โดยมากเหล่าชาวซินดาร์แห่งเนฟรัสต์จะอยู่มีประตูแห่งนี้เป็นส่วนใหญ่ และสัญลักษณ์ก็มีลายสะดุดตานัก

     

    จนถึงประตูเหล็กเป็นประตูสีดำที่มีขนาดใหญ่ และมีจำหลักเป็นรูปของพญาอินทรีโธรอนดอร์ผู้พิทักษ์

     

    แต่ทว่าทูออร์กลับรู้สึกว่าตามผนังได้แกะสลักลวดลายของกิ่งไม้ไว้ ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

     

    ...อย่างน้อย ข้าก็รู้สึกว่า ความงดงามนั้นคงจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าข้าผ่านด่านพวกนี้ไปได้...

     

    แต่แล้วพวกเขาก็ได้ข้ามผ่านแก่นกลางของหุบเขาวงแหวน เหล่าทหารในชุดสีดำก็ได้นำทางไปเข้า

     

    ประตูสีเงิน ซึ่งก็ได้มีดอกไม้สีขาว ซึ่งมีเกสรดอกไม้สีเหลืองเล็กๆ ระบายลงบนพิ้นหญ้าเป็นรายทาง

     

    ทูออร์จึงถามว่า “ ดอกอะไรเหรอ ? โวรอน ”

     

    เขาเรียกว่า อุยลอส อีเวอร์มายด์ เป็นดอกไม้ที่ไม่สนว่าอากาศจะเป็นเช่นไร มันจะบานเช่นนี้ไปตลอดปี ”

     

    ประตูสีเงินดูงดงามมากและชดช้อยกว่าที่ผ่านมา เพราะสร้างจากหินอ่อน ประดับด้วยเงินและไข่มุกจากแดนใต้

     

    มีรูปจำหลักของทวิพฤกษาเทลเพริออน เหล่าพลธนูต่างอยูในชุดสีขาวสะอาด หน้าตาสุขุมไม่ดุดันเท่าอันที่ผ่านมา

     

    ทูออร์นัั้นได้เดินผ่านถนนสายยาว ซึ่งมีแต่อุยลอสที่บานสะพรั่ง ทำให้เขารู้สึกชอบดอกไม้นี้มากโดยไม่รู้ตัว

     

    แล้วก็มาถึงประตูชั้นที่หก ซึ่งเป็นประตูแห่งสุดท้ายที่องค์ทัวร์กอนสร้างขึ้นก่อนเข้าสงครามครั้งล่าสุด

     

    เป็นสีทองสุกสว่าง และมีรูปจำหลักของทวิพฤกษาเลาเรลิน ประดับด้วยบุษราคัม และหินควอทซ์สีเหลือง

     

    เปล่งประกายเจิดจ้าราวแสงอาทิตย์ นายทหารของประตูนี้ต่างดูยิ้มแย้มมากกว่าประตูก่อนหน้านี้

     

    ทูออร์ได้กระซิบให้พรายหนุ่มว่า “ ตอนที่ข้าเดินมาเรื่อยๆ ข้าก็พบว่า ประตูดูงามขึ้นจนผิดหูผิดตา ”

     

    อันสุดท้ายน่ะ เจ้าต้องชอบแน่ เพราะมันใหม่มากเลย สร้างหลังสงครามเนียร์นายธ์ ”

     

    ทูออร์ยังคงตามผู้อารักษ์ประตูจนมาถึงประตูเหล็กกล้า ซึ่งประตูแห่งนี้ไม่ได้สร้างเป็นกำแพงหนาทึบ

     

    หากแต่แสดงเสาเหล็กกล้าที่รายรอบจนดูคล้ายวิหารหลังใหญ่ สูงและแข็งแรงราวกับพฤกษาที่เติบโต

     

    ชายหนุ่มจึงได้วิ่งไปยังเสาหินตรงกลางได้เงยหน้าขึ้นก็ได้พบรูปมงกุฎอันงามสง่าขององค์ทัวร์กอน

     

    ประดับด้วยเพชรรายล้อมจนสะท้อนแสงเป็นสายรุ้ง ดวงตาสีฟ้าใสมองด้วยความพิศวง

     

    ข้าอยากรู้...ใครเป็นคนออกแบบประตูเหล็กกล้านี้...งดงามกว่าทุกประตูที่ข้าเดินมา ”

     

    ในที่สุด บานประตูก็ถูกเปิดขึ้น ร่างสูงโปร่งในชุดเกราะสีเงิน และสวมหมวกเกราะทรงสูงนั่งอยู่บนม้าสีขาว

     

    เรือนผมสีดำประกายสดใสในแสงตะวัน เขาสูงมากกว่าเอเลมมาคิล ดูสง่าผ่าเผยและสูงศักดิ์ยิ่งนัก

     

    พรายหนุ่มได้ลงจากม้าของตน ผู้รับใช้ก็ถือโล่ซึึ่งส่องประกายราวกับหยดน้ำในฤดูฝนที่พร่ำตก

     

    และมีประกายแห่งคริสตัลที่สลักไว้รายล้อมโล่ แล้วริมฝีปากบางได้รูปก็เอ่ยว่า

     

    น้องมาคิล เจ้าพาใครมาส่งล่ะ ? ”

     

    ชายหนุ่มผมทองก็นึกประหลาดอยู่ในใจ...พรายผู้นี้มีน่้ำเสียงที่ไพเราะและอ่อนโยนราวเสียงน้ำไหล...

     

    ท่านลอร์ด ข้าพาโวรอนเว อารันวิออน ผู้กลับมาจากชายฝั่งทะเล และก็ชายแปลกหน้าที่ประสงค์จะเข้าเฝ้า

     

    องค์ราชาทัวร์กอนขอรับ ”

     

    พรายผู้นั้นจึงได้เลิกหมวกเกราะของตนเองลง ทำให้โวรอนเวอุทานด้วยความบังเอิญเมื่อได้เห็นใบหน้าของเขา

     

    ท่านเอคธี่ ! เอคเธลิออนแห่งสกุลอัมพุชพิลาส ท่านนายทัพผู้พิทักษ์ประตูหลวง !”

     

    พรายหนุ่มร่างสูงก็เลยหัวเราะเล็กน้อย “ จำข้าได้อยู่ซินะ หายไปตั้งกี่ปีแล้วเนี่ย ”

     

    โวรอนเวก็พยักหน้าขึ้นลง ดวงตาของเขาก็เริ่มเห็นความประหลาดในตัวมนุษย์หนุ่ม

     

    และทูออร์ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังได้รับพลังบางอย่างมาจากจิตใต้สำนึก ร่างกายของเขาก็ดูสูงขึ้นกว่าใครแล้ว

     

    ...จงทำหน้าที่เป็นตัวแทนของข้า...อย่าได้ลืมเด็ดขาด บุตรแห่งฮูออร์...ข้าสถิตอยู่กับเจ้า...

     

    เอคเธลิออนได้มองมายังชายหนุ่ม และใช้น้ำเสียงเคร่งขรึมผิดจากเมื่อครู่นี้

     

    เจ้าคงเป็นมนุษย์เอไดน์ซินะ เจ้ามาถึงประตูบานสุดท้าย เจ้าจะกลับออกไปไม่ได้อีก  นอกจากประตูแห่งความตายเท่านั้น ”

     

    อย่าขวางทางข้า ท่านนายทัพ ถ้าผู้นำสารแห่งวาลาร์เทพสมุทรไปสู่ความตายไซร้ ทุกคนก็ต้องไปกับเขา

     

    เจ้ากรมแห่งวารีของอาณาจักรแห่งนี้ อย่าได้ขวางทางข้า! ”

     

    โวรอนเวและคนอื่นๆ ต่างก็มองด้วยความประหลาดใจในน้ำเสียงและวาจานี้เป็นล้นพ้น

     

    สุรเสียงที่ยิ่งใหญ่มาจากที่ห่างไกล...แต่นั้นทำให้เอคเธลิิออนถึงกับยืนนิ่ง...ตกตะลึงไปชั่วขณะ...

     

    ดวงตาสีเงินของเขาได้เห็นคลื่นใหญ่ที่สะท้อนมาจากด้านหลังของทูออร์ ร่างหนึ่งสีฟ้าครามปนน้ำทะเล เปล่งรัศมีรุ่งระวี

     

    และฉายเงาทะมึนด้วยอานาจของ...พลังที่ยิ่งใหญ่นี้...เขาทราบดีต้องเป็นขององค์เทวาอุลโม แน่นอน !

     

    พรายหนุ่มเสนาบดีจึงได้โค้งศีรษะลง ทำให้เหล่าทหารต่างปฏิบัติตามด้วย

     

    ...องค์อุลโม...ทรงสถิตอยู่กับข้าจริงๆ...ขอบพระทัยพระเจ้าข้า...

     

    ลอร์ดเอคเธลิออนจึงได้นำทางพวกเขาเพื่อเปิดประตูใหญ่บานสุดท้าย

     

    และนั้นทูออร์ก็ได้เห็นนครสีขาวที่งดงามอันเหนือจินตนาการใดๆ ที่เขาเห็นนึกไว้มาอย่างหาที่ติมิได้

     

    กอนโดลินอันเรืองนามท่ามกลางหิมะสีขาว ทัศนียภาพตรงหน้าได้เติมเต็มความฝันของเขาไปหมดแล้ว

     

    ด้านล่างของเขากองทัพประจำประตูทั้งเจ็ด เหล่าหัวหน้าประจำประตูอารักษ์ต่างนั่งบนอาชาสีขาวและสีเทา

     

    และดวงตานับร้อยคู่มองยังทูออร์เป็นจุดเดียวด้วยความพิศวง เมื่อได้เห็นว่าชายหนุ่มสวมชุดเกราะและถือโล่

     

    ซึ่งองค์ราชาทรงทิ้งไว้บนผนังด้านหลังบัลลังก์ของวินยามาร์ แคว้นเนฟรัสต์ตามคำทำนายที่ได้ยิน

     

    ...เขาผู้นี้คือ คนที่องค์อุลโมทรงรับสั่งว่าจะมายังกอนโดลินได้กลายเป็นความจริง !...

     

    เอคเธลิออนจึงได้ประกาศว่า “ ไม่มีข้อต้องพิสูจน์ใดอีกแล้ว ตามชื่อของเขา เขาเป็นบุตรแห่งฮูออร์

     

    อย่างแน่นอน โดยไร้ซึ่งข้อกังขาใดๆ เขามาจากพระกระแสของเทวาอุลโมด้วยตัวเอง ! ”

     

    ตอนนั้น ทูออร์ก็รู้สึกว่าตัวเองได้มอบรอยยิ้มให้กับนครลับแล...กอนโดลิน...อนาคตของเขา

     

    ~!~!~!~!~!~

     

    บักออร์มาถึงแล้ว พี่เอคธี่ก็มาเข้าฉากอย่างเท่มากมายครับ ^O^

     

    ตอนหน้าได้เข้าเฝ้าป๋าทัวร์บวกกับพบ...แล้วนะจ๊ะ ^^//

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×