คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 5 : ก่อนการเดินทาง
Chapter 5 : ก่อนการเดินทาง
กอนดอร์ นครแห่งศิลาขาวอันยืนยงอยู่ในภาวะปกติ อารากอร์นหรือกษัตริย์เอเลสซาร์ประทับนั่งบนบัลลังก์พร้อมด้วยราชินีอาร์เวนตามปกติ เมื่อประตูสีขาวเปิดออกนั้น อารากอร์นกล่าวทักทายผู้มาเข้าเฝ้าคือ ลอร์ดฟาราเมียร์ เจ้าชายแห่งอิธิลิเอนและเป็นเสนาบดีประจำรัชกาลของพระองค์ ฟาราเมียร์แต่งกายในชุดเกราะที่มีลัญจกรพฤกษาขาวพร้อมดาราทั้งเจ็ด ข้างกายคือ ท่านหญิงผู้มีเรือนเกศาสีทองนามว่า เอโอวีนแห่งโรฮัน ซึ่งบัดนี้เป็นภรรยาที่เขารักยิ่ง
“ ฟาราเมียร์ บุตรแห่งเดเนธอร์ และเอโอวีน ท่านหญิงแห่งโรฮัน ”
อารากอร์นลงจากบัลลังก์สีขาว และโอบกอดทักทายสหายทั้งสอง เพราะสองสามีภรรยาคู่นี้เป็นผู้ที่ช่วยเหลือและจงรักภักดีมาตั้งแต่ก่อนที่อารากอร์นขึ้นปกครองกอนดอร์ อาร์เวนก็สวดกอดท่านหญิงแห่งอิธิลิเอนด้วยความรักดังพี่น้องเช่นกัน
“ อารากอร์น ฝ่าพระบาท ทรงสุขเกษมสำราญดีหรือไม่ ”
“ ข้าและอาร์เวน สบายดีดังเคย บุตรแห่งเดเนธอร์ หากว่า...”
“ อะไรหรือเพคะ ” เอโอวีนถามขึ้น ใบหน้าเรียวมนของนางดูทวีความงามขึ้น หลังจากการวิวาห์กับสามี ถึงกระนั้นแววตาสีน้ำทะเลปนเทาของนางยังฉายแววความมั่นคงในรักที่มีต่อกษัตริย์กอนดอร์ไม่เปลี่ยนแปลง อารากอร์นจึงหยิบสาส์นฉบับเล็กที่ท่านเอลรอนด์ผูกติดกับเหยี่ยวที่ใช้ในการสื่อสารประจำท่านทั้งสอง
“ สาสน์ของพ่อข้า ” ราชินีอาร์เวนรับสั่ง “ ท่านพ่อให้เราเดินทางกลับริเวนเดลล์เป็นการเร่งด่วน”
“ หมายถึงเช่นไร พระนาง ” ฟาราเมียร์ถาม
“ ท่านประมุขแห่งริเวนเดลล์ต้องการให้เราทั้งสองไปพบท่าน ดังนั้น บัลลังก์ของข้า ข้าและแม่หญิงอาร์เวนต้องการให้เจ้าทั้งสองปกครองแทนข้าไปก่อน ”
ทั้งลอร์ดฟาราเมียร์และท่านหญิงเอโอวีนต่างตกใจยิ่ง
“ หาควรไม่เพคะ อารากอร์น เรารับราชบัลลังก์นี้ปกครองมิได้ ถ้าข้าทำเช่นนั้น เป็นการหมิ่นพระเกียรติของราชินี ”
อาร์เวนจึงปลอบโยนนาง และกล่าวกับพระสวามีว่า “ดูเถิด เอสเตล สหายเราไม่ต้องการนั่งเมืองกอนดอร์ของท่าน เราควรทำเช่นไร ”
อารากอร์นมองยังราชินีผู้เลอโฉมและพระสหายหญิงผู้ภักดีของตนอย่างกังขา อารากอร์นรู้สึกในใจว่า สิ่งที่ท่านเอลรอนด์ส่งสาสน์มาด้วยความเร่งด่วนเช่นนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเหล่าพันธมิตรที่เหลืออยู่เป็นแน่แท้ เลโกลัสกับกิมลีไม่น่าใช่ที่เขาต้องกังวล เพราะทั้งคู่ยังท่องเที่ยวในป่าฟังกอร์น ส่วนเหล่าฮอบบิท คือ โฟรโด แซม เมอร์รี่ ปิ๊ปปิ้น ถ้าสัญชาตญาณของการอ่านใจผู้อื่นยังใช้การได้ดีอยู่ ผู้ที่ท่านจอมพรายเป็นห่วงที่สุดคงเป็น โฟรโด แบ๊กกินส์
“ งั้นข้าไม่มีทางเลือกอื่น พวกเจ้าทุกคนไปกับข้าเถอะ ส่วนบ้านเมืองของเรา ข้าจะเลือกคณะผู้อาวุโสที่สุดดูแลกอนดอร์ก่อน ”
“ กระหม่อมเห็นด้วยแล้ว ” ฟาราเมียร์กล่าวเสียงเข้ม “ คณะผู้อาวุโสมีความสามารถปกครองกอนดอร์ได้มาตั้งแต่ยุคของบิดาของกระหม่อมแล้ว ขอเพียงความจงรักภักดีเท่านั้นก็ทำให้กอนดอร์ดำรงได้พระเจ้าค่ะ ”
อารากอร์นพึงพอใจที่เสนาบดีหนุ่มของพระองค์กล่าว กษัตริย์หนุ่มแย้มริมพระโอษฐ์
“ ข้าจะประกาศว่า ราชาและราชินีไปเยี่ยมเจ้าประมุขแห่งริเวนเดลล์ผู้เป็นบิดาภายในวันนี้ วันรุ่งขึ้น พวกเราทั้งสี่คนจะออกเดินทางกัน ”
กษัตริย์แห่งนครศิลาทรงจับเรียวหัตว์ขาวของอาร์เวน ตามด้วยของพระสหายทั้งสองไว้แน่น
“ ด้วยความยินดี กระหม่อมและเอโอวีนไม่เคยไปเยือนดินแดนแห่งพรายมาก่อน
กระหม่อมทั้งสองขออารักขาพระองค์ด้วยชีวิต ”
เมื่อฟาราเมียร์และเอโอวีนทำความเคารพ อารากอร์นกล่าวกับตนเองว่า
“ ถึงข้าจะเป็นพระราชาของมนุษย์ แต่เลือดของนายพรานนักเดินทางของข้าไม่มีทางเปลี่ยนได้”
หลังจากการเดินทางในป่าฟังกอร์นเสร็จสิ้นแล้ว ถ้าพวกท่านได้อยู่บนถนนสายหนึ่งที่กำลังจะนำทางไปสู่ริเวนเดลล์ ท่านจะเห็นพรานหนุ่มผู้หนึ่งและคนแคระผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลังอาชาสีขาว
“ เลโกลัส เจ้าควบม้าให้มันช้าลงที ” คนแคระเจ้าของผมและเคราสีน้ำตาลแดง เขาแต่งกายด้วยชุดเกราะสีเทา ใบหน้าหวาดหวั่นกับความเร็วของฝีเท้าของเจ้าสัตว์ร่างใหญ่ ที่คนแคระอย่างเขาไม่มีวันขี่ด้วยตัวเองเป็นง่ายๆ
“ อีกไม่นาน เราใกล้จะถึงอิมลาดริสแล้ว สหายข้า ไม่เกินตะวันตกของวันนี้หรอก ”
“ แต่ความเร็วของม้าเจ้าทำให้ข้ากลัว เจ้ารู้ดีว่า ข้าไม่ชอบขี่ม้าไม่ใช่เหรอ ”
“ หรือเจ้าอยากไปสู้กับพวกออร์คอีกเล่า กิมลี ”
“ ข้าอยากสู้บนพิ้นดินดีกว่านั่งบนหลังเจ้าตัวใหญ่นี่ ”
อาร็อด อาชาของเลโกลัสร้องขานดังลั่นเมื่อกำลังขึ้นผ่านแนวศิลาขรุขระ พรายหนุ่มปลอบโยนมัยด้วยภาษาพรายสองสามคำ และกล่าวกับคนแคระว่า
“ เกาะข้าไว้เถอะ บุตรแห่งโกลอิน และเงียบไว้มากๆด้วย”
กิมลีเม้มริมฝีปากอย่างไม่สบอารมณ์ แต่จำใจที่ต้องทำเช่นนี้ ไม่เช่นนั้น
คนแคระอย่างตนจะได้เรื่องให้เจ็บตัวอีกเป็นแน่นอน ขณะที่พรายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจกับสหายนัก สายตาแห่งพรายเห็นเขตแดนของแม่น้ำบรุยเนนอยู่เบื้องหน้าแล้ว...
“ พวกฮอบบิทยังอยู่ที่ริเวนเดลล์ใช่มั้ย ”
“ ใช่สิ กิมลี ” เลโกลัสตอบ “ แต่ข้ารู้สึกว่า สหายของเราคนใดคนนึงกำลังตกที่นั่งลำบาก ข้ารู้สึกได้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว และอยู่ที่ริเวนเดลล์เสียด้วย ”
“ พวกพรายเช่นเจ้ามีญาณหยั่งรู้ทุกตนเลยหรือไรนะ ” กิมลีบ่น เมื่ออาร็อดมาถึงลำธารสายเล็กๆที่ไหลลงไปสู่แม่น้ำบรุยเนนอันกว้างใหญ่ในแดนเหนือ เลโกลัสจึงเอ่ยดังนี้
“ ในยุคบรรพกาล พรายมีญาณหยั่งรู้และมีความสามารถที่เจ้านึกไม่ถึง พ่อข้าเคยบอก ในเวลานั้นเป็นยุคของสงครามที่น่าสะพรึง แต่เป็นเวลาที่ผ่านมานานแล้ว ย้อนคืนไม่ได้ ”
บิลโบกำลังเดินไปเดินมาบนระเบียงที่สามารถมองเห็นน้ำตกและทิวทัศน์ของคฤหาสน์ต่างๆในริเวนเดลล์ได้อย่างชัดเจน ฝ่ายฮอบบิททั้งสามก้มหน้าก้มตารับประทานมื้อเย็นคือ ข้าวโอ็ตต้ม เนื้อไก่อบและพายแอปเปิ้ลสีทองอย่างเพลิดเพลิน
“ ให้ตายจริงๆ เถอะ โฟรโดจะได้กินอะไรหรือยัง ” ผู้เป็นลุงห่วงเรื่องการกินอยู่หลับนอนของหลานชายไม่เคยเปลี่ยน “ ข้านี่แย่จริงๆ ”
“ ลุงบิลโบ ลุงน่ะแย่จริงๆ ตั้งแต่ลุงเก็บแหวนและให้โฟรโดไปทำลายแหวนเองแล้ว ”
ปิ๊ปปิ้นเอ่ยตามประสานิสัยแสนร่าเริงของตน แต่หันมาเมอร์รี่ก็ทำหน้าว่าจะยกจานใส่หน้าเขาให้ได้ ฝ่ายแซมเคี้ยวชิ้นพายด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
“ ข้ารู้ ข้าผิด ข้าเอาบันทึกให้โฟรโด ทำให้เขาสนใจ ทำให้เขาหายไปในบันทึกนั้น ใช่ ข้าผิดเอง ”
บิลโบทุบโต๊ะเสียงดังสนั่น และทรุดลงบนเก้าอี้ไม้ของตน
“ นายท่านแบ๊กกินส์ ” แซมแตะมือเหี่ยวย่นของฮอบบิทผู้ชราเชิงว่าให้กำลังใจ
“ ท่านไม่ผิดครับ ผมดูแลคุณโฟรโดไม่ดี เป็นคนรับใช้ที่ไม่ดูแลเจ้านาย ข้าต่างหากที่ผิด ”
เมอรร์ซึ่งรับประทานอาหารเสร็จแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ ลุงแกนดัลฟ์บอกว่า จะไปช่วยโฟรโดของพวกเรามาให้ได้จากเมืองนั้นเอง แต่ข้าไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องรออีกนะ ”
“ นั่นสิ ” ปิ๊ปปิ้นกล่าว “ ทำยังกะว่า เรื่องนี้สำคัญและเหมือนจะตามให้พวกเราชาวพันธมิตรแห่งแหวนให้มาอยู่พร้อมกันอีกครั้ง
“ ข้าเดาไม่ได้หรอกว่า เพราะอะไร บางที ลอร์ดเอลรอนด์มีประสงค์ให้พวกเราทุกคนไปช่วยเหลือโฟรโดด้วยกันทั้งหมดก็เป็นได้ ”
แซมพยักหน้ารับในคำรำพึงของฮอบบิทชราผู้เป็นเจ้านายของตน ตอนนี้เขาเป็นห่วงเพียงผู้ถือแหวนเท่านั้น...คุณโฟรโดจะได้ทานอะไรหรือยังนะ...
“ ข้ารู้ว่า เขารอดจากผู้มรณะและเจ้ากอลลัมได้ เขามีดวงชะตาที่แกร่งกล้ามากแล้ว
เขาจะไม่มีทางตายในที่ๆ เขาไม่คุ้นเคยอีกเด็ดขาด ข้าเชื่ออย่างนั้น ”
บิลโบกล่าวอีกครั้ง และสายตาของฮอบบิทเห็นอีกมุมหนึ่งของหน้าต่าง
ท่านจอมพรายร่างสูงกับพ่อมดขาวแกนดัลฟ์ สหายของตนยืนสนทนากันอีกครั้ง
“ ไม่เกินเจ็ดวัน อารากอร์นจะมาถึงริเวนเดลล์ ”
แกนดัลฟ์เงยใบหน้าเรียวของตนจากการสูปไปป์ไม้ “ ทำไมท่านถึงให้กษัตริย์ศิลาพรายช่วยเหลือโฟรโด ท่านรู้วิธีไปยังกอนโดลิน ท่านไปช่วยเขาเองได้ ”
“ ข้าไม่ต้องการพบเขาผู้นั้น ” เอลรอนด์ตอบ
“ พ่อของท่านหรือ และบรรพชนแห่งนครกอนโดลินของท่าน ท่านไม่ต้องการที่จะพบ”
เอลรอนด์หันใบหน้าเคร่งขรึมมายังพ่อมดขาว “ พบข้าไปก็เปล่าประโยชน์ มิธรันเดียร์ ”
จอมพรายเรียกนามภาษาพรายของแกนดัลฟ์ “ ข้าไม่ต้องการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ ถ้าข้าไปและพบพวกเขา พวกเขาต้องถามถึงอนาคต อนาคตไม่ใช่สิ่งที่ผองชนในอดีตต้องการทราบเสมอไปโดยเฉพาะจากทายาทแท้จริงของตน...”
แกนดัลฟ์ถอนใจ “ ลอร์ดกลอร์ฟินเดลแนะนำท่านมาแบบนี้หรือ ”
“ ถึงกลอร์ฟินเดลจะเป็นตัวแทนของนครลับแลในอดีต แต่เขาบอกข้าว่า อดีตไม่สำคัญอีกต่อไป
ข้าจะให้อารากอร์นไปช่วยโฟรโดออกจากนครแห่งนั้น ทุกอย่างก็จะจบแล้วข้าจะนำบันทึกนี้ไป
ฝังในพิ้นดินเสีย ไม่มีใครต้องได้เจอมันอีก”
ด้วยคำพูดที่ลอร์ดเอลรอนด์กล่าว ทำให้พ่อมดชราหัวเราะเบาๆ
“ ไม่ได้หรอก บุตรแห่งเออาเรนดิลท่านไม่มีวันทำเช่นนั้น ท่านรักบิดาท่านเกินกว่าจะทิ้งสิ่งมีค่าของเขาไป ท่านรักพ่อของท่านเสมอ เอลรอนด์ ”
" เพราะอะไร ข้ากับพี่ชายของข้าเกือบจะสิ้นชีพ เออาเรนดิลกลับหายไปในท้องทะเลกว้าง และมาอีกครั้งก็เป็นดวงดาวที่อยู่เหนือศีรษะของข้ามาตลอดชีวิต ข้าไม่ต้องการกลับไปยังวาลินอร์เพื่อเห็นเขาอีกครั้ง ถึงพบกัน ข้าจะทำเป็นไม่รู้จัก ”
“ สายโลหิตชาวโนลดอร์ดื้อรั้นในความคิดทุกคนจริงๆเลยนะ ”
แล้วแกนดัลฟ์ก็ไปสูบไปป์อีกครั้ง พลางหลับตานึกถึงโฟรโด และพ่อมดขาวรู้ว่า
ฮอบบิทหนุ่มของตนปลอดภัยดี...หวังว่าอย่างนั้น...
ความคิดเห็น