ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานอันสาบสูญของทูริน {The Lost Legend Of Turin Blacksword}

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 5 : พบพานครั้งแรก

    • อัปเดตล่าสุด 5 มี.ค. 56



    ณ เหมืองอังฮาบาร์อันเป็นเหมืองใหญ่ที่อยู่ห่างจากนครลับแลไปทางเหนือของหุบผาราวยี่สิบห้าไมล์

     

    เหล่าพรายที่ต่างเป็นช่างตีเหล็กหรือพรายหนุ่มผู้ฝึกงานจำนวนมากต่างขุดเจาะผนังของเหมืองใหญ่

     

    เพื่อหาสินแร่ใหม่ในการหลอมอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมให้แก่เหล่าทหารของกอนโดลิน

     

    ขณะที่ร่างสูงเพรียวร่างหนึ่งในชุดสีดำสนิทกำลังถือแบบแปลนในการออกแบบเพื่อขุดในเหมืองให้มากขึ้น

     

    คางเรียวได้รูปวางอยู่บนมือแกร่ง เพราะเขากำลังใช้สมาธิในการทำงานไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น

     

    พระอุปราช ! พระอุปราช ! ทรงได้รับบัญชาให้เสด็จกลับเข้าเมือง ! ”

     

    ผู้ถูกเรียกขานก็ได้สังเกตว่ามีนายช่างและเด็กฝึกงานของสกุลประจำการราวยี่สิบนายได้มองมาที่เขา

     

    พร้อมกับโค้งศีรษะลงเพื่อรับคำสั่ง พรายหนุ่มจึงได้ปลดผ้าคาดหัวชื้นเหงื่อ

     

    ซึ่งกันเรือนผมสีดำขลับให้ออกจากสายตา...สายตาสีนิลคมกล้าใช้ในที่มืดอย่างเหมืองอังฮาบาร์แห่งนี้ได้ดี...

     

    เมื่อพรายผู้แจ้งในชุดสีน้ำเงินเข้มได้คุกเข่าลงข้างหนึ่ง เขาจึงหันมาถามเสียงขรึม

     

    มีอะไรเหรอ ? มหาดเล็กแห่งทัวร์กอน เจ้าถึงได้มาแจ้งให้ข้ากลับงานวันนี้ของข้าเพิ่งเริ่มนะ ”

     

    พระองค์ ” พรายผู้นั้นเอ่ยเสียงหนัก “ ได้มีบุรุษแปลกหน้าเดินทางผ่านประตูทั้งเจ็ดของเมืองเรา เขามาพร้อมกับ

     

    โวรอนเว บุตรท่านกรมวังหนึ่งในชาวกอนโดลินดริมที่ได้รับหน้าที่ให้ล่องเรือไปยังแดนตะวันตก และพวกเขานั้น

     

    ได้รับบัญชามาจากเทพวาลาร์อุลโมด้วยตัวเองเลยกระหม่อม ”

     

    ...เขาคนนั้น...มาแล้วเหรอ...หรือว่าคำทำนายที่พระองค์ได้เคยบอกข้า....

     

    อุปราชหนุ่มก็เม้มริมฝีปากของตนจนเป็นเส้นตรง ขณะที่คนอื่นๆ ต่างพากันเริ่มทำเสียงซุบซิบให้กัน

     

    นอกจากนี้ พระมารดาก็ต้องการให้พระองค์เสด็จกลับเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนพระเจ้าข้า ”

     

    พรายหนุ่มร่างสูงจึงพยักหน้าลงเล็กน้อย เขาจึงหันหลังกลับไปแล้ว กล่าววาทะเสียงดังก้อง


     

    พวกเจ้าก็ตั้งใจทำงานกันไปเถอะ ข้าคงต้องรีบกลับ ข้าไม่ต้องการให้เสียงานเพราะเรื่องที่คุยกัน ! ”


     

    เหล่านายช่างก็ขานรับ “ พะย่ะค่ะ ! ” แล้วแยกย้ายออกทำหน้าที่ของตน แล้วพวกเขาก็ได้เห็น


     

    พระอุปราชหนุ่มแห่งกอนโดลินได้เยื้องบาทออกจากเหมืองแร่ไปสู่แสงสว่างของดวงตะวันในฤดูหนาว


     

    ~!!~!!~!!~!!~!!~!!~


     

    แม้ว่าชายหนุ่มได้ผ่านบ้านเรือนสีขาวอันงดงามและเห็นต้นไม้ แม้ในยามหนาวก็ยังคงแผ่กิ่งก้านงามงด


     

    พร้อมกับได้เห็นประชาชนซึ่งล้วนแต่มีใบหน้าที่งดงามและอ่อนเยาว์ทั้งบุรุษและสตรี


     

    แต่เขารู้สึกสบายใจเมื่อได้เห็นเหล่าเอลฟ์ตัวน้อยที่กำลังโบกมือให้เขากันตั้งหลายคน


     

    พอมารู้สึกตัวอีกที ทูออร์ก็ได้มายืนอยู่ตรงหน้าจตุรัสแห่งทวิพฤกษาอันสูงลิ่ว


     

    สีทองและเงินอันเปล่งแสงได้ด้วยตนเอง...หาใช่แสงอาทิตย์ในเวลานี้ไม่ !...


     

    ฝ่ายลอร์ดเอคเธลิออนก็ได้ชี้ให้เขาเห็นต้นไม้ใหญ่แสนตระการตาสองต้น


     

    สีทองคือกลิงกัล เละสีเงินคือเบลธิล อันเป็นทวิพฤกษาจำลองซึ่งองค์ทัวร์กอนทรงออกแบบด้วยพระองค์เอง”


     

    ทูออร์กล่าวว่า “ สง่างามและทำให้ข้าเหมือนอยู่ในกาลเวลาแห่งอดีตอันผ่านมานานแล้วซินะ ”


     

    แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องก้าวเดินไปพร้อมกับเอคเธลิออนและโวรอนเว ซึ่งได้เดินไปก่อนแล้ว


     

    ทูออร์จึงได้นำผ้าคลุมขององค์เทวามาคลุมไว้รอบกายอีกครั้งหนึ่ง


     

    น่าประหลาดเขากำลังพิศวงในความงามของอาณาจักรลับแลแห่งนี้...อุลโมจะทรงให้ข้าบาทต้องทำเช่นนี้หรือ?...


     

    ...อย่าได้เกรงกลัวไปเลย บุตรแห่งชาวเอไดน์ ทำตามที่ข้าสั่งเถิด...แล้วเจ้าจะได้สิ่งที่เจ้าปรารถนา...


     

    ~!!~!!~!!~!!~!!~


     

    เกือบมาไม่ทันแล้วซินะ ตาหนู ” องค์ราชาซึ่งประทับนั่งบนบัลลังก์ใหญ่ ทรงว่าด้วยอารมณ์ขัน


     

    เมื่อเห็นพรายหนุ่มในชุดสีดำกำลังจัดแจงชุดเครื่องแบบของตนให้เข้าที เพื่อไม่ให้ยับเยินเวลาออกราชการ


     

    ตอนนี้ร่างสูงเพรียวยังคงอยู่ในชุดทูนิคสีดำ ผ้าคลุมไหล่สีเดียวกันประดับไว้ด้วยอะเมทิสต์สีอ่อน


     

    โชคดีที่มอริิออนมีฝีเท้าเร็วเป็นเลิศ ข้าจะไม่มีวันมาสายหรอก เสด็จลุง ” เขากล่าว


     

    สตรีพรายในชุดขาวก็ได้มาโอบเรียวแขนของเขาไว้ พลางลูบเรือนผมสีดำด้วยอาการหยอกเล่น


     

    ลูกรัก เราคงต้องได้พบเรื่องใหญ่แน่แล้วคราวนี้ ” นางกล่าว


     

    ...เรื่องใหญ่นั้นคือสิ่งใดหรือ...นานา...หรือว่า ??...ข้าคงต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย


     

    ขณะที่พรายสาวร่างสูงระหงในชุดสีม่วงปนฟ้าอ่อน เรือนผมสีทองของนางสะท้อนเป็นมันเงา


     

    ก็ได้มานั่งข้างองค์กษัตริย์ผู้เป็นบิดา ก่อนที่จะมอบรอยยิ้มสรวลบนริมฝีปากงาม


     

    เสด็จพ่อ ! ข้าก็รู้ดีว่า คำทำนายต้องเป็นจริง องค์เทพไม่เคยทรงตระบัดสัตย์ ”


     

    พรายหนุ่มได้มายืนข้างปฤษภางค์แห่งองค์กษัตริย์และพระมารดาของตน ดวงตาสีนิลคู่นั้นยังคงมอง


     

    ที่ดวงหน้างดงามของผู้เป็นพี่นางอย่างไม่รู้เบื่อ แต่ว่า...เขากลับรู้สึกว่ามีลางร้ายบางอย่างจะเกิดขึ้น


     

    เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารที่อยู่เบื้องล่างของบัลลังก์สูงต่างมีสีหน้าสงสัย เป็นกังวลกว่าทุกวันที่เคยเป็น


     

    ประตูของท้องพระโรงก็ได้เปิดออก พร้อมกับบุรุษสามคน ด้านซ้ายคือโวรอนเว และอีกด้านคือลอร์ดเอคเธลิออน


     

    บุรุษที่ยืนตรงกลางนั้น มีร่างกายที่สูงใหญ่ ผ้าคลุมสีเทาเปรอะเปื้อนจากการเดินทางมาแรมเดือน


     

    ในที่สุดเขาก็ได้หยุดนิ่ง และโค้งลงต่อเบื้องพระพักตร์ขององค์กษัตริย์พรายผู้ยืนยง


     

    เอาล่ะ ผู้เดินทาง ข้าไม่ต้องการให้เสียเวลามากหรอก ข้าขอต้อนรับเจ้าสู่กอนโดลิน


     

    หรือออนโดลินเด บทเพลงแห่งศิลาคีตนครหรือนครสัตตนามแห่งแผ่นดินเบเลริอันด์


     

    เจ้ามีประสงค์ใดจะบอกข้ามาเถิด ข้าคือทัวร์กอน ราชันย์แห่งนครนี้พร้อมรับฟังวาทะของเจ้าแล้ว ”


     

    นัยน์ตาสีนิลของพรายหนุ่มผู้ยืนเบื้องหลังจึงได้เห็นร่างสูงปลดผ้าคลุมผืนใหญ่ออกจากร่างของตน


     

    เผยให้เห็นเรือนผมสีทองหยิกเป็นลอนซึ่งมีหมวกเกราะขนาบด้วยปีกหงส์ทั้งสองข้าง


     

    สัญลักษณ์แห่งนครวินยามาร์ นครเก่าขององค์ราชา เปล่งประกายรับแสงตะวัน โล่นั้นถูกสร้างจากเหล็ก


     

    มิทธิลได้สร้างขึ้นบนดาบยาวซึ่งชายหนุ่มได้ถือไว้ด้วยมือซ้าย เขามีชุดนักรบมาจากที่แห่งนั้น


     

    ราวกับว่าได้เกิดมาเพื่อสวมใส่มัน!


     

    ลักษณะของมนุษย์ให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านเรียวไหล่กว้างและเรียวแขนล่ำสัน ดวงหน้าเรียวกว้างหากคมสัน


     

    หนวดเคราสีบลอนด์ดูจะเพิ่มความเข็มแข็งให้คงอยู่บนใบหน้านั้น ประกอบกับดวงตาสีฟ้าที่เปล่งประกายสดใส


     

    ...เนี่ยนะเหรอ ? เนี่ยเหรอ ทายาทแห่งมนุษย์เอไดน์ที่ได้รับหน้าที่จากองค์อุลโม....


     

    ทูออร์ก็ได้เปล่งวาทะขององค์เทพอุลโมดังที่เล่าขานต่อกันมาดังนี้


     

    จอมกษัตริย์โนลดอร์ผู้เป็นบิดาแห่งนครกอนโดลิน เกล้ากระหม่อมมีนามว่าทูออร์ บุตรแห่งฮูออร์


     

    ทายาทแห่งมนุษย์ตระกูลฮาดอร์ เกศาทอง หนึ่งในสหายพรายผู้รับใช้ชาวเอลดาร์ด้วยความสัตย์ซื่อ


     

    กระหม่อมได้รับพระโองการจากอุลโม ยัลเมียร์ เทพเจ้าแห่งสายวารีและมหาสมุทร


     

    องค์ทัวร์กอนและผองชนแห่งกอนโดลิน คำสาปแห่งมานดอสกำลังใกล้จะบรรลุผลแล้ว


     

    งานสร้างสรรค์ของชาวโนลดอร์จะพินาศสิ้น กระหม่อมจึงขอให้พระองค์ได้ละทิ้งนครอันแข็งแกร่ง


     

    และงดงามแห่งนี้เสีย แล้วเดินทางลงยังแม่น้ำซิริออนเพื่อเดินทางออกทะเลเถิด ! ”


     

    เมื่อเขากล่าวจบลงพร้อมกับการคำนับ...ก็เหมือนความเงียบก็เกิดขึ้นทุกคนในท้องพระโรงแห่งหอคอยกษัตรา


     

    ดวงตาสีฟ้าของชายหนุ่มจึงได้มองยังกษัตริย์พรายผู้ที่ได้ขนานว่า สูงสง่าที่สุดในบุตรแห่งพระเป็นเจ้า


     

    เว้นแต่องค์ธิงโกลแห่งอาณาจักรโดริอัธที่ห่างไกลออกไป ทัวร์กอนอยู่ในฉลองพระองค์ยาว


     

    สีขาวและคาดเข็มขัดสีทอง ทรงมงกุฎประดับโกเมนเม็ดใหญ่แสนงาม ดวงพักตร์งามคมสันยิ่ง


     

    เมื่อชายหนุ่มมองไปทางเบื้องซ้ายก็ได้พบกับสตรีพรายที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต


     

    เรือนผมสีทองยาวสลวย และดวงตาสีเทาคู่งามจรัสได้สบกับเขา แต่นางยังไม่ได้แสดงกิริยาใดๆ นอกจากนั่งนิ่ง


     

    ...นางคงเป็นผู้ที่ข้าคงจะมองได้ตลอดไปและไม่มีวันเบื่อหน่ายได้อีกแล้วตลอดชีวิต...


     

    เขาก็ได้หันมามองยังสตรีร่างสูงระหงในชุดสีขาวนวล ซึ่งก็ดูคล้ายคลึงกับนางพรายผู้นั้นมาก


     

    เรือนผมของนางเป็นสีดำยาวสลวยจรดเพลา กรอบหน้าแสนโสภาของนางราวกับแกะสลักจากฝีหัตถ์ของทวยเทพ


     

    และตอนนั้นความอบอุ่นก็ได้แผ่ซ่านเข้ามาอยู่ในจิตใจของทูออร์ เพราะนางได้มอบรอยยิ้มให้เขาเล็กน้อย


     

    ...รอยยิ้มละมุนละไมของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นมารดาแล้วซินะ...ความอบอุ่นที่ข้าเคยฝันไว้แต่ยังเยาว์


     

    แล้วเขาคนนั้น...บุรุษที่ดูอ่อนเยาว์กว่าพรายโนลดอร์ทั้งสามองค์มาก ได้ยืนอยู่เบื้องขวาของจอมกษัตริย์


     

    ด้านหลังของสตรีในชุดขาวผ่องดังหิมะของฤดูกาลนี้ ดวงหน้าเคร่งขรึมงามสง่า เรือนผมสีรัตติกาลเหยียดตรง


     

    ชายหนุ่มเอไดน์ได้สบนัยน์ตากลมใหญ่สีเหล็กกล้า สีเดียวกับด่านประตูสุดท้ายที่เขาพึงใจก่อนเข้ามาที่นี้


     


     

    ...งามแท้แลดุจคมดาบมาแทงใจ...จนไม่อยากละสายตาไปได้อีกตลอดกาล...


     

    และเขาคนนี้ก็ช่าง...ช่าง...เหมือนกับ...พี่ชายที่จากไปของข้ามาก....พี่ชายข้า...พี่ข้า...กลับมาหาข้า...ที่นี้เอง


     

    แล้วตอนนั้น ทูออร์ก็รู้สึกว่า สถานที่แห่งนี้ได้หยุดนิ่งจากสายธารแห่งกาลเวลาไปเสียแล้ว...


     

    ~!~!~!~!~!~!~


     

    ตอนหน้า...มีเรื่องให้เฮแน่เล้ยยย ~!!


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×