คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่สาม
ตอนที่สาม
“นางมองเห็นข้า!” น้ำเสียงที่บ่งบอกชัดถึงความดีใจประกอบกับอาการกระโดดเสียจนตัวลอยนั้นทำให้ทรงเลิกพระขนงขึ้นสูงอย่างไม่เข้าใจ
“หยุดกระโดดไปมาเสียที!” สุรเสียงใสกังวานขึ้นอย่างทรงอำนาจ
และก็ได้ผลชะงัด...เพราะร่างผอมๆ ในผ้าคลุมสีน้ำตาลมอๆ นั้นหยุดกึกไปแทบจะทันที ก็ว่าที่จริง...เขาหยุดไปทั้งๆ ที่ขาข้างหนึ่งกำลังจะยกขึ้นเพื่อเตรียมจะกระโดดอีกรอบนั่นล่ะ!
“เอาล่ะ...ตอบคำถามฉันมาเดี๋ยวนี้” ดวงเนตรสีฟ้าใสจับจ้องไปยังนัยน์ตาสีฟ้าอีกคู่หนึ่งโดยแทบจะไม่กระพริบ “เธอเป็นใคร? เข้ามาในนี้ได้อย่างไร? มีจุดประสงค์อะไร? หรือว่ามีใครใช้ให้เธอมา!”
“โว้วๆ” เด็กหนุ่มผมขาวอุทานเสียงดังพร้อมกับหัวเราะ “ใจเย็นคุณผู้หญิง ยิงคำถามรัวเป็นชุดแบบนั้นข้าตอบให้ไม่ทันหรอกนะ”
“นี่เรียกฉันว่าอะไรนะ?”
“คุณผู้หญิง...” เสียงห้าวๆ นั้นพูดกลั้วหัวเราะ “เอ้า...คำถามแรกก่อน ข้าเป็นใคร?” เขายิ้มกว้างพร้อมกับตวัดไม้เท้าที่ดูคล้ายกับไม้ต้อนแกะนั้นขึ้นมาพาดบนหัวไหล่
“ชื่อของข้า คือ แจ็ค ฟรอสท์”
“แจ็ค ฟรอสท์?” ริมโอษฐ์สีชมพูสดทวนชื่อนั้นด้วยปลายลิ้นรัวเร็วตามสำเนียงของเธอ
“ใช่ อ้า...แต่ไม่จำเป็นต้องกระดกลิ้นขนาดนั้นก็ได้ คือแบบว่า มันก็แค่ตัว r น่ะนะ"
ทันทีที่จบประโยคนั้น สีชมพูจางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนพระปรางค์ขาว เมื่อทรงรู้องค์ว่ากำลังถูกล้อเลียน
“เลิกพูดเล่นกันเสียที” เอลซ่าทรงพระปรับอารมณ์ของเธอได้ทันควัน “ตกลงเธอเข้ามาในนี้ได้ยังไง?”
“โอ๊ะๆ แหม...ไม่ต้องทำหน้าโหด จริงๆ แล้วข้อนั้นน่ะมันตอบง่ายยิ่งกว่าชื่อข้าเสียอีกนะ” นัยน์ตาสีฟ้าสว่างของเขาทอประกายขณะที่พูด ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะชี้นิ้วไปยังหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งขณะนี้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับการมาเยือนของสายลมอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิ
“ทางนั้นไง!”
“หน้าต่าง!” เป็นไปไม่ได้! ห้องที่สูงจากระดับพื้นดินตั้งสิบเมตรแบบนี้ ต่อให้เป็นคนที่เก่งกล้าสักแค่ไหน แต่เด็กผู้ชายผอมๆ คนเดียวที่ไม่มีอะไรติดตัวเลยสักอย่างนอกจากไม้ต้อนแกะแบบนี้...คงจะต้องให้เขามีปีกงอกออกมาเสียก่อนล่ะมั้ง
“ใช่เลย!” เสียงห้าวตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน แถมยังออกจะกึ่งๆ ภูมิใจนิดๆ ด้วยซ้ำ “จริงๆ ข้าก็แค่กะจะแวะเข้ามาเล่นๆ สนุกๆ ล่ะนะ...นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกเห็นแบบนี้”
เอลซ่าทอดมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ
ทั้งๆ ที่ถูกจับได้ แต่ทำไมยังทำเป็นตีหน้าระรื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยอย่างนั้น? และถึงจะดูเหมือนเด็กชาวบ้าน...แต่ทำไมจึงบุกรุกถึงห้องบรรทมของราชินีได้เงียบเชียบอย่างนี้
หรือจะเป็นสายจากต่างเมืองกันนะ?
“อ้าว? เป็นอะไรไปล่ะ ไม่ถามข้าต่อแล้วเหรอ?” เจ้าของเรือนผมสีขาวนั้นพูดกระเซ้าอย่างขี้เล่น แต่ก็เห็นได้ชัดเจนเลยว่าคู่สนทนาอีกฝ่ายไม่ทรงเล่นด้วย
“เลิกโกหกเสียที แจ็ค ฟรอสท์...บอกความจริงมา แล้วฉันจะไม่ทำอะไรเธอ”
“เฮ้! นี่ข้าก็กำลังพูดความจริงอยู่นะ” แจ็คโต้พร้อมกับหมุนไม้เท้าในมือไปมา “แค่ความสูงระดับนี้สำหรับข้าน่ะมันเบๆ”
“เบๆ งั้นหรือ?”
“ก็หมายถึงเบสิคสุดๆ ไง”
ดวงเนตรสีฟ้าใสตวัดไปยังใบหน้าขาวที่กำลังยิ้มระรื่น...
“ถ้าเธอยังคงยืนยันในคำพูดนั้น แจ็ค ฟรอสท์ ฉันคงต้องขอให้เธอช่วยไปตอบคำถามกับผู้สอบสวนแทนเสียแล้วล่ะ” ราชินีหิมะตรัสพร้อมกับตวัดพระหัตถ์ขึ้นข้างหนึ่ง
ทันทีนั้น สายลมเย็นปนเกล็ดหิมะสีขาวก็พวยพุ่งออกจากหัตถ์ แล้วตรงเข้าม้วนดึงเอาประตูสีขาวบานใหญ่ให้เปิดออก
“ทหาร! มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง” พระบัญชาดังก้อง...โดยปกติ ในพระราชวังย่อมต้องมีทหารมหาดเล็กคอยเดินตรวจตราอยู่แล้ว ยิ่งบริเวณห้องบรรทมของราชินียิ่งไม่ต้องพูดถึง
“เป็นข้าจะไม่ทำอย่างนั้น” แจ็คพูดเรื่อยๆ อย่างไม่มีวี่แววแห่งความตระหนกตกใจใดๆ ทั้งสิ้น มิหนำซ้ำ เขายังยืนพิงเข้ากับกรอบหน้าต่างด้วยท่าทางสบายใจอีกต่างหาก
และยังไม่ทันที่ถ้อยดำรัสใดๆ จะหลุดจากพระโอษฐ์ เสียงฝีเท้ารัวๆ ของคนหลายคนที่กระทบลงกับพื้นเป็นจังหวะ ก็ดังขึ้นมาจากทางหน้าประตูห้อง
“องค์ราชินี มีอะไรผิดปกติหรือพะยะค่ะ!”
“ท่าน....” ราชินีหิมะทอดพระเนตรยังชายผู้เป็นหัวหน้าของกองทหารมหาดเล็ก ก่อนที่สุรเสียงใสๆ จะดำรัส “มีชายแปลกหน้าบุกรุกเข้ามาที่นี่ จับเขาไปสอบสวนที”
“ไม่ทราบว่าทรงทอดพระเนตรเห็นทางไหนขอรับ”
“ทางไหนรึ?” สตรีผู้ทรงศักดิ์เบิกพระเนตรกว้างอย่างประหลาดใจเป็นที่สุด “นี่ท่านมองไม่เห็นหรือ?”
นายทหารผู้นั้นเหลียวซ้ายแลขวาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่จะกราบทูลแผ่วเบา
“เอ้อ...กระหม่อมเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น”
สิ้นดำรัสนั้น ราชินีก็รีบตวัดพระเนตรไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังยืนยิ้มเผล่อยู่ตรงบานหน้าต่างทันที แจ็ค ฟรอสท์ ยักคิ้วส่งให้พระองค์ข้างหนึ่งอก่อนที่จะกระโดดเข้ามาประชิดตัวหัวหน้ากองมหาดเล็ก
“เฮ้! มองไปทางไหนน่ะ ข้าก็อยู่ตรงนี้ไง ราชินีสั่งให้จับกุมข้านะ” เขาตะโกนเสียงดังพร้อมกับโบกมือไปมา แต่ก็ไม่มีทีท่าว่านายทหารคนนั้นจะรู้ตัวเลยสักนิด
“แหม...แย่แฮะ แบบนี้ต่อให้หาอีกกี่สิบวันก็คงจับตัวข้าไม่ได้แหง หรือท่านว่าไง?”
“เงียบนะ!”
“เอ้อ...เกล้ากระหม่อมยังไม่ได้กราบทูลอะไร...” หัวหน้าทหารเอ่ยด้วยน้ำเสียงอึกอัก
“เปล่า ฉันไม่ได้ตำหนิท่าน”
แจ็ค ฟรอสต์ มองภาพของวรองค์บางเบื้องหน้าที่แค่มองดูก็รู้ว่ากำลังสับสนอย่างหนัก ด้วยสายตาที่บอกชัดถึงความสนุกสนาน...มันนานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้รู้สึกสนุกกับการแกล้งใครคนหนึ่งแบบนี้
“บางทีฉันอาจจะตาฝาด...” สุรเสียงนั้นราบเรียบเฉกเช่นในยามที่เธอออกว่าราชการกลางท้องพระโรง “พวกท่านกลับไปทำหน้าที่ต่อเถอะ”
“มิได้พะยะค่ะฝ่าบาท...ถ้าหากว่าชายผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นอีกล่ะก็”
“ในกรณีเช่นนั้น ฉันก็จะเรียกท่านมาเอง” ราชินีหิมะตรัสพร้อมรอยแย้มสรวลบางๆ “ไปเสียเถอะ ท่านยังมีหน้าที่สำคัญต้องรับผิดชอบนี่”
“รับด้วยเกล้า” ทหารมหาดเล็กทั้งกลุ่มโค้งตัวลงทำความเคารพอย่างงดงาม ก่อนที่จะทยอยกันออกจากทวารสีขาวบานใหญ่นั้นไป และในทันทีที่เท้าของนายทหารคนสุดท้ายล่วงพ้นจากอาณาเขตของห้องบรรทมไปแล้ว ราชินีเอลซ่าก็ตวัดสายพระเนตรไปยังคู่กรณีที่กำลังยืนทอดหุ่ยอยู่กับขอบหน้าต่างทันที
“นี่เธอเป็นอะไรกันแน่? ผู้วิเศษ? พ่อมด?”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง องค์ราชินี” เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับโค้งตัวลงเช่นที่นายทหารมหาดเล็กกระทำเมื่อครู่ “แต่รับรองว่าเป็นอะไรที่เจ๋งกว่าพวกนั้นเยอะ!”
แจ็ค ฟรอสท์ จบคำพูดของเขาด้วยริมฝีปากที่ยกขึ้นข้างหนึ่งเป็นรอยยิ้ม ซึ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูน่ามองยิ่งขึ้น
“ข้าคือภูติหิมะ ผู้ที่ทำให้เกิดวันหิมะหรรษาไง!”
“อะไรคือวันหิมะหรรษา?”
“ถามจริง? ก็วันที่ท่านเล่นปาหิมะแล้วรู้สึกมันส์โคตรนั่นไง นั่นล่ะฝีมือข้า”
“เดี๋ยวนะ...” เอลซ่าทรงขมวดพระขนงพร้อมดำริไปถึงสงครามหิมะย่อมๆ ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ “กระสุนหิมะในวันนั้นคือฝีมือเธอ!”
“เอ้อ...ก็ใช่อ่ะนะ” แจ็คยอมรับ พร้อมกับยกมือขึ้นขยี้ผมเบาๆ “แต่ท่านก็สนุกดีนี่ใช่มั้ย?”
พระเนตรสีฟ้าใสของหญิงสาวหรี่ลงนิดหนึ่ง...
“เหอะ...” ทรงทำเสียงขึ้นพระนาสิก ก่อนที่จะแย้มพระสรวลพราย “เป็นถึงภูติหิมะทั้งที ทำได้แค่นั้นเองน่ะเหรอ?”
“ว่าไงนะ?”
“หิมะน่ะฉันก็เสกได้...”
ทันทีที่จบประโยคนั้น เธอก็ก้มพักตร์ลงเป่าละไอเย็นเฉียบสีขาวจากฝ่าพระหัตถ์ให้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง ก่อนที่เกล็ดหิมะสีขาวสะอาดจะค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาจากเพดาน
“เจ๋งนี่...” แจ็คมองหิมะสีขาวโพลนพวกนั้นพร้อมเอ่ยปากชม...แต่ไม่ทันไรเขาก็กลับมายิ้มเผล่ “เดี๋ยวข้าจะให้ท่านดูอะไร”
เมื่อจบคำพูดนั้น เด็กหนุ่มก็ยกไม้เท่าในมือขึ้นแล้วกระแทกมันลงไปกับพื้นปูพรมหนานุ่มที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า...พริบตานั้น! ละไอเย็นวาบก็พุ่งปราดไปทั่วทุกมุมห้อง จนกระทั่งพื้นที่เคยไว้ลาดด้วยพรมสีแดงเข้มนั้นกลับกลายเป็นลานน้ำแข็งภายในเวลาไม่กี่วินาที
เอลซ่ามองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าสว่างคู่นั้นอย่างเป็นต่อ
เธอตวัดชายพระภูษาขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนที่จะย่างพระบาทลงตรงพื้นน้ำแข็งที่ปรากฏอยู่ด้านหน้า
และทันทีที่รองพระบาทประทับลงกับพื้นเย็นเฉียบนั้น...ผลึกน้ำแข็งรูปเกล็ดหิมะขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นทาบทับลงไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับลานน้ำแข็งพอดิบพอดี จนเจ้าของมนตราแรกปรบมือให้อย่างชื่นชม
“ไม่เลวๆ งั้นถ้าแบบนี้ล่ะ”
แจ็คเป่าลมหนาวเข้าใส่กระจกบานใหญ่ที่อยู่ข้างๆ จนเกิดเป็นรอยฝ้าขุ่น แล้วเด็กหนุ่มก็ใช้นิ้วมือของตนเองจิ้มลงไปก่อนจะค่อยๆ ลากจนปรากฏเป็นรูปนกโรบินตัวใหญ่
“อะไรกัน? รูปวาดอย่างนั้นน่ะใครๆ...”
“จุ๊ๆๆ ใจเย็นก่อนสิ โชว์ยังไม่จบนะ”
เมื่อสิ้นประโยคนั้น แจ็ค ฟรอสท์ ก็เอื้อมมือทั้งสองข้างไปยังบานกระจก พร้อมทำท่าทางราวกับจะพยายามดึงเอาเจ้านกโรบินน้อยให้หลุดลอยออกมาจากแผ่นกระจกอย่างนั้น
และทันใดนั้นเอง
พรึ่บ!
เจ้านกน้อยที่เคยเป็นเพียงแค่ภาพวาดก็สยายปีกออก แล้วโผบินมาเกาะที่หัวไหล่ของหญิงสาวก่อนที่เธอจะทันได้อุทานอะไรออกมาด้วยซ้ำ
“ไง เจ๋งใช่มั้ยล่ะ...ฝึกนานนะนี่” เด็กหนุ่มผมขาวพูดพร้อมกับยิ้มร่า
อย่างนี้ไม่เคยทำ! เอลซ่าเม้มริมโอษฐ์เข้าหากันจนเป็นเส้นตรง จริงอยู่ว่าทรงเคยทำให้มนุษย์หิมะมีชีวิตจิตใจขึ้นมาได้ถึงสองตัว แต่กับสิ่งมีชีวิตที่มีตัวตนอยู่ในโลกของความเป็นจริงแบบนี้...
มันก็คงคล้ายๆ กันนั่นแหละ
เร็วเท่าความคิด ทรงวาดหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกัน ปล่อยให้มนตราแห่งเหมันต์พวยพุ่งขึ้นสู่อากาศอย่างอิสระ ก่อนที่หัตถ์คู่เดิมจะตวัดด้วยท่วงท่างดงามจนละอองหิมะพวกนั้นจับตัวกันเป็นก้อนกลม
และในวินาทีนั้นเอง...
หิมะลูกใหญ่ที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ก็แตกกระจายกลายเป็นฝูงผีเสื้อนับสิบสิบตัวซึ่งกระพือปีกบินไปรอบๆ ห้อง
แจ็ค ฟรอสท์ เอื้อมมือไปแตะเจ้าผีเสื้อเกล็ดหิมะที่กำลังบินอย่างเริงร่าก่อนที่เขาจะหัวเราะเสียงใส...เสียงหัวเราะที่ทำให้แม้แต่ราชินีหิมะก็ยังอดที่จะแย้มพระสรวลตามไปด้วยไม่ได้
“สุดยอดไปเลย” เขาร้อง “แต่เอลซ่า ข้าพนันว่าท่านต้องไม่เคยเห็นสิ่งนี้แน่!”
“เอ๊ะ! รู้ชื่อของฉันได้ยังไง?”
“ต้องรู้สิ” แจ็คตอบพร้อมกับปั้นหิมะในมือไปมา “ก็อันนาเรียกท่านตั้งหลายครั้ง...เอาล่ะ!”
ทันใดนั้น ฝ่ามือขาวๆ ของเด็กหนุ่มก็ปล่อยลูกบอลหิมะให้ลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่เขาจะเป่าลมหนาวผ่านทางริมฝีปากแล้วสกัดเอาพื้นผิวกลมๆ นั่นจนกลายเป็นวัตถุรูปร่างประหลาด ที่แม้จะดูคล้ายนก...แต่กลับมีอะไรสักอย่างที่ดูคล้ายกับใบพัดติดอยู่ที่หน้า
“มันคืออะไรน่ะ?” เอลซ่าทรงมองวัตถุที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าอย่างสนพระทัย
“เครื่องบิน! เห็นนอร์ธเรียกมันอย่างนั้นนะ”
“นอร์ธหรือ?”
“อ้อ...ข้าหมายถึงซานตาคลอสน่ะ” แจ็คพูดพร้อมรอยยิ้ม “รู้แล้วท่านก็อย่าเอาไปฟ้องเขาล่ะ...ข้าบังเอิญไปเห็นเขากำลังสร้างเจ้านี่ ตอนที่ข้าพยายามจะแอบเข้าไปในห้องทำงานของเขาพอดี”
“นี่เที่ยวบุกรุกห้องคนอื่นเป็นงานอดิเรกหรือไง?”
“ไม่ถึงขนาดนั้น...ข้าทำเฉพาะเวลาที่รู้สึกว่าน่าสนุก” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมจนเห็นฟันเรียบขาว
“เอ้า! ตาท่าน เป็นไงทำได้มั้ยล่ะ?” นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นทอประกายอย่างร่าเริง ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะใช้ไม้เท้าชี้ตรงมายังเอลซ่า
หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นราชินียกหัตถ์ขึ้นดันไม้เท้านั้นออกห่างเบาๆ อย่างมากด้วยมารยาท ก่อนที่จะตรัสกลับฉุนๆ
“จะให้ฉันสร้างสิ่งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคืออะไรได้ยังไง!”
“ฮ่า...” แจ็คอุทานพร้อมแววตาที่ฉายแววเจ้าเล่ห์ “งั้นตานี้ข้าก็เป็นฝ่ายชนะ”
“แบบนี้โกงกันนี่!”
“โกงอะไร? ท่านทำไม่ได้เองต่างหากล่ะ”
“เธอโกงฉันชัดๆ!”
และในขณะที่ทั้งสองคน...ไม่สิ หนึ่งพระองค์กับอีกหนึ่งตนต่างหาก กำลังประจันหน้ากันอยู่นั่นเอง ประตูบานใหญ่ที่เคยปิดแน่นสนิทก็เปิดผลัวะออกมาอย่างไม่มีใครคาดคิด!
“เอลซ่า...” เด็กสาวผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอมส้มทอดมองยังภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าด้วยดวงเนตรเบิกกว้าง...พี่สาวของเธอกำลังยืนอยู่ท่ามกลางห้องนอนสีขาวโพลน แต่อะไรก็ไม่น่าประหลาดใจเท่ากับนกหิมะสีขาวที่จับแน่นอยู่ตรงหัวไหล่ของเธอ กับกลุ่มผีเสื้อประหลาดที่ถึงแม้ว่าจะสวย แต่ให้ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนกับผีเสื้อปกติทั่วไปสักนิด!
"นี่พี่กำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?"
"อะ เอ้อ คือว่าพี่...ทำไมเธอถึงไม่เคาะประตู!”
“ขอโทษ...คือ อันที่จริงฉันเคาะแล้ว แต่พี่ไม่ยอมเปิดสักที”
“อย่างนั้นหรอกหรือ”
“ว่าแต่...” อันนาตรัสขึ้นด้วยแววเนตรสงสัย “เมื่อกี้พี่กำลังคุยกับใครน่ะ? เสียงดังออกไปถึงข้างนอกเลย”
แย่ล่ะสิ!
เอลซ่าสรวสลแห้งๆ อย่างลำบากใจ...จะให้ตอบได้อย่างไรล่ะว่ากำลังคุยอยู่กับภูติหิมะ? ดีไม่ดีอันนาจะได้คิดว่าทรงทำงานหนักเสียจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วน่ะสิ
เอลซ่าหันพระพักตร์ไปทางแจ็คอย่างพยายามจะหาตัวช่วย แต่ทันทีที่ทรงเห็นท่าทางยักไหล่อย่างไม่รู้ไม่ชี้ที่เขาส่งมาให้ ความหงุดหงิดก็ก่อตัวขึ้นในพระทัยอย่างฉับพลัน
“พี่กำลังคุยกับ...กับฮันซ์นี่ไง!” ทรงแย้มพระสรวลกว้างพร้อมกับจับนกหิมะตรงพระอังสามาถือไว้
“ นี่ไงอันนา...ขนของเขาสวยดีใช่ไหมล่ะ? นี่ยังไม่นับปีกกับหางนี่อีกนะ โอ...ดูสิ พี่คิดว่าจะลองเลี้ยงนกดูสักครั้งล่ะ เธอคิดว่าไง?”
“เอ่อ...มันก็...ฟังดูดีนะ” อันนาทรงตรัสอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก นี่พี่สาวของเธอกลายเป็นคนชื่นชอบสัตว์เลี้ยงไปตั้งแต่เมื่อไหร่? แถมยังเป็นสัตว์ที่ไม่มีอยู่ในโลกจริงๆ อีกด้วยแน่ะ
“แต่ฉันว่าพี่คงต้องไม่ลืมที่จะเสกหิมะส่วนตัวให้มันด้วยนะ แบบว่า...นี่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว”
“นั่นสินะ...ถูกของเธอ” เอลซ่าปล่อยให้นกหิมะขึ้นไปเกาะอยู่บนอังสาของเธอตามเดิม ก่อนที่วรองค์แบบบางจะวางท่าสง่างามอย่างราชินีอีกครั้ง “แล้วตกลงมาหาพี่นี่มีอะไรหรือเปล่า?”
“อ้อใช่! ฉันจะมาบอกพี่ว่าลานเต้นรำเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ เห็นพี่ไม่ลงไปเสียทีฉันก็เลยขึ้นมาตาม” เด็กสาวผู้มีสถานะเป็นเจ้าหญิงเอ่ยอย่างร่าเริง “ไปดูด้วยกันมั้ย?”
“ไปสิ” ริมโอษฐ์สีชมพูสดคลี่ออกเป็นรอยยิ้มงดงาม “แต่เดี๋ยวขอพี่ละลายหิมะก่อนนะ”
“ได้เลย!”
ภายหลังจากที่เจ้าหญิงอันนาเสด็จผ่านทวารนั้นไปไกลแล้ว เอลซ่าจึงลอบถอนพระทัยออกมาเบาๆ
“ใจหายใจคว่ำหมดเลยนะ” เสียงห้าวๆ ที่ดังขึ้นมาข้างๆ นั้นทำให้สายตาของหญิงสาวตวัดไปยังต้นเสียงทันที
“คิดว่าเป็นเพราะใครล่ะ?”
“อ้าวๆ จะบอกว่านี่เป็นความผิดข้าเหรอ?”
“แน่ล่ะสิ...” เอลซ่าคลายขนงที่ขมวดกันแน่นลง ก่อนที่จะยกหัตถ์ขึ้นเสยเกศาด้านหน้าที่เริ่มจะปรกลงมาอันเป็นผลมาจากการดวลหิมะที่เพิ่งผ่านมาครู่ใหญ่นั่น “ยังไงก็ช่างเถอะ...เธอต้องมาช่วยฉันละลายหิมะ แจ็ค ฟรอสท์ แล้วหลังจากนี้ก็ห้ามก่อเรื่องอะไรอีก"
“ข้อแรกน่ะก็ได้อยู่...แต่ข้อหลังข้าไม่รับปากนะ”
สิ้นประโยคนั้น ดวงเนตรสีฟ้าใสก็ตวัดมาถลึงใส่แทบจะทันทีจนเด็กหนุ่มหัวเราะ
“โอเคๆ ยอมก็ได้...ทุกอย่างจะเป็นไปตามพระประสงค์พะยะค่ะ” เขาพูดพร้อมกับโค้งตัวลงต่ำด้วยท่วงท่าราวขุนนาง
“แบบนี้เป็นไง? ถึงเห็นยังงี๊แต่ข้าก็เคยลอบเข้าวังบ่อยนะ”
“ก็พอใช้...” หญิงสาวผู้ทรงศักดิ์ปรายเนตรมองเด็กหนุ่มเบื้องหน้าพร้อมกับรอยพระสรวล “และจะดีขึ้น ถ้าเธอเรียกแทนตัวเองว่ากระหม่อม”
“เฮ้ย! นั่นมันเกินไปหน่อยนะ...” แจ็คพูดพร้อมทำหน้าเหย “แค่นี้ก็ลิเกจนข้าขนลุกไปหมดแล้วเนี่ย”
ราชินีหิมะเลิกพระขนงขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนที่จะทรงสรวลออกมาอย่างห้ามไม่ได้...น่าแปลกที่ความหงุดหงิดใจที่เคยมีละลายหายไปหมดราวกับหิมะฉะนั้น
และเมื่อพระหัตถ์สีขาวคู่นั้นตวัดขึ้น หิมะที่เคยเกาะพราวจนขาวไปหมดทั้งห้องก็ค่อยๆ สลายตัวกลายเป็นละไอบางเบาซึ่งลอยขึ้นไปในอากาศอย่างว่าง่าย
ถัดออกไปจากตัวปราสาท คือลานกว้างขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างอาณาเขตของพระราชวังและตัวเมือง ซึ่งบัดนี้ได้รับการตกแต่งไว้ด้วยช่อดอกไม้นานาพันธุ์ที่ใช้ในงานเฉลิมฉลอง เหล่านางกำนัลและมหาดเล็กต่างพากันสาละวนอยู่กับงานมากมายที่วางกองอยู่จนล้นมือ…
และหากมองตรงไปเบื้องหน้านั้น ก็จะได้เห็นโคมไปแก้วเจียระไนขนาดใหญ่ ซึ่งกำลังถูกมือมากมายช่วยกันจับแขวนเข้ากับเสาสูงต้นใหญ่ อันใช้เป็นจุดกำเนิดของแสงสว่างกลางลานเต้นรำ
“สวยจริง” สุรเสียงใสที่เอ่ยชมอย่างจริงใจ ทำให้สาวน้อยผู้อยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวโศกเข้าคู่กันกับตัวชุดสีเขียวขี้ม้าและน้ำตาลไหม้นั้น หันหลังกลับมามองพร้อมรอยยิ้ม
“ชอบไหมเอลซ่า?”
“ชอบสิ!เธอเก่งจังนะ”
“ขอบคุณ” ริมฝีปากสีสดใสราวกุหลาบแรกแย้มนั้นคลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้าง “ที่จริงฉันก็แค่ลองจัดตามบันทึกราชประเพณีดูน่ะ อ้อ...ที่จริงก็มีปรับนู่นแต่งนี่นิดหน่อย” เด็กสาวพูดพร้อมกับจรดนิ้วหัวแม่มือเข้ากับนิ้วชี้เป็นสัญลักษณ์ให้ดูว่านิดหน่อยจริงๆ
“นั่นก็ฟังดูดีออกนี่” เอลซ่ากล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ…
เทศกาลฉลองฤดูใบไม้ผลิครั้งสุดท้ายในความทรงจำของเธอ คือครั้งหนึ่งเมื่อเจ้าหญิงเอลซ่ามีพระชนมายุประมาณ 9 ชันษา...ความทรงจำนั้นยังคงแจ่มชัด ภาพของท่านแม่ซึ่งงดงามหมดจดอยู่ในชุดพื้นเมืองสีเข้มปักด้วยเส้นด้ายสีทองที่สอดรับกับอัญมณีเม็ดเล็กแพรวพราย แลดูเข้าคู่กันนักกับมงกุฎดอกฮีทเธอร์สีม่วงใสที่ประดับอยู่บนพระเกศา...
แน่นอนละว่า เจ้าหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอย่างเอลซ่าน้อยไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมในงานเต้นรำ แต่ถึงกระนั้น...เธอก็ยังคงจดจำภาพอันสวยงามรื่นเริงที่เคยแอบลอบมองผ่านบานหน้าต่างได้ฝังใจ
กี่ปีมาแล้ว...ที่เคยวาดฝันถึงงานเทศกาลแบบนี้
กี่ปีมาแล้ว...ที่คิดได้แต่เพียงว่าภาพเหล่านั้นเป็นสิ่งที่อยู่ไกลสุดเอื้อม
และบัดนี้ ภาพแห่งความสุขสันต์รื่นเริงปรากฏชัด!
เนตรสีฟ้าใสราวเกล็ดน้ำแข็งเบือนไปจับที่ดวงตาสีฟ้าอมเขียวซึ่งกำลังจับจ้องไปที่ลานเต้นรำอย่างตื่นเต้นนั้นด้วยประกายแห่งความอ่อนโยน
อันนา...คือน้องสาวที่แสนวิเศษ คือครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่เธอเหลืออยู่ คือหัตถ์อีกข้างที่จะช่วยประคับประคองมหานครอันเป็นที่รักต่อไปในอนาคต และแน่นอน...
คือบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งซึ่งเธอยินดีที่จะทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อปกป้อง
แนวพระโอษฐ์สีสดนั้นแย้มออกอย่างลึกซึ้ง
ณ ตอนนี้...ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่ราชินีแห่งแอเรนเดลล์ปรารถนา
“นี่ไงเอลซ่า ราจะเต้นรำกันตรงนี้” เสียงใสๆ นั้นดังเจื้อยแจ้ว
“และแน่นอนว่าพี่ต้องเป็นคนเต้นเปิดฟลอร์!”
“เดี๋ยวซิ!” เสียงใสของอีกฝ่ายสูงขึ้นทันที “พี่...ทำอะไรนะ?”
“เต้นเปิดฟลอร์เต้นรำไง” เจ้าหญิงแห่งแอเรนเดลล์ตรัสอย่างเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สุด “ราชประเพณีเขียนไว้”
“ตลกแล้ว!” เอลซ่าประท้วงขึ้นพร้อมกับคิ้วที่ผูกเข้าหากันเป็นปมแน่น “พี่เต้นรำไม่เป็นเธอก็รู้”
“โธ่...ไม่ใช่เรื่องยากหรอกเอลซ่า” น้ำเสียงนั้นกลั้วหัวเราะ “ของแบบนี้น่ะมันหัดกันได้
“จริงสินะ...”
“ใช่ไหมล่ะ?”
“งั้นเธอไปหัดแทนพี่” เสียงใสของอีกฝ่ายบอกปัดรวดเร็วจนเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนได้แต่กะพริบตาปริบๆ
“โอ...ไม่ๆ ๆ ฉันไม่ใช่ราชินีนะเอลซ่า”
“แต่ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ แถมยังเป็นผู้หญิงเหมือนกัน พี่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเสียหาย”
“ใครว่าไม่มีกัน! โธ่...เอลซ่า...พี่อย่าหนีนักเลย คราวก่อนฉันก็เต้นแทนไปทีหนึ่งแล้วนะ”
“นั่นซิ? ช่วยแทนให้พี่อีกสักหนคงได้หรอก”
“เอลซ่า...” อันนากล่าวอย่างกึ่งขันกึ่งเหนื่อยใจ “มันก็แค่เต้นรำเท่านั้นเอง ง่ายกว่าพวกหนังสือราชการที่พี่นั่งอ่านเป็นไหนๆ”
“ถึงอย่างนั้นก็...” ยังไม่ทันจะสิ้นสุดประโยค เสียงห้าวๆ ของใครคนหนึ่งก็ลอยมาต้องพระกรรณของราชินีหิมะฉับพลัน
“แหม...ที่แท้องค์ราชินีก็มีปัญหาเรื่องการเต้นรำงั้นเหรอเนี่ย”
“แจ็ค!” โอษฐ์สีสดนั้นเอ่ยนามของบุรุษตรงหน้าอย่างลืมองค์ จนเด็กสาวผมเปียที่ยืนอยู่ด้วยกันหันหน้าขวับมาอย่างสงสัย
“พี่ว่าอะไรนะ?”
“เอ๊ะ...เอ้อ...คือ พี่หมายถึงเกมส์ไพ่เมื่อคืนนี้น่ะ พี่น่าจะเดาได้นะว่าเธอแอบซ่อนแจ็ค!”
“ใครว่าฉันซ่อน? ฉันเล่นอย่างบริสุทธิ์สุดๆ เลยนะ” อันนาแย้มรอยยิ้มกว้าง หากดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์
“ดี! เดี๋ยวคืนนี้เรามาเล่นกันใหม่ คราวนี้พี่ไม่ปล่อยให้เธอใช้ทริคแน่”
อันนาหัวเราะร่วนอย่างชอบใจ ในขณะที่เอลซ่าลอบถอนหายใจเบาๆ ...โล่งอก...
เธอต้องระวังตัวให้มากกว่านี้...
และเมื่อเสียงหัวเราะห้าวๆ ของอีกบุคคลหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นเช่นกัน ดังคลอมากับเสียงหัวเราะใสๆ ของอันนา ดวงตาสีฟ้าที่ลุกเป็นประกายโชนก็ตวัดไปยังเด็กหนุ่มตัวต้นเสียงทันทีราวกับตั้งใจจะเผาเขาให้ไหม้เป็นจุณ
“โอ๊ะ...อย่ามองกันอย่างนั้นสิ เดี๋ยวตัวข้าก็ได้ไฟลุกขึ้นมาจริงๆ หรอก” น้ำเสียงที่ปนหัวเราะๆ นั้นบอกชัดว่าพลังสายตาของเธอไร้ผลสิ้นดี... “นี่ท่านรู้อะไรไหมราชินี ถ้าเรื่องเต้นรำล่ะก็ข้าพอช่วยได้นะ”
“หมายความว่ายังไง?” ริมฝีปากบางขยับเป็นคำถามโดยไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
หากสิ่งที่เธอได้รับมาแทนคำตอบ กลับเป็นรอยยิ้มกึ่งขันกึ่งเจ้าเล่ห์...
แจ็ค ฟรอสท์ กระชับไม้เท้าคู่ใจในมือ ก่อนที่เขาจะตวัดมันขึ้นและกระแทกตัวด้ามจับยาวๆ นั่นลงกับพื้นหินเบื้องหน้า ก่อให้เกิดเป็นเส้นทางน้ำแข็งสีใสปูลาดราวผืนพรมที่ทอดยาวสู่ใจกลางลานเต้นรำ
“เอ้า! ลื่นหน่อยนะ”
“อะไรน...” ยังไม่ทันที่คำพูดจะหลุดจากพระโอษฐ์ สายลมหนาวที่ไม่รู้ว่าพัดมาจากทางไหนก็ตรงเข้าดันพระปฤษฎางค์ของราชินีหิมะอย่างแรง จนวรองค์แบบบางราวจะปลิวนั้นปลิวไปพร้อมกับสายลมจริงๆ !
เอลซ่าได้แต่ปล่อยตัวเองให้ลื่นไปตามเส้นทางน้ำแข็งนั้นอย่างไม่อาจควบคุมได้...ดวงตาคู่โตเบิกกว้างอย่างตกใจสุดขีด แต่ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นสนิทไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
โธ่...ก็จะให้ร้องได้อย่างไรกันเล่า? กลางที่สาธารณะที่มีคนยืนดูอยู่มากมายขนาดนี้ สำหรับผู้ทรงยศเป็นราชินีแล้วย่อมไม่บังควรยิ่ง! แต่ทว่าในใจนั้นน่ะ...
ตาย ตาย ตาย ตายแน่ๆ นี่มันอะไรกันเนี่ย!
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ สายลมของข้าน่ะบริการทุกระดับประทับใจอยู่แล้ว”
“แจ็ค ฟรอสท์!” เสียงใสถูกส่งไปยังผู้เป็นตัวการอย่างคาดโทษ แต่นอกจากอีกฝ่ายจะไม่ได้ให้ความใส่ใจอะไรแล้ว...เขายังดูเหมือนจะยิ่งยิ้มกว้างอย่างสนุกสนานมากขึ้นเสียอีก!
และทันใดนั้นเอง...
“เตรียมพร้อมเอลซ่า! จะเบรกล่ะนะ”
ทันทีที่สิ้นคำพูดนั้น...เอลซ่าก็สัมผัสได้ถึงกองหิมะนุ่มๆ ที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาสกัดเข้าที่ปลายเท้าพอดี และก่อนที่เธอจะสามารถทำอะไรได้...ร่างทั้งร่างก็เซถลาไปเบื้องหน้าจนไม่อาจควบคุมเสียแล้ว!
หญิงสาวหลับตาปี๋อย่างยอมรับในชะตากรรมของตน...ต้องล้มแน่ๆ...แต่ทว่า เธอก็ไม่ได้รู้สึกถึงสัมผัสแข็งๆ ของพื้นหินสักนิด
“บอกแล้วไงว่าสบายใจได้หายห่วง”
สิ้นคำนั้น...เปลือกตาคู่โตที่ถูกแต่งแต้มไว้ด้วยสีม่วงสดใสก็ค่อยๆ ลืมขึ้น ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะได้พบว่า ขณะนี้...มือทั้งสองของตนกำลังทาบสนิทอยู่กับฝ่ามือขาวจัดของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าพอดี
“นะ...นี่เธอกล้าดียังไง?”
“แหม...อย่าเพิ่งขึ้นน่า ข้าก็แค่จะสอนท่านเต้นรำเท่านั้นเอง พร้อมนะ!”
“ฉันไม่...” ยังไม่ทันที่เสียงใสจะจบประโยค ฝ่ามือทั้งสองของเด็กหนุ่มก็เลื่อนเข้าประจำที่ทันทีอย่างรู้งาน
ฝ่ามือข้างขวาตรงเข้ากระชับฝ่ามือข้างซ้าย...
และฝ่ามือข้างซ้าย ค่อยๆ เอื้อมแตะวรองค์แบบบางอย่างมีมารยาท
เย็น...
ความรู้สึกแรกที่เอลซ่าได้รับจากสัมผัสนั้นไม่ได้อบอุ่นเช่นฝ่ามือของคนทั่วไป
เขาไม่ใช่มนุษย์จริงๆ !
“เดี๋ยวข้านำแล้วท่านตามนะ”
เท่านั้นเอง ริมฝีปากสีสดก็ตั้งท่าจะขยับเป็นคำพูดสวนกลับ...พระดำรัสของราชินีต่างหากที่ไม่ว่าใครก็ต้องทำตาม!...หากแล้วก็ชะงัก
ประกายในดวงตาคู่โตค่อยทอแสงอ่อนลง ส่งผลให้ใบหน้างดงามแลดูอ่อนหวานขึ้น
เถอะ...ลองตามดูบ้างสักครั้งก็น่าจะ...พอได้
และเมื่อรู้สึกองค์อีกที ทั้งสองพระบาทก็ค่อยๆ ย่างตามบุรุษเบื้องหน้าจนกลายเป็นจังหวะเดียวกันกับเขาเสียแล้ว และดูเหมือนเหล่าข้าราชบริพารที่นึกสนุกจะพากันขนเครื่องดนตรีที่เตรียมไว้สำหรับงานในวันรุ่งขึ้นมาลองบรรเลงซ้อมมือกันเป็นท่วงทำนองหวานเรื่อย...
เสียงดนตรีแว่วหวาน ประกอบกับสีสันสดใสของช่อดอกไม้ จุดรอยพระสรวลอ่อนโดยอย่างที่ยากยิ่งจะได้เห็นขึ้นที่ริมพระโอษฐ์บาง
“ก็ไม่ยากเท่าไหร่ ใช่ไหม?” แจ็ค ฟรอสท์ กล่าวพร้อมรอยยิ้ม...ดวงเนตรหวานล้ำของสตรีตรงหน้าทำให้เขารู้สึกราวกำลังลอยล่องอยู่กลางอากาศ
เอลซ่าตอบคำถามนั้นด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ...นับเป็นครั้งแรกทีเดียวที่เธอได้ใกล้ชิดกับบุคคลอื่นนอกจากคนในครอบครัวมากถึงขนาดนี้ อ้อ...ถึงแม้เขาจะไม่ใช่มนุษย์ก็เถอะ
“อืม...แต่...ท่านคงไม่ได้คิดที่จะเต้นจังหวะช้าๆ แบบนี้ในงานเทศกาลหรอกจริงไหม?”
วินาทีนั้นเองที่ความฝันอันงดงามของหญิงสาวสะดุดลง...คิ้วโก่งเริ่มที่จะผูกกันเป็นปมแน่นอีกครั้งก่อนที่เธอจะพูดดักคออย่างรู้ทัน
“แจ็ค หยุดเลยนะ”
“หยุดอะไร?” เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าซื่อนัยน์ตาใส
“ก็ความคิดของเธอน่ะสิ!”
“ข้ายังไม่ได้คิดอะไรเลยนะ...”
“ไม่ เธอคิดแน่” เอลซ่าต่อ พร้อมดวงตาที่จ้องไปยังคู่สนทนาอย่างคาดคั้น จนอีกฝ่ายจำต้องยกมือขึ้นยอมแพ้อย่างเสียไม่ได้
“ก็ได้ๆ ข้าคิด” น้ำเสียงนั้นกลั้วหัวเราะ “แต่รู้อะไรไหม? ถ้าหยุดตอนนี้ล่ะก็ท่านจะพลาดอะไรที่มันส์สุดๆ ไปเลยนะ”
“ฉัน-ไม่-สน-ใจ” หญิงสาวเน้นทุกคำพูดอย่างจงใจ “เราพอกันแค่นี้ดีกว่า”
และก่อนที่ร่างบางๆ นั้นจะหยุดการเต้นรำลงดื้อๆ นั่นเอง...
เด็กหนุ่มผู้เป็นคู่เต้นก็แย้มรอยยิ้มกว้างขวาง อย่างที่เอลซ่าชักจะพอเดาได้แล้วว่า...ลงยิ้มยังงี้ กำลังคิดจะก่อเรื่อง!...แต่ก่อนที่ดวงเนตรคู่นั้นจะตวัดไปส่อประกายดุๆ หรือพระโอษฐ์สีใสจะเอ่ยวาจาใด มือขาวๆ ของอีกฝ่ายก็ตรงเข้ามาคว้าพระหัตถ์ของราชินีแห่งแอเราเดลล์เอาไว้อีกครั้ง
“อุ่นเครื่องพอแล้ว ต่อจากนี้แหละของจริง!”
ทันทีที่สิ้นประโยคนั้น ร่างผอมๆ ก็ตบเท้าของตนลงกับพื้นดังเป็นจังหวะ ก่อนที่ขาคู่นั้นจะดันตัวเขาให้กระโดดขึ้นมา...ใช่! เขากระโดดขึ้นมาจริงๆ แถมยังเป็นการกระโดดที่ค่อนข้างจะมีจังหวะอย่างน่าประหลาด
แต่สิ่งที่แย่ก็คือ...มันเป็นการบังคับกลายๆ ให้ร่างน้อยที่ถูกยื้อฝ่ามือทั้งสองเอาไว้นั้นจำต้องกระโดดตามไปด้วยอย่างเสียไม่ได้!
“ปล่อยนะแจ็ค นี่ทำอะไรของเธอน่ะ!”
“เต้นรำไง” เด็กหนุ่มตอบอย่างร่าเริง “ทีนี้นะท่านก็ต้องกระโดดไปทางซ้าย...ใช่ๆ นั่นล่ะ! จากนั้น พอข้านับถึงสามท่านหมุนเลยนะ เอ้า! หนึ่ง....สอง....หมุน!”
“เธอเพิ่งนับแค่สอง!” เอลซ่าร้อง...ตอนนี้เธอทำได้แต่เพียงขยับร่างไปตามจังหวะของบุคคลตรงหน้า และก่อนที่เธอจะทันรู้ตัว...เสียงดนตรีที่เคยหวานเรื่อยเนิบช้าก็กลับกลายเป็นจังหวะคึกคักสนุกสนานอย่างเพลงพื้นเมืองไปเสียแล้ว
“ตรงนี้ต้องปรบมือ”
ไม่พูดเปล่า...เพราะเสียงปรบมือดังขึ้นจากฝ่ามือขาวจัดคู่นั้นแทบจะทันทีที่สิ้นประโยค ส่งผลให้ริมฝีปากสีชมพูสดคลี่ออกเป็นรอยยิ้มน้อยๆ โดยแม้เจ้าตัวเองก็ไม่ทันจะรู้ตัว
สนุก!
“จริงๆ แล้วตรงนี้จะต้องเปลี่ยนคู่นะ...”
“เปลี่ยนคู่คืออะไร?”
“ถามจริง?” เสียงห้าวนั้นขึ้นสูงอย่างประหลาดใจในคำถาม “ก็คือช่วงหนึ่งของเพลงที่ผู้เต้นทุกคนจะต้องสลับคู่เต้นกันไง! แต่เรามีแค่สองคน...งั้นก็ช่างมันเถอะ”
ราชินีหิมะทำพระพักตร์ยุ่งอย่างสงสัย...แต่ก่อนที่คำถามใดๆ จะถูกส่งไปยังอีกฝ่าย พระภูษาคลุมยาวที่พลิ้วสะบัดไปตามแรงลมนั้น ก็ตรงเข้าตวัดม้วนพันเข้ากับข้อพระบาท!
“อ๊ะ!”
พร้อมๆ กับเสียงอุทาน ร่างแบบบางก็ผงะหงายไปด้านหลังแทบจะทันทีอย่างที่ผู้เป็นเจ้าของไม่อาจที่จะควบคุมได้
แต่ก่อนที่ร่างทั้งร่างนั้นจะทันกระแทกลงกับพื้นหินขัด แขนเย็นเฉียบของบุคคลที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็รีบตวัดเข้าช้อนไหล่บางเอาไว้ทันทีราวกับจะรู้ทัน
“เกือบไป...”
น้ำเสียงที่ส่อแววโล่งอกนั้นเรียกให้ดวงเนตรสีฟ้าคู่โตตวัดไปมอง...และทันทีนั้น เองที่ดวงตาสองคู่ได้ปะทะกันเข้าอย่างจัง ละไอเย็นบางๆ ที่แผ่ออกมาจากบุรุษเบื้องหน้าทำให้เอลซ่าเริ่มตระหนักได้ว่าขณะนี้ใบหน้าของเธอและเขาอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่คืบ...ดูเหมือนเธอจะมองเห็นได้แม้กระทั่งผิวแก้มเนียนละเอียดซึ่งปราศจากแม้รอยกระสักเม็ดนั้นได้ชัดเจน
ดวงเนตรคู่โตรีบหลุบลง...ทั้งที่รู้สึกเย็นขนาดนี้ แต่ดูเหมือนว่าแก้มทั้งสองของเธอจะร้อนซู่ขึ้นมาอย่างยากจะอธิบายได้
“ปล่อยฉันลง...” สุรเสียงใสๆ ดังแผ่วเบา
“หือ? ท่านว่าอะไรนะ”
“ฉันบอกว่า...ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้ แจ็ค ฟรอสท์!” เสียงนั้นส่อประกายทรงอำนาจขึ้นทันควัน พร้อมๆ กันกับอาการที่พยายามรักษาระยะห่างอย่างไว้องค์
“แน่ใจเหรอ?” แจ็คถามพร้อมรอยยิ้มกวนๆ “ถ้าข้าปล่อยจริงนี่ท่านร่วงเลยนะ”
สิ้นประโยคนั้น หญิงสาวก็ตวัดสายตาไปมองพื้นหินเบื้องล่างซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ศอกด้วยสีหน้าปั้นยาก
ก็จริงอย่างที่เขาว่าแฮะ...
เด็กหนุ่มแย้มรอยยิ้มอย่างชอบใจ ที่ได้เห็นอาการ ‘ไปไม่ถูก’ ของบุคคลในอ้อมแขน...บุคคลที่ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่ามักจะวางท่วงท่างามสง่าสมฐานะเสมอ บุคคลผู้พระทัยเย็นและเจ้าเหตุเจ้าผลอยู่เป็นนิจ
แต่...ถึงจะสนุกแค่ไหน การปล่อยให้สตรีตรงหน้าต้องเปิ่นอยู่นานก็ออกจะน่าสงสารไปหน่อย
เมื่อจบความคิดนั้น ร่างที่สูงกว่านิดหนึ่งจึงค่อยๆ ใช้อ้อมแขนนั้นประคองร่างน้อยให้ทรงตัวยืนได้
“เอ้า...แบบนี้คงถูกพระทัยนะ”
ทันทีที่พระบาทแตะพื้น ดวงเนตรคู่โตก็ทอประกายวาบ พร้อมๆ กับริมพระโอษฐ์ที่ตั้งท่าจะ ‘ตวาดแหว’ ใส่คนต้นเรื่องให้สมรัก! แต่ก่อนที่คำพูดใดๆ จะถูกส่งออกมานั้นเอง เสียงปรบมือกึกก้องก็ดังกังวานมาจากทุกสารทิศ
เอลซ่ากวาดตามองไปรอบตัวอย่างตกใจ...ตายล่ะ! เธอลืมไปเสียสนิทเลยว่ากำลังยืนอยู่ท่ามกลางมวลมหาชนแบบนี้ ไม่สิ...ไม่ใช่แค่ยืนเฉยๆ แต่ยังเป็นการเต้นรำไปถึงสองเพลงเสียด้วย!
ฉับพลันนั้น...ดวงตาคู่เดิมก็ตวัดไปยังเจ้าตัวต้นเรื่องที่กำลังยืนยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ...พนันได้เลย ว่าไม่มีใครอื่นที่มองเห็นเขานอกจากเธอ ซึ่งนั้นก็หมายความว่า...
เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานั้นเธอเพิ่งจะได้เต้นรำแบบฉายเดี่ยวราวคนบ้าต่อหน้าธารกำนัลเลยเชียวนะ!
คิดได้เท่านี้ผิวหน้าขาวจัดก็ชักจะเริ่มขึ้นสีอีกครั้ง ทำให้ใบหน้างามราวภาพวาดนั้นแลดูมีชีวิตชีวาขึ้น
“สุดยอดไปเลยพี่หญิง!” เสียงใสๆ อันแสนคุ้นเคยทำให้ริมโอษฐ์ของราชินีหิมะกระตุกเป็นรอยสรวลเฝื่อนๆ
“พี่ทำแบบนั้นได้ไง? ตอนแรกฉันนึกว่าพี่จะล้มลงไปแล้วเสียอีก ไม่สิ...เต้นได้ถึงขนาดนี้คงไม่ต้องพึ่งการฝึกอะไรแล้วล่ะ แหม...เอลซ่า พี่ต้มฉันเปื่อยเลยนะ”
“พี่ไปต้มเธอเมื่อไหร่กัน?”
“ก็ตอนท่านดยุคแห่งเวสเซิลทาวน์นั่นไง ฉันไม่ลืมง่ายๆ หรอกนะ!”
จบประโยคนั้น ภาพของดยุคร่างเล็กหนวดงามที่ดูท่าทางว่าจะสวมวิกที่ไม่ค่อยพอดีกับศีรษะของตนสักเท่าไหร่นักก็ผุดขึ้นมาในความคิด ทำให้เจ้าของเรือนผมสีบลอนซ์อดที่จะหลุดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้
“เวนเซลตัน!” เอลซ่าแก้พร้อมรอยยิ้มขันๆ
“ก็นั่นล่ะ...เขาแทบจะทำเท้าฉันเป็นรูเลยรู้ไหม? ผู้ชายอะไรกันใส่ส้นสูง”
เท่านั้นเอง...ริมโอษฐ์สีชมพูสดก็ทรงพระสรวลเสียงใสอย่างนึกขันเต็มที่
“เอลซ่า ไม่ต้องมาหัวเราะกันเลย พี่ก็เต้นรำเป็นแท้ๆ ไม่ยอมบอกกันสักคำ ไม่รู้ละ...ยังไงเสียการเต้นเปิดเทศกาลฤดูใบไม้ผลินี่ฉันก็ขอผ่าน”
“โธ่...อันนา”
“เอลซ่า...” เจ้าหญิงอันนาคว้าพระหัตถ์ทั้งสองข้างของพี่สาวมากุมไว้ ก่อนที่จะคลี่รอยยิ้มอย่างน่ารัก “ฉันรู้ว่าพี่ทำได้”
เอลซ่ามองใบหน้าของผู้มีฐานะเป็นน้องสาวก่อนที่จะถอนหายใจยาว...ลงแบบนี้เธอคงจะหมดทางปฏิเสธล่ะ
“ข้าก็รู้ว่าท่านต้องทำได้! ดีออกจะตาย...ทีนี้นอกจากฉายาราชินีหิมะ ท่านก็อาจจะได้ชื่อใหม่ว่า เอลซ่า ราชินีเท้าไฟเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้นะ”
ทันที่สิ้นเสียงห้าวๆ นั้น ราชินีหิมะแห่งแอเรนเดลล์ก็ลอบยกพระดัชนีขึ้นข้างหนึ่ง ก่อให้เกิดเป็นหิมะกองใหญ่ที่พร้อมใจกันร่วงใส่ร่างของเด็กหนุ่มซึ่งกำลังนั่งห้อยขาอยู่บนไม้ต้อนแกะนั่นอย่างไม่ปรานี!
นี่แน่ะราชินีเท้าไฟ!
“พี่ทำอะไรน่ะเอลซ่า?”
“เปล่านี่...พี่ก็แค่เสกหิมะดูเล่นๆ” เธอยักพระอังสาอย่างไม่รู้ไม่ชี้
“เราไปดูโคมระย้าตรงโน้นกันดีกว่าอันนา” หญิงสาวผู้ทรงศักดิ์หันไปตรัสกับผู้เป็นน้องสาวอย่างร่าเริงโดยแอบซ่อนรอยสรวลสะพระทัยเอาไว้มิดชิด
ไม่นานนัก...ร่างบางๆ ของสตรีทั้งสองก็อันตรธานหายไปจากพื้นที่ตรงนั้น คงเหลือเอาไว้เพียงเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมขาวสะอาด ซึ่งกำลังนอนจมกองหิมะอยู่พร้อมรอยยิ้มขันๆ
***
ความคิดเห็น