คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทเพลงที่ 1
วันที่ 12 กรกฎาคม ; เปิดเรียนวันแรก
สวัสดีบันทึกเล่มใหม่ ฉันชื่อว่า “มายา สมุทรพาณิชย์” แต่จะเรียกว่า “มาร์” ก็ได้นะ เพราะบันทึกก่อนหน้าเธอทุกเล่มก็เรียกฉันแบบนั้น ตอนนี้ฉันอายุ 16 ปีและเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ชีวิตของเด็กม.ปลายไปสดๆร้อนๆ ^^
ฉันเรียนอยู่ในโรงเรียนเฉพาะทางการดนตรี มันเป็นยังไงน่ะหรือ พูดง่ายๆ ก็คือโรงเรียนมัธยมที่สอนดนตรีแบบเข้มข้นคู่ไปกับการเรียนแบบภาคปกตินั่นแหละ
แน่นอนว่าฉันจะต้องเรียนหมดทั้ง เลข ภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ และวิชาหลักอื่นๆอีกมากมายเหมือนกับที่สาวๆม.ปลายคนอื่นเขาเรียนกัน แต่ที่พิเศษก็คือ ฉันจะต้องเข้าเรียนในชั่วโมงสำหรับวิชาดนตรีที่จะมีแบ่งเป็นสาขาให้เลือกได้ตามความสนใจของนักเรียน ซึ่งฉันสังกัดอยู่ในสาขาดนตรีตะวันตกเอกเปียโนและวันนี้ก็เป็นวันแรกของฉันเลย > <
แค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับหัวใจจะกระเด้งออกมาบอกสวัสดีอยู่แล้วล่ะ(ฮา//เวอร์ไปหน่อยไหม?)
อันที่จริงจะบอกว่าเป็นวันแรกก็คงไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ก็แหม.. ฉันเรียนที่โรงเรียนนี้มาตั้งแต่สมัยม.ต้นแล้วนี่นา ฮ่าๆๆๆ(บ้าไปแล้วฉัน = =) แต่ที่บอกว่าตื่นเต้นน่ะฉันไม่ได้โกหกหรอกนะ ถึงจะเรียนที่นี่มานานแล้วแต่การเข้าเรียนในภาคดุริยางค์แบบนี้ก็เป็นครั้งแรกของฉันจริงๆ เพราะหลักสูตรการเรียนแบบเฉพาะทางจะมีแค่ในชั้นมัธยมปลายเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าแม้จะเป็นนักเรียนเก่าแก่แค่ไหนก็ต้องผ่านการสอบคัดเลือก(มหาโหด)เสียก่อนถึงจะเข้าเรียนได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นี่ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดขาย เอ๊ย! สิ่งพิเศษอย่างหนึ่งที่ทำให้โรงเรียนของเราเป็นที่หมายตาของนักเรียนมัธยม ต้นมากมายที่กำลังมองหาที่ต่อมัธยมปลายกันอยู่ แต่อย่าเพิ่งรีบตื่นเต้นไปนะซาราห์เพราะสิ่งพิเศษที่ว่ายังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้(นี่เธอไม่กลัวโดนฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์รึไงยะ = = ) สิ่งพิเศษอันดับต่อมาของโรงเรียนเราก็คือกฎระเบียบของโรงเรียนที่ไม่ค่อยจะ เคร่งครัดในเรื่องของการแต่งตัวนัก คือนักเรียนจะทำผมแบบไหนมาโรงเรียนก็ได้ แต่ถ้าผมยาวก็จะต้องรวบและผูกโบว์ซึ่งเลือกสีได้ตามใจชอบ(สำหรับนักเรียนชาย จะผูกโบว์หรือไม่ผูกก็ได้) เพราะแบบนี้ฉันถึงได้ซอยผมสั้นประมาณไหล่ และย้อมเป็นเขียวมินต์แบบนี้ได้ไง ^o^
ส่วนชุดนักเรียนหญิงของที่นี่ก็นับเป็นสิ่งพิเศษอันดับสาม ที่จริงแล้วดูๆไปชุดนักเรียนของเราก็ไม่ค่อยแตกต่างจากโรงเรียนรัฐบาลอื่นๆ ที่มีจุดเด่นคือคอกะลาสีหรอก เพียงแต่มีลูกเล่นเล็กๆน้อยๆเพิ่มเข้ามาเท่านั้นเอง คือ คอเสื้อของเราจะลึกกว่าชุดคอกะลาสีของเด็กม.ต้นโรงเรียนรัฐบาลนิดหน่อยและเป็นสีครีมซึ่งก็แอบบางอยู่หน่อยๆ(เซ็กซี่ >////<) ฉันจึงต้องใส่เสื้อซับในทุกวัน
และแทนที่จะผูกคอซองแบบที่เป็นรูปโบว์ก็เปลี่ยนมาเป็นเนกไทสั้นๆแบบกะลาสีเรือแทน นอกจากนั้นแขนเสื้อก็จะยาวลงมาจนถึงข้อศอก สุดปลายของแขนเสื้อจะมีแถบสีดำกว้างประมาณหนึ่งนิ้วเย็บติดไว้ดูคล้ายกับปลอกแขน ซึ่งตรงกลางแถบนั้นจะมีแถบสีที่ดูเหมือนกับริบบิ้นปักติดไว้ และแถบสีอันนี้เองคือตัวที่บ่งบอกระดับชั้นของนักเรียนในโรงเรียน(เพราะ เครื่องแบบของทั้งม.ต้นและม.ปลายเหมือนกันเดี๊ยะๆเลย ^^) อย่างของฉันก็เป็นแถบสีเหลืองซึ่งเป็นสีของระดับม.4 อ้อ! แต่นอกจากแถบสีนี้แล้วก็ยังมีการแบ่งระดับม.ต้นและม.ปลายอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเป็นนักเรียนหญิงม.ปลายก็จะต้องยัดเสื้อเข้าไปในกระโปรงส่วนนักเรียนชาย จะเปลี่ยนจากกางเกงขาสั้นสีดำไปเป็นกางเกงขายาวสีกรมท่าแทน และที่หน้าอกข้างขวาของเสื้อก็จะต้องติดเข็มตราของโรงเรียนรูปโล่ ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นรูปหนังสือและอีกครึ่งเป็นรูปกุญแจซอล
และดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะความพิเศษสองข้อหลังนี่เองที่ทำให้โรงเรียนของ ฉันติดหนึ่งในอันดับ “โรงเรียนในฝันที่สาวๆอยากเข้าที่สุด” แต่สำหรับฉันแล้ว สิ่งที่ทำให้ฉันมุ่งมั่นจนสามารถเข้าศึกษาต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนแห่งนี้ ได้ก็คือ
ความพิเศษข้อที่หนึ่ง “ม.ปลายแผนกดุริยางค์”
แปะ!
เพราะความอบอุ่นของมือที่สัมผัสลงบนไหล่ข้างขวาทำให้ “มายา” หรือ “มาร์” หลุดออกจากห้วงความคิดของตัวเอง
เธอยิ้มกว้างอย่างดีใจสุดๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าของมือข้างนั้นคือ “ลูกหว้า” เพื่อนสนิทสุดชิดใกล้ที่สุดของเธอ
“ว่าไง วันแรกก็เหม่อมาเชียวนะ” ลูกหว้าพูดขึ้นยิ้มๆ
เธอเป็นเด็กสาวหน้าหมวยตาไร้เหล่าเต๊ง แบบที่เห็นแล้วรู้ทันทีเลยว่าอาก๋งของเธอคงจะหอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากแผ่นดินใหญ่เป็นแน่แท้ ผมสีดำสนิทที่รวบไว้หลวมๆของเธอดูตัดกันฉับกับผิวสีขาวขนาดเนื้อมะพร้าวยังอาย
(ฉันกำลังนึกถึงตึกเรียนใหม่อยู่น่ะ ตื่นเต้นจังเลยเนอะ >_<)
“แหม... นี่เธอเรียนที่นี่มากี่ปีแล้วฮะ ตึกพวกนั้นน่ะฉันเห็นจนเบื่อจะแย่อยู่แล้ว” ก็จริงอย่างที่ลูกหว้าบอกนั่นล่ะ เพราะถึงแม้ว่าแผนกม.ต้นกับม.ปลายจะแยกตึกเรียนกัน แต่ตึกทั้งสองก็ไม่ได้ไกลจากกันเลยจนนิดเดียว
มาร์อมยิ้มนิดๆ แล้วใช้นิ้วจิ้มลงไปบนปุ่มของโทรศัพท์มือถือเป็นประโยคว่า
(เคยเห็นแต่ยังไม่เคยเข้าไปนี่)
“จ้าๆ แต่เดี๋ยวหลังจากวันนี้ไปเราสองคนก็จะได้เข้าไปเรียนในนั้นจนเบื่อไปเลยแหละ ไงๆก็รีบเดินหน่อยเหอะ เดี๋ยวก็สายหรอก ฉันไม่อยากจะวิ่งรอบสนามพร้อมกับเจ้านี่หรอกนะ”
ลูกหว้าพูดขึ้นพร้อมกับบุ้ยปากไปยัง “เจ้านี่” หรือก็คือ เชลโล่ตัวใหญ่ไซส์เกือบเท่าเจ้าของที่เธอสะพายอยู่บนหัวไหล่ เธอเองก็อยู่สาขาดนตรีตะวันตกเหมือนกัน
(อื้อ งั้นมาวิ่งแข่งกันดีมั้ย ใครถึงทีหลังต้องเลี้ยงไอติม)
“ขี้โกงชัดๆเธอเดินตัวเปล่าก็ต้องถึงก่อนอยู่แล้วสิ - -^ ต่อให้ฉันหกก้าวเลย”
(หกก้าวนี่มันมากไปหน่อยนะ =3=)
“จะแข่งหรือไม่แข่งล่ะฮึ”
(งั้นต้องเลี้ยงไอติม 2 ถ้วยเลยนะ)
“ฮ่าๆๆ ได้เสียซี่ ฉันไปล่ะนะ!” พูดจบเธอก็ออกวิ่งสุดตัวจนผมที่ยาวจนถึงกลางหลังปลิวกระจายอย่างกับว่าเธอไม่ได้มีเชลโลตัวโตห้อยอยู่บนบ่าอย่างนั้น มาร์เสียอีกที่สตาร์ทเครื่องตัวเองตามแทบไม่ทัน
ทั้งสองคนต่างเร่งความเร็วกันเต็มพิกัดราวกับกำลังวิ่งอยู่ในลู่กลางสนามแข่งกรีฑาโอลิมปิก แค่เพียงเลี้ยวซ้ายด้านหน้าก็จะถึงเส้นชัยอยู่แล้ว!
มายาเร่งความเร็วจนกระทั่งสามารถแซงหน้าเพื่อนซี้ของตัวเองได้ และในขณะที่เธอกำลังหัวเราะดังๆ ด้วยความดีใจ(อยู่ในใจ)นั้นเอง
พลั่กกกก
ตุบ!!
“เฮ้ยยยย”
เสียงตะโกนห้าวๆของใครคนหนึ่งทำให้ลูกหว้าต้องหยุดวิ่งอย่างกะทันหันจนหัวแทบทิ่มไปข้างหน้า ภาพที่เธอเห็นก็คือ เพื่อนซี้ผมสีเขียวซึ่งนั่งกองแหมะอยู่ที่พื้น กับเด็กหนุ่มหัวยุ่งอีกคนหนึ่งที่ปะยี่ห้อพังค์ร็อคมาเต็มที่ด้วยตุ้มหูเงินและปลอกคอหนังสีดำ
“หัดดูตาม้าตาเรือซะบ้างสิยัยหัวเขียว!” เขาตะโกนใส่หน้ามาร์อย่างหงุดหงิดก่อนหันไปคว้ากระเป๋าอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายๆ กับกระเป๋าใส่กีตาร์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างๆ
เขารูดซิปกระเป๋าใบใหญ่นั้นออกเพื่อเปิดดูของที่ใส่อยู่ภายใน ก่อนที่จะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดูเหมือนว่าของของเขาคงจะไม่ได้รับความเสียหาย
“ดีนะที่เจ้านี่ไม่เป็นไร ไม่งั้นฉันฆ่าเธอแน่!” เขาหันมากระชากเสียงใส่ก่อนผุดลุกขึ้นทันทีโดยไม่สนใจที่จะยื่นมือมาช่วยเด็กสาวด้านหน้าแม้แต่น้อย แล้วก็รีบวิ่งจากไปอย่างเร่งร้อนที่สุด
“คนอะไรแล้งน้ำใจชะมัด ไม่เป็นไรใช่มั้ยมาร์” ลูกหว้ารีบเข้ามาช่วยเพื่อนซี้ที่ยังคงนั่งจุมปุ๊กอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้น
(ไม่เป็นไรหรอก ฉันเองก็ผิดด้วยแหละ ^^”)
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เป็นผู้ชายแท้ๆไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย”
(คงรีบล่ะมั้ง ว่าแต่ชุดนั่นมันเครื่องแบบม.ปลายโรงเรียนเราไม่ใช่เหรอ)
“อืมม จริงด้วยแฮะ แถมแบกเครื่องดนตรีอีกต่างหากเด็กดุริยางค์แน่ ๆ” พูดจบเธอแลบลิ้นไล่หลังเขาไปอย่างหมั่นไส้ “สาธุอย่าได้มาเรียนห้องเดียวกันเล๊ย!!” เธอพูดขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้
(เล่นของเหรอหว้า)
“ย่ะ คาถาของเจ้าแม่หว้าศักดิ์สิทธิ์นะจะบอกให้... เราก็รีบไปกันสักทีเถอะจะถึงเวลาเข้าแถวอยู่แล้ว”
จบประโยคนั้น เด็กสาวทั้งสองคนก็พากันวิ่งตรงไปยังประตูเหล็กอัลลอยด์สีน้ำเงินเข้มที่กำลังเปิดกว้างอยู่ รอรับเด็กนักเรียนทุกคนและเรื่องราวต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้น ภายในภาคการศึกษาใหม่ที่เริ่มขึ้นพร้อมๆกับเสียงกริ่งบอกเวลาของโรงเรียน
ความคิดเห็น