ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Frozen Guardian[JFxElsa fiction] : การกลับมาของราชินีหิมะ

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่สอง

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ย. 57


    ตอนที่สอง

     

                    หลังจากสงครามปาหิมะที่ทิ้งร่องรอยเปียกโชกเอาไว้นั้นสิ้นสุดลง คริสตอฟฟ์ชายหนุ่มเพียงคนเดียวในกลุ่มก็เอ่ยปากบอกลาพร้อมรอยยิ้ม

                    “กระหม่อมทูลลาองค์ราชินี...เจ้าหญิงอันนา

                    เอลซ่าพยักพระพักตร์นิดหนึ่งเป็นเชิงรับรู้ ในขณะที่อันนาเอื้อมหัตถ์ไปผลักที่หัวไหล่ของเขาเบาๆ อย่างหมั่นไส้

                    “ไม่ต้องมาเรียกฉันแบบนั้นเลยนะ!

                    “อ้าว? แล้วจะให้เรียกยังไงล่ะชายหนุ่มหันหน้าไปเลิกคิ้วให้กับหญิงสาวผมสีเข้มที่กำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย

                    “เรียกอันนา...อันนาเฉยๆ น่ะ

                    “ก็ได้ งั้นก็...เขาจ้องเธอกลับพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น อันนาเฉยๆ

                    “คริสตอฟฟ์!อันนาร้องลั่นอย่างกึ่งขันกึ่งหมั่นไส้ พร้อมกับฟาดฝ่าพระหัตถ์ลงไปที่กลางหลังของชายหนุ่มเต็มแรงจนเขาแทบจะเสียหลัก

                    “โอ๊ย!เบาๆ หน่อยสิ เกือบล้มแล้วเห็นไหม?” เขาร้อง

                    “ก็เธอแกล้งฉันก่อนนี่เธอแกล้งทำเป็นเสมองไปทางอื่นอย่างไม่รู้ไม่ชี้ พร้อมแย้มรอยสรวลรื่นเริง

                    เอลซ่าทอดพระเนตรยังภาพอันอบอุ่นน่ารักเบื้องหน้าอย่างเอ็นดู ก่อนที่เธอจะยกหัตถ์ขึ้นตวัดชายผ้าคลุมเปียกโชกให้ไพล่ไปเบื้องพระปฤษฎางค์

                   “พี่ไปเปลี่ยนชุดก่อนล่ะ

                    ดวงเนตรสีใสของผู้เป็นน้องเบือนกลับมามองที่พี่สาวอย่างร่าเริง ก่อนที่สุรเสียงหวานจะเจื้อยแจ้ว

                    “ได้เลยเอลซ่า! เดี๋ยวอีกสิบนาทีตามไปนะ

                    เอลซ่าสรวลออกมาเบาๆ พร้อมกับย่างพระบาทตรงเข้าสู่ทวารใหญ่ของพระราชวังซึ่งเปิดคอยเธออยู่ก่อนแล้ว แต่เสียงพูดหยอกล้อที่ดังระคนมากับเสียงหัวเราะก็ทำให้ทรงอดที่จะเหลียวกลับไปทอดพระเนตรแว่บหนึ่งไม่ได้

                    ‘ก็ฤดูใบไม้ผลิ เป็นฤดูกาลแห่งคู่รักนี่นะ

                    ราชินีหิมะแย้มพระสรวลงดงามให้กับดำรินั้น ก่อนที่จะเสด็จเข้าสู่ตำหนัก...ทิ้งให้คนที่อยู่เบื้องหลังมองเห็นเพียงชายผ้าคลุมโปร่งบางที่พลิ้วสะบัดไปพร้อมกับสายลมเท่านั้น

     

                   เมื่อสรงน้ำและผลัดเอาฉลองพระองค์หนาหนักที่ชุ่มโชกไปด้วยหิมะนั้นออก วรองค์แบบบางก็รีบสาวพระบาทไปยังระเบียงของปราสาทตามกระแสรับสั่งขององค์ราชินีแห่งแอเรนเดลล์ทันที โดยที่เธอไม่ลืมที่จะหยิบเอาผ้าคลุมสีฟ้ามาห่มทับเสียด้วย และทันทีที่พระหัตถ์เอื้อมแตะพระทวาร อันนาก็ได้พบว่าวรองค์โปร่งกำลังประทับนั่งอ่านหนังสือคอยอยู่ก่อนแล้ว

                   “อ่านอะไรอยู่หรือเอลซ่า?”

                   “อ้อ...อันนาราชินีหิมะแย้มพระสรวลกว้างพร้อมกับปิดหนังสือในพระหัตถ์ลง...พระเกศาสีทองซึ่งบัดนี้ถูกบิดเป็นเกลียวคลายๆ ช่วยขับให้วรองค์โปร่งในฉลององค์ตัวยาวสีน้ำเงินเข้มฉลุลายเกล็ดหิมะเล็กๆ ยิ่งดูขาวสว่าง

                    “ร่างกฎหมายการค้าฉบับใหม่” รับสั่งนั้นตอบกลับแทบจะทันที พร้อมกับยื่นหนังสือประทานให้ ท่านเอิร์ลซวีนเพิ่งส่งให้พี่เมื่อเช้า

                    เจ้าหญิงทรงรับเอาหนังสือเล่มใหญ่ไปเปิดดูก่อนย่นพระนาสิก

                    “บอกฉันทีสิว่ามันเขียนด้วยภาษาของเราน่ะ

                    เอลซ่าแย้มสรวลกว้างจนเห็นไรพระทนต์

                    “นี่ละภาษากฎหมาย! อ่านไม่เข้าใจในคราวเดียวหรอก

                    “แย่นะ...ทำไมพวกนักกฎหมายต้องเขียนอะไรให้มันซับซ้อนขนาดนี้ด้วย

                    “นั่นสิเอลซ่ารับสั่งเรื่อยๆ ก่อนยกพระสุธารสชาขึ้นจิบ แต่เราก็เลือกไม่ได้ไม่ใช่หรือ?

                    “เพราะนั่นคือหน้าที่ของราชินีสินะเจ้าหญิงอันนาทรงต่อให้อย่างร่าเริง แล้วประทับลงบนพระเก้าอี้ข้างๆ

                    “หน้าที่ของ 'เรา' ต่างหาก” ผู้เป็นพี่ทรงรับสั่งอย่างอ่อนโยน หากชัดเจน เดี๋ยวอีกหน่อยเธอก็ต้องช่วยพี่...ถ้าเธอบรรลุนิติภาวะเมื่อไหร่ พี่จะตั้งให้เธอเป็นที่ปรึกษา

                    เจ้าหญิงอันนาที่กำลังจิบพระสุธารสอย่างเพลิดเพลินแทบจะสำลัก

                    “อะไรนะ!

                    “ได้ยินชัดแล้วนี่” ทรงแกล้งทำเป็นสนพระทัยแต่เครื่องดื่มในพระหัตถ์ ไม่ดีหรือ? เราจะได้ดูแลแอเรนเดลล์ร่วมกันไง

                    “ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีหรอก...อันนาทอดเนตรยังพี่สาวของเธอพร้อมรอยสรวลแห้งๆ แต่เรื่องกฎหมายนี่ฉันขอผ่านนะ

                    ดวงเนตรสีฟ้าคู่นั้นเบิกกว้างขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนที่เสียงสรวลใสๆ จะกังวาลขึ้นพร้อมกันอย่างสนุกสนาน

                    “คืนนี้ท้องฟ้าสวยจังอันนาเปรยขึ้นขณะเอนลงพิงกับพระเขนยอย่างสบาย

                    “นั่นสิ อีกไม่กี่วันหิมะคงจะละลายหมดนะ” สุรเสียงจากอีกฝ่ายตอบรับเรื่อยๆ พร้อมกับพระหัตถ์ข้างหนึ่งที่แบออกปล่อยเกล็ดหิมะหกแฉกให้ลอยละล่องขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรี

                    “นี่เอลซ่า...

                    “หือ?”

                    “พี่เคยสงสัยไหม? ว่าทำไมถึงได้มีพลังวิเศษแบบนี้

                    ราชินีแห่งแอเรนเดลล์เงยพระพักตร์ขึ้นทอดเนตรยังท้องท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มอันห่างไกล...

                    “เคย...แต่พี่ก็ไม่รู้จะให้คำตอบกับตัวเองยังไงดี                               

                    “ฉันว่านะ มันต้องเป็นพรจากสวรรค์แน่ๆ แบบที่เขาเรียกว่าพรสวรรค์ไง!   

                    เอลซ่าแย้มรอยพระสรวลกว้างพร้อมทอดพระเนตรยังผู้เป็นน้องอย่างรักใคร่

                    “ขอบใจ...อย่างน้อยมีเธอที่คิดแบบนี้ พี่ก็พอใจแล้ว

                    “ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวหรอก แต่เป็นทุกคนในแอเรนเดลล์เลยต่างหากล่ะ

                    แล้วทั้งสองพระองค์ก็ทรงแย้มพระสรวลประทานให้กันและกันราวกับเด็กๆ

                    “เอาล่ะ...ไปเข้านอนกันได้แล้วอันนา พรุ่งนี้ยังมีอะไรๆ ที่ต้องทำอีก” ราชินีแห่งแอเรนเดลล์ทรงดำรัส ก่อนที่จะลุกขึ้นจากพระเก้าอี้ แน่นอนว่าต้องหมายถึงการเตรียมงานฤดูใบไม้ผลิด้วย

                    “จริงสิ!อันนาผุดลุกขึ้นมาบ้างอย่างร่าเริงจนเกศาสีน้ำตาลอมส้มที่ถูกถักเป็นเปียทั้งสองข้างแกว่งไกว โอ๊ย!ฉันแทบอดใจรอไม่ไหวเลยล่ะ

                    “งั้นก็รีบไปนอนเลยไปเอลซ่าตรัสพร้อมรอยสรวลขันๆ ราตรีสวัสดิ์อันนา

                    “ราตรีสวัสดิ์เพคะองค์ราชินี” เจ้าหญิงอันนาทรงยอบตัวลงทำท่าถอนสายบัวอย่างล้อเลียน จนอีกฝ่ายอดที่จะเอื้อมมือไปประทาน เผี๊ยะ’ เบาๆ ให้ไม่ได้

                    “แหม...ก็แค่ล้อเล่น ฝันดีนะเอลซ่า


                    ภายหลังจากแยกผู้เป็นน้อง ราชินีหิมะก็ตรงขึ้นสู่ห้องบรรทมของพระองค์เองทันที...

                    พระทวารสีขาวบานใหญ่ที่วาดเป็นลวดลายเกล็ดหิมะสีน้ำเงินซึ่งตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าจุดประกายสว่างวาบขึ้นในดวงเนตรสีฟ้าสุกใสคู่นั้น...เบื้องหลังประตูบานนี้เองที่ครั้งหนึ่งเจ้าหญิงเอลซ่าเคยขังองค์เองไว้ภายใน 

                    “แต่จากนี้ไปจะไม่ใช่อีกแล้ว!สุรเสียงนั้นประกาศกับตัวเองอย่างมั่นพระทัย พร้อมกับพระหัตถ์ที่เอื้อมผลักทวารบานใหญ่ให้เปิดออก

                    ใช่!...นับจากนี้ไป คำสาปเหมันต์ หรือจะเรียกว่าอะไรก็ช่าง จะเป็นพลังที่คอยค้ำชูแอเรนเดลล์

                    ริมโอษฐ์สีชมพูสดยกขึ้นข้างหนึ่งเป็นรอยสรวลเก๋อย่างที่ทรงชอบทำเป็นประจำ ก่อนที่วรองค์แบบบางนั้นจะล้มลงบนพระบรรจถรณ์หนานุ่มที่พาเธอเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที

     

     ในความฝันอันลึกล้ำนั้น...ภาพที่ปรากฏชัดอยู่เบื้องพระพักตร์ของราชินีแห่งแอเรนเดลล์มีเพียงหิมะสีขาวโพลน

                “ที่นี่คือที่ไหน?” หญิงสาวปรารภกับตัวเองแผ่วเบา ก่อนที่จะจับได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในสุรเสียงน้ำนั้น...เธอทอดเนตรลงทั่ววรกายและได้พบว่า เธอหาใช่ราชินีหิมะคนเดิมไม่แต่คือ เอลซ่า...เจ้าหญิงน้อยที่เคยขังพระองค์อยู่ในห้องบรรทมอย่างโดดเดี่ยว

                ฉับพลันนั้น! พายุหิมะลูกใหญ่ก็พัดโหมเข้ามาอย่างรุนแรงจนวรกายล็กๆ ของเด็กผู้หญิงวัยสิบปีอย่างเธอแทบจะทรงองค์ไม่อยู่...ความหนาวเย็นแล่นวาบเข้าไปจนถึงกระดูกย่างที่เจ้าหญิงพระองค์น้อยไม่เคยทรงสัมผัสมาก่อน!

                และท่ามกลางม่านหมอกแห่งพายุหิมะอันมัวซัวและเสียงอึงอลที่ราวกับจะทำให้แก้วหูแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นั้นเอง เสียงหัวเราะดังก้องของสตรีนางหนึ่งก็กัมปนาทไปทั่วบริเวณราวฟ้าผ่า...มันเป็นที่แสดงออกถึงความสะใจและเกรี้ยวกราดมากกว่าที่จะเป็นเสียงแห่งความรื่นรมย์ จนเอลซ่ารู้สึกเย็นยะเยียบไปหมดตั้งแต่พระเกศาจนสุดปลายพระบาท

                “ในที่สุด...ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ข้าได้เป็นอิสระ!” เสียงนั้นประกาศก้อง

                “เจ้าพวกมนุษย์โลภมาก ถึงเวลาแล้วที่พวกเจ้าจะต้องชดใช้ให้กับข้า” ท่ามกลางม่านหมอกแห่งหิมะค่อยๆ ปรากฏเป็นร่างแบบบางของสตรีนางหนึ่งชัดขึ้นทุกทีๆ ...นางผู้งดงามน่าหลงใหลหากก็แฝงไปด้วยความน่าหวั่นเกรงอย่างน่าประหลาด...เส้นผมของนางเป็นสีขาวโพลนเหมือนหิมะ อีกทั้งผิวกายก็ยังซีดขาวราวปราศจากเลือดเนื้ออย่างคนธรรมดาสามัญ

                และเมื่อทั้งสองสิ่งนั่นมารวมเข้ากับอาภรณ์ยาวสีดำทะมึนที่นางสวมใส่ กับมงกุฎสีขาวองค์ใหญ่ที่แม้จะดูสง่างามหากก็แข็งกระด้างราวกับประกอบขึ้นมาจากเศษกระดูก ก็ยิ่งทำให้ภาพของนางนั้นดูประหนึ่งนางพญาแห่งเหล่าวิญญาณร้ายในเรื่องเล่าที่คอยหลอกหลอนสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนมาหลายยุคสมัย

                ทันใดนั้นเอง! มือขาวซีดไร้สีเลือดก็ตวัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดเป็นเกลียวพายุหิมะซัดกระหน่ำไปทุกทิศทาง...และด้วยความรุนแรงเช่นนั้น ขาทั้งสองข้างของเด็กหญิงตัวน้อยก็ไม่อาจที่จะทานทนได้อีกต่อไป สิ่งที่เธอพอที่จะทำได้ก็มีเพียงแค่ปล่อยให้ตัวเองล้มคว่ำลงสู่พื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเย็นเยือกเท่านั้น

                “โอ๊ย!

                “ใคร!” เสียงอันน่าหวาดหวั่นนั้นตวาดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด จนเอลซ่าน้อยแทบจะหยุดหายพระทัย

                นัยน์ตาสีขาวเลื่อมเงินเป็นประกายตวัดตรงมาที่วรองค์เล็กๆ ของเจ้าหญิงอย่างดุดัน

                “อ้า...เจ้า”

                ร่างในภูษาสีดำทมิฬนั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้...มันเป็นการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ฝีเท้าของคนปกติจะสามารถทำได้ ราวกับว่านางเลื่อนลอยมาในอากาศฉะนั้น

                “ข้าจำเจ้าได้...เด็กน้อย” ริมฝีปากซีดเขียวราวซากศพคลี่ออกเป็นรอยยิ้มประหลาด “ความทะเยอทะยานของพวกมนุษย์ ต่อให้เวลาผ่านไปกี่ร้อยปีก็ยังคงทิ้งร่องรอย” น้ำเสียงนั้นแฝงแววแห่งความเหยียดหยันดูแคลนยิ่งนักยามเอ่ยคำว่า มนุษย์

                เอลซ่ารู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งองค์ ทั้งๆ ที่เธอปรารถนาจะวิ่งหนีไปให้ไกลแต่สองขาก็ถ่วงหนักเกินกว่าจะทำเช่นนั้นได้ และทันใดนั้น...เธอก็รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วเย็นเฉียบที่แตะลงมาบนนลาฏ

                ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพอากาศหรือความกลัวที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในพระทัยที่ทำให้วรกายสั่นระริก

                “นั่นล่ะ...ถูกแล้วเด็กน้อย จงหวาดกลัวข้า!” เมื่อพูดจบ นางก็หัวเราะดังก้องด้วยเสียงชวนขนลุก “จงจำ! ธิดาแห่งซอนย่า เจ้าจะต้องชดใช้ในสิ่งที่บรรพชนของเจ้าก่อ” นัยน์ตาสีเงินเลื่อมพรายจับจ้องมาที่ดวงตาสีฟ้าใสอย่างหมายมาด
     

                “แล้วเราต้องได้พบกันอีกแน่!
     

                สิ้นประโยคนั้น วรองค์แบบบางของราชินีหิมะก็ทะลึ่งพรวดขึ้นจากที่บรรทมทันทีราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นฉุดกระชาก

                ทรงถอนพระอัสสาสะปัสสาสะถี่เร็วอย่างคนที่เพิ่งตื่นจากฝันร้าย ก่อนยกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระนลาฏที่ชุ่มโชกไปด้วยพระเสโทผุดพราว

                ฝันหรือ?

                ฝันอะไร? ทำไมถึงได้เหมือนจริงถึงขนาดนี้...ยังรู้สึกคล้ายๆ กับว่าความเย็นยะเยียบจากปลายนิ้วนั่นจะคงค้างติดอยู่ที่หน้าผากอยู่เลย

                และทันทีที่ดำริเช่นนั้นบังเกิด ละไอเย็นวาบก็พุ่งปราดจากฝ่าพระหัตถ์เนรมิตให้ผ้าคลุมบรรทมผืนหนากลายเป็นน้ำแข็งไปในชั่วพริบตา

                ความหวาดกลัว!’

                “ไม่!” 

                “อย่ากลัวเอลซ่า อย่ากลัว...” ทรงปลอบพระทัยตัวเองด้วยริมโอษฐ์ที่สั่นระริก หากปล่อยให้ความกลัวเข้าครอบงำ พลังก็จะสับสนจนไม่อาจควบคุม

                “แค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง” ทรงพยายามที่จะสลัดเอาภาพอันน่าหวาดหวั่นที่จำแน่นติดพระเนตรนั้นออก แล้วแทนที่ด้วยภาพของแสงของอาทิตย์ยามเช้ากับงานมากมายที่กำลังรอให้ไปสะสาง

                ก๊อกๆๆ

                อาการเคาะพระทวารอย่างมีมารยาท ทำให้ราชินีแห่งแอเรนเดลล์หลุดออกจากห้วงแห่งภวังค์

                “นั่นใคร?”

                “ฉันเองเอลซ่า! ตื่นได้แล้ว” สุรเสียงใสที่ตอบกลับมาทำให้พักตร์ขาวที่กำลังเคร่งเครียดค่อยคลี่คลายล

                “อันนา!"

                “รีบลุกเถอะเอลซ่า วันนี้เป็นวันเตรียมงานฤดูใบไม้ผลินะ ช่อดอกไม้ที่จะใช้ประดับในปราสาทก็ถูกขนเข้ามาแล้ว เรารีบไปดูกันเถอะ!
     

                “จริงสิ!” เอลซ่าขยับโอษฐ์เป็นรอยสรวลร่าเริง ความหวาดกลัวที่เคยมีอยู่อันตรธานหายไปทันทีราวกับเรื่องโกหก
     

                “คอยสักเดี๋ยวอันนา เดี๋ยวพี่จะตามไป” เธอรับสั่งพร้อมกับตวัดหัตถ์ข้างหนึ่งขึ้น แล้วละลายน้ำแข็งที่จับตัวแน่นอยู่กับผ้าคลุมบรรทมผืนใหญ่ให้กลายเป็นละอองหิมะลอยขึ้นสู่อากาศ

                ราชินีหิมะแย้มพระสรวลอย่างงดงาม ก่อนที่วรองค์แบบบางนั้นจะผุดลุกขึ้นจากพระแท่นอย่างร่าเริง

                งานต้อนรับการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ เป็นหนึ่งในเทศกาลเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ที่ถูกจัดขึ้นในแอเรนเดลล์เป็นประจำทุกปี
     

                ในวันงาน หญิงสาวทุกคนจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดและประดับช่อดอกไม้ไว้ที่เส้นผม ทุกๆ พื้นที่ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง บ้านเรือน หรือแม้แต่ในพระมหาราชวังจะถูกประดับประดาด้วยช่อดอกไม้นานาพันธุ์และโคมแก้วระย้า

                และที่แน่นอนที่สุด...งานเต้นรำ!

                ประตูของปราสาทจะเปิดกว้างเพื่อให้ลานหน้าปราสาทกลายเป็นฟลอร์เต้นรำขนาดใหญ่ซึ่งไม่แบ่งแยกชนชั้น ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือสามัญชน...ชาวแอเรนเดลล์ทุกคนจะเฉลิมฉลองการมาถึงของฤดูกาลแห่งการเริ่มต้นใหม่ร่วมกัน

                เอลซ่าทรงหยุดพระดำริของเธอไว้แต่เพียงเท่านั้น แล้วเริ่มลงมือถักเกศาสีทองอร่ามให้เป็นเปียเดียวอย่างคล่องแคล่วอยู่เบื้องหน้าพระฉายบานใหญ่ล้อมกรอบไม้ซึ่งสลักเป็นลวดลายงดงาม

                อันที่จริง...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งพระองค์ หรือฉลองพระองค์ก็ตามแต่...โดยปกติแล้วสำหรับผู้ที่ดำรงพระยศเป็นราชินี ย่อมที่จะต้องมีนางกำนัลมาคอยดูแลจัดการให้เสร็จสรรพโดยไม่จำเป็นที่จะต้องกระดิกปลายนิ้วเลยด้วยซ้ำ... แต่นั่นไม่ใช่สำหรับราชินีอย่างเธอ

                ถึงจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่การได้เป็นผู้ตัดสินพระทัยเองว่าจะสวมฉลององค์แบบไหนหรือจะประดับพระเกศาอย่างไรก็ทำให้ทรงมีความสุขมากกว่า

                อ้อใช่...แต่นั่นอาจจะต้องยกเว้นพวกงานพิธีสำคัญๆ ที่เธอจะต้องทรงฉลองพระองค์เต็มยศหรือตามโบราณราชประเพณีไว้สักเรื่อง   อย่างเทศกาลฤดูใบไม้ผลินี่ก็เหมือนกัน มันเป็นธรรมเนียมตลอดมาว่า ในวันนั้นราชินีแห่งอาณาจักรจะต้องทรงชุดแบบพื้นเมืองและประดับพระเกศาด้วยดอกฮีทเธอร์สีชมพูอมม่วง

                และในเวลาแบบนั้น ก็คงต้องทรงประทับนิ่งและปล่อยให้เหล่านางกำนัลจับแต่งองค์เป็นตุ๊กตาอย่างไม่มีทางเลือก

                เอลซ่าแย้มสรวลขำๆ ให้กับดำรินั้นพร้อมกับไล้พระหัตถ์ขาวไปตามเกศาสีอ่อนที่ถูกถักเป็นเปียคลายๆ ก่อให้เกิดเป็นเกล็ดน้ำแข็งแก้วเล็กๆ สีฟ้าใสเสียบแซมไปตามเกลียวสีบลอนซ์ทองนั้น

                “โห...สวยดีนะ” เสียงพูดห้าวๆ อย่างเสียงของเด็กหนุ่มที่ดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้ราชินีหิมะสะดุ้งอย่างตกพระทัย ดวงเนตรสีฟ้าแลกวาดไปทั่วอย่างพยายามควานหาต้นเสียงแทบจะทันที
     

                แล้วตอนนั้นเอง...เนตรกลมโตสีฟ้ากระจ่างก็ปะทะเข้ากับดวงตาสีฟ้าเฉกเดียวกันอีกคู่ซึ่งกำลังจับจ้องมาจากทางด้านหลัง!
     

                ใคร? คำถามผุดขึ้นในพระทัย ก่อนที่จะได้ยินสุรเสียงของเธอเองที่ส่งเป็นคำถามออกไปยังผู้บุกรุก
     

                “เธอเป็นใคร? เข้ามาในนี้ได้ยังไง?”
     

                ดวงตาสีฟ้าอีกคู่เบิกกว้างขึ้นนิดหนึ่งอย่างประหลาดใจ...เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีขาวราวหิมะตกใหม่เหลียวมองไปจนรอบห้อง
     

                “เดี๋ยวนะ นี่พูดกับ...” เขาพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก  “กับข้าเหรอ?
     

                เอลซ่าทอดพระเนตรกิริยาของเด็กหนุ่มแปลกประหลาดเบื้องหน้าพร้อมกับขมวดพระขนง
     

                “ใช่สิ...จะมีใครอีกล่ะ”
     

                “ได้ยินข้าด้วยเหรอ?” เขาเอ่ยถามเสียงดังจนเกือบจะเป็นตะโกน นัยน์ตาสีฟ้าสว่างของเขาพราวระยับ
     

                “เกรงว่าฉันจะไม่เข้าใจที่เธอถามนะ” หญิงสาวมองตรงไปยังดวงตาสีฟ้าคู่นั้นด้วยสายตาระแวดระวัง
     

                และทันใดนั้นเองเด็กหนุ่มผู้นั้นก็ทำในสิ่งที่ทรงไม่คาดคิด “นาง...นางได้ยินข้า...นางได้ยินข้าจริงๆ!” เด็กหนุ่มร้องเสียงดังอย่างดีใจยิ่งพร้อมกับกระโดดโลดเต้นไปมา

               “นางมองเห็นข้า
    !

     

               ราชินีแห่งแอเรนเดลล์ทอดพระเนตรยังภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับพระขนงที่ขมวดกันเป็นปมแน่นยิ่งขึ้น
     

              นี่เขาเสียสติหรือไงนะ? 

              แต่นั่นก็คงไม่สำคัญเท่ากับคำถามที่ว่า เขาเป็นใคร? และทำอย่างไรจึงบุกเข้ามาถึงห้องบรรทมของราชินีได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็นแบบนี้
    !
     

    ****
     

     

     

                

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×