คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : -chapter 1 :: โอเซฮุน
C H A P T E R
1
โอเซฮุน
ความสงบกับผม... เราไม่ได้เกิดมาคู่กัน
ผมถอนหายใจออกมาครั้งที่สามล้านแปดแสนโดยประมาณพลางเคาะนิ้วลงกับโต๊ะเป็นจังหวะ
“คยองซู... ถ้าเกิดว่าโดนยัดเยียด นายจะทำยังไง...”
“ถ้าเป็นเรื่องที่ปฏิเสธได้ ผมก็จะปฏิเสธครับ”
“แล้วถ้าปฏิเสธไม่ได้ล่ะ?” ผมเม้มปากอย่างเคร่งเครียด ต่างจากคนตรงหน้าที่ทำตาโตบ๊องแบ๊วเอาซะจนกูท้อแท้ในหนังหน้าที่ขัดแย้งกับอายุของตัวเอง
“ผมก็ยินดีด้วยแล้วกันครับ...”
ที่ไหนขายโลงศพถูกๆมั่ง...
“ท่านว่า...ใครนะ?” ผมเลิกคิ้วพลางทำหน้าแสร้งสงสัยในคำพูดก่อนหน้านั้น ทั้งๆที่ตอนนี้ใจทั้งดวงไหลผ่านหัวเข่าไปหาตาตุ่มจนซุกอยู่กับหัวแม้โป้งเท้าไปแล้วเรียบร้อย
“หลานฉันเองแหละ” ผู้อำนวยการโจคยูฮยอนยิ้มกว้างที่ดูสยองพอๆกับตอนที่คริสยิ้มปกติ ในขณะที่ผมก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่วิญญาณกำลังจะลอยออกจากร่างอยู่รอมร่อ
เอาเป็นว่า ในระหว่างที่กำลังนั่งรอยมทูต ผมก็อยากจะขอพื้นที่เล็กๆนี่เล่าย้อนกลับไปเมื่อประมาณสิบนาทีสี่สิบสามวิฯก่อนหน้านี้....
เรื่องมันเริ่มขึ้นจากตอนนู้น....
“งานพรอม?” ผมเอ่ยปากถามคิมจงแด ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของมหาลัยด้วยอารมณ์ที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ผมแค่กำลังสับสนว่าควรจะถีบหน้าผู้อำนวยการตรงจุดไหนดีถึงจะเจ็บที่สุดน่ะ
“อาฮะ...” เจ้าของเสียงแหลมพยักหน้า หมุนเก้าอี้นวมไปมาพลางควงปากกาเล่น ส่วนผมก็ยกกระดาษในมือขึ้นมาอ่านออกเสียง
“...งานพรอม กำหนดการอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า... หากจับได้ว่านักศึกษาคนใดหลบอยู่ใต้เตียงหรือตามซอกหลืบของซากอะไรก็ตามโดยเจตนาไม่มาร่วมงานจะโดนไล่ออกในทันที ไม่มีข้อแม้ ไม่มียกเว้น... เดี๋ยวนะ? นี่ไม่แรงไปหน่อยเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นมาหลังอ่านจบ
จงแดยักไหล่ “เบื้องบนเขาสั่งมางี้อ่ะ พี่ก็แค่ดักจับคนที่มันไม่มาแค่นั้นเอ๊ง! คิดไรมาก”
คิดมากสิ นี่กูกำลังแพลนในหัวเลยว่าจะไม่มาอีงานเวรนี่
“...แต่มันก็เกินไปนะฉันว่า...”
“เอาน่า!! พี่ไปได้แล้วไป ผมต้องประชาสัมพันธ์ต่อ บัยส์!” ประชาสัมพันธ์คนเก่งโบกมือไล่ผมพลางเลื่อนปิดช่องกระจกใสที่กั้นระหว่างเราลงบ่งบอกว่ามันเบื่อขี้หน้าผมเต็มที ดังนั้น ผมก็เลยจำต้องหันหลังแล้วเดินออกมาพร้อมกับกำหนดการงานเลี้ยงทั้งหมดของเดือนนี้อย่างช่วยไม่ได้
“เออพี่!!” จงแดโผล่หน้าออกมาอีกครั้ง
ผมชะงักเท้าก่อนจะหันกลับมา “ว่า?”
“ไม่มีไรหรอก แค่จะเตือนว่าผู้อำนวยการเรียกพบนะ”
“ชู่ว!!” ผมรีบยกนิ้วชี้ขึ้นจ่อปากตัวเองทันที จงแดหน้าเหวอ
“...อย่าเตือนดิ กูพยายามลืมอยู่...”
ผมเดินขยี้ตาออกมาจากห้องประชาสัมพันธ์ตามประสาคนโดนปลุกแต่เช้าด้วยนาฬิกาปลุก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ตามประสาคนที่ไม่ได้นอนเพราะเสียงเพลงจากห้องข้างๆตลอดทั้งคืน
เอาเป็นว่า ไหนๆผมก็ย้อนรอยความหลังให้ฟังแล้วน่ะนะ ก็ขอเล่าย้อนให้มันสุดๆไปเลยก็แล้วกัน... หากจะให้เท้าความถึงมหาวิทยาเวรตะไลนี่ล่ะก็... ผมรู้มาแค่ว่า
พาติเชี่ยนเป็นมหาลัยเก่าแก่ที่สร้างมานานกว่าร้อยปี หืม? ชื่อมันฟังดูหรูสินะ แน่นอนว่านักเรียนที่นี่ก็หรูนั่นแหละ แต่ในนักเรียนหรูๆนั้นกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นคอนเฟิร์มเลยว่ามึงมีสันดารถ่อยสถุลเถื่อนกว่าเด็กธรรมดาทั่วไปสิบเท่าได้ ทำไมน่ะเหรอ? ก็เหมือนที่นี่จะมีคติว่า ‘เราไม่จำกัดความคิดของคุณ’ และเพราะมึงไม่เคยจำกัดนี่แหละมันก็เลยพากันเป็นโคตรพ่อโคตรแม่แห่งความคิดอุเรนทร์! (พิเรนทร์ + อุบาทว์)
เออ พอก่อน ด่าแล้วเดี๋ยวยาว เมื่อกี้ถึงไหนนะ อ้อ... พาติเชี่ยนเป็นมหาลัยเก่าแก่สินะ ก็ตามที่พูดครับ และที่นี่ก็จะแบ่งเป็นสองบ้านใหญ่ๆด้วยกัน นั่นคือ ‘พาติเชี่ยน-เค’ และ ‘พาติเชี่ยน-เอ็ม’ ผมคือคนของฝั่งเอ็ม มีดรีกรีเป็นถึงเลขานุการของประธาน ส่วนเป็นได้ยังไงนั้น อันนี้ไม่รู้ จู่ๆชื่อกูก็ไปโผล่ในสภาแล้วโดนลากมาปฏิบัติหน้าที่โดยไม่เต็มใจมาสามปีเต็มซะแล้ว และแน่นอน เรามีคริสเป็นประธาน โดยมีบังยกกุกเป็นรอง ส่วนฝั่งเคก็มีคิมจุนมยอนเป็นประธาน จองแดฮยอนเป็นรองประธาน ส่วนบยอนแบคฮยอนก็เป็นเลขาฯเหมือนกันกับผม
จบ! การย้อนรอยแต่เพียงเท่านี้... เอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็มาเดินอยู่ใจกลางโถงใหญ่ของมหาลัยแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวซะแล้ว ซึ่งเดินได้ยังไม่นานเท่าไรก็ต้องชะงักเท้าแบบกะทันหันเหมือนตอนที่เพื่อนแกล้งตะโกนว่า ‘เฮ้ยมึง ระวังขี้!’
...แต่นี่น่ะ...
แม่งยิ่งว่าขี้อีก
ผมหยุดยืนนิ่งราวกับถูกแช่แข็งพลางกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ ตอนนี้ดวงตากลมโตที่ได้มาจากแม่สะท้อนภาพผู้ชายชุดดำร่างยักษ์ประมาณสี่คน แต่นั่นก็ไม่น่ากลัวเท่าผู้ชายหน้าตาพิลึกที่มีนิสัยพิลึกยิ่งกว่าซึ่งตอนนี้กำลังยืนกอดอกสั่งการนู่นนี่...
“...เวรละ”
ผมออกปากพึมพำประโยคที่ติดจะหยาบคายอยู่ซักหน่อยก่อนจะรีบหมุนตัวเดินหนีไปอีกทาง แต่ทว่า
“เฮ้ย!! นั่นไง!!”
เสียงทุ้มตะโกนดังลั่นจนเกิดเป็นเสียงสะท้อนกลางโถงทางเดิน ซึ่งผมที่หันหลังอยู่ก็ออกสเต็ปนักวิ่งทีมชาติทันทีแบบไม่ต้องคิด อันที่จริงก็อยากจะคิดอยู่หรอกถ้าคนตะโกนไม่ใช่ผู้อำนวยการที่แสนจะน่ารักของผม
ผู้อำนวยการโจ!
“ลู่หาน!!” คนข้างหลังผมวิ่งตามมาแบบกระชั้นชิด อารมณ์แบบมาทวงหนี้ หรือไม่กูก็ไปฆ่าพ่อมึงมาอย่างไรอย่างนั้น แต่ขอโทษเถอะ ผมไม่เคย -_- จะตบยุงซักตัวนี่คิดข้ามวันเลยนะครับ
หลังจากที่ผมวิ่งมานานจนหอบกินและระลึกได้ว่าหากตกงานก็ควรจะไปสมัครเข้าทีมชาตินั้น จู่ๆก็มีบุคคลคุ้นหน้าคนหนึ่งมายืนกอดอกอยู่เบื้องหน้าของผมซึ่งก็ทำเอาต้องติดเบรกดังเอี๊ยด
“จับเขา!!” ข้างหลังยังตะโกนมา
ซึ่งไม่ต้องหรอก... กูหยุดแล้ว -_-
“เอ่อ... นายคงไม่...” ผมมองคนตรงหน้าด้วยท่าทีหวาดๆ แอบหวังนิดๆว่าเขาอาจจะแค่เดินสวนมาเฉยๆแล้วก็จะหลบทางให้ผมวิ่งมาราธอนต่อแต่โดยดี
“ยินดีด้วยเสี่ยวลู่หาน...” แบคฮยอนขยับแว่นสายตาของตัวเองไปมาพร้อมกับความหวังทั้งหมดของผมดับวูบลง
“นายถูกจับแล้ว”
โถ่พระถังซัมจั๋งกะละมังหม้อไห.... เมื่อไรกูจะเรียนจบครับตอบ....
เอาเป็นว่า...กลับสู่ปัจจุบันเถอะผมอนาถตัวเอง....
สรุป! อีเตี้ยแว่นนั่นก็คือสาเหตุหลักๆที่ทำให้ผมต้องมาประสบพบเจอกับสถานการณ์อันสุดแสนจะป่วงนี้นั่นเอง
แล้วอย่าเอาไปบอกเขาล่ะ ผมยังไม่อยากถูกย่างสด -_-
“ท่านว่า...” ผมเตรียมจะทวนคำถามเดิมซ้ำอีกครั้งเพราะไม่มั่นใจว่าอาจได้ยินผิดไปหรือเปล่า แต่ดูจากอาการโล่งๆโหวงๆของตัวเองแล้ว มันก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีเลยล่ะว่าที่ผมได้ยินน่ะถูกต้องสุดๆ
“อ้าห้า!!” ผู้อำนวยการติงต๊องฉีกยิ้มกว้างก่อนเขาจะทำร้ายหัวใจที่นอนอยู่ตรงหัวแม่โป้งเท้าของผมด้วยการย้ำมันออกมาอีกรอบ
“ผมกำลังจะฝากหลานไว้กับคุณนั่นแหละ!”
...หมายความตามที่พูดครับ เขากำลังจะฝากหลานชายเขาไว้กับผม!!
“แต่ท่านครับ... ทุกวันนี้ผมเองก็ =_=”
“เอาน่าลู่หาน! เธอเป็นถึงเลขาเชียวนะ!”
“แต่แบคฮยอน...”
“โน่วว!! ถ้าอยู่กับเขาหลานผมอาจต้องชาปนกิจในเร็ววันแน่ๆ!” ซึ่งถ้าวันนั้นมาถึง ศาลาข้างกันจะเป็นท่าน -_-
“ท่านครับ ผมต้องขอโทษจริงๆ แต่...”
“ลู่หาน! คุณรักผมมั้ย!” เขาทำหน้าซีเรียส ประกบสองมือเข้ากับแก้มของผม สาบานได้ว่าตอนนี้ผมว้อนท์อู๋อี้ฟานอย่างแรง อย่างน้อยถ้าเป็นหมอนั่น ตอนเขายิ้มผู้อำนวยการก็จะเกิดอาการหวาดผวาคุยกับใครไม่ได้อีกเลย ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุรองที่ทำให้ผมโดนลากตัวมาแค่คนเดียว ส่วนสาเหตุหลัก...
พวกมันรวมหัวกัน! =_=
อย่าคิดว่าผมไม่รู้เชียว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ผู้อำนวยการหาภาระมาให้ ซึ่งมันก็มักจะเกิดแดจาวู ผมจะโดนบยอนแบคฮยอนดักหน้าทุกทีตอนจะวิ่งหนี จะโดนอู๋อี้ฟานมาเคาะห้องซ้ำๆหากไม่ยอมเปิดประตู จะโดนคิมจุนมยอนลากออกมาจากห้องเรียน และอีกสารพัดจะโดนเพื่อที่พวกเขาจะได้ยัดผมเข้าไปในห้องทำงานของผู้อำนวยการโจ
เอาเป็นว่าชินแล้วกัน =_=
“ผมคุยกับคุณอยู่นะเสี่ยวลู่หาน”
“ผมก็คุยกับท่านนี่ไงครับ =_=”
“แล้วไหนล่ะคำตอบ”
ผมเม้มปาก พยายามต่อรอง “...งั้นผมขอถามท่านก่อนซักข้อ”
“เอาสิ ว่ามา”
“หลานท่านเป็นอะไรครับ ระหว่างไอรอนแมนกับไดโนเสาร์?”
“หลานผมเป็นคน -_-;;”
“ก็ใช่ไงครับ งั้นแล้วเขาจะต้องการคนดูแลไปทำไมอ่ะ =_=?”
“...ก็นั่นเป็นเพราะ...! เพราะ....!” ผู้อำนวยการโจยกนิ้วชี้ค้าง ริมฝีปากเขาก็อ้ากว้างอยู่อย่างนั้นเมื่อคิดหาคำพูดไม่ออก “อ่ะแฮ่ม!!” ว่าแล้วก็กระแอมกลบเกลื่อนก่อนจะหันหลังเดินหนีไปอีกทาง ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว ผมก็จะได้รอดพ้นจากคำถามอุบาทว์ชวนอ้วกนั่น
“เอาเป็นว่าคุณมาเจอเขาเองดีกว่า” เขาขยับเนกไทไปมา
“หลานท่านจะพ่นไฟใส่ผมหรือเปล่า”
“เขาเป็นคน เสี่ยวลู่หาน -_-”
“ผมแค่ต้องการรู้ว่าตัวเองจะปลอดภัย” ผมพูดหน้านิ่ง ผู้อำนวยการโจถอนหายใจพรืดก่อนจะโบกมือหนึ่งครั้ง
“หลานผมจะเข้ามาเรียนในเทอมหน้านี้น่ะ อาจน่ารักหน่อยนะ” เขาหันไปหาประตูในขณะที่ผมก็นั่งเท้าข้างทำหน้าเหม็นเบื่อไปตามเรื่อง
“เซฮุนนา!!!! ออกมาหาลุงหน่อยเร๊วว!” ผู้อำนวยการปัญญานิ่มตะโกนเสียงดังอย่างมั่นใจว่าหลานเขาที่อยู่ส่วนไหนไม่รู้ของมหาลัยจะได้ยิน เหมือนคอจะแตกอยู่รอมร่อ จนผมกลอกตามองเพดานไปได้สามพันหกร้อยครั้งพอดี
“เซฮุนของลุงง!! ยู้ฮู!!!”
“=_=”
กูล่ะเพลีย!
“เซฮุนนา!! ไม่เอาน่า!! มานี่เร็วเข้า!!”
“ท่านครับ ผมว่า...”
“น่า! คุณน่ะนั่งเงียบๆ!!” เขาหันมายกมือห้ามผมไม่ให้พูดก่อนจะหันกลับไป
“ออกมาเซ่!!! เซฮุนนา!!”
ผู้อำนวยการโจออกปากเรียกหลานของเขาอีกครั้งพลางชะเง้อคอมองหา ซึ่งผมก็กลอกตาอย่างเซ็งๆอีกหนึ่งทีก่อนจะต้องพลอยชะเง้อคอตามเขาไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ จนในที่สุด
แกรก...
เสียงประตูก็ดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยแรงผลักจากคนข้างนอกช้าๆ... ‘เซฮุนนา’ ที่ผอ.เรียกค่อยๆเดินเข้ามาข้างในห้องด้วยท่าทีนิ่งเฉยยิ่งกว่าคนที่วิญญาณใกล้จะหลุดออกจากร่างอย่างผมซะอีก
“...”
โอเค... ถ้าเขาเป็นเซฮุนนา... เขาช่างเป็นเซฮุนนาที่ไม่เข้ากับชื่อแสนน่ารักของตัวเองเอาซะเลย...
ผมสีบลอนด์ทองนั่นถูกตัดเป็นทรงดูดี ใบหน้าหล่อคมคายทำให้เขาดูเท่ห์อย่างกับพระเอกนิยายรักโรแมนติก เด็กนี่พกส่วนสูงมาไม่ต่ำกว่าร้อยแปดสิบห้าเห็นจะได้ เรียกได้ว่าทุกอย่างดูเพอร์เฟ็ค.... ยกเว้นดวงตาคมติดจะลอยนั่นน่ะนะ มันทำให้เขาดูเหมือนคนไม่เต็มยังไงพิกล...
หือ...หรือเขาจะไม่เต็ม?
“เซฮุน!! หลานรักของลุง!!”
ผอ.คยูฮยอนโผลเข้าหาหลานชายด้วยความรักหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ นั่นเพราะเขาจัดการกระชากแขนเซฮุนนาที่ยืนนิ่งเป็นหุ่นยนต์ให้มายืนอยู่ที่หัวโต๊ะอย่างแรง
“นี่เซฮุนหลานชายฉันเอง” เขายิ้มกว้าง “น่ารักอ่ะดิ!”
ผมกลอกตา “มั้งครับ”
“มั้งได้ไง!” ผู้อำนวยการโจถลึงตาใส่ผมก่อนเขาจะหันไปบอกกับหลานชายตัวเอง “รอลุงแป๊ปนึงนะลูก”
ว่าแล้วร่างขนาดสมส่วนที่มีหน้าท้องเกินมาตรฐานไปเล็กน้อยก็สาวเท้าเข้ามาหาผมก่อนจะกระชากให้ก้มหัวลงไปคุยกับเขาที่ใต้โต๊ะ
“ผมขอเตือนนะ!”
“ว่า”
“หลานผมไม่เหมือนชาวบ้าน!”
“เหรอครับ” แต่ผมว่าท่านนั่นแหละต่างจากชาวบ้านเขาที่สุด -_-
“และนี่คือเหตุผลที่เขาต้องการคนดูแล!”
“เขาจะไม่เผาห้องผมหรือมีเกล็ดงอกออกมาตอนกลางคืนใช่มั้ย”
“เหอะ ร้ายแรงกว่านั้นเยอะ!” คำพูดของผู้อำนวยการโจทำเอาผมตาโต แต่ยังไม่ทันได้สวนอะไรออกไปแกก็เงยหน้าขึ้นมาซะแล้ว
“เอาล่ะเซฮุนนา! นี่คือพี่ลู่หาน หลานต้องอยู่กับเขานะ”
ผมเงยหน้าตามขึ้นมา “ก็ผมบอกแล้วไงว่า...!”
“ว่าจะดูแลหลานของท่านให้ดีที่สุด! ผมจำได้หรอกน่า! เนอะๆ”
“...”
อีผู้อำนวยการสตอเบอร์รี่!!!
“เพราะงั้น...” ผู้อำนวยการโจยกมือขึ้นลูบหัวหลานของเขาเบาๆในขณะที่ผมอยู่ในสภาวะชึ่ง (ช็อค+อึ้ง)กิมกี่แตกไปแล้ว ส่วนเด็กนั่นก็ยืนนิ่งเป็นตุ๊กตาลืมไขลานให้ลุงเขาเล่นหัว
“ยินดีต้อนรับสู่พาติเชี่ยนนะหลานรัก J”
ผู้อำนวยการโจเป็นต้อนเหตุที่สอง ที่ทำให้ผมว้อนท์ใบลาออกวันละพันครั้ง!
ชีวิตที่หาความสงบไม่ได้ ก็ยิ่งแต่จะหาความสงบไม่ได้เข้าไปกันใหญ่...
“จะเขี่ยข้าวอีกนานมั้ย...”
ผมเอ่ยขึ้นเป็นครั้งที่แปดล้านเมื่อเห็นหลานของผู้อำนวยการปัญญานิ่มเริ่มเอาช้อนกับส้อมเขี่ยๆข้าวในจานของตัวเองไปมาอีกแล้ว ตอนนี้เรามานั่งอยู่ในร้านอาหารชื่อดังในP-M (patrician M) เพราะน้ำย่อยในกระเพราะของเด็กหน้าเดียวได้ออกปากรีเควสกันอย่างโฉ่งฉ่างกลางโถงทางเดิน เดือดร้อนผมที่โดนเลือกมาหมาดๆต้องพาเขามาจนได้
แต่เอาเถอะ ผมกะว่าซัมเมอร์นี้จะหนีไปบวชบนเขาซักหน่อย เอาให้จิตใจมันร่มๆก่อนจะกลายเป็นฆาตกรฆ่าผู้อำนวยการและประธานบ้านตัวเอง
เป็นโชคดีของผมที่เซฮุนไม่ใช่ลูกคุณหนูเรื่องมาก แต่ที่แย่คือเด็กนี่ไม่ชอบกินผักขั้นแอดวานซ์ และที่แย่ยิ่งกว่าคือแม่ครัวร้านนี้พอไม่ห้ามไม่ให้แกใส่ผัก แกก็จัดการใส่แบบจัดเต็มอย่างกับตั้งโครงการปลูกป่าไว้บนจานข้าว ไม่สิ มันไม่ใช่จาน ผักเยอะอย่างนี้แถวบ้านเรียกถังเพราะชำ
“ผักเยอะชะมัด...” เสียงทุ้มบ่นงึมงำ
“เออ นายก็น่าจะบอกก่อนนะว่าไม่กินผัก...มานี่เลยมา...” ผมถอนหายใจยาวจนปอดตีบ ก่อนจะแย่งส้อมออกมาจากมือของเขาแล้วจัดการจิ้มเอาหัวหอมกับมะเขือเทศเข้าปากตัวเองแทน เอ๊ะเดี๋ยว นี่กูสั่งข้าวผัดนะไม่ใช่สลัด ทำไมมีแมงลักด้วย =_=
“เด็กที่นี่อยู่กันยังไงหรอ” เขาถามขึ้นหลังเงียบไปพักหนึ่ง
อันที่จริง ในความคิดของผมน่ะนะ ผมว่าเขาก็ไม่ใช่เด็กแปลกประหลาดอะไรอย่างที่ลุงเขายัดเยียดให้ซักหน่อย ก็มีแต่เจ้าตัวนั่นแหละที่ติงต๊องและสมควรปล่อยตัวเองกลับสู่จิตเวชได้แล้ว
“ก็แบบนี้แหละ อย่างที่นายเห็น...” ผมตอบโดยที่ยังคงจิ้มผักกินอย่างเมามันส์ในจานข้าวของเขา “เรียนบ้างเล่นบ้าง คนส่วนใหญ่มักเสียเวลาไปกับอะไรที่บ้าบอคอแตก”
“บ้าบอคอแตก?”
“ใช่ บ้าบอคอแตก เอาเป็นว่า เดี๋ยวอยู่ไปนายก็จะรู้เอง” ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับความคิดของตัวเอง เด็กที่นี่มันบ้าบอคอแตก!
“แล้วนายคิดยังไงถึงอยากมาเรียนนี่” ผมถามต่อ ก่อนจะหรี่ตาลงเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “...นี่อย่าบอกนะ... ว่าตามกระแสมา”
ที่พูดนี่เป็นห่วงเขานะครับ เพราะไอ้ตามกระแสนี่แหละมันถึงทำให้ผมต้องมาประสบพบเจอกับอะไรที่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้เจอในชีวิตจริง อทิเช่น อู๋อี้ฟานเป็นต้น =_=
“ก็ไม่เชิง ผมแค่อยากอยู่ไกลๆบ้าน...”
“ซึ่งเดี๋ยวพอนายอยู่ที่นี่ไปซักสองอาทิตย์ นายก็อยากจะกลับไปอยู่ใกล้บ้าน -_-”
เด็กหน้าเดียวส่ายหัว “ไม่หรอก... ผมทนที่นี่ได้มากกว่าบ้านตัวเอง”
ผมเลิกคิ้วให้กับความคิดของเขา พูดอะไรอย่างกับเด็กมีปมด้อยแน่ะ
“เออ เอาเถอะ เดี๋ยวนายอยู่ก็รู้เองว่าที่ฉันพูดมันถูกทุกอย่าง... อ้า...แป๊ปนะ...” ผมยกมือขึ้นขอเวลานอกเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นในกระเป๋ากางเกงยีนตัวเอง
ไอโฟนสีขาวถูกนำออกมารับอากาศบริสุทธิ์ภายนอก ซึ่งผมก็แทบอยากจะยัดมันกลับเข้าไปคืนแล้วเอาเข็มมาเย็บปิดซักสองชั้นเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนโทรฯเข้ามา =_= กูล่ะเบื่อจริงๆ จะไม่รับมันก็ไม่ได้ซะด้วยสิ
“ฮัลโหล ว่าไง”
[ฮัลโหล พี่อยู่ไหนอ่ะ]
“อยู่ห้อง” ...ห้องที่มีโต๊ะอาหารราวยี่สิบตัว เด็กเสิร์ฟอีกสิบ และแม่ครัวอีกราวๆห้า
[เอาดีๆ]
“ก็อยู่ห้องไง”
ผมว่าซ้ำอีก ก่อนจะรู้สึกถึงฝีเท้าที่ย่างกายเข้ามาทางด้านหลังของตัวเอง ตอนแรกก็ไม่แน่ใจครับ แต่พอมันพูดขึ้นอีกรอบเท่านั้นแหละ
[ให้โอกาสพูดใหม่]
อืม.....ข้างหูกูเลย -_-
“ฉันอยู่โรงอาหาร -_-”
ตุบ!
ไอโฟนเคสโยกี้แบร์ถูกโยนมากลางโต๊ะจนเกิดเสียงก่อนเจ้าของมันจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่พร้อมกับไถลใบหน้าไปกับโต๊ะอาหาร
“พี่ T^T”
“ไม่! -_-” ผมรีบดักคออย่างรู้ทัน อย่าง‘คิมจงอิน’จะมีอะไร นอกจากมาขอให้ผมอนุมัติใบขออนุญาตออกนอกเกตมหาลัย ซึ่งผมก็พลาดโดยการเซ็นให้เขาไปแล้วเมื่อวาน
“ยังไม่ได้พูดเลย =_=”
“ฉันรู้ว่านายจะมาเอาอะไร และคำตอบคือไม่”
“โห่....น่านะ ขออีกแค่ครั้งเดียว”
“นายเพิ่งใช้คำนี้ไปเมื่อวาน -_-”
“ก็เพราะใช้เมื่อวานนั่นแหละผมถึงต้องเอามาใช้วันนี้อีก T^T” เด็กผิวคล้ำทำหน้าจะร้องไห้ “ได้เรื่องเลยไง กลับบ้านไปก็ทะเลาะกับแม่เลยเนี่ย”
“แล้วไง? ก็เลยจะขอกลับออกไปง้อว่างั้น?”
“ทำนองนั้นอ่ะ”
“งั้นเสียใจด้วยคุณคิม คำตอบก็ยังคือไม่”
ผมว่าเสียงเด็ดขาด กฎต้องเป็นกฎ ที่เขาของพาติเชี่ยนมีทุกอย่างที่วัยอย่างเราๆต้องการ ทั้งห้างฯ ทั้งคลับบาร์และอีกสารพัดมากมาย แต่เด็กบางคนก็ยังชอบขอใบขออนุญาตออกนอกเกตเพื่อเข้าตัวเมือง ซึ่งขอได้ไม่เกินสามครั้งต่อเดือน และต้องได้รับการเซ็นยินยอมจากประธานบ้านเท่านั้น
คำถามคือ... ทำไมคิมจงอินไม่ไปขอร้องประธานบ้านอย่างอู๋อี้ฟาน?
คำตอบมีให้เห็นชัดเจนครับ
...เพราะประธานมันเป็นยังงั้นไง -_-;
“โหยแม่ง!” เสียงทุ้มสบถอย่างเอาแต่ใจ แต่มีหรือผมจะสน ยังคงนั่งจิ้มๆเขี่ยๆพืชผักให้หลานผู้อำนวยการต่อไป
“นี่ซีเรียสนะพี่! ผมทะเลาะกับแม่มาจริงๆ!”
“ก็ขอโทษซะสิ”
“โหยยยยยย!!! พี่ไม่เข้าใจอ่า!” จงอินร้องครวญคราง
อะไรของมัน ทำผิดก็ขอโทษมันก็ถูกแล้วนี่ ผมพูดอะไรผิดตรงไหน
“มันผิดอ่ะ!! ผิดแบบผิด!! ผมทำผิดต่อแม่จริงๆ! T^T”
“นี่จะเอาลายเซ็นให้ได้เลยใช่มั้ย”
“ใช่! T^T”
“ไม่มีทาง”
“พี่อ่า!! T^T”
ผมทำหน้านิ่ง ไม่สนใจคิมจงอินที่เอาหน้าผากโขกกับโต๊ะเป็นการประชด เอาสิมึง คิดว่าหน้ามึนเป็นคนเดียวหรือไง ใครที่ผ่านงานกับอู๋อี้ฟานมาแล้วทนได้ทุกอย่างเว้ยไม่อยากคุย! (เพราะแม่งไม่น่าคุย -_-)
หลังเป็นแบบนี้อยู่ประมาณห้านาที คิมจงอินก็หยุดทำร้ายตัวเองแล้วนอนหันแก้มแนบโต๊ะมาทางผมและโอเซฮุนแทน ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว เกิดมึงหัวแตกขึ้นมาคนเช็ดเลือดก็คงไม่พ้นกู
“พี่...” เด็กผิวคล้ำเอ่ยเสียงแผ่ว เหลือบตามามองเซฮุนที่นั่งเงียบอยู่นาน “นี่ใครเนี่ย”
“เซฮุน หลานผู้อำนวยการคยู” ผมว่า
“ห๊ะ! เอาจริงดิ”
“อืม”
“นี่แกมีหลานชายด้วยเหรอเนี่ย...เหลือเชื่อ...” คิมจงอินทำน้ำเสียงแบบอเมซิ่ง ซึ่งผมก็ไม่ขัดหรอกเพราะกำลังคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน ที่จริงสปีชีส์แปลกประหลาดแบบนั้นควรหยุดที่เขาคนเดียวก็พอ =_=
“หวัดดี ฉันจงอิน!”
หลังจากฟื้นตัวจากอาการโศกเศร้า หนุ่มนักกีฬาสุดฮอตของฝั่งเอ็มก็กลับมายิ้มกว้างโชว์ฟันขาวอีกครั้ง..
“...”
...ซึ่งดูเหมือนจะโชว์เก้อน่ะนะ =_=;
โอเซฮุนยังคงนั่งนิ่งกินข้าวต่อไปไม่สนใจสภาพแวดล้อมรอบตัวราวกับมึงนั่งอยู่คนเดียวในถ้ำ ริมฝีปากเล็กนั่นยังยัดอาหารต่อไปไม่หยุดเพราะมีตัวกำจัดผักอย่างผมทำหน้าที่เอาไว้ให้อยู่ก่อนแล้ว
จงอินหน้าเจื่อน หดมือกลับไปแทบไม่ทัน
“พี่...” เด็กดำเลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้ผมแล้วยื่นหน้ามากระซิบ “อีจระเข้นี่หยิ่งชิบหาย...”
“ใจเย็นมึง หลานผู้อำนวยการ =_=”
“ไม่แคร์แม่งหรอก นี่ถ้ามันเข้ามาเรียนนะ เจอแน่!”
“เออ เจอแน่”
“มันเจอแน่!”
“มึงอ่ะเจอแน่ =_= หลานคนใหญ่คนโตจะไปทำไรเขาได้ไง” ผมว่าพลางผลักอกรุ่นน้องให้ถอยห่างเบาๆ
“เหอะ!!” จงอินแค่นหัวเราะเสียงดังก่อนจะกระทืบทั้งตีนระบายอารมณ์ที่คงอัดอั้นอยู่ในอกของเขาเยอะมาก อย่าแปลกใจว่าทำไมผมรู้ เพราะตีนผมอยู่บนพื้น และตีนเขาก็ไม่ได้สัมผัสพื้น แต่สัมผัสอย่างแรงที่ตีนผม
นี่กูเคยเจออะไรดีๆบ้าง? -_-
“ไปนะแล้วนะพี่! รมณ์บ่จอยว่ะ!”
“อืม =_=;”
“เหอะ!!”
ผมมองตามหลังรุ่นน้องที่สนิทมากคนหนึ่งจนมันหายออกไปนอกร้านด้วยอารมณ์ครุกกรุ่นไม่น้อย ก่อนจะหันหลับมาสนใจคนที่นั่งยู่ตรงข้ามนี่แทน
“นายน่าจะทักเขาซักนิดนะ” ผมว่า
“ไม่เอา ไม่ถูกชะตา”
“ทำไมล่ะ รู้มั้ยว่าจงอินน่ะนิสัยดีมากนะ” ถ้าไม่นับว่ามันขี้วีน ขี้โวยวาย ขี้เมา ปากหมาแม่ค้าอาย ชอบใช้ความรุนแรง กวนตีนเป็นเลิศมันก็ดีออกจะตาย...
“ผมไม่ชอบ”
แล้วคำตอบของหลานผู้อำนวยการก็ทำเอาผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ผมชักจะเข้าใจแล้วสิว่าไอ้ที่ผู้อำนวยการคยูบอกมันคืออะไร =_=;
เซฮุนยังนั่งเขี่ยๆกินๆข้าวในจานของตัวเองต่อไป ซึ่งผมที่กินผักเข้าไปเยอะชนิดที่ว่านอนๆอยู่ก็อาจจะมีรากงอกออกมาตามง่ามนิ้วตีนโดยไม่รู้ตัวก็ได้ฤกษ์วางส้อมแล้วหันมานั่งเท้าคางมองหน้านิ่งๆของคนตรงข้ามแทน
ผมกลอกตาเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มเขี่ยผักอีกแล้ว
“กินเข้าไปจะตายมั้ย แครอทเนี่ย =_=”
“ตาย”
“-_-!”
เด็กเวร ยังไม่เคยเห็นน่องกูสินะ!
ผมกรอกตาเซ็งๆกับพฤติกรรมการกินของเด็กตัวสูง ก่อนจะเริ่มเบื่อหน่ายและอยากออกไปจากร้านอาหารที่เข้ามาเหยียบเกือบทุกวันนี่เต็มที
“พี่!! ของี้อีกจาน!”
ผมตัดสินใจยกมือขึ้นสูงๆแล้วตะโกนบอกเด็กเสิร์ฟที่ยืนจดออเดอร์โต๊ะอื่นอยู่ไม่ไกล
“ไม่เอาผัก...ทุกชนิด -_-!!”
บางที พระเจ้าก็อาจจะรักและเอ็นดูผมมากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะส่งผมมาในสถานที่ที่แสนจะวุ่นวาย ท่านก็ยังบันดาลให้คนวุ่นวายนำคนวุ่นวายมาสู่สถานที่ที่วุ่นวายอีก!!
คืนแรกกับโอเซฮุน...
ผมพยายามทำตัวเป็นเจ้าของห้องให้มากที่สุดโดยการแบ่งอาณาเขตกับเขาชัดเจน
“นั่นทีวี จะดูก็ได้ ตู้เย็นอยู่ตรงนั้น... แล้วนั่นเป็นครัว นายจะทำอะไรก็ทำ แต่อย่าเสียงดัง แล้วก็อย่าทำลายข้าวของของฉัน... ส่วนนั่น...” ผมชี้ไปที่ประตูไม้ลวดลายอลังการสีครีม “ห้องนอนฉัน ซึ่งเป็นที่เดียวที่นายห้ามเข้า ถ้าจะเข้า ต้องเคาะก่อนทุกครั้ง เก็ท? เยี่ยม! ไปอาบน้ำได้!”
ผมว่าอย่างใช้อำนาจก่อนจะโยนผ้าขนหนูสีขาวไปให้เขา ส่วนตัวเองก็เดินผิวปากเข้ามาในห้องอย่างสบายใจเฉิบเพราะคิดว่าเขาคงจะโอเค
แต่ทว่าตกค่ำ...
“...”
“ฉันเคยบอกนายไปแล้วว่าห้ามเข้า =_=”
ผมมองไปที่โอเซฮุนที่จู่ๆก็หมุนลูกบิดเดินเข้ามาข้างในหน้าตาเฉยราวกับสาวน้อยในเทพนิยายที่ค้นพบสวนมหัศจรรย์ แต่ขอโทษเถอะ นี่คือห้องนอนผม และเขาก็ไม่ใช่สาวน้อย!
“ข้างในสบายกว่าอีก ทำไมที่นอนลู่หานถึงน่านอนกว่าของผมล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยให้ผมได้ยินเป็นอีกครั้งของวัน
“ทำไมน่ะเหรอ” ผมหมุนเก้าอี้หันกลับมา “เพราะฉันเป็นเจ้าของห้อง ซึ่งนายไม่ใช่ โอเค้? เพราะงั้นนู่น ประตู”
ผมพยักพเยิดหน้าไปทางที่เขาเข้ามาก่อนจะหันกลับไปสนใจหนังสือตามเดิม หางตายังแอบเห็นว่าเขาคว่ำปากโค้งๆจนคล้ายกับลูกเป็ด
“หน้าแบบนั้นหมายความว่าไง ออกไปเลยไป” ผมออกปากไล่ ซึ่งเซฮุนนาผู้น่ารักก็ทำตัวน่ารักสมชื่อด้วยการ...
ปุ!!
ทิ้งตัวนั่งลงกับเตียง -_-:;
ผมกลอกตาเซ็งๆ “เออ! ตามสบาย แล้วห้ามส่งเสียง ฉันจะอ่านหนังสือ” ผมบอกเสียงเข้ม ซึ่งคิดว่าเขาน่าจะโตพอที่จะเข้าใจ...
ซะเมื่อไร!! -_-
เปร๊าะแปร๊ะ....เปร๊ะแปร๊ะ
เสียงเดาะลิ้นดังเป็นจังหะทำให้ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสืออีกครั้ง พระถังซัมจั๋งกะละมังหม้อไห ประหนึ่งอันนาโฟรเซ่นลงมาจุติเองเลยทีเดียวเชียว
ถุย!!
“เซฮุน!”
“เซฮุนนาเหอะ”
“เออ! เซฮนุนา!” ผมเรียกใหม่เมื่อเขาแก้ชื่อของตัวเองให้ กูอยากถีบหน้าละเกิล... แต่ไม่ได้ ผู้ชายแมนๆจะไม่รังแกเด็ก
“ฉันบอกให้เงียบๆไง ฉันต้องสอบ ฉันต้องอ่านหนังสือน่ะเข้าใจมั้ย!”
“เด็กพาติเชี่ยนเป็นแบบนี้ทุกคนเลยเหรอ”
“เปล่า ฉันคนเดียว -_-;” ผมว่าพลางเสยผมตัวเองขึ้นอย่างหน่ายใจ สาบานได้ว่าเด็กที่นี่กว่าครึ่งเข้ามาหาความสนุกมากกว่าการเข้ามาหาความรู้
“ลู่หานเครียดเกินไปแล้ว ยิ้มหน่อยสิ”
“ไม่!” ...เดี๋ยวตีนกาออก
ผมสะบัดหน้าหนีเด็กที่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะน่ารำคาญขนาดนี้ก่อนจะเปิดหนังสือออกอีกครั้ง ที่จริงผมควรจะไปนั่งสมาธิก่อนนะ เกิดหน้ามืดเดินไปหยิบมีดมารุมกินโต๊เขาแล้วจะทำยังไงล่ะ ไม่สิ... ถ้างั้นผมก็ควรจะคิดวิธีซ่อนศพถึงจะถูก....
เอ๊ะเดี๋ยว...? นี่กูควรไปนอนมั้ย -_-;
ผมถอนหายใจ เลิกฟุ้งซ่านแล้วกลับมาจอจ่อกับหนังสืออีกครั้งตามที่ควรจะเป็น ก่อนจะเริ่มคิ้วกระตุกเมื่อรับรู้ได้ว่าคนข้างหลังกำลังลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“นี่ ฉันบอกให้นั่งเฉยๆไง”
ว่าแล้วผมก็เริ่มเขว หัวคิ้วย่นเข้าหากันเมื่อได้ยินฝีเท้าเบาๆย่างก้าวเข้ามาใกล้ “ยังอีก...ฉันเตือนแล้วนะ...”
เสียงแผ่วไม่พอ ตอนนี้สติผมก็เริ่มสั่นไหวเล็กน้อยเพราะความร้อนจากสองมือหนาที่ถูกเกาะกุมอยู่บนหัวไหล่ทั้งสองข้าง...
“..น...นี่”
“ชู่ว...”
ผมกลืนน้ำลายลงคออึกเบ้อเร่อเมื่อรับรู้ได้ถึงลมหายใจหอมยาสีฟัน ก่อนสมาธิจะแตกกระเจิงอย่างสมบูรณ์แบบเมื่อเขาแนบริมฝีปากลงกับใบหู!!
โคร่ม!!!
ผมดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เต็มแรงจนมันล้มคว่ำก่อนจะถอยกรูดไปยืนชิดริมผนังห้อง “นายทำบ้าอะไรอ่ะ!!!”
ผมโวยดังลั่น โอ๊ยตาย!! พรหมจรรย์หูกู๊วว! T^T
เซฮุนยืนกระพริบตาปริบๆราวเด็กประถม ดวงตาคมสะท้อนภาพผมที่ยืนตัวสั่นกุมหูตัวเองอยู่ตรงมุมห้อง
เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนริมฝีปากสีชมพูซีดนั่นจะขยับ...
“ผมเห็นลู่หานหมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือ...”
“...”
“เลยอยากรู้.... ว่ายังมีอารมณ์อย่างว่าอยู่หรือเปล่า”
“...”
เอ่อ...
อย่าว่างั้นงี้เลยนะครับ....
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!! TOT
โอเซฮุน(กำลังจะ)เป็นต้นเหตุที่เท่าไรนี่แหละ! ที่ทำให้ผมว้อนท์ใบลาออกวันละพันครั้ง!
-จบchapter 1-
talk:
มันย๊าวยาว =^= ทนอ่านกันหน่อยเนอะ เรื่องมันจะต่อเนื่องกัน
ฝากคอมเม้นท์จ้า กำลังใจเล็กส์น้อยส์
ความคิดเห็น