คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : CHAPTER :: XXXXXXXXXXXXXXXXXX
คยองซูกลั้วลูกอมไปทั่วโพรงปาก รสชาติหวานติดปลายลิ้น กลิ่นของลูกอมหวานๆอาจจะช่วยกลบกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างอื่นในช่องปากได้ เขาตุนลูกอมเอาไว้เยอะจนแบคฮยอนสงสัย อมจนเพดานปากพรุน ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะอมมากนักหรอกแต่ว่าเสียดายของ เพราะซื้อมาเก็บไว้เยอะจนมันเหลือ
พอเปิดประตูผ่างเข้ามาในห้องก็เจอแบคฮยอนกำลังก้มๆเงยๆอยู่แถวตู้เย็น สงสัยตื่นมาแล้วจะหิวสินะ คยองซูค่อยๆปิดประตูแล้วเดินไปย่อตัวนั่งลงข้างๆ
“มึงหิวหรอ”
“ไม่หิวหรอก แค่เดินมาเปิดดูเฉยๆว่ามีอะไรกินบ้าง” นี่นะหรอไม่หิว ไม่หิวแล้วเดินมาเปิดหาของกินทำพ่อง..? คยองซูยันตัวขึ้นยืนแล้วเอ่ยปากชวนให้อีกคนออกไปข้างนอกด้วยกัน อยากออกไปซื้อของในห้างสรรพสินค้า ไปหาของมายัดแช่ตู้เย็นบ้าง เพราะนอกจากน้ำแล้วก็ไม่มีอะไรแช่ไว้เลย เปลืองค่าไฟโดยใช่เหตุ
“ไปห้างเนี่ยนะ มึงคิดยังไงถึงอยากไปห้างวะคยองซู”
“ไปหาพ่อมึงมั้ง กูก็อยากไปซื้อของมาไว้กินบ้างไง ต่อไปจะได้ไม่ต้องลงไปซื้อของบ่อย”
“มึงขี้เกียจเดินแล้วหรอ ปกติช่วงนี้กูก็เห็นมึงเดินลงไปซื้อของตอนเย็นบ่อยๆนะ” คยองซูชะงัก แบคฮยอนสังเกตด้วยหรอ หรือว่าเขาทำตัวน่าสงสัยเอง
“กะ...ก็กูอยากไปซื้อของมาแช่ไว้อะ ทำไมหรอมึงมีปัญหาอะไร”
“คยองซู กูรู้นะว่ามึงลงไปทำอะไรทุกเย็น” แบคฮยอนละความสนใจจากตู้เย็น เขาปิดมันลงแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สายตาเรียวเล็กที่กำลังจ้องมองคยองซูด้วยแววตาไม่พอใจ สายตาคู่นี้ทำให้คยองซูใบหน้าซีดเผือดลงทันตาเห็น มือที่แห้สนิทกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เริ่มผุดซึมออกมา พยายามทำตัวแองให้ดูปกติที่สุด แต่ก็ยังควบคุมริมฝีปากตัวเองไม่ให้สั่นไม่ได้ คยองซูเพิ่งเข้าใจหัวอกคนที่กำลังจะถูกจับได้ว่าทำความผิดก็วันนี้แหละ
“แบค...”
“มึงทำแบบนี้ทำไม” หัวใจดวงน้อยเต้นรัวถี่ กลัวว่าแบคฮยอนจะดุด่าเขา กลัว
“มึงรู้...”
“ทำไมกูจะไม่รู้ละ คิดว่ากูโง่นักหรือไง มึงลงไปจีบพี่จุนมยอนใช่ไหม!!”
เพล้ง...
“เห้ย ไม่ใช่นะแบคฮยอน!” คยองซูคลายมืออกจากกันพร้อมหลุดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตกอกตกใจหมด นึกว่าแบคฮยอนจะจับได้เสียแล้วแต่ที่จริง... ไอ้แบคฮยอน ไอ้สันดาร
“แล้วมึงลงไปทำไมอะ พักนี้บ่อยนะ” แบคฮยอนยู่หน้าพร้อมมีเสียงุ้งงิ้งหลุดออกจากปากเหมือนเด็กน้อยไม่พอใจ น่ารักตายห่าละ คยองซูสูดหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อปรับสภาพหัวใจตัวเองให้กลับมาเต้นตามปกติ นี่เขาช็อคสียจนเผลอกลืนลูกอมลงกระเพาะไปแล้ว
“ก็ไปเล่นกับพี่จุนมยอนนั่นแหละ มึงไม่ต้องกลัวว่ากูจะไปจีบพี่เขาหรอก เพราะพี่เขาคงจะมีคนรักแล้ว แล้วอีกอย่างนะ กูก็มีคนที่กูรักแล้วเหมือนกัน” พอได้ยินแบบนั้นแบคฮยอนก็ยิ้ม สารภาพรักกูทางอ้อมอีกแล้วสินะมึง แบคฮยอนขยับตัวเดินเข้าไปใกล้แล้วทำจมูกฟุดฟิด
“หอมกลิ่นลูกอมจัง ขอกินด้วยดิ” คยองซูพยักหน้าแล้วเดินไปรื้อของในลิ้นชักบนโต๊ะทำงาน ลูกอมจำนวนมากถูกสุ่มหยิบขึ้นมาสองรส สำหรับเขาและแบคฮยอน คยองซูกวักมือเรียกให้แบคฮยอนมาเอาแล้วตัวเองก็กระโดดขึ้นไปนั่งบนโต๊ะทำงานพร้อมแกะลูกอม นั่งกินอย่างสบายใจ สังเกตุเอาจากเท้าที่แกว่งไปแกว่งมา พอเดินมาถึงแบคฮยอนก็โวยวายกับลูกอมเปลือกสีชมพูที่คยองซูยื่นให้
“คยองซู กูไม่ชอบรสสตอเบอร์รี่อะ กูอยากกินรสมะนาว”
“ให้แดกฟรีแล้วยังจะเลือกอีกนะรสมะนาวเม็ดสุดท้ายอยู่ในปากกู” คยองซูแล่บลิ้นโชว์เม็ดอมสีเขียวอ่อนที่คาอยู่ที่ปลายลิ้น ด้วยความอยากกิน... แบคฮยอนก้มลงตวัดปลายลิ้นปัดลูกอมเม็ดสีเขียวให้กระเด็นออกจากลิ้นของคยองซู มันสร้างความตกใจให้กกับคนที่กำลังทำหน้าล้อเลียนอยู่เป็นอย่างมาก คยองซูจ้องมองแบคฮยอนที่กำลังหลับตาจินตนาการถึงรสชาติที่เขาเพิ่งจะได้ลิ้มรสไป
“อืม เปรี้ยว แต่ก็ปนหวาน” เสียงแจ่บๆที่คยองซูได้ยินทำให้คยองซูเริ่มรู้เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
“แบคฮยอนห้ามนะเว่ย” เพราะคยองซูกลัวว่าแบคฮยอนจะไม่ได้รับรู้ถึงแค่รสชาติของลูกอม แต่แบคฮยอนอาจจะสัมผัสได้ถึงรสชาติขมของบุหรี่พ่วงไปด้วย
“กูอยากกินต่อนะ แต่ว่ามันตกพื้นไปแล้ววะ” ยังไม่ทันได้พูดพร่ำมากมายแบคฮยอนอะไรก็ฉวยปลายคางคยองซูขึ้นมา โน้มตัวลงไปบดเบียดริมฝีปากให้แนบชิด ปากนิ่มถูกดูดขบจนในที่สุดก็ต้องจำยอมปล่อยให้อีกคนล้ำเส้นเข้ามา คยองซูกำหัวไหล่แบคฮยอนเอาไว้ในขณะที่อีกมือก็ยันตัวเองไม่ให้ล้มลงนอนกับโต๊ะ
เสียงผ่อนลมหายใจแผ่วเบาเป็นสัญญาณว่าขาดอากาศหายใจนานเกินไป แบคฮยอนผละหน้าออกเพียงครู่เดียวให้อีกคนรวบอากาศเข้าปอด ยังไม่อิ่มอากาศก็ต้องเปลี่ยนมาอิ่มอย่างอื่นแทน สองขาเกาะเกี่ยวเอวแบคฮยอนไว้แน่นเพราะแขนที่ยันตัวเองกำลังอ่อนแรงลงเต็มที เผลอโอนอ่อนไปกับรสชาติของมะนาวแปปเดียวคยองซูก็โดนจู่โจมอีกแล้ว คราวนี้ไม่รอดแน่ๆ
หนึ่งเดือนผ่านไป
คยองซูปล่อยให้ระดับความสัมพันธ์กระชับแน่นแฟ้นขึ้นตามวันเวลา แบคฮยอนยอมลบทุกอย่างตามที่คยองซูขอ นับว่าเป็นก้าวแรกที่ดี ต่อจากนี้ไปเห็นทีว่าจะปล่อยให้กาลเวลาเป็นตัวพาไปไม่ได้เสียแล้วละ หน้ากระดานหมากรุกถูกกวาดลงด้วยมือของคยองซู เริ่มเกมส์ใหม่ในครั้งนี้คยองซูจะเป็นผู้คุมเกมส์ทั้งหมดเอง...
แต่ละวันที่พ้นผ่านมีเรื่องราวเยอะแยะที่แวะมาป่วนให้ต้องเครียด แต่อย่างน้อยเรื่องชวนปวดหัวนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงจนถึงกับต้องร้องไห้น้ำตาเล็ด หนึ่งเดือนที่แบคฮยอนไม่เคยพูดถึงพี่ดาร่า หนึ่งเดือนมันอาจจะดูน้อย แต่สำหรับคนที่เคยรักมากๆ การไม่ได้ยินข่าวคราวเพียงแค่วันสองวันก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจแล้วแล้วนับประสาอะไรกับหนึ่งเดือน
ต้นตอของหตุการณ์ทั้งหลายนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นภายในห้องสมุด แบคฮยอนพลิกตัวไปมาตามช่องว่างของพื้นแคบๆอย่างไม่เกรงใจคนที่กำลังเลือกหาหนังสืออยู่ คยองซูหรี่ตามองแบคฮยอนด้วยความหมั่นไส้ เขาใช้เท้าสะกิดเขี่ยแบคฮยอนเบาๆ
“ถ้าจะนอนก็กลับไปนอนที่หอเหอะ อย่ามาทำตัวเป็นเด็กดิวะ”
“ไม่เอา จะอยู่อ่านหนังสือกับมึง”
“ตอแหล อ่านหนังสือเชี่ยอะไร กูเห็นมึงเอาแต่กลิ้งไปกลิ้งมายังกับตัวพยาธิ” มึงไม่เปรียบเทียบกูกับกิ้งกือไส้เดือนด้วยเลยละจะได้เห็นภาพชัดเจน แบคฮยอนแบะปากแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ต่อไปนี้แบคฮยอนจะเลิกกินนม เพราะกินยังไงความยาวของกระดูกขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“ถ้างั้นเดี๋ยวกูไปหาหนังสือมาอ่านก็ได้ มึงไปรอที่โต๊ะกับไอ้เซฮุนก็แล้วกัน” แบคฮยอนจัดสภาพตัวเองให้ดูเป็นระเบียบแล้วก็เดินหายออกไปเลย คยองซูมองตามไปจนลับสายตา จากนั้นคนตัวผอมก็หอบหนังสือมาวางกองไว้บนโต๊ะที่มีเซฮุนนั่งอ่านอยู่ก่อนหน้าแล้ว วันนี้ว่างจัดก็เลยมาหาความรู้ใส่สมองกันบ้าง และพอคยองซูวางก้นแหมะ โอเซฮุนก็เปิดปากชวนคุย แล้วทีนี้กูจะได้อ่านไหมวะเนี่ย...
“ไอ้เตี้ยมันไปไหนอะ”
“เอ่อ...กูก็เตี้ยนะเซฮุน” คยองซูหัวเราะเก้อๆ เซฮุนพอได้ยินแบบนั้นก็เกือบหลุดขำ
“ลืมไปว่ามึงสองคนมันชอตคูปเปอร์” จ่ะ พ่อคนสูงโปร่ง มึงเคยนั่งอยู่ดีๆแล้ววูบไหม -_-
“อาฮะ กูถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน ไอ้แบคมันไปหาหนังสือมาอ่านอะ” พูดไปพลางหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน ดวงตากลมจดจ้องอยู่กับตัวอักษรในเล่มแต่ปากก็ยังตอบคำถามของเซฮุนอยู่เรื่อยๆ
“เออคยองซู กูมีเรื่องของไอ้ลู่กับไอ้คริสมาแฉ”
“ทำไม มันเจริญรอยตามกูกับไอ้แบคหรอ”
“เปล่า ไอ้เหี้ยสองตัวเนี่ยแม่งมันเจ้าแผนการมากเลยนะเว่ย กูแอบได้ยินมาว่าพวกมันไปเสล่อเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้คนอื่น ไอ้กูก็นึกว่าแผนของพวกมันจะดี ที่ไหนได้ นอกจากเขาจะไม่รักกันแล้วยังแทบจะฆ่ากันตาย โง่แล้วยังเสือกสะเออะไปเสือกเรื่องของคนอื่นอีก” จีบปากจีบคอเหลือเกินนะมึง คยองซูปรายตามองเซฮุนซึ่งเม้าส์มอยอย่างออกรส บางเรื่องฟังแล้วแทบสำลัก ไม่รู้ว่าเซฮุนไปเอาข่าวพวกนี้มาจากไหน
“นั่นไง นินทาปั๊บก็มาปึ๊บ” เซฮุนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ไอ้สองคนที่เพิ่งจะนินทาไปเมื่อกี้เดินหล่อคู่กันมาแต่ไกล ถุยเหอะ ทำตัวเยี่ยงกุ๊ย แต่จะไปว่าแล้ว ถ้าหากสองนั้นกุ๊ยก็คงจะกุ๊ยกันทั้งกลุ่ม เพราะคนเราถ้าเคมีมันไม่ตรงกันก็คงคบกันเป็นเพื่อนไม่ได้ เรียกว่าถ้าไม่เชี่ยเหมือนกันก็คงจะคุยกันไม่รู้เรื่อง
“เห้ย เห้ย เห้ย พวกมึง กูมีข่าวมาแจ้งให้ทราบ และกูต้องการความร่วมมือมากด้วย” ลู่หานหย่อนก้นลงนั่งข้างๆเซฮุนแล้วก็หันไปหลังแหวนใส่เซฮุนดังป้าบโทษฐานที่บังอาจมานั่งนินทากูในที่สาธารณะ
“ไอ้สัดกูเจ็บ มึงมีข่าวอะไรอะ ไปเสือกเรื่องของใครมาอีกละ”
“กูมีข่าวมาประชาสัมพันธ์เรื่องชมรมจิตอาสาของพวกกู” คยองซูละสายตาจากหนังสือแล้วเปลี่ยนท่านั่งให้สะดวกต่อการฟังในสิ่งที่ลู่หานกำลังจะบอก
“คือว่าตอนนั้นพวกกูไปขึ้นดอยกันมาแล้ว คราวนี้พวกกูก็จะเข้าไปสร้างโรงเรียนในชนบทแต่ก็ไม่เชิงว่าสร้างหรอก แค่ไปช่วยทาสีจัดข้าวจัดของแค่นั้นแหละ พวกมึงสนใจร่วมทริปเอาบุญไหม”
“บ้านนอก! ลำบากเปล่าๆ กูคนหนึ่งแหละที่ไม่ไป” เซฮุนถีบตัวเองออกจากการสนทนาทันที เรื่องอะไรเขาจะต้องหิ้วตัวเองไปเหนื่อยด้วยละ นอนตากแอร์ดึงขนจั๊กแร้อยู่บ้านสบายใจกว่า
“หัดทำบุญซะบ้างเหอะมึงอะ ชาติหน้าเกิดมาจะได้ไม่เป็นตุ๊ดแบบชาตินี้” คริสพูดหน้านิ่ง คนถูกด่าได้ยินแบบนี้ก็ของขึ้น คำว่าตุ๊ดเป็นคำต้องห้ามสำหรับโอเซฮุนเลยนะ!
“ไอ้คริสมึง!!”
“อะไรอีติ๋ม อีชะนีแม่ลูกอ่อน อิตุ๊ด!” คริสสวนกลับทันควัน เขาเคยได้ยินคำพวกนี้จากแฟนของเขา
“พวกมึงอย่าเสียงดังดิ เดี๋ยวแม่มึงก็เดินมาด่าหรอก เอาเป็นว่ากูตกลงจะไป” แม่ที่พูดถึงก็คงไม่พ้นบรรณารักษ์สาวใหญ่วัยใกล้เกษียณ คยองซูทำหน้าเบิกบานใจ ยังไงซะงานนี้เขาก็ต้องหิ้วแบคฮยอนไปด้วยกันให้ได้ ถือว่าเป็นกิจกรรมทำบุญที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง
“เซฮุนมึงจะไปหรือไม่ไปพวกกูตกลงไปกันหมดเลยนะเว่ย ถ้ามึงอยากอยู่แรดที่มหาลัยคนเดียวก็ตามใจ พวกกู ไอ้อี้ ไอ้จงแด ไอ้แบค ไปด้วยกันหมด” ที่เหมารวมแบคยอนไปด้วยก็เพราะว่าถ้าคยองซูไปยังไงซะแบคฮยอนก็คงไม่กล้าขัด เซฮุนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่สุดท้ายก็ยอมตกลงจะไปร่วมกิจกรรมด้วย
ขณะที่บรรยากาศกำลังครื้นเครง เด็กหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาขัดอารมณ์ของทุกคนให้หยุดชะงัก จะมีก็แต่คยองซูนี่แหละที่ดูดี๊ด๊ากว่าใครเพื่อน
“จงอิน มาได้ยังไงอะ” คยองซูเรียกอีกคนด้วยวาจาที่ดูสนิทสนม ทำเอาเพื่อนทั้งสามทำหน้าหวอกันไปตามระเบียบ
“เดินมาครับ” คยองซูหัวเราะแหะๆ คือรอบตัวกูนี่จะมีแต่คนกวนตีนหรอวะ
“ไม่ใช่ พี่หมายถึงนายมาทำไม”
“ผมตามพี่มานะครับ” จงอินยิ้มบางๆ เซฮุนเห็นแบบนั้นก็แบะปากพร้อมกับทำหน้าพะอืดพะอม
“ว่าแต่จะไปไหนกันหรอครับ ผมได้ยินแว่วๆ”
“อ๋อ จะไปทำกิจกรรมกับชมรมของลู่หานอะ ไปด้วยกันไหมจงอิน” สามตัวที่นั่งอยู่เบิกตาโพลง คยองซูคิดยังไงถึงได้ชวนจงอินไปด้วย ไปขัดความสุขกันชัดๆ
“ไปครับไป!” เด็กหนุ่มตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งมันดูน่าหมั่นไส้เหลือเกินในสายตาของคริสและลู่หาน จะตามไปม่อคยองซูนะสิไม่ว่า แล้วไอ้เชี่ยนี่เสือกก็ยอมให้เขาไป
“ว่าแต่เราจะไปกันเมื่อไรวะลู่หาน” คยองซูถามตาแป๋ว
“อีกสามวัน เตรียมแพ็คกระเป๋าได้เลย แต่เอาไปนิดเดียวก็พอ เพราะว่าพวกมึงได้นอนเต็นท์” คริสเป็นคนตอบแทนลู่หาน ลู่หานเองก็พยักหน้าตามๆกัน สองสหายคู่ซี้หันมามองหน้ากันแบบกร่อยๆ กะจะชวนไปแค่เพื่อนสนิท แต่ดันมีแขกไมได้รับเชิญพ่วงไปด้วย แม่งเอ้ย พังพินาศแน่งานนี้!!!
หลังจากคุณชายพยอนแบคฮยอนหอบหนังสือกลับมาอ่านที่โต๊ะได้สองสามเล่มเขาก็ต้องตกใจจนแทบจะลงไปดิ้นตายกับพื้น คยองซูบอกข่าวดีว่าจะพาไปร่วมทริปกับลู่หาน ไอ้ลู่หาน มึงอาศัยจังหวะตอนกูไม่อยู่ชักชวนคยองซูให้ไปร่วมทริปบรรลัยของพวกมึงใช่ไหม!!
“แบคฮยอนไม่เอาน่า ไปทำบุญนะท่องไว้ดิ”
“คยองซูอะ มึงไม่ถามกูสักคำวะว่าอยากไปไหม แม่ง เชี่ย” คยองซูปิดหนังสือแล้วหันไปนั่งคุยแบบจริงๆจังๆ อะไรกันหนักหนาก็แค่ไปทาสีโรงเรียนในชนบท มึงบ่นซะยังกับว่าจะพาไปสร้างสนามฟุตบอล
“มึงกับเซฮุนนี่พอกันเลยนะ สันดารขี้เกียจ หน้าตาไม่ดีแล้วยังไร้น้ำใจอีก” เซฮุนถูจมูกฟุดฟิด กูนั่งของกูอยู่ดีๆก็กลายเป็นคนไร้น้ำใจ แถมยังเป็นกรณีตัวอย่างที่น่ายกย่องมากๆเสียด้วย -_-
“อ้าว ไอ้คยองซู ไมมึงพูดหมาๆแบบนี้อะ หน้าแบบกูหรอไร้น้ำใจ กูก็ตกลงจะไปแล้วไง” เซฮุนฉุน
“เออๆ โทษทีวะ งั้นแบคฮยอน มึงนั่นแหละที่ไร้น้ำใจ ส่วนเซฮุน ตอนนี้มันมีน้ำใจแล้ว” หน้ามือเป็นหลังตีนเลยนะครับคยองซู เซฮุนแอบทำหน้าลิงใส่โดยที่คยองซูไม่ทันได้เห็น
“คยองซูอะ มึงอะ มึงแม่ง กูจะร้องไห้แล้วนะ” แบคฮยอนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ หรือว่ามึงจะมีปมด้อยเกี่ยวกับชนบทวะถึงได้ทำตัวไม่อยากไปเหยียบ
“ทำไมมึงเป็นอะไร มึงมีความหลังกับชนบทรึไง” คยองซูถาม
“เปล่าหรอก เมื่อคืนกูฝันไม่ค่อยดีเลยวะ กูเลยไม่อยากไป กูฝันว่านั่งตอกตะปูอยุ่ดีๆค้อนก็ทุบนิ้วกูจนเลือดแตกกระเซ็น กูร้องไห้ ความรู้สึกในฝันคือกูโคตรเจ็บ” เล่าเรื่องในฝันไปพลางลูบนิ้วตัวเองไป คิดแล้วยังซี้ไม่หาย เป็นฝันที่เหมือนจริงมากจนเขาละเมอร้องไห้ออกมา
“แค่ฝันนะแบคฮยอน เดี๋ยวเย็นนี้กูพาไปอ่านหนังสือดูดวงดีปะ ทำนายฝันอะไรพวกนี้” เซฮุนฟุดฟิดจมูกอีกครั้งเมื่อเริ่มค้นพบว่าตัวเองกำลังถูกสังคมเขี่ยทิ้งอย่างเชื่องช้า รู้สึกว่าตัวเขาลีบลงๆเรื่อยๆ นี่กูเป็นส่วนเกินของพวกมึงสินะ โอเซฮุนอยากจะร้องไห้ แต่ก็ยังกล้ำกลืนนั่งฟังบทสนทนาของแบคฮยอนกับคยองซูต่อไปเรื่อยๆ ภาวนาว่าขอให้มันเลิกทำตัวงุ้งงิ้งกันสักที เซฮุนใจจะขาดตายด้วยความอิจฉาแล้วครับ!
ที่ร้านหนังสือ คยองซูเดินนำทางแบคฮยอนไปยังโซนของหนังสือที่รวบรวมเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างชำนาญพื้นที่ แบคฮยอนยืนมองคยองซูที่กำลังเลือกหาหนังสือด้วยสายตาจริงจัง เชื่อแล้วละว่าคยองซูชอบเรื่องจำพวกนี้มากจริงๆ พอหยิบเจอก็เปิดมาพลิกๆแล้วอ่าน แต่ก่อนที่จะอ่านก็ถูกแบคฮยอนเบรกเอาไว้ก่อน
“มึงรู้หรอว่ากูเกิดวันไหนปีไหนเดือนไหน”
“กูรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมึง” คยองซูตอบแล้วเริ่มอ่านให้แบคฮยอนฟัง ไล่ตั้งแต่บรรทัดที่ขึ้นหัวข้อจนมาถึงบรรทัดสำคัญ คยองซูย้ำให้แบคฮยอนฟังดีๆเพราะนี่จะเป็นการเริ่มทำนายดวงแล้ว
“ฝันว่าถูกค้อนทุบนิ้ว ชีวิตครอบครัวจะระหองระแหง...” แต่บังเอิญว่ากูยังไม่มีครอบครัวเลยนะ แบคฮยอนแอบค้านในใจ เริ่มมาก้าวแรกก็ไม่น่าเชื่อถือซะแล้ว
“...ดวงด้านการงาน จะมีมิตรสหายคอยให้ความช่วยเหลือ ดวงด้านความรัก สิ่งที่รอมานานจะประสบผลสำเร็จ” คยองซูขมวดคิ้วแน่นแล้วรีบพลิกกลับไปอ่านราศีของตัวเอง
“ไอ้แบคนี่ดวงของกูนะ ดวงด้านการงาน อยู่ในเกณฑ์ดี ถ้าขยันกว่านี้จะรุ่ง มีคนอายุน้อยกว่าคอยให้ความช่วยเหลือ ด้านความรัก.....” คยองซูเงยหน้าขึ้นแล้วทำท่าเหมือนจะปิดหนังสือลงแต่แบคฮยอนก็ขอร้องให้อ่านต่อให้จบ
“ด้านความรัก ระวังน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า” คนอ่านสูดหายใจเข้าลึกแล้วรีบปิดหนังสือจัดการยัดมันลงไปในล็อคเก่าที่ดึงออกมา ถ้าเป็นกระดาษเซียมซีนะคยองซูจะขยำแล้วปาทิ้งไปซะเพื่อที่มันจะได้ไม่เกิดขึ้นจริงตามคำทำนาย
“ไม่เอาน่าคยองซู มันไม่จริงหรอก กูบอกแล้วไงว่าอย่าไปเชื่อเรื่องพวกนี้มาก แล้วดูดิ ถ้ารู้ว่าอ่านแล้วจะทำให้มึงหน้าบูดขนาดนี้นะกูไม่ให้มึงพามาไอ้ร้านหนังสือนี่หรอก”
“มึงก็พูดง่ายสิ ดววงมึงมีแต่ดีๆทั้งนั้น” คยองซูทำตัวงอแง เขาเดินออกจากร้านด้วยใบหน้าหมองหม่น กลัวว่าถ้าเป็นจริงตามคำทำนายขึ้นมาเขาคงจะต้องเสียใจไปอีกนาน
“คยองซูไม่เอานะ ไม่ทำหน้าแบบนี้” แบคฮยอนเดินตามมาติดๆ
“แบคฮยอนกูกลัว”
“มึงไม่ต้องกลัวหรอก น้ำตามึงไม่เช็ดหัวเข่าหรอก มึงไม่ต้องกลัวนะ” แบคฮยอนจับมือคยองซุเอาไว้หลวมๆก่อนจะค่อยกระชับฝ่ามือให้แน่นขึ้น อยากจะสร้างความเชื่อใจให้กับคยองซู แต่เขาเองก็ยังไม่ไว้ใจตัวเองเลย
“แบคฮยอนสัญญาอีกครั้งได้ไหมว่า...” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคแบคฮยอนก็สะดุ้งตัวเพราะมีสายเรียกเข้าดังขัดจังหวะออกมาจากกระเป๋ากางเกง แบคฮยอนล้วงมือเข้าไปกดรับโทรศัพท์แล้วตีหน้ายุ่ง
“ไอ้เชี่ยลู่ มึงสร้างปัญหาอีกแล้วหรอวะ!” ปลายสายลุกลี้ลุกลนให้แบคฮยอนรีบมาที่ร้านซ่อมรถ เนื่องจากหนึ่งเงินในโทรศัพท์ขอเขากำลังจะหมด และสองมันกำลังจะถูกพนักงานที่อู่ซ่อมรถไล่ตี
“คยองซูไปหาไอ้ลู่กับคริสเหอะ เดี๋ยวมันจะตาย” คยองซูเงอะงะแต่ก็ยอมเดินตามต้อยๆ อู่ซ่อมรถที่ว่านี่ก็อยู่ใกล้ๆกันซะด้วย อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น และพอไปถึงกว่าแบคฮยอนจะห้ามศึกได้ก็เกือบโดนไขควงฟาดกบาลแยก ดีนะที่คยองซูยังพอห้ามปราบพวกช่างได้บ้าง นี่ที่ถูกไล่ตีก็เพราะไปกวนตีนเขาละสิพวกมึง พอได้ที่นั่งเงียบๆคุยกันแบคฮยอนก็เปิดปากถามถึงสาเหตุของารมาอู่ของคริสและลู่หาน ได้คำตอบกลับมาว่าเอารสบัสของมหา’ลัยมาซ่อม เพราะอีกสามวันต้องใช้มันเป็นยานพาหนะเดินทาง
“เกือบไปแล้วดิพวกมึง สันดารจริงๆ นี่ถ้ากูกับคยองซูมาไม่ทันมึงไม่ดับอนาถไปแล้วหรอวะ”
“พระคุณครั้งนี้กูจะไม่ลืมเลยครับพี่แบคฮยอน!!” ลู่หานประชดประชัน หนอยเขาไม่ได้เป็นคนก่อเรื่องสักหน่อย อยากจะตะโกนอัดแก้วหูแบคฮยอนจริงๆเลยว่า กูไม่ได้ทำ ไอ้เชี่ยคริสต่างหากโว้ย!!!!!
หมดเรื่องหมดราวกันสักที แบคฮยอนเดินต้อยๆพลางดูดน้ำในแก้วจนเหลือเพียงเสียงดูอากาศ คยองซูทุบหลังแบคฮยอนให้อีกคนเลิกทำเสียงน่ารำคาญ
“เห้ยพอเหอะ รำคาญวะ ดูดอยู่นั่นแหละ ชอบดูดนักหรอมึงอะ” คยองซูมองค้อน
“มึงคิดว่ากูชอบดูดไหมละ ไม่น่าถาม”
“บ้า”
“อะไรครับอะไร กูบ้าตรงไหนเนี่ย” แบคฮยอนเกาหัวแกรกๆ เขาเดินเข้าใก้ลถังขยะแล้วก็จัดการโยนแก้วน้ำที่หมดประโยชน์ลงถังไปซะ
“ช่างเหอะ ไม่มีอะไรหรอก” คยองซูตอบปัดๆไป ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด ขี้เกียจทะเลาะกับแบคฮยอนด้วยเรื่องไร้สาระ แต่บทจะเงียบก็เงียบกริบจนไม่ได้ยินอะไรเลย สุดท้ายคยองซูก็จำใจต้องชวนคุยอีกครั้ง
“แบคฮยอนมึงว่าท้องฟ้าวันนี้สวยปะวะ”
“มึงถามเหี้ยอะไรเนี่ย คืนเดือนมืดเนี่ยนะสวย” แบคฮยอนแหงนหน้าขึ้นไปมองพร้อมกับทำตัวเนียนเดินไปโอบไหล่คยองซูเอาไว้ ใบหน้าเรียวยาวถึงจะแหงนขึ้นมองฟ้าแต่สายตาก็ยังจับจ้องอยู่ที่คยองซู
“แบคฮยอนมึงไม่รู้รึไงว่าถึงจะมืดแค่ไหนพระจันทร์ก็ยังอยู่ที่เดิม ถึงจะมองไม่เห็นก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่มีสักหน่อย” คยองซูพูดเหมือนคนที่สติล่องลอยขึ้นไปดวงจันทร์แล้ว ทั้งที่ถูกจ้องมองอยู่เจ้าตัวก็ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
“กูเชื่อ ถึงจะมองไม่เห็นก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่ แต่สิ่งที่กูมองเห็นตอนนี้นะ มันมีอยู่จริง” คยองซูลดศีรษะลงแล้วหันหน้ามองแบคฮยอนด้วยความสงสัย แต่ฉับพลันหัวใจก็กระตุกวูบ ดวงตาที่จ้องมองอยู่ก่อนหน้าอ่อนโยนและอบอุ่น ถนนเส้นเปลี่ยวที่เป็นทางยาวทอดไปสู่หอพักมีคนสองคนยืนจ้องตากันอยู่ด้วยหัวใจที่เต้นรัว คยองซูรู้ตัวว่าใบหน้าเขาร้อนสักแค่ไหน ร้อนตั้งแต่ปลายนิ้วจนไปจรดอยู่ที่พวงแก้ม
“เขินหรอ” แบคฮยอนถาม
“ไม่ได้เขินหรอก แค่ตกใจ ก็เล่นหันมาแล้วเจอมึงจ้องอยู่แบบนี้กูก็ตกใจดิ” คยองซูเองก็ตอบกลับไปเสียงแผ่วเบา ยิ่งประโยคช่วงท้ายก็ยิ่งขาดห่วงจนแทบจะจับใจความไม่ได้
“อย่าโกหกดิ ขอฟังให้ชื่นใจหน่อย” เจ้าของใบหน้าร้อนผ่าวก้มหน้าลงน้อย ใจเต้นตึกตักเหมือนจะหลุดกระเด็นออกจากอก บ้าที่สุด ขยับตัวยังทำไม่ได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับขยับปากพูด คยองซูสะบัดหัวตัวเองแรงๆแล้วรีบวิ่งหนีออกให้พ้นจากรัศมีอ้อมแขนของแบคฮยอน เขาวิ่งนำหน้าแบคฮยอนลิ่วจนแบคฮยอนต้องร้องตะโกนห้ามว่าอย่าวิ่ง
“ถ้าล้มขึ้นมากูไม่ลากกลับนะเว่ย!!” พูดไม่ทันขาดคำ คยองซูก็สะดุดกระป๋องโค้กจนล้มหัวทิ่มหน้าคะมำ แล้วจากนั้นคยองซูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของแบคฮยอนวิ่งตามมา จนมาหยุดนั่งย่อตัวลงข้างๆ นางเอกละครหลังข่าวมาเองสินะแบบนี้
“นางเอกมากหรอมึงอะ กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าวิ่ง”
“ก็...”
“ก็อะไรครับ ก็อะไรของมึง” ไอ้บ้าแบคฮยอน มึงก็น่าจะเดาออกแล้วยังมีหน้ามาถามอีก อยากแดกรองเท้ากูสักข้างเป็นรางวัลไหม แบคฮยอนลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือส่งไปให้คยองซูจับเอาไว้ พอยึดมือกันแน่นพอแล้วแบคฮยอนก็ดึงให้คยองซูลุกขึ้นจากพื้นถนน
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า” เจ็บตรงใจวะ นี่เต้นแรงจนปวดหนึบไปหมดแล้วเนี่ย
“คยองซู” อะไรเรียกทำส้นตีนอะไร
“สติมึงยังอยู่ปะเนี่ย”
“ห้ะ!!” คยองซูตัวกระตุก เขามองหน้าแบคฮยอนปริบๆ อ้าว นึกว่าตอบไปแล้วที่ไหนได้แค่ตอบทางความคิด คยองซูแกว่งมือตัวเองไปมาเหมือนกับว่ามันรู้สึกเก้อๆแบบประหลาดๆ เหมือนมันไม่ใช่ตัวของตัวเองเลย...
“ขี่หลังไหม” แบคฮยอนถาม
“ไม่เป็นไรหรอก กูเดินเองได้ กูไม่เจ็บ”
“มึงไม่เป็นไรแต่กูเป็นห่วง” แบคฮยอนเดินไปข้างหน้าแล้วค่อมหลังลงเล็กน้อย เขาตบหลังตัวเองให้คยองซูกระโดดขึ้นมาแต่อีกคนก็ยังนิ่ง
“นับหนึ่งถึงสามถ้าไม่ขี่หลังจะอุ้มพาดบ่า” คยองซูกระโดดขึ้นหลังโดยไม่บอกกล่าวจนแทบจะล้มคว่ำกันทั้งคู่ แบคฮยอนแอบสถบด่าในใจ คยองซูทำตัวเหมือนพวกสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ไม่ต้องบ่นเลยนะ เดินไปจนถึงห้องนั่นแหละ” คยองซูร้องห้ามขึ้นมาก่อนที่แบคฮยอนจะอ้าปากบ่นเสียอีก ดักทางไว้ก่อนแหละ เดี๋ยวแบคฮยอนจะหาว่าคยองซูตัวหนักอีก
พอมาถึงห้องแบคฮยอนก็ชิ่งไปอาบน้ำก่อนปล่อยให้คยองซูนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ร่างผอมเดินมาที่ระเบียงห้องแล้วเกาะราวเหล็กทอดสายตามองทองฟ้าที่มืดสนิท เหม่อมองอยู่แบบนั้นนานมากจนมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีกลิ่นสบู่ลอยมาโชยใกล้ๆตัวนี่แหละ เป็นแบคฮยอนที่เดินมาสวมกอดจากข้างหลัง
“มึงมองหาพระจันทร์หรอวะ”
“อือ บางทีอาจจะซ่อนอยู่ตามเมฆก็ได้”
“ขนาดดาวสักดวงยังไม่มีเลย วันนี้มองไม่เห็นหรอกพระจันทร์อะ ไว้ค่อยดูพรุ่งนี้ดีกว่า พระจันทร์อะ จะดูวันไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ” แบคฮยอนกระชับอ้อมกอด จมูกโด่งกดแนบลงกับแก้มนิ่มเบาๆก่อนจะแหงนมองหาพระจันทร์เป็นเพื่อนคยองซู
“แบคฮยอน... แต่ว่าพรุ่งนี้อากาศอาจจะไม่ดีเท่าวันนี้ก็ได้นะ” คยองซูเอนหัวลงซบกับไหล่ของแบคฮยอน ปล่อยให้ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดช่วงคอเขาอยู่อย่างนั้น
“คยองซูตราบใดที่ยืนดูกับมึงนะ ไม่มีวันไหนหรอกที่อากาศจะไม่ดี” อากาศดีๆกับคนที่รู้สึกดี แบคฮยอนมองหน้าคยองซูนิ่ง ขอแค่อีกคนหันหน้ากลับมาแบคฮยอนจะระบายบางอย่างที่คาอยู่ในใจออกมาให้อีกคนได้รู้ ชั่วอึดใจเดียวที่จ้องมองตาไม่กระพริบคยองซูก็ชักสายตากลับมาปะทะกันเข้าพอดี แบคฮยอนไม่จ้องตากันให้เสียเวลา เขาโน้มลงจูบแนบกับริมฝีปากอิ่มตึงของอีกคนแผ่วเบา จนหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆตามน้ำหนัก ดึงดูดให้เข้าหาและไม่สามารถละออกมาได้
คยองซูบีบท่อนแขนที่คล้องเอวเขาอยู่เบาๆคลายความระทึกสั่นไหวของหัวใจ หัวใจของเขากำลังเต้นอย่างรุนแรงอีกแล้ว จูบอ่อนโยนและนุ่มละมุนติดตรึงลงไปกับริมฝีปากอยู่เนิ่นนาน แลกชิมความอ่อนหวานจากปลายลิ้น จูบที่หนักหน่วงแต่ก็อ่อนโยนบังคับให้คยองซูต้องเข่าอ่อนลงอย่างห้ามไม่ได้ แบคฮยอนรั้งเอวอีกคนเอาไว้ไม่ให้ตัวทรุด ดวงตาที่ปิดมืดสนิทเหมือนกับคืนเดือนมืด แบคฮยอนมองไม่เห็นอะไร แต่รับรู้ได้ทุกสิ่งอย่าง...
รับรู้ได้ว่ารู้สึกดีเหลือเกิน....
TBC
เพราะไม่น่าจะมีใครกดแบนหรอก แต่เราพลาดเอง.
ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายจิตใจคะ 555'
ความคิดเห็น