กว่าจะมาเป็นราชาปีศาจ ต้องเหนือยิ่งกว่าฟ้าเเละต้องท้าลิขิต
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ นิยายวาย Tags : นิยายวายจีนโบราณ, กำลังภายใน, yaoi, เทพเซียน, นิยายวาย, ชายรักชาย, นายเอกเเมน, นิยายวายเเนะนำ, นิยายวายจีน
ผู้แต่ง : เทพแห่งกาล
My.iD :
https://my.dek-d.com/ma_nowhermestime/writer/
ตอนที่ 14 : บทที่ 10 เลือดตกยางออกครั้งแรก! (รีไรท์ครั้งที่1)
บทที่ 10 เลือดตกยางออกครั้งแรก!
“ลูกแก้วตรึงวิญญาณ?”
ไป๋จิ้นกว่างทวนคำที่อีกฝ่ายเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ เกิดมาแม้แต่ชื่อก็ไม่เคยได้ยิน แล้วเขาจะไปมีสิ่งนั้นได้อย่างไร ไอ้หนุ่มนี่ต้องเข้าใจอะไรผิดแน่
“นึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ช่างเถอะ…” ชายหนุ่มตรงหน้าเหมือนทำหน้ารำคาญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาซัดมือซ้ายเล็งจุดตายของเขาอย่างไม่เสียเวลา
“เฮ้ย!” ไป๋จิ้นกว่างตกใจยกพัดขึ้นมากันโดยอัตโนมัติแบบไม่ได้ตั้งใจจะกัน แต่กันขึ้นมาเองด้วยความตกใจ
พัดที่อยู่ในมือนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่พัดธรรมดา แต่เป็นพัดที่ใช้ต่อสู้ประหัตประหารคู่ต่อสู้ ด้วยสุดยอดวิชาอาคมสุดแกร่งของเจ้าของเดิมที่ดูซับปราณทิพย์พลังภายในจากผู้ใช้และพลังธรรมชาติ ไปเสริมย่อมแข็งแกร่งรับกรงเล็บเหล็กดำนั้นเอาไว้ได้ คนจู่โจมเมื่อเห็นไป๋จิ้นกว่างรับกรงเล็บเหล็กดำของตนไว้ด้วยพัดหน้าตาธรรมดาๆก็หน้าเปลี่ยน ถึงจะบอกว่าเปลี่ยนแต่ก็เปลี่ยนแค่นิดเดียว เพียงมุมปากได้รูปนั้นกระตุกหน่อยๆ
การจู่โจมไม่ได้จบแค่นั้น ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสองสีเปลี่ยนกระบวนท่าซัดฝ่ามืออีกข้างใส่อย่างไร้ความปรานี ไป๋จิ้นกว่างที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการต่อสู้จริงหวาดวิตกอยู่ไม่น้อย แต่กระนั้นด้วยร่างกายที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ของไป๋จิ้นกว่างคนก่อน ทำให้ไป๋จิ้นกว่างเวลานี้พอรับมือได้อยู่หลายกระบวนท่าทีเดียว อีกฝ่ายออกแต่กระบวนท่าที่ดุดันพละกำลังก็มหาศาล ลมปราณก็แข็งแกร่ง ได้สู้จริงทั้งที สวรรค์ดันส่งคนที่เหมือนบอสใหญ่ของเรื่องมาสู้กับเขาเสียอย่างนั้น ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
ไป๋จิ้นกว่างรวบรวมพลังธาตุสายลม โบกสะบัดพัดในมือควบคุมลมหมุนดั่งวายุคลั่งใส่ อีกฝ่ายจึงยกท่อนแขนที่มีปลอกแขนเหล็กสีดำขึ้นมาตั้งการ์ด สองเท้ายืนหยั่งตรึงพื้นที่แต่ดูเหมือนว่าลมหมุนจะรุนแรงอย่างที่อีกฝ่ายคาดไม่ถึงจนกระทั่งต้านไว้ไม่อยู่ ทางนั้นกระเด็นออกไปกระแทกกับกำแพงหินจนพังยับโครมใหญ่ ทำให้เศษฝุ่นดินหินกระจัดกระจายกลายเป็นหมอกควันพรางทุกอย่างจากสายตาของไป๋จิ้นกว่าง
วิชาอาคมแสนร้ายกาจแม้แต่ตัวผู้ใช้เองยังอึ้ง เขาตะลึงกับผลงานของตนเอง ไป๋จิ้นกว่างแอบเหงื่อตก ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยฆ่าคน หากหมอนั่นตาย เขาจะเป็นฆาตกรหรือเปล่ากันล่ะเนี่ย คิดแล้วก็หนาวขึ้นมาจนเผลอยกมือขึ้นมาลูบหน้า
แต่ดูเหมือนความกังวลใจของเขาจะเสียเปล่า ชายหนุ่มในชุดดำพลิ้วไหวค่อยๆลุกขึ้นมาจากกองซากหิน แม้จะบาดเจ็บมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก แต่สีหน้าอีกฝ่ายกลับราบเรียบราวหุ่นลองเสื้อตามห้างสรรพสินค้าอย่างไรอย่างนั้น
ซวยแล้ว…ไปจิ้นกว่างลอบคิดในใจ กลับมาตั้งท่าเตรียมรับมืออีกครั้ง
ชายหนุ่มชุดดำโคจรปราณกำลังภายใน กรงเล็บเหล็กแวววาวพร้อมกับพุงตรงมาเพื่อมุ่งจู่โจมไป๋จิ้นกว่าง!
การต่อสู้ดำเนินไป ปะทะกันด้วยกระบวนท่าตรงๆ ไป๋จิ้นกว่างก็เสียเปรียบด้านกระบวนท่า ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะถนัดการจู่โจมระยะประชิด ส่วนวิชาอาคมของไปจิ้นกว่างเป็นวิชาที่อยู่ในระยะกลาง เขาจึงค่อนข้างเสีย ผนวกกับที่ครั้งนี้เป็นประสบการณ์ในการต่อสู้จริงของเขาครั้งแรก พอรับมือได้อยู่บ้าง
แต่ทว่าเสียเปรียบก็คือเสียเปรียบ…
และแล้วก็ถึงคราวที่ไป๋จิ้นกว่างพลาดขึ้นมาจริงๆ ฝ่ามือของของอีกฝ่ายซัดโดนเข้าไปที่กลางหน้าอก ซึ่งมันเจ็บมาก… ความรู้สึกเหมือนโดนสิ่งของขนาดใหญ่ชนเข้าเต็มแรงที่กลางอก เขาเซถอยหลังออกไปตั้งหลัก เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายพักช่วงเพื่อโคจรพลังพอดี ใช่แล้ว…หากออกกระบวนท่าด้วยกำลังภายใน ต้องมีระยะเวลาหนึ่งที่ต้องเริ่มโคจรพลังให้กลับเข้าที่เข้าทาง หากปล่อยออกไปเรื่อยๆ อีกฝ่ายจะต้องเสียกำลังภายในมาก
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมอีกฝ่ายไม่ซ้ำเขาอีกฝ่ามือ และดูท่าว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกวิชายุทธ์เสียด้วย ต่างกับเขาที่เป็นผู้ฝึกวิชาอาคม หากถามว่าผู้ฝึกวิชาอาคมกับผู้ฝึกวิชายุทธ์ต่างกันเช่นไร? สามารถเข้าใจได้ดังนี้ ผู้ฝึกยุทธ์มีร่างกายเหมือนเป็นอาวุธ โคจรปราณแบบระเบิดพลังกายเข้าปะทะเหมือนนักดาบ มีร่างกายแข็งแกรงดุจหินผา แต่ผู้ฝึกวิชาอาคม เหมือนควบคุมปราณทิพย์จากภายในร่างกาย หรือดูดซับปราณทิพย์จากสิ่งของภายนอกมาเป็นพลังของตนเอง แปรเปลี่ยนเป็นธาตุพลังซัดใส่อีกฝ่าย หรือก็คือจอมเวทย์นั่นเอง
แต่ตอนนี้ไป๋จิ้นกว่างรู้สึกเหนื่อย แต่เดิมร่างายของไป๋จิ้นกว่างก็ยังไม่กลับมาอยู่ในสภาพหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แถมอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก พอคิดว่าวันนี้อาจจะเป็นวันตายของเขาก็ได้ เขาก็เริ่มรู้สึกกังวล หันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่โคจรพลังเสร็จพอดี ซึ่งปกติก็ใช้เวลาไม่นานหรอกในการโคจรพลัง ไป๋จิ้นก็ถือจังหวะนั้นโคจรปราณทิพย์เสร็จไปแล้วเช่นกัน
“ส่งลูกแก้วตรึงวิญญาญมา” อีกฝ่ายยื่นมือมาทางเขา แววตาบ่งบอกว่า หากไม่ส่งมาชะตากรรมกรรมของเขาจะแหลกเละไม่มีชิ้นดี
ไป๋จิ้นกว่างก็ชักหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน เขาถอนหายใจแรงไม่เหลือมาดอาจารย์ไป๋จิ้นกว่างที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาเลยแม้แต่น้อย
“ข้าไม่รู้จักสิ่งนั้น ต่อให้เจ้าจับข้าไปทรมานเพื่อรีดข้อมูล เจ้าก็จะไม่มีวันได้อะไร เพราะข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เข้าใจไหม”
“ไร้ยางอาย ไป๋จิ้นกว่างไอ้แก่เจ้าเล่ห์” จากสีหน้าราบเรียบแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆสองข้าง อีกฝ่ายแลดูเหมือนสัตว์ร้ายก็กล่าวไม่เกินจริงนัก
แต่เดี๋ยวก่อน…ไป๋จิ้นกว่างรู้สึกปรี๊ดขึ้นมาต้องขมับ กับคำว่าหยาบคาย ‘ไอ้แก่เจ้าเล่ห์’ นี่มันเกินไปแล้วเฮ้ย ตรูเพิ่งอายุ30ต้นๆ ไอ้เด็กเวร วันนี้เดี๋ยวข้าจะสอนเจ้าแทนบิดามารดาเจ้าเอง ไม่สิ เรื่องนั้นช่างมันก่อน
“เจ้าจำคนผิดหรือเปล่า”
“ข้ารู้สึกได้ ว่ามันอยู่กับเจ้า” อีกฝ่ายชี้มาที่อกเขา
แค่รู้สึกเนี่ยนะ เหมือนโดนโบ้ยใส่อย่างไม่มีสาเหตุ เพราะอคติส่วนตัวอย่างไรอย่างนั้น…
ไป๋จิ้นกว่างนวดขมับ พยายามคิดเรื่องที่ตาแก่ไป๋จิ้นกว่างคนก่อนว่ามีอะไรที่ยังไม่ได้บอกเขาอีก หรือบอกแต่เขากลับจำไม่ได้เสียเอง
บัดซบ… ปัญหามาอีกแล้ว แถมยังเป็นปัญหาของคนอื่น จะทำยังไงกับเรื่องนี้ดีนะ มันน่ารำคาญสุดๆไปเลย..
การที่อีกฝ่ายเห็นไป๋จิ้นกว่างยืนถือพัดด้วยท่วงท่าไว้ซึ่งความสง่างามน่าเกรงขาม แถมยังออกอาการถอนหายใจแรงไปหลายรอบ มันทำให้รู้สึกเหมือนว่าตนกำลังโดนดูถูก และเมื่อมาทวงของแล้วกลับไม่ได้คืน ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
เขาคือหยางเจิ้งเฉิน หรือลูกชายของประมุขมารฟ้าหยางอี้เฉา เป็นเผ่ามาร มีฝีมือเก่งกาจกว่าพี่น้องคนอื่นอย่างโดดเด่น ด้วยความที่มีแม่เป็นมนุษย์ เขาผู้นี้จึงเป็นลูกครึ่งเผ่ามารที่ไม่เข้าไม่ค่อยได้กับพี่น้องคนอื่นนัก
เขาเดินทางรอมแรมออกมาจากเผ่ามารมาร่วมหนึ่งเดือนกว่า เพราะได้รับภารกิจจากพระบิดาให้นำลูกแก้วตรึงวิญญาณจากไป๋จิ้นกว่างเซียนระดับปรมาจารย์ที่อยู่บนเขาเซียน สำนักอวิ๋นซาน ที่ต้องทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากพระบิดา เพราะเขาทำเพื่อพระมารดาคนเดียวของเขา
เมื่อได้พบกับเป้าหมายอย่างไป๋จิ้นกว่างตามเข็มทิศวิเศษชี้ทางบอก เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นโฉมหน้าเซียนระดับปรมาจารย์ ไม่นึกว่าจะยังหนุ่มแน่นขนาดนี้ ที่หยางเจ้งเฉินคิดเอาไว้ต้องเป็นตาแก่หงำเหงือก แต่ผิดคาด นั่นทำให้ลังเลอยู่ไม่น้อย แต่เข็มทิศวิเศษก็ยังชี้คงไปที่คนๆนี้ เข็มทิศวิเศษนี้ใช้ระบุหาลูกแก้วตรึงวิญญาณมันจึงค่อนข้างที่จะสะดวก ดังนั้นไม่ผิดตัว
ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้คือไป๋จิ้นกว่างไม่ผิดแน่
ไป๋จิ้นกว่างรู้ตัวดีว่าตนอาจจะต่อกรกับชายหนุ่มตรงหน้าได้ไม่นาน ด้วยความที่เลือดลมปราณของตนยังไม่เข้าที่เข้าทางมาแต่ไหนแต่ไรตั้งแต่มาอยู่ในร่างนี้ แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย ทว่าจิตใจที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งทำให้ไป๋จิ้นกว่างยังคนยืนสง่างามได้อยู่ ตอนนี้มีเพียงแต่ต้องใจเย็นเท่านั้น เพราะไป๋จิ้นกว่างก็วิเคราะห์อีกฝ่ายไว้อยู่ไม่น้อย
อีกฝ่ายน่าจะอายุสักราวๆ20 ไม่เกิน25 ปี แม้จะดูเยือกเย็น แต่ภายในน่าจะเป็นคนที่สะสมเก็บอารมณ์เลือดร้อนเอาไว้อยู่ไม่น้อย ที่สำคัญต่อให้เขาพ่ายแพ้หมดรูป ชายหนุ่มตรงหน้าก็ไม่น่าจะฆ่าเขาจนกว่าจะได้ลูกแก้วอะไรที่ว่านั่นคืน หนทางในการรอดครั้งนี้ของเขา อาจต้องถ่วงเวลาอย่างน้อยก็จนกว่าจะมีใครจับความผิดปกติของเมืองนี้ได้… และหากเรื่องนี้ไปถึงหูเจ้าสำนักฉางชิงเค่อ ทางนั้นจะต้องหาทางมาช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน
“ส่งลูกแก้วตรึงวิญญาณมา” หยางเจิ้งเฉินย้ำเตือนอีกครั้ง ดวงตาสองสีคู่นั้นมีประกายกร้าวกดดันอย่างรุนแรง ทำเอาคู่กรณีแอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่น
“ก็บอกไปแล้วว่า ไม่รู้ว่ามันคืออะไร” ไป๋จิ้นกว่างพยายามเก็บน้ำเสียงให้ราบเรียบปกติที่สุด
“อย่างงั้นเหรอ” หยางเจิ้งเฉินหาได้เชื่อในคำพูดไป๋จิ้นกว่าง เจ้าตัวเดินเข้ามาประชิดตัวไป๋จิ้นกว่างทันที แม้แต่ไป๋จิ้นกว่างก็ไม่ทันได้ตั้งตัว เรียกได้ว่านี่ค่อนข้างเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะใช้วิชาก้าวพริบตา
การถูกประชิดตัวอย่างไม่คาดฝันเล่นเอาไป๋จิ้นกว่างยืนทำหน้าอึ้งเงยหน้ามองอีกฝ่าย พอหยางเจิ้งเฉินเข้ามายืนชิดขนาดนี้แล้ว ถึงได้รู้ส่วนสูงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
คนบ้าอะไรจะสูงขนาดนี้ ไป๋จิ้นกว่างไม่ใช่คนตัวเตี้ย เขาค่อนข้างที่จะสูงมากพอตัว แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับตัวสูงกว่าเขาอีก
“ว่ากันว่าไป๋จิ้นกว่างโดนทำร้ายจนสูญเสียความสามารถไปครึ่งหนึ่งของความเก่งกาจ ท่าจะเป็นเรื่องจริงสินะ…” หยางเจิ้งเฉินเอ่ยออกมาขณะก้มมองไป๋จิ้นกว่างที่สูงเพียงแค่ช่วงปลายปลายคางของตน แต่ความสูงของอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ แต่เป็นปฏิกิริยาเชื่องช้าของไป๋จิ้นกว่างต่างหาก ชายคนนี้ดูอ่อนแอ และบอบบางกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก
เพราะมัวแต่ตกตะลึงกับการที่อีกฝ่ายตัวสูงมากกับใช้วิชาก้าวพริบตามาประชิดตัวอย่างกระทันหัน ไป๋จิ้นกว่างเลยไม่ทันไหวตัว แต่เมื่ออีกฝ่ายพูดเหยียดหยามมาเขาถึงได้สติขยับถอยหลังเพื่อจะสร้างระยะห่างกับอีกฝ่ายเพื่อตั้งหลัก
หมับ!
ปฏิกิริยาของของหยางเจิ้งเฉินว่องไวมากราวกับสัตว์ป่าดุร้าย พอไป๋จิ้นกว่างขยับจะหนี ก็ถูกคว้าที่รอบคอด้วยมือข้างเดียวของหยางเจิ้งเฉิน
“อย่าขยับ”
เมื่อหยางเจิ้งเฉินเอ่ย ไป๋จิ้นกว่างก็ไม่กล้าขยับ เพราะเขาต้องเชื่อที่อีกฝ่ายพูด จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไรก็ในเมื่อลำคอของตนสัมผัสได้ถึงปลายกรงเล็บเหล็กดำตรงนิ้วโป้งที่กดจ่อมาที่ลำคออย่างพอเหมาะพอเจาะ หากขยับเพียงนิดเดียว เกรงว่าตัวเขาจะต้องสิ้นชื่อก็วันนี้แหละ!
“ส่งลูกแก้วตรึงวิญญาณมา ไม่งั้นตาย”
“ก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่มีของแบบนั้น” แม้ว่าไป๋จิ้นกว่างจะปลงกับชีวิตในโลกใหม่นี้อยู่หลายเรื่อง แต่เขาเองก็ยังรักตัวกลัวตาย เหงื่อแตกพลั่กเมื่อรู้สึกถึงแรงกดกรงเล็บตรงนิ้วโป้งของอีกฝ่าย
และพอคำปฏิเสธหลุดออกมาจากปากเขาอีกครั้ง หยางเจิ้งเฉินจึงกดปลายเล็บเหล็กดำตรงนิ้วโป้งขึ้นด้วยแรงโทสะ
“อึก!”
ความเจ็บที่ถูกกดลำคอเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความรู้สึกเหมือนโดนของมีคมกดเข้าไปที่ลำคอ มีหยาดโลหิตไหลออกมาจากจากรอยเนื้อถูกเจาะเล็กๆ
เลือดเขาไหลแล้ว!
แม้ไป๋จิ้นกว่างกำลังร้อนรนหวาดหวั่นว่าครั้งต่อไปคงถูกกระชากคอหอยออกมาหรือเปล่า แต่แววตาของเขากลับมาประกายไฟแห่งความไม่ยอมแพ้อยู่ และหยางเจิ้งเฉินก็สักเกตเห็นได้
“ยังไม่ยอมส่งมาอีกเหรอ” แม้หยางเจิ้งเฉินจะมีแรงโทสะฉายวาบมาจากดวงตาสองสีนั้นมากเพียงใด และก็ยังยับยั้งการกระทำของตนเองเอาไว้ด้วยสติ อย่างไรก็จะไม่ฆ่าจนกว่าจะได้ลูกแก้วตรึงวิญญาณนั้นมาไว้ในมือคู่นี้ เพื่อพระบิดาจะได้ยอมรับในตัวตนของเขา
และในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมคืนของให้แต่โดยดี จึงรู้สึกช่วยไม่ได้ คงต้องลงมือค้นหามันด้วยมือของเขาเอง ว่าแล้วก็ออกแรงบีบลำคอขาวที่ดูเหมือนจะบอบบางกว่ามือของตน ดันไป๋จิ้นกว่างไปกระแทกผนังกำแพงเต็มแรงแบบไม่ออมมือ ด้วยมือข้างเดิมที่บีบเหนี่ยวแน่นไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ ซึ่งโดยปกติเผ่ามารจะมีพละกำลังมากกว่าคนทั่วไปสองเท่า หากหยางเจิ้งเฉินตั้งใจออกแรงเพียงนิดเดียวก็คร่าชีวิตไป๋จิ้นกว่างที่อ่อนแอกว่ายามปกติได้อย่างง่ายดาย
แผ่นหลังกับหลังคอของไป๋จิ้นกว่างกระแทกเข้ากับผนังกำแพงเต็มๆ ตอนที่กำลังมึนงงกับแรงกระแทกที่ไม่เบานัก ก็รู้สึกถึงการถูกแตะเนื้อต้องตัวอย่างกะทันหัน หากมองตามมือก็จะรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังล้วงมือเข้ามาลูบคลำด้านในเสื้อของเขา เหมือนกำลังค้นบางอย่างจาก
พอค้นหาด้านในเสื้อแล้วไปพบอะไร อีกฝ่ายก็ย้ายมือลูบๆคลำๆแถวบริเวณแผ่นหลัง ลูบต่ำลงมาเรื่อยๆจนถึงบริเวณสะโพก และรอบเอว เมื่อไม่พบของที่ต้องการอีกฝ่ายก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
อีกฝ่ายยืนอึ้งอยู่สักพัก ก่อนจะล้วงเอาเข็มทิศวิเศษออกมา จ้องมองเข็มสลับกับมองมาที่ไป๋จิ้นกว่าง เอ่ยเหมือนพึมพำกับตนเอง “เป็นไปได้อย่างไรกัน เจ้าไม่มีมันเป็นเรื่องจริงสินะ…”
“พอใจหรือยัง” ไป๋จิ้นกว่างเอ่ยพลางมองหน้าหยางเจิ้งเฉินนิ่งๆ เขาค่อนข้างที่จะไม่พอใจอย่างแรงที่อีกฝ่ายมาค้นตัวเขาตามใจชอบ ไม่สิที่ไม่พอใจจริงๆคือ อีกฝ่ายเข้ามาทำร้ายร่างกายของเขาต่างหาก
อีกฝ่ายส่ายหน้าเหมือนไม่อยากยอมรับความจริง หากนี่เป็นความผิดพลาดของเข็มทิศวิเศษ เขาก็ต้องหาทางอื่นใหม่ จะต้องเสียเวลาไปอีกเท่าไหร่กัน
“ก็มีอยู่ที่หนึ่งที่ยังไม่ค้น…” อีกฝ่ายหันมามองไป๋จิ้นกว่าง ก่อนจะเบนสายตาก้มมองลงต่ำลงไปยังจุดหนึ่ง ด้วยสีหน้าราบเรียบ หน้าตายสนิท…
ไป๋จิ้นกว่างก้มมองตามที่อีกฝ่ายกำลังจ้อง…ตรงช่วงต่ำกว่าเอวลงไป ตรงกลาง.. เขาหน้าตึงทันที
“ไป-ตาย-ซะ”
อร้ายยยยยย ตั่ยล้าวว~♡