I & my stepdad ผิดไหมครับ...ถ้าผมจะรักพ่อ (Yaoi)
การแอบรักใครสักคน มันอาจจะทำให้เราปวดใจบ้างที่เขาไม่ได้รักเราตอบ แต่ถ้าเห็นคนที่เรารักมีความสุขในรูปแบบของเขา มันก็ทำให้เราสุขใจไม่ใช่หรือ...
ผู้เข้าชมรวม
4,550
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
...I look at the window
Wanna know who youre thinking to
No matter how I feel blue
Ill stand beside you always
การแอบรักใครสักคน มันอาจจะทำให้เราปวดใจบ้างที่เขาไม่ได้รักเราตอบ แต่ถ้าเห็นคนที่เรารักมีความสุขในรูปแบบของเขา มันก็ทำให้เราสุขใจไม่ใช่หรือ...
...ความรักของผมก็คงเหมือนกับก้อนเมฆที่ได้แต่ลอยอยู่บนฟ้า ไม่มีทางได้มาสัมผัสกับผืนป่านอกจากจะกลั่นตัวมาเป็นฝนเสียก่อน แต่หากนั่นเป็นสิ่งที่ก้อนเมฆสามารถทำให้กับป่าไม้ได้...
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เรื่องนี้เป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำของผมที่เกี่ยวกับตัวผมและผู้ชายคนที่ผมเคารพรักและอาลัยอาวรณ์อย่างล้นเหลือ...จวบจนลมหายใจสุดท้ายของเขา
----------------------------------------
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังง่วนอยู่กับการซ่อมจักรยานคู่ใจที่สายเบรกขาด เสียงหวานนุ่มนวลที่สุดในความคิดของผมก็ดังขึ้นทางด้านหลัง
“คิน มาหาแม่หน่อยสิลูก แม่มีเรื่องจะคุยด้วย”
ผมลุกขึ้นอย่างงง ๆ ตรงไปหาแม่ ที่ตอนนี้มีสีหน้าลำบากใจกับบางเรื่อง
“แม่มีอะไรหรือครับ”
แม่สูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะถามผมว่า
“คินจะว่าอะไรไหมหากแม่จะแต่งงานใหม่กับคุณไพรสณฑ์”
คำพูดนี้เหมือนกับกระแสไฟฟ้าแล่นเข้าตัวผม ผมได้แต่นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะได้สติกลับคืนมา
“เอ่อ...ผม...”
ผมพูดตะกุกตะกัก พร้อมกับหลบสายตาของแม่
“ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะว่าอะไรหรอก พูดมาเถอะลูก”
ผมหลับตา พลางครุ่นคิดหาสาเหตุที่แม่แต่งงานใหม่กับผู้ชายที่ผมไม่รู้จักมักคุ้น...เอ...เดี๋ยวก่อน เหมือนผมจะรู้จักผู้ชายคนนี้นะ
แล้วความคิดผมก็ลอยไปถึงงานทำบุญครบรอบ 10 ปีการเสียชีวิตของพ่อ ขณะที่ผมแจกน้ำแก่บรรดาแขกเหรื่อในงาน ไอ้เจ้าไม้ลูกชายคนเล็กของลุงมันแกล้งขัดขาผม ทำให้ผมล้มคว่ำไม่เป็นท่า หลังจากนั้นก็มีใครบางคนมาพยุงผมขึ้น
“ไม่เป็นไรนะสาวน้อย”
ผมเกือบจะขอบคุณเขาอย่างเต็มหัวใจแล้วหากไม่ได้ยินคำที่มันตอกย้ำใบหน้าหวานคมเหมือนผู้หญิงของผม จากที่จะรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเลยกลายเป็นคลุ้มคลั่งอยากตายตามพ่อไปเพื่อให้พ้นจากความอับอายนี้
“ผมไม่เป็นไรครับ!”
ผมตอบอย่างไม่ค่อยพอใจ เนื่องจากผมแค้นเจ้าลูกน้องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินคำพูดแบบนี้เข้ามันยิ่งทำให้ผมเดือดฉ่า ชายผู้นั้นทำหน้าประหลาดใจกับบางสิ่ง ก่อนจะพูดอะไรบางอย่าง
“อ้าว เป็นผู้ชายหรอกหรือ ต้องขอโทษจริง ๆ ครับ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบไปอย่างส่ง ๆ เพื่อไม่ให้เขารู้สึกผิด แต่ในใจยังไม่หายเคือง
ชายคนนั้นเดินกลับไปยังที่นั่งของเขา ซึ่งอยู่ข้างหลังเก้าอี้ของแม่ผม เขาอยู่ใกล้กับแม่ผมตลอดจนกระทั่งเสร็จพิธี พอผมถามแม่ว่าเขาเป็นใครแม่ก็บอกว่าเป็นเพื่อนของแม่ที่เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากคิดว่าเขาเป็นเพื่อนแม่ แต่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าผู้ชายคนนั้นจะมาเป็นว่าที่คุณพ่อของผม!!!
“ผมยังไม่พร้อมที่จะมีพ่อคนใหม่ครับ” ผมตอบหลังออกมาจากอดีตที่ยังจำฝังใจ
“เป็นเพราะว่าอะไรหรือลูก”
“คือผมยังไม่รู้จักนิสัยของเขาดีเลย ผมกลัวว่าผมกับพ่อคนใหม่จะเข้ากันไม่ได้ แม่บอกผมก่อนว่าคุณไพรเขาเป็นคนอย่างไรบ้าง”
“เขาก็...เป็นคนดี มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่เสเพล ถึงจะดูหน้าตาเซ่อ ๆ ทำอะไรเชื่องช้าไปหน่อยก็เถอะ”
ผมขำออกมาหลังจากที่แม่พูดจบ...จริงอย่างที่แม่ว่า...ตาแก่นั่นดูเอ๋อ ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ผมก็ไม่ยอมย้อม ใส่แว่นก็หนาเตอะ ที่สำคัญคือดันตาถั่วเห็นผมเป็นผู้หญิงอีกต่างหาก...อืมม์ ดูเหมือนว่าผมจะคิดแผนอะไรบางอย่างออกแล้ว
“งั้น...ผมเสนอความคิดนี้...ผมจะให้แม่ลองคบกับเขาไปอีกสักระยะก่อน ถ้าผมกับเขาเข้ากันได้แม่ค่อยแต่งงาน...ว่าอย่างไรครับ”
“อืมม์ เข้าท่าดีนะลูก แม่จะได้สบายใจที่ลูกกับพ่อเข้ากันได้ เพราะส่วนที่แม่เป็นห่วงคือตรงนี้ล่ะ”
ผมยิ้มให้แม่...เรื่องที่เห็นแม่สบายใจขึ้น...ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือ
...ตาแก่เอ๋ย แล้วเราจะได้รู้กัน หึๆๆ...
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในที่สุด บ้านของผมก็เกือบมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีก 1 คน เนื่องจากคุณไพรยังไม่ได้แต่งงานกับแม่ผมอย่างเป็นทางการ เขาจึงเข้าๆ ออกๆ บ้านผมอยู่เรื่อยมา การที่เขามาอาศัยกับผมและแม่เป็นการทำให้ผมรู้จักและเข้าใจเขามากขึ้น (รวมถึงการแกล้งเขาด้วย เพราะเขาเป็นคนที่ค่อนข้างเจ้าระเบียบ ส่วนผมก็คือลูกลิงดี ๆ นี่เองสำหรับเขา) นอกจากนี้ก็เป็นการทำให้ผมเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้น จากที่รู้แบบงู ๆ ปลา ๆ เพราะผมต้องพยายามเค้นสมองที่ไม่ตอบสนองภาษาอังกฤษของผมฟังสิ่งที่เขาพูดเป็นประจำเลยล่ะ (ซึ่งอันนี้ทำให้ผมงงว่าผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาได้อย่างไร...สงสัยมั่วข้อสอบอังกฤษถูกมั้งเนี่ย)
-------------------------------------------
“Mekint , Why your room is so mess?”
???
“I repeat , why your room is so mess?”
????????
“Don’t you understand?”
...ปัดโธ่ ก็ผมมันเด็กวิทย์ ไม่ใช่เด็กอังกฤษโว้ย!!!...
“ฉันถามว่า ทำไมห้องเธอมันรกจริง” ในที่สุดแล้วเขาก็พูดภาษาไทยออกมา
“เฮ้อ...คุณพูดแค่นี้ผมก็รู้แล้ว เล่นพูดภาษาอังกฤษ ผมจะฟังรู้เรื่องไหมเล่า...เสียเวลาอีกต่างหาก...เอาเป็นว่าผมจะทำความสะอาดภายใน 10 นาที”
เขายังนิ่งเฉย กรอบแว่นเป็นประกายจนผมนึกกลัว
“I
I will clean up in 10 minutes”
ผมพูดอังกฤษตอบอย่างกระท่อนกระแท่น เขายิ้มอย่างพอใจก่อนจะเดินจากไป ผมทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง เฮ้อ...ไอ้เมฆินทร์เอ้ย...เมื่อไหร่แกจะพ้นจากสถานการณ์แบบนี้ซักทีนะ ผมคิดก่อนจะลงมือเก็บกวาดห้องของผมเอง ซึ่งมันก็รกจริง ๆ อย่างที่คุณป่าไม้เขาบอก เพราะห้องผมเต็มไปด้วยเครื่องยนต์กลไก ตำราวิทยาศาสตร์หนาเป็นนิ้ว เครื่องมือทางการช่าง คู่มือการใช้งาน ฯลฯ...เฮ้อ...คิดแล้วเหนื่อย ทำไมห้องผมมีของเยอะขนาดนี้นี่
“ติ๊ดๆๆ ตี๊ๆ ติ๊ดๆๆ”
เสียงข้อความโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมากดปลดล็อกเครื่อง และดูข้อความที่ได้รับ
“ขอฟิวส์อันใหญ่อย่างเร่งด่วน เพราะเห็นเธอแล้วไฟชอร์ต”
ผมกลอกตาอย่างเบื่อ ๆ แล้วกดลบข้อความนั้น...ไอ้รุ่นพี่พวกนี้มันไม่มีอะไรจะทำกันหรือไงวะถึงได้ส่งข้อความมาจีบผมไม่หยุดนับตั้งแต่ผมเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนสาเหตุของเรื่องก็ไม่พ้นหน้าตาของผมเอง ที่มักจะเป็นจุดดึงดูดความสนใจของรุ่นพี่ผู้ชายตั้งแต่ปี2 ยัน ปี4 และเป็นเป้าสายตาอันร้อนผ่าวของสาว ๆ ในคณะ...เอาเถอะ ผมจะพยายามไม่ใส่ใจกับมันก็แล้วกัน...อืม...ตอนนี้ผมกำลังทำอะไรนะ...ใช่แล้ว...ผมกำลังปฏิวัติห้องของผมอยู่นี่นา
ผมกวาดเก็บห้องจนเป็นระเบียบเรียบร้อยและพิจารณาผลงาน...ดูเรียบร้อยขึ้นเยอะ...แต่อีกไม่นานก็จะรกเหมือนเดิม ฮ่าๆๆ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทุกเย็นหลังเลิกเรียน ว่าที่คุณพ่อของผมจะจัดการติวเข้มภาษาอังกฤษให้กับผม ดังนั้น ผมจึงพยายามที่จะกลับช้า ๆ และเพื่อไม่ให้เขาค่อนขอดได้ว่าใช้เวลาเปล่าประโยชน์ ผมจึงไปขลุกอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยกับไอ้เจ้าลมหรือไอ้วายุเพื่อนสนิทของผมตั้งแต่มัธยมปลายเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องที่เรียนกัน ลมมันเป็นคนที่เข้าขากับผมเกือบทุกเรื่อง เราเลยซี้ปึ้กมาจนถึงทุกวันนี้
“เฮ้ย...ไอ้คิน ตั้งแต่แม่แกคบแฟนใหม่ได้เจ็ดวันนี่แกชวนข้าเข้าห้องสมุดทุกวันเลยว่ะ มีอะไรหรือเปล่าวะ” ลมถามผมด้วยความสงสัย
“อ๋อ คุณไพรแค่จะสอนภาษาอังกฤษให้น่ะ เพราะแม่ข้าดันบอกว่าข้าตกอังกฤษ...ข้าก็แค่หนีเรียนเท่านั้นเอง”
“บ้าเรอะ...นั่นโอกาสของแกแล้วนะเว้ย ต่อไปพวกตำราภาษาอังกฤษจะเป็นหนังสือสำคัญมาก แกอ่านไม่ออกก็คือไม่รู้เรื่องนะ” ลมทำหน้าตกใจ ผมได้แต่ถอนใจ
“เรื่องนั้นข้ารู้ แต่ข้าไม่มีความชอบภาษาอังกฤษเลย แล้วข้าจะเรียนได้ยังไงล่ะ”
“ก็คงต้องทำใจแกให้ชอบก่อน มันอาจจะทำยาก แต่ก็คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป ข้าเองก็ทำแบบนี้อยู่เหมือนกัน ตอนที่เรียนอังกฤษกับพ่อข้าใหม่ ๆ ข้าก็เหมือนแกนั่นแหละ บางครั้งเรื่องที่เราไม่ชอบใจอาจจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราในภายภาคหน้า”
“อืมม์ พรุ่งนี้ข้าจะลองดู” ผมตอบ
“แต่ข้าว่าแกไปเรียนตั้งแต่วันนี้เลยเหอะ ขาดหลายวันแล้วไปตะบี้ตะบันเรียนใกล้ ๆ สอบมันไม่คุ้ม เดี๋ยวช้าไปส่งแกแล้วก็จะกลับบ้านข้าละ” ลมไม่พูดเปล่า ยังดึงแขนผมให้ลุกขึ้นด้วย ผมจำต้องลุกตามไปอย่างเสียมิได้...เรื่องที่ผมไม่กลับบ้านคนเดียวนั้นเป็นเพราะว่าระหว่างทางก่อนถึงบ้านผมนั้นค่อนข้างมีโจรชุม ผมจึงต้องมีเพื่อนร่วมทางประมาณว่าคนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตายทำนองนั้น
“แกน่าจะกลับเร็ว ๆ นะ แถวนี้โจรยิ่งเยอะอยู่ กลับช้าแบบนี้ต่อให้มีข้าอยู่ทั้งคนก็ไม่ไหวนา” ลมพูดบ่นไประหว่างที่เดินทางกลับด้วยกัน
“ขอโทษด้วยแก ทีหลังข้าจะไม่ทำอีกแล้วล่ะ” ผมขอโทษมัน พลางมองท้องฟ้าที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ
“เอ้อ ๆ ไม่เป็นไร ดีเหมือนกัน ข้าจะได้หนีหนี้ประจำตัวข้า”
เท่านี้แหละ ผมหันควับมามองเจ้าลมด้วยความตกใจ
“เฮ้ย นี่แกเล่นพนันด้วยเหรอวะ !!!”
“ไม่ใช่อย่างงั้นโว้ย ! ฟังให้จบก่อนเดะ หนี้ประจำตัวข้านี่หมายถึงน้องเมย์ลูกสาวเจ๊เงินบ้านตรงข้ามข้า...ผู้หญิงอะไรไม่รู้ ตามจีบข้าอยู่เรื่อยเลย” ลมบอก พลางส่ายหัวอย่างหน่าย ๆ
“อ้าว ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่มีผู้หญิงมาสนใจ อย่างงี้เขาถือว่าเสน่ห์แรงนะเว้ยจะบอกให้”
“แต่ไม่ใช่กับคนนี้โว้ย...เธอตามจิกไม่ปล่อยตลอด 24 ชั่วโมงเลยว่ะ เป็นแกแกรำคาญไหม ถามหน่อย”
“เออ ๆ ข้าก็รู้สึกเหมือนแกนั่นแหละ...เอ้อ...ถึงบ้านข้าแล้ว ไปก่อนนะเว้ย”
“เออ โชคดีว่ะ”
ผมไขประตูแล้วค่อย ๆ ย่องขึ้นไปบนห้องของผม อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าวเสร็จแล้วจึงมาเรียนภาษาอังกฤษต่อกับคุณป่าไม้...อ้า มันมาแล้ว ชั่วโมงอันแสนน่าเบื่อ
“...สำหรับอดีต จะมีtense หลัก ๆ อยู่ 4 tense คือ past simple tense จะใช้กับเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว รูปประโยคคือ ประธาน+กริยาช่องที่2 ส่วนกรรมจะมีหรือไม่ขึ้นอยู่กับกริยาว่ากริยาต้องมีกรรมต่อท้ายหรือกริยาไม่ต้องมีกรรมต่อท้าย...”
คร่อก...ก...ก ฟี้...
ผ่าง ๆ ๆ !!
“จ้าก...ก...ก...ก...ก!!”
ผมร้องลั่นและสะดุ้งตื่นสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น พอเหลียวหาที่มาของเสียงก็พบคุณป่าไม้ถือกล่องคุกกี้ที่เป็นโลหะยืนอยู่ข้าง ๆ
“คุณลูกศิษย์คร้าบบบ ตื่น ๆๆ ผมจะสอนคุณต่อแล้ว”
“คร้าบบ”
ผมขานตอบอย่างสะลึมสะลือและพยายามเบิกตามองสิ่งที่เขาสอนบนไวท์บอร์ด
“ไม่เห็นต้องใช้เสียงปลุกเลย แค่เขย่าก็ตื่นแล้ว” ผมบ่นอุบอิบ แต่เหมือนเขาจะได้ยิน เลยย้อนผมมาว่า
“ไม่ใช้เสียงเหรอ ฉันว่ากรณีนี้ใช้ไม่ได้กับเธอนะ”
“โอเคคร้าบบ ว่าแต่คุณจะสอนผมถึงเมื่อไหร่เนี่ย” ผมกล่าวอย่างยียวน
“จนกว่าเธอจะเก่งอังกฤษ”
คำตอบยียวนพอ ๆ กันทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายนิ่งไป
“อืมม์ เลยเวลามาเยอะแล้ว...เรามาเรียนกันต่อดีกว่า” เขาบอก แล้วเริ่มสอนต่อไป ผมได้แต่นั่งฟังเขาสอนไปเรื่อย ๆ ...ปู้โธ่ ! นึกว่าจะเลิกสอนแล้วเสียอีก
--------------------------------------
การเรียนการสอนจบลงเมื่อเวลาสามทุ่ม ในหัวผมมึนไปหมด...ดูท่าผมจะต้องพยายามทำความเข้าใจกับภาษาอังกฤษให้มากกว่านี้เสียแล้ว แต่ผมจะท้อเสียก่อนถึงฝั่งไหมนะ
ผมล้มตัวลงนอน ครุ่นคิดถึงการเรียนภาษาอังกฤษว่าต่อไปมันจะเป็นอย่างไร ผมไม่อยากให้คุณไพรหมดกำลังใจในการสอน เนื่องจากระหว่างที่เขาสอนผม ผมเห็นว่าเขามีความตั้งใจที่จะสอนอย่างแท้จริง เขาพยายามสอนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่า...ผมต้องตั้งใจเรียนให้เก่งภาษาอังกฤษให้ได้
------------------------------------------------------------------------------------------------------
7 วันที่ผ่านมา ผมจะเข้านอนด้วยสภาพที่อ่อนล้า เนื่องจากวิชาภาษาอังกฤษของคุณป่าไม้ได้ดูดพลังชีวิตของผมไปครึ่งหนึ่ง แต่เย็นวันนี้กลับมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเริ่มชอบวิชานี้ขึ้นมา เมื่อคุณป่าไม้ได้หอบกล่องใส่อะไรก็ไม่รู้มาวางหน้าโทรทัศน์ แล้วเปิดมันออก ผมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับตะลึงด้วยความตื่นเต้นดีใจ เพราะภายในกล่องเต็มไปด้วยแผ่นดีวีดีหนังเรื่องต่าง ๆ ที่ผมเคยดูในฉบับเสียงภาษาไทย และที่สำคัญ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ผมชอบเสียด้วย
“เอาล่ะ วันนี้มาลองเรียนอังกฤษแบบใหม่กันบ้างดีกว่า เอ้า เธอเลือกมาว่าจะดูเรื่องอะไร” คุณป่าไม้บอกและเชิญชวนให้ผมเลือกแผ่นหนังมาเปิดดู
ผมค้นภายในกล่องอย่างตื่นเต้น...โอ้โห เรื่องที่ผมชอบมีเป็นสิบยี่สิบเรื่องเลย...ทั้ง James Bond ตั้งแต่ภาคดึกดำบรรพ์ยันภาคใหม่ล่าสุด ,The last samurai , Forrest Gump, The Davinci code, The days after tomorrow, An inconvenient truth...โอ๊ย สารพัดเกินบรรยายครับ เมื่อรวมกับเรื่องที่ผมไม่รู้จักอีก 50 กว่าแผ่น แต่ในที่สุด ผมก็เลือก To sir with love ซึ่งเป็นเรื่องที่เก่าเกินรุ่นผมมาก คุณป่าไม้ดูประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อผมเลือกที่จะชมเรื่องนี้ เขาถามผมว่า “เคยดูเหรอเรื่องนี้ นี่หนังสมัยฉันเด็ก ๆ เลยนะ”
“ผมก็แค่อยากรู้ ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรครับ” ผมตอบ
เพียงเท่านี้เขาก็ไม่ว่าอะไร ยอมเปิดเรื่องนี้ให้ผมดูแต่โดยดีแล้วนั่งข้าง ๆ ผม ผมดูอย่างงง ๆ ในตอนแรก เพราะเสียงเป็นภาษาอังกฤษ ในระยะหลัง ๆ ผมเริ่มจับประเด็นของเรื่อง (อย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก) ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ท่านหนึ่งในโรงเรียนที่ตั้งอกตั้งใจพร่ำสอนนักเรียนให้ประพฤติดี แรก ๆ นักเรียนก็ไม่ใส่ใจกับคำสอนของอาจารย์จนท่านเหนื่อยใจ แต่เมื่อนักเรียนเหล่านี้จบการศึกษา พวกเขาก็ได้รู้ซึ้งถึงสิ่งที่อาจารย์ทำในปีการศึกษาที่ผ่าน ๆ มาว่าอาจารย์มีความหวังดีต่อพวกเขามากแค่ไหน ผมย้อนกลับมาคิดถึงตัวเองเมื่อชมเรื่องนี้จบ...ตัวผมก่อนหน้านี้ก็คงเหมือนกับนักเรียนในเรื่อง ที่โดดเรียน ไม่ใส่ใจความรู้สึกของอาจารย์ว่าเป็นอย่างไรเมื่อตั้งใจมาสอนแต่นักเรียนไม่มาเรียน...เท่านี้เอง ความรู้สึกผิดทั้งมวลก็ได้โถมทับตัวผม ผมแอบสะอื้นอยู่เงียบ ๆ หวังจะไม่ให้คนข้าง ๆ เห็น ถึงกระนั้นเขาก็จับได้อยู่ดีว่าผมร้องไห้
“เป็นอะไรไป ทำไมถึงร้องไห้” เขาถาม
“ผม...ขอโทษครับ...ที่...ทำให้...คุณ...เสีย...ความรู้สึก”
“หืมม์”
“หมายถึง...ผมขอโทษครับที่โดดเรียน”
“อ๋อ เรื่องนั้นเองน่ะหรือ ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็แค่ทดลองสอนดูว่าเธอควรจะใช้วิธีสอนอย่างไรเท่านั้นเอง พูดง่าย ๆคือฉันแค่อยากรู้ว่าเธอเรียนภาษาอังกฤษแบบไหนได้สนุกที่สุด”
...โอ้...ว่าที่พ่อผม...ช่างมีจิตวิญญาณของอาจารย์อย่างแรงกล้า...
“เอาล่ะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว เป็นผู้ชายร้องไห้ด้วยเรื่องแค่นี้มันดูไม่ดีหรอกนะ”
...เออ จริงด้วย ผมร้องไห้ทำไมนี่...ผมคิดแล้วปาดน้ำตาออก
“อืมม์ ดูท่าเธอจะเรียนอังกฤษจากภาพยนตร์ได้ดี งั้นคราวหน้าก็เรียนแบบนี้ทุกวันนะ อย่าลืมเอาสมุดมาจดศัพท์กับไวยากรณ์ด้วย”
“ครับ !!”
ผมรับคำ...ไชโย ผมพ้นจากการเรียนอันแสนน่าเบื่อแบบที่ผ่านมาแล้ว
“โอเค วันนี้ทดลองก่อน พรุ่งนี้รอบปฐมฤกษ์ล่ะ”
เขาบอกแล้วปิดโทรทัศน์ ส่วนผมก็เตรียมตัวอ่านภาษาอังกฤษที่จะสอบย่อยใน 7 วันข้างหน้า เรื่องสอบนี้ลมเป็นคนบอกผม เนื่องจากผมแอบหลับในตอนที่อาจารย์ประจำวิชาบอกว่าจะสอบย่อยวิชานี้สำหรับนักศึกษาปีที่ 1 พอดี ผมอ่านไปได้ไม่เท่าไรอาการของโรคเหงาหลับก็กำเริบ ผมจึงเลิกอ่านแล้วเข้านอน พลางคิดสะระตะไปต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษแบบใหม่ของคุณป่าไม้...เอ้ย...คุณไพร (ผมยอมรับว่าตอนนี้นับถือเขาอย่างเต็มใจแล้วล่ะ) จนกระทั่งหลับไป
---------------------------------------
ต้องยอมรับว่าการสอนภาษาอังกฤษแบบใหม่ทำให้ชีวิตของผมเป็นไปในทางที่ดีขึ้น อย่างน้อยคะแนนสอบครั้งนี้ของผมก็ไม่ตกเหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มา ถึงจะเฉียดครึ่งมาหน่อยหนึ่งก็เถอะ ผมคิดอย่างมีความสุขขณะที่เรียนภาษาอังกฤษกับคุณไพร แต่เพราะผมคิดเพลินไปหน่อยเลยไม่ได้ฟังคำถามที่เขาถามผม จนเขาต้องพูดซ้ำเป็นรอบที่สามว่า
“คะแนนสอบครั้งนี้ได้เท่าไร”
...โอ๊ย...โอย...ทำไมต้องถามเรื่องอันอัปยศแบบนี้ด้วยหนอ ผมจะตอบว่าอย่างไรดีล่ะ...
“เอ่อ...คุณรับได้ไหมครับ ถ้าผมจะบอกว่าผมได้เลยครึ่งหนึ่งของคะแนนเต็มมาหนึ่งคะแนน”
ดวงตาหลังแว่นของเขาดูวาวขึ้น...ซวยแล้วผม
“อืม ก็ยังดีที่ไม่ตกนะ ถ้าขยันอีกหน่อยเธอก็จะได้คะแนนดีแน่นอน ฉันเชื่ออย่างนั้น”
ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ว่าอะไรผม มันทำให้ผมรู้สึกดีกับเขาอย่างทวีคูณ
“จุดประสงค์ของการเรียนวิชาต่าง ๆ คือ เราสามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้มากแค่ไหน การได้คะแนนดีเป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น ฉันต้องการแค่ให้เธอเรียนอย่างลึกซึ้ง แล้วทุกอย่างจะดีเอง”
เขายิ่งพูด ผมยิ่งรู้สึกดี ๆ กับเขาอย่างยกกำลังร้อย...เอาล่ะ ผมเข้ากันได้กับคนที่แม่ผมรัก แล้วพวกเขาจะแต่งงานกันตอนไหนล่ะ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากนั้น คุณไพรก็ไม่ได้มาค้างที่บ้านผมอีกจนเวลาผันผ่านมาถึงวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิดของแม่ผม จึงไม่น่าแปลกใจที่แม่ของผมจะดูสวยขึ้นกว่าแต่ก่อน และผมจะได้ลิ้มรสอาหารญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในชีวิตในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้
“คิน เสร็จหรือยังลูก”
“ครับแม่” ผมขานก่อนจะออกจากห้อง และพบแม่ที่งามสง่าในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน
“แม่สวยจังเลยครับ”
“ปากหวานน่ะเรา คุณไพรก็อีกคน เหมือนกันทั้งคู่”
“โธ่ แม่ มันเป็นความจริงนะคร้าบ ผมไม่ได้อำแม่นา”
“แม่รู้...เอ้า เราไปกันเถอะ เดี๋ยวคุณไพรเขาจะคอยนาน” แม่ดึงแขนผมมาที่ประตูหน้าบ้าน ที่ซึ่งรถยนต์คนเก่าแต่ยังคงความโก้หรูจอดอยู่ ส่วนด้านคนขับมีชายสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม กางเกงสีดำ ยืนหันหลังอยู่...โหย แก่แล้วยังทำเท่อีกนะว่าที่คุณพ่อ
“ไพร ฉันมาแล้วค่ะ” แม่ผมร้องเรียก
วินาทีที่เขาหันมา ผมรู้สึกว่าลมหายใจขาดห้วงไปครู่หนึ่ง ภาพเบื้องหน้าผมไม่ใช่ชายแก่หน้าตาเซ่อ ๆ สวมแว่นหนาเตอะที่ผมเคยรู้จักอีกต่อไป แต่เขาในตอนนี้ดูหนุ่มกว่า ดูดีกว่าแต่ก่อน ผมที่เคยเป็นสีเทาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท แว่นที่เคยใส่บัดนี้หายไป ทำให้ใบหน้าเขาอ่อนกว่าอายุและหล่อเหลาถึงขั้นทำให้แม่กับผมอึ้งไป 5 วินาที
“โอเค เราไปกันเถอะ” เขาบอกด้วยรอยยิ้ม ที่ทำให้ผมใจเต้นแรง...เฮ้ย !
แล้วเราสามคนก็เดินทางออกจากบ้าน แม่ถามคุณไพรในเรื่องต่าง ๆ ที่เขาเปลี่ยนแปลงไป เขาได้แต่บอกว่า ถึงที่นั่นแล้วจะรู้ ผมคาดเดาโดยราง ๆ ว่าเขาจะต้องมีอะไรมาทำให้แม่ประหลาดใจแน่ ๆ ซึ่งมันคงเป็นเรื่องที่ดี
...เฮ้อ อยากให้เกิดกับผมบ้างจัง...เฮ้ย ๆ แกเพี้ยนไปแล้วเหรอวะไอ้คิน...
ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติเมื่อรู้สึกว่าตัวเองคิดอะไรบ้า ๆ บอ ๆ รวมทั้งอาการใจเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุเมื่อรถของเราได้มาถึงห้างเมเจอร์ซินิเพล็กซ์ปิ่นเกล้า คุณไพรเดินเคียงคู่กับแม่ผม ส่วนผมขอเดินตามหลังเพราะไม่อยากขัดความสุขของพวกเขา อีกอย่างหนึ่งคือ เพื่อซ่อนอาการบ้า ๆ ที่ไม่มีสาเหตุของผมเอง
ร้านอาหารที่คุณไพรพาแม่กับผมเข้านั้นเป็นร้านที่ทำให้ผมดีใจมาก เพราะมันคือโออิชิเอ็กซ์เพรสที่ผมใฝ่ฝันจะมากินแต่ยังไม่มีโอกาสเสียที ภายในร้านดูวุ่นวาย แต่มันไม่เป็นอุปสรรคของผมหรอก หากผมได้ที่นั่งผมจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้าให้หายอยากเลย
ไม่นานเกินรอ เราสามคนก็ได้เข้าไป ผมตรงไปยังถาดปลาดิบ แม่ผมเลือกซูชิอยู่ข้าง ๆ ส่วนคุณไพร...หายไปไหนไม่รู้ แต่พอเลือกอาหารเสร็จ เขาได้มานั่งรออยู่ที่โต๊ะพร้อมพิซซาซูชิที่เป็นอาหารชนิดใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของทางร้านแล้ว...ไปตักมาตอนไหนกัน ไวจริง ๆ
“ไพรคะ คุณไปไหนมา ทำไมฉันไม่เห็นคุณเลย”
“ผมก็ตักอาหารตอนที่คุณเลือกจานอยู่น่ะสิที่รัก”
...เอ้า หวานกันเข้าไป...
“คุณลองทานนี่ดูสิ ผมเห็นว่ารสชาติน่าจะดีเลยตักมา” คุณไพรบอก ก่อนจะคีบพิซซาซูชิให้แม่ผมอันหนึ่ง ซึ่งรูปร่างของมันดูแปลก ๆ อย่างไรชอบกลเมื่อเทียบกับชิ้นอื่น แม่ผมก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกัน เธอเลยใช้ตะเกียบคีบด้านหน้าออก และพบกับสิ่งที่น่าประหลาดใจมากที่สุด เพราะที่ซ่อนภายในซูชิก้อนนั้นคือแหวนเพชรวงเล็ก ๆ วงหนึ่ง ที่ส่องประกายระยิบระยับเหมือนกับแววตาของพวกเขาทั้งสอง
“ชล...แต่งงานกับผมนะ”
แม่ผมยิ้มอย่างเขิน ๆ ก่อนจะตอบว่า
“ค่ะ ถ้าลูกชายฉันอนุญาต”
แม่ผมหันมาหาผมราวกับขอความคิดเห็น ผมพยักหน้าให้ คุณไพรยิ้มออกมา ทำให้ผมรีบก้มหน้าทำเป็นทานอาหารเพื่อเก็บซ่อนความรู้สึก
...ทำไมเห็นเขายิ้มแล้วผมต้องมีอาการร้อน ๆ หน้าด้วยนะ...
“อ้า เลยเวลามาสิบห้านาทีแล้ว เราทานกันดีกว่า” คุณไพรบอก แล้วเราก็ลงมือทานอาหาร ระหว่างที่ทานเขาก็ชำเลืองมองแม่ผมเป็นระยะ ส่วนผมเองก็ชำเลืองมองเขาเป็นระยะเหมือนกันโดยที่เขาไม่รู้ตัว
...เวลากินยังดูดี คนอะไรไม่รู้น่ารักชะมัด...เฮ้ย ๆๆ ...คิดอะไรอีกแล้วเนี่ยผม...
หลังจากมื้ออาหารแสนอร่อยมื้อนั้น เราได้เดินทางกลับบ้าน เพราะผมมีนัดกับไอ้เจ้าลมเกี่ยวกับโครงงานสิ่งประดิษฐ์ตัวใหม่ที่กำลังพัฒนากันอยู่ตอนบ่ายนี้ ผมหลับอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะทานเข้าไปมาก ประมาณว่าปลาดิบหกจาน ซูชิสองจาน หัวแซลมอนต้มซีอิ๊วสองถ้วย ซุปเต้าเจี้ยวสองถ้วย ซึ่งสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาผมไม่เคยทานมากขนาดนี้มาก่อนเลย และอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมอิ่มนอกจากอาหารคือ สีหน้า ท่าทาง และบุคลิกของคุณไพรที่มีแรงดึงดูดต่อผมอย่างประหลาด
...ผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย ใครก็ได้ช่วยตอบผมที...
“คิน ถึงแล้วลูก ตื่นได้แล้วจ้ะ”
“หือ” ผมลืมตาตื่นอย่างสะลึมสะลือ
“เขาคงเพลียเพราะกินเยอะน่ะ...ตื่นได้แล้วไอ้หนู”
ผมค่อย ๆ เลื้อยออกจากรถมายืนพิงกำแพงด้วยความง่วงและอิ่ม พลางคิดว่าผมไม่น่าบ้ากินเข้าไปเยอะขนาดนี้เลย แม่กับคุณไพรเข้ามาพยุงตัวผมเข้าบ้านด้วยความเป็นห่วง พอเข้ามาได้ผมก็ล้มแผละบนโซฟาและหลับไปอีกรอบเพื่อข่มความทรมานจากอาหารไม่ย่อย สิ่งหนึ่งที่จำได้ก่อนที่จะค่อย ๆ หลับไปคือสัมผัสอันอบอุ่นที่ลูบไปตามศีรษะของผมที่ทำให้ผมรู้สึกสบายขึ้นมาก
...ใครกันนะ คุณไพรหรือเปล่า ...ว้ากกกกก...ไอ้บ้าคิน แกเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย...
ผมนอนกระสับกระส่าย รู้สึกสับสนไปหมดที่คิดอะไรมันก็คิดถึงแต่เขา พลันผมคิดไปถึงคำพูดของพี่รหัสที่อยู่ชมรมสีม่วงตอนที่ผมแกล้งถามเรื่องความรักของเขาว่า
“ตอนนั้นก็ยังเป็นปกติอยู่เรื่อยมา แต่พอพบเขาถึงรู้สึกใจเต้นแรง ชอบมองเขาบ่อย ๆ ยามคิดอะไรก็คิดถึงแต่เขา ช่วงนั้นรู้สึกกลัว กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องผิด กลัวว่าคนอื่นไม่ยอมรับรวมทั้งเขา แต่ก็พ้นจากตรงนั้นมาได้ ทุกวันนี้เราคบกันอยู่ และมีความสุขมาก”
ผมเกิดอาการใจสั่นขึ้นมาทันที หรือว่าผมจะเป็นเหมือนพี่รหัสนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็นับว่าเป็นฝันดีและฝันร้ายของผมเลยล่ะ ฝันดีในเรื่องที่ผมได้รู้จักกับความรักครั้งแรก ส่วนฝันร้ายคือรู้ว่าตัวเองชอบผู้ชายด้วยกัน
...อ้ากกกกก...มันเรื่องจริงหรือความฝันกันแน่วะนี่...ไม่นะ...ไม่...
“คิน คินโว้ย !”
น้ำเสียงคุ้นหูปลุกผมให้ตื่นขึ้น ผมสะดุ้ง มองไปรอบๆ ก็เห็นไอ้เจ้าลมนั่งอยู่ข้างๆ
“แกเป็นอะไรเปล่าวะ เมื่อกี้แกร้องเสียงหลงอย่างกับควายถูกเชือดเล่นเอาข้าตกใจหมด”
ผมลูบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ถอนหายใจ ก่อนจะตอบมันว่า
“ข้าแค่ฝันร้ายว่ะแก ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
ลมถอนหายใจด้วยความโล่งอก แววตามันแสดงความห่วงใย
“เออ ๆ งั้นข้าก็หมดห่วง เอ้า ข้ามีสับปะรดมาฝากแกด้วยว่ะ เมื่อกลางวันแม่แกบอกว่าแกกินเยอะ มันจะได้ช่วยย่อย”
“เออ ขอบใจว่ะ” ผมตอบก่อนรับถุงสับปะรดมากินบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย “แล้วแม่ข้าล่ะ”
“อ๋อ คุณชลบอกว่าจะไปดูชุดแต่งงานและก็ไปเยี่ยมฝ่ายพ่อแม่คุณไพรน่ะ กลับสักทุ่มนึงได้”
ผมพยักหน้า และทานสับปะรดอีกชิ้น
“เอ่อ...ลม”
“ไรวะ” มันทำหน้าฉงน
“แกรับได้ไหมวะ ถ้าข้าบอกว่าข้า...เอ่อ...เป็น...เอ่อ...อายโว้ย !!!”
“เจ้าน้องชายแกมันเป็นอะไรวะแกถึงอายที่จะบอก”
“ทะลึ่ง ! ไม่ใช่อย่างงั้นโว้ย แต่ว่าข้า...ข้าดันชอบผู้ชายน่ะสิ...แกรู้แล้วอย่าไปบอกใครนะโว้ย”
“เอาละเว้ย...เพื่อนข้าเข้าชมรมสีม่วงไปแล้ว...ตกลง ข้าไม่บอกใครทั้งนั้นแหละว่ะ ว่าแต่แกแอบชอบใครวะ”
“หะ...แกอยากรู้หรือวะ...โอ๊ย...อาย ๆๆ...ก็ได้วะ...คุณไพร”
ลมชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะซักผมต่อ
“ว่าที่พ่อแกน่ะเหรอ”
“เออสิ...แล้วข้าควรจะทำไงดีเนี่ย...ข้าไม่อยากเป็นมือที่สามของแม่ข้านะเว้ย”
ลมทำหน้าครุ่นคิด
“ตอบยากแฮะ...เอาเป็นว่าแกอย่าไปทำอะไรให้เขาทั้งสองเสียหายแล้วกัน ส่วนตอนนี้เรามาว่ากันเรื่องโครงงานดีกว่า”
“เออ ๆ จริงของแก...ว่าแต่แกรับได้กับเรื่องนี้แน่นะ”
“ล้านเปอร์เซ็นต์เว้ย เพื่อนเพศไหนข้ารับได้หมด”
ผมต้องขอบคุณเจ้าเพื่อนคนนี้จริง ๆ ที่มันยอมรับผม ผมจึงทำงานได้อย่างสบายใจ แต่ลึกๆ แล้วผมก็ปวดใจอยู่เหมือนกันที่แอบชอบคนรักของแม่ตัวเอง...ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกผิดอย่างมหันต์ ยิ่งกำหนดการวิวาห์มาใกล้เท่าไรผมก็ยิ่งเจ็บปวด เพราะนั่นหมายความว่าผมกำลังหลงรักพ่อของตัวเอง !
“เฮ้ย คิน แกเหม่ออะไรอยู่วะ”
“ข้าก็ดูแบบแปลนอยู่น่ะสิวะ” ผมตอบไปทั้ง ๆที่ใจเลื่อนลอย
“แต่ข้าว่าแกมองเพดานมากกว่านะ...แล้วแกร่างอะไรอยู่วะเนี่ย”
“ข้าก็คำนวณอยู่ว่ามันต้องใช้สกรูขนาดเท่าไหร่ไง”
“เหรอ...เหมือนแกวาดอักษรมายาอยู่นะ...ยึกยือเชียว”
“เฮ้ย !”
ผมร้องเสียงหลงด้วยความตกใจเมื่อมองกระดาษในมือ เพราะปรากฏเป็นรอยดินสอยึกยือเต็มหน้ากระดาษ ผมคว้ายางลบมาลบออกอย่างระมัดระวังไม่ให้แผนการทำงานที่อุตส่าห์ระดมสมองคิดกันเมื่อครู่ต้องสูญสลายหายไปด้วย
...ดีนะที่เป็นดินสอ ไม่งั้นได้นั่งคิดกันใหม่อีกรอบ...
“โทษทีว่ะแก ข้ามีเรื่องกังวลใจนิดหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงแล้วล่ะ ข้าจัดการได้”
“ไม่เป็นไรว่ะ ข้าเข้าใจว่าแกรู้สึกอย่างไร...เออ ไอ้โครงงานนี่นำเสนอวันไหน”
“วันจันทร์หน้า”
“วันนี้วันอะไร”
“วันพฤหัสฯ...เออ”
“...”
เราสองคนมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน...และ...
“ชิบ !!! รูปเล่มยังไม่ได้ทำเลย”
-------------------------------
เราสองคนเร่งมือทำงานโดยไม่หยุดพักจนกระทั่งเครื่องจักรกลที่ประดิษฐ์ขึ้นเสร็จเรียบร้อย และทดลองใช้แล้วได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ ผมกับเจ้าลมก็ลงไปนอนแผ่หราบนพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อน
“แกไม่ต้องกังวลมากนะเว้ย ค่อย ๆ คิดไป แล้วจะเจอทางออก”
“เออ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราเริ่มทำรูปเล่มกันดีกว่าว่ะ นี่แกกลับตอนไหน”
“ห้าโมงครึ่ง”
“ตอนนี้ห้าโมงครึ่งแล้วว่ะ”
ลมผุดลุกขึ้นทันที ผมตามไปส่งมันหน้าบ้าน มันโบกไม้โบกมือให้ก่อนจะเดินจากไป ผมแอบสังเกตเห็นมันเดินคอตกเหมือนกับผิดหวังอะไรบางเรื่อง...ตกลงมันยอมรับผมหรือเปล่านะ
-------------------------------------
ผมนั่งดูแบบแปลนของเครื่องทำความร้อนขนาดพกพาที่ประดิษฐ์ขึ้นเพลิน ๆ หลังจากนำเครื่องของจริงไปเก็บไว้ในห้องผมแล้ว พลิกไปพลิกมาก็เห็นกลอนหรืออะไรสักอย่างอยู่ที่มุมขวาล่างด้านหลังของกระดาษ แต่ตัวเล็กมาก ผมเลยใช้แว่นขยายส่องดู...และก็เจอ
I look at the window
Wanna know who you’re thinking to
No matter how I feel blue
I’ll stand beside you always
อังกฤษ...อังกฤษอีกแล้ว ผมยังไม่คล่องอังกฤษเลย แล้วผมจะแปลมันออกไหมเนี่ย
...ค่อยๆ คิดไป แล้วจะเจอทางออก...เสียงของเจ้าลมก้องอยู่ในหู
ผมรวบรวมสมาธิ นึกถึงเรื่องที่เคยเรียนกับคุณไพร แล้วหยิบดินสอขึ้นมาแปลกลอนภาษาอังกฤษที่อยู่บนกระดาษแผ่นนี้
ฉันมองที่หน้าต่าง
พลางคิดว่าเธอกำลังคิดถึงใคร
ไม่ว่าอย่างไรที่ฉันรู้สึกเศร้า
ฉันจะเฝ้าอยู่เคียงข้างเธอ
...โอย...หวานได้ใจ...เจ้าลมมันคิดถึงสาวที่ไหนวะ...
ผมคิดอย่างขำ ๆ คิดไปคิดมามันก็เหมือนความรู้สึกของผม ที่ได้แต่คิดว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้ แม้จะรู้สึกหม่นหมองเพราะความรักของผมมันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็สุขใจที่ได้รักและเห็นคนที่ผมรักมีความสุขในรูปแบบของเขา
...ความรักของผมก็คงเหมือนกับก้อนเมฆที่ได้แต่ลอยอยู่บนฟ้า ไม่มีทางได้มาสัมผัสกับผืนป่านอกจากจะกลั่นตัวมาเป็นฝนเสียก่อน แต่หากนั่นเป็นสิ่งที่ก้อนเมฆสามารถทำให้กับป่าไม้ได้...
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมมองข้ามไปในตอนนี้...ใครบางคนก็รู้สึกเหมือนกับผมเช่นกัน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
เหตุการณ์ดำเนินมาจนถึงวันจันทร์ วันที่เหตุการณ์ไม่คาดคิดทั้งหลายได้อุบัติขึ้น
เย็นวันนี้คุณพ่อของผมติดธุระการสอน จึงขับรถกลับมาส่งผมกับเจ้าลมที่บ้านไม่ได้ (คุณไพรแต่งงานกับแม่ผมเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว เขาจึงได้สิทธิ์เป็นคุณพ่อของผม) ผมกับเจ้าลมจึงต้องเดินกลับกันเองเหมือนเก่า ซึ่งมันก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว เราคุยกันเกี่ยวกับโครงงานของเราที่ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม คุยกันไปคุยกันมาเจ้าลมมันก็บอกบางสิ่งที่ทำให้ผมอึ้ง
“คิน...ข้ารักแก”
“เอ่อ...” ผมเอ๋อรับประทานไปชั่วครู่ขณะมองแววตาที่เปี่ยมด้วยความรักของเจ้าเพื่อนยาก
“ถึงแกจะไม่ได้รักข้า แต่ข้าก็จะอยู่เคียงข้างแกเสมอ เหมือนสายลมที่จะพัดเมฆไปทุกที่”
ผมนึกไปถึงกลอนบนกระดาษแบบแปลนแล้วใจหาย วันนั้นผมไม่ได้เฉลียวใจเลยเรื่องที่ลมมันมีอาการแปลก ๆ ตอนกลับบ้าน ก่อนที่ผมจะพบกลอนบทนั้น เพราะสองสิ่งนี้มันฟ้องอย่างชัดเจนว่าเจ้าลมมันรู้สึกอย่างไรกับผม
...ผมควรจะรับหรือปฏิเสธความรักนี้ดี...
พลันผมได้กลิ่นของความไม่ชอบมาพากล ผมจึงสะกิดเจ้าลม มันก็พยักหน้าเป็นเชิงรู้ด้วย ผมแอบกดโทรศัพท์หมายเลข 191 เตรียมไว้เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน ส่วนเจ้าลมก็มองหาทางหนีทีไล่ในซอยนี้ ทันใดนั้นผมรู้สึกมีอะไรทิ่มเข้าที่หลัง ตามมาด้วยเสียงอันน่ากลัว
“เฮ้ย ไอ้น้อง ส่งเงินมา ไม่งั้นแกตาย”
“ได้ครับ ๆ พี่เอาไปเถอะ แต่อย่าฆ่าพวกผมเลย” ลมกับผมหยิบเงินส่งให้เจ้าโจรคนนั้นที่ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ดีมากไอ้น้อง พวกแกไปได้”
ผมกับเจ้าลมเดินย้อนกลับไป ทำให้เจ้าโจรงุนงง
“คือว่าเราเดินเลยบ้านมาแล้วน่ะครับ พึ่งนึกขึ้นได้” เจ้าลมแก้ต่างให้ก่อนจะพาผมเดินย้อนกลับขึ้นไปยังปากซอยอย่างรวดเร็ว ผมก็ไม่ถามอะไรมันเพราะรู้ว่าลึกเข้าไปในซอยจะมีทางเชื่อมเล็ก ๆ มากมาย ซึ่งเจ้าโจรคนนั้นอาจซุ่มพรรคพวกไว้อยู่ สังเกตได้จากการที่มันปล่อยเราสองคนแต่โดยง่าย หากเข้าไปในซอยก็เท่ากับว่าเข้าไปในวงล้อมของพวกโจร ซึ่งรับมือได้ยากกว่าถนนใหญ่ที่มีผู้คนมากมาย รวมถึงป้อมตำรวจในระยะ
ผมไม่รอช้ากดโทรออก ส่วนลมคอยระวังหลังให้ พอสายติดผมก็พูดว่าเราอยู่ซอยไหน มีเรื่องเดือดร้อนอะไร พลันมีเสียงปืนดังขึ้น ผมหันกลับไปจึงพบว่ามีคนวิ่งตามหลังพวกเรา 6 คนพร้อมปืนในมือ
“คุณตำรวจ คนร้ายพกอาวุธปืน มี 6 คน ตอนนี้พวกผมกำลังจะออกจากซอย รีบมาด่วนครับผม”
“ตกลง ทางเราจะส่งกำลังไปใน 5 นาทีนี้”
ผมวางสายและพาลมวิ่งหนีโจรต่อ แต่ทันใดนั้นมีเสียงปืนดังสนั่นพร้อมกับเจ้าลมที่ล้มทรุดลงไป
“ลม !!”
“ข้าไม่เป็นไร” ลมพูดพลางพยุงตัวขึ้นเนื่องจากถูกยิงเข้าที่ขาขวา
ผมรีบเอาแขนมันคล้องคอ แล้วพยุงออกจากซอยอย่างเต็มกำลังที่ผมมีอยู่ขณะที่พวกโจรวิ่งตามมาติด ๆ ผมร้องขอความช่วยเหลือ แต่ขณะนี้เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้วจึงไม่มีใครออกมาช่วย โจรพวกนั้นเลยไล่ตามพวกเราทันและตะครุบเท้าผมไว้ ผมเสียหลักล้มลง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าจมูกผมแตก ส่วนเจ้าลมคางแตก
“ไอ้เขียว มึงหาวิธีจับให้ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ สินค้ากำไรงามนะเว้ย”
...โจรพวกนี้ความจริงเป็นแก๊งค์ค้ามนุษย์นี่...ตำรวจมาช้าจริง...
“มึงก็เหมือนกันแหละไอ้เขี้ยว เล่นยิงแม่งเลย”
“เฮ้ย ๆๆ พวกมึงไม่ต้องทะเลาะกัน มัวแต่ยืนเถียงกันตรงนี้เดี๋ยวตำรวจได้แห่กันมาพอดี...ไอ้เด็กสองคนนี้มันแสบ มันโทรเรียกตำรวจแล้ว” หัวหน้าแก๊งค์บอกกับลูกน้อง
ผมกับลมถูกดึงให้ลุกขึ้น หัวหน้าแก๊งค์เดินเข้ามาเชยคางพวกเราขึ้นแล้วยิ้มอย่างพอใจ
“หน้าตาพวกแกดีใช้ได้เลยนะนี่ แบบนี้เสี่ยเส็งคงให้เราเป็นล้าน”
ผมพยายามระงับอารมณ์ แล้วคิดหาวิธีหนี และก็นึกขึ้นมาได้ว่าพี่รหัสได้ให้ของอย่างหนึ่งกับผมไว้สำหรับป้องกันตัว ผมจึงกระซิบบอกลมเกี่ยวกับแผนที่เพิ่งผุดขึ้นมาในหัว ลมพยักหน้าด้วยท่าทางอ่อนเพลียเพราะเสียเลือด ผมกำของนั้นไว้ในมือในลักษณะเตรียมพร้อม ก่อนปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ
“เออ พี่ครับ ไหน ๆ พวกผมก็ต้องไปพบกับเสี่ยอะไรของพี่แล้ว ขอผมเตรียมตัวก่อนนะครับ เสี่ยจะได้ประทับใจและให้เงินพวกพี่มากกว่าเดิม และก็อย่าใช้ปืนนะครับถ้าไม่อยากขาดทุน”
หัวหน้าแก๊งค์ตกลง และสั่งให้ลูกน้องเก็บปืน ผมหยิบของนั้นขึ้นมา และแสดงให้เห็นว่าเป็นขวดน้ำหอม พอพวกคนร้ายเผลอผมก็ฉีดพ่นเข้าที่ตาของพวกมันและพาลมฝ่าวงล้อมของพวกคนร้ายที่ส่งเสียงโหยหวนด้วยความปวดแสบปวดร้อน
“แกใช้อะไรฉีดพวกมันวะ” ลมกระซิบถาม
“สเปรย์พริกว่ะ พริกขี้หนูด้วย รุ่นพี่ให้มาตอนเสนอโครงงาน ถูกเข้าไปล่ะแสบโคตร แต่ไม่ถึงกับทำให้ตาบอด ออกฤทธิ์ประมาณสิบห้านาทีพอให้เรามีเวลาหนีทัน”
“ข้าว่าให้ออกฤทธิ์นานกว่านี้หน่อยดีกว่า...ข้าจะไม่ไหวแล้ว” ลมพูดอย่างอ่อนแรง
“ข้าเชื่อว่าแกต้องทำได้...แกบอกว่าจะอยู่เคียงข้างข้าเสมอไง”
ลมยิ้ม และดูมีพลังขึ้นมาอีกครั้ง จากที่ผมพยุงมันก็กลายเป็นมันป้องกันข้างหลังให้ผม แสงไฟสว่างวาบขึ้นหน้าพวกเรา ปรากฏเป็นรถตำรวจและรถของพ่อผม
“คนร้าย 6 คนอยู่ข้างในครับ ตอนนี้ยังไม่หนีไปที่อื่น” ผมรายงานสถานการณ์
“คนร้ายอยู่ข้างใน 6 คน กระจายกำลัง”
ตำรวจเจ็ดนายวิ่งผ่านผมไป สักครู่หนึ่งก็มีเสียงยิงปืนต่อสู้กันดังสนั่น และเสียงโอดครวญของผู้ที่ถูกยิงเป็นระยะ
“ไอ้หนูหาที่หลบเร็ว” พ่อผมตะโกนเรียก และดึงตัวผมกับลมไปหลบอยู่ที่ท้ายรถ เสียงปืนยังดังขึ้นต่อเนื่อง แต่แล้วก็หยุดลงเมื่อตำรวจจับคนร้ายได้ 4 คน อีก2 คนถูกตำรวจยิงตาย พร้อมๆกับการมาถึงของรถพยาบาล
“ปลอดภัยใช่ไหมลูก” พ่อผมถาม ผมพยักหน้าและยิ้มอย่างเป็นสุขที่ได้พบพ่อ เราสวมกอดซึ่งกันและกัน พลันผมรู้สึกเปียก ๆ ที่มือ และได้ยินเสียงหายใจหอบถี่ของพ่อ ผมชักสังหรณ์ใจ เมื่อยกมือขึ้นมาดูก็ปรากฏของเหลวสีแดงฉานเต็มฝ่ามือของผม ผมกรีดร้องเรียกหมอปานคลุ้มคลั่ง บุรุษพยาบาลรีบวิ่งมาหาและทำการปฐมพยาบาลก่อนจะยกขึ้นเตียงเข็นพร้อมกับรีบให้เลือด และพาผมกับลมขึ้นรถตรงไปที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
เจ้าลมกับพ่อผมนอนคู่กัน แต่ละคนมีสีหน้าซีดเซียว ผมได้แต่อธิษฐานขอให้พวกเขาทั้งสองปลอดภัยพ้นขีดอันตราย เมื่อถึงโรงพยาบาลผมกับลมก็ถูกส่งตรงไปที่ห้องผ่าตัดเพราะอาการไม่ถึงแก่ชีวิต ส่วนพ่อผมถูกส่งไปที่ห้องไอซียูเพราะถูกยิงตรงที่สำคัญ ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในห้องผ่าตัดและกลิ่นยา ผมได้หลับไปโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีก มารู้สึกตัวตอนที่พักฟื้นอยู่ในห้องพัก และมีแม่ผมอยู่ข้าง ๆ เธอมีสีหน้าแช่มชื่น แต่ขณะเดียวกันก็ปรากฏแววตาโศกเศร้า ผมถามความจริงจากเธอและก็ได้คำตอบที่เหมือนฝันร้ายที่สุดในชีวิตผม
“คุณหมอพยายามช่วยพ่อแล้ว แต่พ่อเสียเลือดมากเพราะเป็นฮีโมฟิเลีย* ตอนนี้พ่อกำลังหลับอยู่จ้ะ ฮือๆ”
ดั่งโลกทั้งใบแตกสลาย ผมพูดอะไรไม่ออกเพราะรู้สึกว่าคอตีบตันจนเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างทำนบพัง
...คำอธิษฐานของผมทำไมไม่เป็นผลต่อคนที่ผมรักเลย...
หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะใช้เวลาอยู่กับเขาให้คุ้มค่ากว่านี้ และดูแลเอาใจใส่เขาอย่างดีที่สุดเท่าที่คนแอบรักอย่างผมจะทำได้
*โรคทางพันธุกรรม ผู้ป่วยจะมีเกล็ดเลือดในน้ำเลือดน้อยกว่าคนปกติ เมื่อเกิดบาดแผลทำให้เสียเลือดมากและห้ามเลือดได้ยาก
----------------------------------------------
ผมมองรูปถ่ายรวมของงานแต่งงานแม่ผมกับพ่อคนที่สอง ก่อนจะยิ้มอย่างเป็นสุขหลังงานวิจัยที่หนักหนาสาหัส ตอนนี้ผมได้ทำสิ่งดี ๆ ให้กับพ่อทั้งสองคนและแม่ผมแล้ว พวกท่านคงภูมิใจที่ผมมีการศึกษาสูงและมีอนาคตที่ดี ส่วนเรื่องของหัวใจผมก็ไม่ต้องแอบรักใครเพียงข้างเดียวอีกแล้ว เพราะตอนนี้ผมเป็นฝั่งเป็นฝาเรียบร้อยกับอดีตเพื่อนสนิทที่แอบรักผมมาตั้งแต่อยู่ชั้นม.4
ผมคิดอะไรเพลิน ๆ ไม่เท่าไหร่ จู่ ๆ ก็มีแขนคู่หนึ่งโอบร่างผมไว้ และตามมาด้วยริมฝีปากที่ซอกไซ้ไปทั่วลำคอของผม
“ด็อกเตอร์วายุ คุณมาตอนไหนครับเนี่ย” ผมถามขณะที่ถูกไซ้ไปตามซอกคอ
“ก็มาตอนที่คุณเผลอนั่นแหละครับด็อกเตอร์เมฆินทร์ โถ...เรียกซะเต็มยศเลยนะภรรยาผม”
...กวนบาทาดีแท้สามีผม...
“ทราบแล้วคร้าบๆ สามีของผม เออ... ได้ข่าวว่ามะรืนนี้คุณจะไปดูงานที่โตเกียวนี่”
ลมอมยิ้มอย่างยียวนแทนคำตอบ
“เฮ้อ คุณไปดูงานอย่างเดียวแน่เหรอ เพราะผมได้ยินมาว่าหนุ่ม ๆ ที่นั่นหน้าตาดีเอาเรื่อง”
ลมยิ่งกอดผมแน่นกว่าเดิมหลังจากที่ผมหยอดลูกหึงให้มันหนึ่งลูก
“ดูงานอย่างเดียวจริง ๆ คร้าบที่รัก อีกอย่างหนึ่ง ต่อให้ผมเหล่หนุ่มทั่วพิภพจบแดนก็ไม่มีใครเทียบคุณได้ ไม่เชื่อผมจะให้ค่าเครื่องบินคุณสำหรับตามไปเหยียบผมถึงที่เลยเอ้า”
ผมซบหน้ากับท่อนแขนมันด้วยความเขิน...ผมจะเป็นเบาหวานก็เพราะอย่างนี้แหละครับ...ไอ้คุณสามีเล่นให้ C12H 22O11(น้ำตาลทราย) กับผมทุกวัน แต่ถึงอย่างไรผมก็เต็มใจรับครับ
“คุณไม่ต้องให้ค่าเครื่องบินผมหรอก เปลืองเงินเปล่า ๆ เพราะผมก็ได้รับจดหมายจากศาสตราจารย์วิชัยเหมือนกัน” ผมบอกมันด้วยรอยยิ้มที่แสดงเป็นนัย ๆ ว่าผมกับมันได้ไปดูงานที่โตเกียวด้วยกัน ลมยิ้มตอบด้วยแววตาวับวาว
“ได้ยินข่าวดีแบบนี้ต้องฉลองหน่อยแล้ว คุณอยากทานอะไร ผมยินดีพาไปครับผม”
“ต้มยำกุ้งบ้านชลนภา” ผมตอบอย่างคิดถึงรสมือของแม่
“ตกลง...แล้วรับขนมหวานของผมด้วยไหมครับ” ลมกระซิบข้างหูพร้อมกับลูบไล้ต้นขาผมเบาๆ ทำให้ผมสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง
“รับครับ” ผมกระซิบตอบก่อนจะบิดร่างออกอย่างเขินอายพร้อมกับลุกขึ้นปิดไฟ/พัดลมในห้องปฏิบัติการ ตอนนี้ผมไม่คิดถึงอะไรแล้ว นอกจากมื้อเย็นฝีมือของแม่และ...ขนมหวานจากสามีบนที่นอน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผลงานอื่นๆ ของ มัจฉพาชี ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ มัจฉพาชี
ความคิดเห็น