คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ทางเลือก
“เนเฟลที่รัก ข้านำพระวจนะของเทพเจ้าแห่งแสงสว่างมาเผยแผ่ถึงที่พำนักอาศัยของพี่น้องเทพอัศวินที่รักยิ่งเพื่อประโลมไล้ดวงฤทัยของพี่น้องเทพอัศวินให้อบอุ่นสว่างไสวดุจดวงสุริยายามฉายแสงเจิดจ้าส่องนำเส้นทางสู่ความรักอันสะอาดบริสุทธิ์ต่อทุกชีวีแห่งองค์มหาเทพ อา...ตัวข้านี้ขอสรรเสริญพระบารมีอันเปี่ยมล้นและสุกสกาวดั่ง...โว้! เนเฟล เปิดประตูเร็วๆ ได้ไหมเนี่ย เพราะตรงนี้ไม่มีใครอยู่หรอกนะข้าถึงกล้าตะโกน!”
เสียงโวยวายหน้าประตูทำให้เดมอสลุกพรวดแทบไม่ทัน เขาทำหน้าเหมือนลังเลนิดหนึ่งว่าต่อให้เป็นครีอุสก็เถอะ แต่มาขัดเวลาแบบนี้เขาสมควรจะโกรธแล้วเอาดาบกะซวกสักแผลดีไหม
ไม่ได้ๆ ในหนังสือระบุเอาไว้ชัดเจนว่าเทพอัศวินทั้งสิบสององค์ต้องจงรักภักดีต่อหัวหน้าเทพอัศวินครีอุส..
สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจยาวแล้วหันตัวไปช่วยพยุงลอเรนให้ลุกขึ้นยืนซึ่งติดจะเซเล็กน้อย ทั้งสองคนมองหน้ากันครู่หนึ่งเดมอสจึงลอยไปเปิดประตูห้อง ทิ้งให้ลอเรนยืนเก้อๆ เอามือปิดใบหน้าช่วงล่างแบบที่ไม่ค่อยหรือไม่เคยปรากฏให้เห็น สำหรับเขาแล้วมันยากเอาการที่จะปรับสีหน้าให้กลับมานิ่งสงบเหมือนยามปกติได้
ก็อย่างที่เป็นที่รู้กันในหมู่เทพอัศวินทั้งสิบสอง...ลอเรนเป็นคนที่ขี้อายที่สุดในบรรดาพวกเขา
“เนเฟล! ทำไมถึงช้...เหวอ!”
เกรเซียสตัวแข็งเป็นหินเมื่อเห็นสภาพน้ำราสเบอร์รี่ท่วมตัวของเจ้าของห้อง
โชคดีที่นี่คือเกรเซียสไม่ใช่เคเรส เพราะถ้าเป็นเคเรสล่ะก็คงจะเป็นลมล้มตึงตั้งแต่แวบแรกที่เห็น แต่ดูจากท่าทางของเกรเซียสแล้วเขาคงกำลังใช้พลังสัมผัสสำรวจว่าน้ำข้นๆ ที่เต็มตัวบุคคลที่เหมือนวิญญาณผีตายโหงตรงหน้านี่คืออะไรกันแน่
“ไม่มีพลังทอง ไม่ใช่เลือด...นี่นา”
ประมุขแห่งตำหนักเทพอัศวินดึงถุงมือสีขาวสะอาดออกแล้วเอานิ้วจิ้มน้ำสีแดงๆ บนหัวเดมอส เนเฟล จากนั้นก็ถือวิสาสะเลียไปแผลบหนึ่ง
“โธ่ ที่แท้ก็น้ำราสเบอร์รี่นี่เอง” เขาทำหน้าโล่งอก “เจ้านี่ทำให้ข้าตกใจได้ตลอดเวลาเลย เอ้อ ให้ข้าเข้าไปได้ไหม”
“...”
คนถูกถามพยักหน้าหงึกแบบที่เห็นแล้วก็รู้ว่าไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ เกรเซียสเดินก้าวผ่านธรณีประตูอย่างสง่างาม แล้วก็ชะงักไปนิด
“เอ๊ะ ตะกี้ข้าไม่ยักใช้พลังสัมผัสกว้างเท่าไหร่ก็เลยไม่รู้ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ไงอ่ะลอเรน”
“เฮฟเฟตัสให้ข้ามาทำธุระนิดหน่อย” ลอเรนตอบเสียงเรียบ
เขาไม่ได้โกหกนะ แค่พูดความจริงไม่ครบแค่นั้นเอง...
“เอ๋ เดี๋ยวนะ ชุดนี้มัน” เกรเซียสขมวดคิ้วมุ่นเหมือนกำลังรวบรวมสมาธิเพ่งพลังสัมผัส ใบหน้าของเขาตอนนี้ดูน่ารักเหมือนเด็กไร้เดียงสาเปี๊ยบเลย “นี่เจ้าถอดอาภรณ์แห่งมังกรงั้นเหรอ ทำไมล่ะ?”
เฮือก!
“อย่าสงสัยให้มากเลย ว่าแต่ว่าเจ้าควรจะพักผ่อนยู่ในห้องไม่ใช่หรือ ทำไมถึงยังมีแรงออกมาเดินเพ่นพ่านได้ล่ะ” ลอเรนบอกปัดและถามต่อหน้าตาย ซึ่งน้ำเสียงของเขาก็ยากจะเดาเจตนาว่าแอบกระแนะกระแหนหรือเปล่า แต่เกรเซียสแค่ยักไหล่ให้ ดูท่าทางคงไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้เท่าใดนัก
“ก็เพราะเรื่องที่ข้ากำลังจะมาบอกพวกเจ้านี่แหละ”
“เรื่องอะไรหรือ..” เนเฟลผายมือเป็นเชิงเชิญให้นั่ง แต่เกรเซียสส่ายหน้าปฏิเสธเก้าอี้ท่วมซอสราสเบอร์รี่ตัวนั้น เขาเดินหลบแอ่งน้ำผลไม้เป็นหย่อมๆ บนพื้นแล้วหาที่ยืนที่สะอาดที่สุดคือบริเวณข้างโต๊ะทำงาน
“ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะอยู่กันพร้อมหน้า” เขามองเดมอสกับเนเฟลสลับกันไปมาด้วยสีหน้าพิกล (ลอเรนแอบรู้สึกหนาวเยือกถึงกระดูกสันหลัง) “แต่...ก็ค่อยสะดวกหน่อย เพราะข้าจะมาหารือเรื่องที่เราจะออกเดินทางกันมะรืนนี้ นี่เป็นเรื่องที่ต้องตกลงกันก่อน”
เกรเซียสไม่ได้พูดพร่ำถึงพระเมตตาแห่งเทพเจ้าแห่งแสงสว่างหรืออะไรเทือกนั้น เหตุผลข้อแรกคือลอเรนรู้นิสัยของเขาดีอยู่แล้ว เหตุผลข้อที่สองคือเนเฟลจะจงรักภักดีกับเขาไม่ว่าตัวจริงจะไม่สง่างามหลุดโลกแค่ไหน เหตุผลข้อที่สามคือเมื่อล็อคประตูแล้วเขาจะทำตัวแหลกเหลวแค่ไหนก็ได้...แต่ในเมื่อนี่ไม่ใช่ห้องของตัวเองก็เก็บอาการไว้ในระดับหนึ่งก็แล้วกัน
“ใครหน้าไหนก็ไม่รู้ทำเรื่องที่เราประชุมกันแพร่งพรายออกไป” เกรเซียสพูดเข้าประเด็นทันทีแบบที่ใครหลายคนต่างก็ปรารถนาให้เขาทำเหลือเกินในเวลาปกติทั่วไป “และนั่นทำให้โอกาสที่เราจะถูกลอบโจมตีเป็นไปได้สูงมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเดินทางอย่างแน่นอน ตอนนี้เทอร์มิสกำลังสืบตัวเจ้าบ้าปากไม่มีหูรูดนั่น และข้าคิดว่าเราควรจะออกเดินทางกันพรุ่งนี้เช้าเลย”
พรุ่งนี้เช้า?
ลอเรนไม่แปลกใจกับวิธีแก้ปัญหาเท่าไหร่ ถือเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่ใช้วิธีนี้ เพราะหากยืดเวลาการเดินทางออกไปก็มีแต่ผลร้ายทั้งนั้น นี่อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่มีในตอนนี้...หรืออย่างน้อยก็ดีที่สุดเท่าที่จะนึกออกในเวลาเร่งด่วนล่ะนะ
เขาตั้งท่าจะพูดแต่อยู่ๆ ก็รู้สึกวืดจนต้องคว้าแขนเดมอสพยุงตัวไว้ ท่าทางว่าร่างกายตัวเองจะยังช็อกไม่หายจนตามคำสั่งจากสมองไม่ทัน
เหมือนเกรเซียสจะไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ เขาจ้อง (ด้วยพลังสัมผัส) อยู่ครู่หนึ่งแล้วเริ่มพูดต่อ
“พรุ่งนี้เช้าเวลาห้านาฬิกามาพบกันหน้าตูทางเข้าวิหารเทพ เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้และม้าให้พร้อม ระยะเวลาเดินทางไปกลับที่กะไว้คร่าวๆ คือประมาณสองสัปดาห์ อ่า และที่สำคัญที่สุด...เมื่อออกเดินทาง ข้าคือเกรเซียสไม่ใช่ครีอุส เจ้าคือลอเรนไม่ใช่ฮาเดส และเจ้าก็คือเดมอสไม่ใช่เนเฟล เข้าใจนะ”
“ขอรับ..” เป็นเดมอสที่ตอบรับขึ้นมาก่อนแล้วพยักหน้าตามอย่างว่าง่าย
“เข้าใจแล้ว เอ่อ งั้นข้า...กลับห้องก่อนล่ะนะ” ลอเรนเดินไปที่ประตู “เจอพวกเจ้าพรุ่งนี้นะเกรเซียส และ...เอ่อ...เดมอส”
แม้ตอนเรียกชื่อเดมอสเขาจะตะกุกตะกักนิดหน่อย แต่ลอเรนก็พาตัวเองออกมาจากห้องนั้นจนได้โดยไม่ลืมพึมพำเบาๆ กับอาภรณ์แห่งมังกรแล้วกลับมาสวมชุดมือสังหารรัดกุมก่อนออกจากห้องอย่างรอบคอบ
และพอเขาได้มีโอกาสสำรวจตัวเองอย่างละเอียดก็ได้รู้ว่าถึงจะสวมชุดนี้แต่คราบราสเบอร์รี่ยังคงไม่จางไปไหน ตัวเขาเลอะเต็มไปหมดทั้งตำแหน่งตามลำตัว ซอกคอ ไหล่ แก้ม แล้วก็...ริมฝีปากด้วย
องค์มหาเทพ! เกรเซียสได้สังเกตไหมนี่ว่าแต่ละตำแหน่งมันส่อแค่ไหนน่ะ!
ยิ่งอยู่กับเดมอสสองคนด้วย ถ้าเกรเซียสคิดมากล่ะก็...
เอ๋ แล้วเขาจะกลัวเกรเซียสคิดมากไปทำไมกันในเมื่อเขาตัดสินใจเลือกแล้วว่า...จะรักใคร
ไม่ใช่แล้ว! เหตุผลอื่นต่างหาก! เขาสมควรกังวลด้วยเหตุผลที่ว่าเกรเซียสอาจเอาเรื่องเข้าใจผิดไปบอกคนอื่นเข้า!
แต่แล้วมันจะทำไมกันล่ะ? นี่! มันเป็นเรื่องที่ต้องกลุ้มใจนะ!
ความคิดในหัวของลอเรนตีกันยุ่งเหยิงจนเจ้าตัวมึนตึ้บไปหมดด้วยความที่จัดระเบียบความคิดไม่ทัน ทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต้องเหลียวหลังกลับมามองท่าทีแปลกๆ ของเขากันทุกคน
“ฮาเดสสส”
“เอ๋?”
‘หัวหน้าเทพอัศวินฮาเดส’ หันหน้าไปมองผู้มาทักอย่างตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็อึ้งสนิท
“เอกสาร...กองภูเขา...เจ้าไม่อยู่...เวลานอน...ข้าตายแน่...โฮฮฮ”
เทมเพส เจ้าอย่าไปทำเสียงอ่อนระโหยโรยแรงแบบนี้ต่อหน้าเฮฟเฟตัสเชียวนะ เขาต้องเข้าใจผิดแล้วยิงเพลิงสลายวิญญาณใส่หน้าเจ้าแน่ๆ ด้วยท่าทางแบบนี้ถ้าไม่ถูกใครเข้าใจผิดว่าเป็นวิญญาณก็คงเป็นซอมบี้จากขุมนรกที่ไหนสักแห่งเป็นแน่ สภาพของเทมเพสดูแย่ยิ่งกว่าอมนุษย์อย่างเขาเสียอีก
ฮาเดสตบไหล่เทมเพสเบาๆ อย่างเห็นใจ
“เข้าใจแล้ว ข้าจะจัดการงานเอกสารให้ได้มากที่สุดก่อนออกเดินทาง ข้าเองก็ไม่อยากให้เจ้าไปรบกวนเคเรสเท่าไหร่เหมือนกัน”
“เยี่ยมเลย” เทมเพสหัวเราะเนือยๆ “ต่อไปก็อาเดร์ เจ้ารองหัวหน้าหน่วยครีอุสนั่นหายไปไหนน้าาา”
เขาต้องบรรยายด้วยไหมว่านับวันสภาพของเทมเพสยิ่งดูจิตๆ มากขึ้นทุกวันแปรผันตามปริมาณงาน ถ้าไม่แบ่งเบาภาระเสียบ้างเทมเพสอาจมีโอกาสตายก่อนวัยอันควรสองทาง หนึ่งคือตายคากองเอกสาร ส่วนสองคือถูกกองเอกสารทับตาย
เอาเถอะ เขาก็ไม่มีข้าวของต้องเตรียมอะไรมาก ก็ใช้หลักการเดิมๆ นั่นแหละในการรับงานมาทำ
คิดแต่เรื่องงานเอกสารเข้าไว้ จะได้ไม่ต้องวอกแวกไปถึงเรื่อง...เอ่อ...เรื่องอื่นที่ไม่สำ...คัญ
อยู่ๆ เขาก็รู้สึกหน้าร้อนวูบ ใบหน้าเฉยชาเผยสีหน้าแบบอื่นโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่ทันได้รู้
ตกลงว่า...เขาเลือกแล้วจริงๆ ใช่ไหม
หัวใจเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วสินะ ว่าใครคือคนที่เขาเลือกจะรัก
แล้วสุดท้ายลอเรนก็อดส่ายหน้าอย่างระอาใจไม่ได้
อา...การรักใครสักคนมันช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่
...
.....
..........
แต่หากความจริงนั้นช่างน่าเจ็บปวด ตัวเขาเองที่ยังลืมใครอีกคนไม่ได้อย่างหมดใจ และความรู้สึกเก่าๆ นั้นกลับยังคงตราตรึงฝังแน่นในความทรงจำไม่จืดจาง...หากเดมอสได้ล่วงรู้เข้าจะรู้สึกไม่ดีเพียงใดแค่ลองคิดเขาก็ไม่อยากจะคิดเลย
หัวหน้าเทพอัศวินฮาเดสเดินคอตกโซไปเซมาอย่างสมที่เป็นอัศวินแห่งความตายเป็นครั้งแรกไปยังห้องของเทมเพสซึ่งไม่ได้ล็อคอะไรใดๆ ทั้งสิ้นประหนึ่งว่าเปิดอ้าไว้รอใครสักคนมาช่วยเคลียร์กองงานเอกสารอย่างด่วน
ฮาเดสรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เมื่อก้าวเข้าไปในห้องนั้น มันมืดทึบเกือบจะพอกันกับของของเนเฟลด้วยซ้ำ แต่ที่นี่มืดในกรณีของกองเอกสารเป็นตั้งสูงบังหน้าต่างจนมิด ทางเข้าก็มีกองเอกสาร บนตู้เสื้อผ้าก็มีกองเอกสาร บนเตียงและใต้เตียงก็มีกองเอกสาร ทุกหนทุกแห่งในห้องเต็มไปด้วยกองเอกสาร...
นี่อย่าบอกนะว่าช่วงนี้เทมเพสหลับคาโต๊ะทำงาน
ฮาเดสอึ้งไปนิดแล้วจึงเริ่มใคร่ครวญว่าข้อสันนิษฐานของเขามีโอกาสเป็นจริงสูงลิ่วมากเพียงใด
“หัวหน้าเทพอัศวินฮาเดส?”
เอ๋ เสียงนี้มัน...
“เทอร์มิส?”
“หัวหน้าเทพอัศวินเทอร์มิส” เขาเอ่ยแก้ให้ทั้งที่ท่าทางบอกชัดว่าไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญพลางมองคราบราสเบอร์รี่ตามตัวฮาเดสด้วยสายตาสแกนเรือนร่างอย่างสงสัย “แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ที่นี่ไม่มีคนนอก เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“มาเอาเอกสารไปทำก่อนออกเดินทางน่ะ”
เทอร์มิสพยักหน้าเข้าใจแล้วจึงชี้ไปที่กองเอกสารที่วางไว้ข้างเก้าอี้
“เอกสารกองนั้นเป็นกองที่มีกำหนดส่งเร็วที่สุดในที่นี้ เจ้าน่าจะเหมาะสมที่สุดที่จะทำแล้วล่ะเพราะเรื่องนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับเจ้าชายปีศาจที่ต้องเขียนรายงานต่อพระราชา เหมือนข้าจะเคยเปรยกับเจ้าไปแล้วรอบหนึ่งใช่ไหม เอาเป็นว่าหากมีเวลาเหลือมากพอเจ้าก็ค่อยมาเอาที่เหลือไปจัดการให้เสร็จก็แล้วกันนะ”
“อืม เข้าใจแล้ว”
ฮาเดสเดินไปหยิบงานมาหอบไว้อย่างว่าง่าย ขณะที่กำลังจะเดินออกไปเทอร์มิสก็ร้องเรียกขึ้นมาก่อน
“ฮาเดส”
“มีอะไรหรือ”
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้ ข้าขอฝากครีอุสด้วย”
เขาถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ...นี่มันไม่สมควรจะเป็นคำพูดที่ออกจากปากหัวหน้าเทพอัศวินเทอร์มิสเอาเสียเลย
“เขาเป็นคนที่ชอบหาเรื่องใส่ตัว และแม้จะไม่ทำอะไรก็จะมีเรื่องวุ่นวายแวะเวียนมาหาเขาเองอยู่เรื่อย เจ้าที่เป็นเพื่อนเล่นแต่เด็กของเขาก็น่าจะเข้าใจในความจริงข้อนี้ดี” เทอร์มิสถอนหายใจ “มันอันตรายที่จะปล่อยให้เขาไปไหนมาไหนตามลำพัง แม้ตำแหน่งของเขาจะสูงส่งเพียงใดหากแต่จิตใจของเขากลับเด็กยิ่งกว่าที่คนภายนอกจะรับรู้ เจ้าคิดว่าจริงหรือไม่”
“ข้าทราบดี” ฮาเดสตอบเสียงเบาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ก็ใครใช้ให้เกรเซียสก่อเรื่องเก่งปานนั้นล่ะ
ทำไมเขาจะไม่รู้สักเกรเซียสล่ะว่าเป็นศูนย์กลางดึงดูดความวุ่นวายมากเพียงใด
“อีกอย่างหนึ่ง จุดอ่อนของเขา...เขาไว้ใจคนง่ายเกินไป และหากมีใครใช้เทพอัศวินทั้งสิบสองเป็นข้อต่อรองอะไรด้วยล่ะก็ข้าคิดว่าเขาอาจจะด่วนวู่วามตัดสินใจได้ง่าย”
มากเลยล่ะ...
“และก็ต้องขอโทษจริงๆ ที่ข้าทำให้เจ้าลำบากใจ”
“เอ๋”
“ข้าไม่ควรเสนอให้พาเนเฟลไปด้วยเลยจริงๆ” เทอร์มิสทอดถอนใจอย่างที่แทบไม่เคยทำให้ใครเห็น ถึงตรงนี้ฮาเดสค่อยจับความรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าเหนื่อยมามากเพียงใดตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคราวที่เกรเซียสไปเป็นเจ้าชายปีศาจที่แคว้นกัลซินด์
“ไม่หรอกนะ เทอร์มิส” ฮาเดสแย้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้าในเรื่องนั้น ข้าพูดจริงๆ นะ”
“ขอบคุณที่เข้าใจนะ” คู่สนทนาหยักยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย หากแต่สีหน้ากลับยังดูอ่อนล้า “แต่มันจำเป็นที่ต้องให้เทพอัศวินที่เป็นผนึกรองไปกับเกรเซียสด้วย เพราะเป้าหมายในครั้งนี้อยู่นอกตัวเมืองลีฟบัด ข้าจึงยังกังวลอยู่บ้างเรื่องที่เกรเซียสยืนยันจะไปกับคนจำนวนน้อยที่สุด”
“ไม่ต้องห่วงหรอกเทอร์มิส” ฮาเดสกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ข้ารู้จักเขาดี และข้าขอรับรองว่าจะปกป้องคุ้มครองเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเขาเองก็เป็นคนสำคัญของข้าเหมือนกัน” และแล้วฮาเดสก็หยุดชะงักไปเหมือนลังเลที่จะพูดต่อแต่สุดท้ายก็เอ่ยเสริมเบาๆ เสริมว่า “คนสำคัญมากด้วย”
เทอร์มิสจ้องหน้าเขาครู่หนึ่งด้วยสายตา...เอ่อ ถ้ามองไม่ผิด เป็นสายตา...สงสาร?
นี่เขาถึงกับทำให้คนอย่างเทอร์มิสทำสายตาเศร้าแบบนี้ได้ด้วยหรือนี่
“เจ้าไปเถอะ ข้าต้องรอที่จะหารือกับเทมเพสเพิ่มเติมเรื่องการรักษาความปลอดภัยในเมืองช่วงที่พวกเจ้าไม่อยู่อีกสักหน่อย” เทพอัศวินแห่งการลงทัณฑ์ยังคงทำสีหน้าแปลกๆ ส่งมาอยู่ดี เหมือนว่าเขาจะกลับมาอยู่ในโหมด ‘แลนซ์’ ไปชั่วขณะยังไงยังงั้น
“ถ้าเช่นนั้น ข้าลาล่ะนะ เทอร์มิส”
ฮาเดสไม่เข้าใจ ตัวเขาเองทำอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจผู้อื่นขนาดนั้นลงไปเชียวหรือ?
แต่แล้วเขาก็ส่ายหน้าไล่ความสับสนออกไป
ไม่เอาแล้ว...ไม่อยากคิดอะไรให้วุ่นวายอีกแล้ว
เพียงแค่นี้ก็หนักหนาแทบจะเกินกว่าที่ความรู้สึกของเขาจะทนรับได้แล้วนะ...
แต่ก็ไม่รู้ทำไมนะถึงรู้สึกใจหายชอบกล...อยู่ๆ ก็รู้สึกไม่อยากให้พรุ่งนี้มาถึงเอาเสียเลย
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
ฮัลโหลค่ะทุกท่าน ^^
ดีใจจริงๆ เลยที่ยังมีรีดเดอร์ติดตามเรื่องนี้อยู่ เป็นปลื้มมากค่ะ//ปาดน้ำตา กระซิกๆ
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ พูดได้อย่างหน้าไม่อายเลยว่า"ขี้เกียจ"ค่ะ YwY
ตอนนี้วางพล็อตทุกอย่างไว้เสร็จสรรพแล้ว แต่ช่วงปิดเทอมมันไม่มีอารมณ์พิมพ์เลยจริงๆ ขอโทษค่ะ T^T
เอาล่ะ ต้องรีบปั่นอีกซักหน่อยซะแล้ว เจอกันบทหน้านะจ๊ะ >[ ]<
ความคิดเห็น