คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : จูบ
ตลอดทั้งเช้าวันต่อมา ฮาเดสก็วุ่นอยู่กับการช่วยเทมเพสจัดการเอกสารตั้งเบ้อเร่อจนไม่มีเวลาพัก ซึ่ง...โอเค เขาไม่ต้องการจะพักอยู่แล้ว ส่วนช่วงบ่ายเขาก็แวะไปหาไอซอทเพื่อจะถามถึงงานส่งของ (กิน) ที่เขาถูกขอร้องให้ทำบ่อยๆ เขาเคาะประตูห้องแล้วรอครู่หนึ่งไอซอทจึงแง้มประตูออกมาเล็กน้อยพอให้เห็นตัว
“มีธุระอะไรหรือฮาเดส” เจ้าของห้องถามขณะที่มือยังถือที่ตีไข่ที่มีครีมช็อกโกแล็ตเยิ้มค้างไว้อยู่
“ไม่หรอก ข้าแค่อยากจะมาถามว่ามีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่”
“เช่นนี้นี่เอง” ไอซอทพยักหน้า “ขอบใจมาก โปรดรอสักครู่”
ประตูปิดลงพร้อมเสียงกุกกักก๊อกแก๊กโครมครามเหมือนระเบิดลงจากด้านใน ฮาเดสยืนรออย่างอดทนตามคำขอ จากนั้นประมาณสิบนาทีบานประตูก็เปิดออกอีกครั้ง ถุงขนมสิบถุงถูกยื่นให้ตรงหน้าเขา ซึ่งตัวเขาเองก็รับมาหอบไว้ด้วยความเต็มใจ
“ขอโทษที่ให้รอ”
“เดี๋ยวนะ” ระหว่างที่เก็บถุงขนมของตนเองเข้าไปในกระเป๋าฮาเดสก็พิจารณาหาตราสัญลักษณ์ว่าถุงขนมของเทพอัศวินคนไหนหายไปพลางๆ “ของเฮฟเฟตัสล่ะ”
“อ๋อ” ไอซอททำสีหน้าเข้าใจ “ไม่ต้องหรอก เขาอยู่ไหนห้องข้าน่ะ ขอตัวนะ ข้าต้องไปทำช็อคโกแล็ตมูสพายให้เขาก่อน รบกวนด้วยล่ะหัวหน้าเทพอัศวินฮาเดส”
ประตูปิดโครมตรงหน้าเขา ฮาเดสกำลังสงสัยว่าตัวเองอาจจะมาผิดเวลาหรืออะไรประมาณนั้น
เขาเดินอย่างไม่รีบร้อนไปเรื่อยๆ เป้าหมายแรกคือห้องของใครสักคนในกลุ่มโคลด์บลัด แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทุกคนหายไปไหนหมด แม้แต่พวกฝ่ายเฮมิชก็ดูเหมือนจะหายไปด้วยเหมือนกัน และรวมทั้ง...
“หัวหน้าเทพอัศวินเทอร์มิส!” ฮาเดสใช้เสียงที่เบากว่าการตะโกนนิดหน่อยเรียกอีกฝ่ายที่กำลังจะก้าวยาวๆ อย่างรีบร้อนสวนทางกับเขาไป ฝ่ายถูกเรียกชะงักหยุดกึกแล้วหันมามอง เมื่อเห็นสภาพเขาถือห่อขนมสารพัดก็ทำสีหน้าเข้าใจแล้วตรงมาหา
“มีเหตุจลาจลในเมือง อมนุษย์บุกเข้ามามากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ข้าเลยส่งอาร์เทมิส เอกอน กับอาร์เมลไปดูสถานการณ์” เทอร์มิสกระซิบแล้วก็ช่วยเขาถือถุงขนมทั้งหมดไว้แทน “แต่เมื่อครู่ม้าเร็วมาบอกว่าสถานการณ์เริ่มแย่ลง ข้าจะไปตามไอซอทและแจ้งครีอุสให้ออกคำสั่งกับเทพอัศวินของเขาก่อน ส่วนเจ้า ฮาเดส เจ้าเองก็ล่วงหน้าไปก่อน ทางตอนใต้ของเมืองเนเฟลจะต้านไม่อยู่แล้ว” แล้วหัวหน้ากลุ่มโคลด์บลัดก็ส่ายหน้าพึมพำเบาๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจให้เขาได้ยิน “ครีอุสนี่ก็จริงๆ เลย ทั้งที่การปราบอมนุษย์เป็นหน้าที่ของเขาแท้ๆ สงสัยยังพอกตัวอยู่แน่ๆ”
ฮาเดสยืนฟังเงียบๆ แต่คิดในใจว่า...เจ้าอย่าพยายามไปขัดจังหวะไอซอทตอนนี้จะดีกว่ามั้ง
ว่าแต่เนเฟลไปถึงนานแล้วงั้นหรือ? จริงสิ หน่วยลาดตระเวนเดือนนี้เป็นเวรของเนเฟลนี่นา
และแล้วเขาก็ถอนหายใจ
“ขอรับ” เขารับคำ “เทอร์มิส ข้าจะนำมันไปให้เนเฟลเอง”
เขาหยิบถุงขนมของเนเฟลมาหย่อนใส่กระเป๋าแล้ววิ่งไปยังโรงม้าทันที
กุบกับ กุบกับ
“เร็วอีกนิดเถอะเจ้าม้า” ฮาเดสที่แทบจะเอนตัวแนบคอม้าที่กำลังควบอืดอาดในความคิดเขากระซิบกับมันเบาๆ...ให้ตาย...เขาคิด ถ้าเสกม้าโครงกระดูกจากความตายมาขี่แทนได้โดยพวกชาวบ้านไม่หัวใจวายเขาคงทำไปนานแล้ว
แล้วเขาก็ได้ยินเสียงระเบิดกับเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของอมนุษย์จึงลงจากหลังอาชาแล้วกระโดดข้ามกำแพง ไต่ขึ้นไปบนหลังคาสูงแล้วกวาดตามองหาจุดเกิดเหตุอย่างไม่ยากเย็นเพราะฤทธิ์เดชอาภรณ์แห่งมังกรที่ตนสวมอยู่
แล้วเขาก็พบจุดๆ หนึ่งที่ชุลมุนมากอย่างเห็นได้ชัด อมนุษย์กระจุกรวมกันอยู่ที่เดียวกันเหมือนกำลังห้อมล้อมอะไรบางอย่าง มีเสียงหลายเสียงปะปนกันไปทั้งเสียงต่อสู้ เสียงดาบตัดเนื้อ เสียงเลือดกระฉูด
“เนเฟล” ฮาเดสพึมพำเบาๆ เมื่อเห็นร่างของคนคุ้นเคยหายตัวแวบไปแวบมาในหมู่อมนุษย์ราวกับเป็นวิญญาณ เขากวัดแกว่งดาบอย่างพลิ้วไหว หายตัวไป แล้วก็ตวัดดาบอีก เหล่าสัตว์ประหลาดล้มลงทุกวินาทีที่เขาเคลื่อนไหว เอาตามความจริงนะ นั่นนับว่าเป็นการต่อสู้ที่สวยงามและหาดูได้ยากจริงๆ
ถ้าคุณดูจนจบได้โดยไม่โดนซาลาแมนเดอร์ที่อยู่แถวนั้นเผาหัวคุณเป็นเนื้อย่างมีเดียมแรร์ล่ะก็นะ
ฮาเดสลอบยิ้มใต้หน้ากากสีดำที่ปิดใบหน้าครึ่งล่างไว้แล้วชักดาบเทพอัศวินฮาเดสออกมา มันเป็นการช่วยไม่ได้ที่เขาต้องจับดาบสู้แทนที่จะคืนร่างประมุขแห่งความตายควบคุมเหล่าอมนุษย์เหล่านี้ เขาทำไม่ได้หรอกในสถานการณ์ที่พวกชาวบ้านชาวเมืองแอบมองกันพรืดโดยไม่กลัวตายอย่างสมเป็นชาวเมืองลีฟบัดแบบนี้
เขาจับดาบมั่นแล้วฝ่าเข้าไป คมดาบตวัดด้วยความสามารถขั้นพื้นฐานของเขาที่ผึกซ้อมตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงบัดนี้...หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน วูบไหวเหมือนสายน้ำ รวดเร็วเหมือนสายลม และดุดันบ้าคลั่งเหมือนเปลวไฟ ตามหลักแล้วฝีมือการฟันดาบของเขาโจษจันกันว่าเยี่ยมกว่าหัวหน้าเทพอัศวินเทอร์มิสเสียอีก และนั่นไม่ผิดแผกไปจากความเป็นจริงสักเท่าไหร่
แต่ว่าทำไมอมนุษย์คราวนี้ถึงมีมากมายขนาดนี้กันนะ
“พวกมันมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คิดอย่างนั้นไหมหัวหน้าเทพอัศวินเนเฟล”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น..”
ทั้งฮาเดสและเนเฟลได้แผลมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ฮาเดสจะไม่มีเลือดในตัวให้ไหล แต่สำหรับเนเฟลมันก็อีกเรื่อง แม้ฮาเดสจะไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย แต่สำหรับเนเฟลมันไม่เป็นเช่นนั้น การต่อสู้ที่กินเวลาตั้งแต่บ่ายจรดค่ำไม่ใช่อะไรที่สนุกเลย ตรงกันข้าม...มันเป็นอะไรที่สูบพลังงานอย่างมาก
เทพอัศวินฮาเดสอดบ่นออกมาเบาๆ ไม่ได้ว่า “ทำไมเทพอัศวินที่เหลือถึงไม่มาสักที น่าจะมาถึงได้ตั้งนานแล้วนี่นา” ...แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะเจออมนุษย์ดักทางเอาไว้ ยังไงก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ทางนี้เขากับเนเฟลคงต้องรับผิดชอบกำจัดให้หมดกันเองเสียแล้ว
ฮาเดสเงยหน้ามองผืนฟ้าสีหมึกแล้วถอนหายใจ
แบบนี้คงจะอีกนาน...
คิดแล้วก็ส่ายหน้าปลงๆ พลางกะซวกดาบเข้าท้องอมนุษย์ตัวที่หกพันสามร้อยสี่สิบเก้าที่เขาจัดการได้ในวันนี้
เที่ยงคืน...
“กลับมาแล้วหรือ เนเฟลที่รัก ฮาเดสที่รัก”
ครีอุสยิ้มอย่างสง่างามให้พวกเขาสองคนบริเวณใกล้ๆ อารามแสงสว่าง
ทำไมครีอุสถึงเห็นเนเฟลน่ะเหรอ ก็พวกเขาสองคนเล่นพยุงกันมาแบบนี้ไม่เห็นก็ให้มันรู้ไป...
เนเฟลปล่อยตัวฮาเดสแล้วทำความเคารพตามแบบอัศวินแล้วเริ่มต้นพรางตัว ฮาเดสจึงทำความเคารพ ‘หัวหน้าเทพอัศวินครีอุส’ บ้าง
“ด้วยพระเมตตาของเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง พี่น้องเทพอัศวินทั้งสองท่านจึงได้กลับมายังสถานที่แห่งองค์เทพเจ้าแห่งแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ได้โดยสวัสดิภาพ อา ข้าซาบซึ้งในพระมหากรุณาอันเปี่ยมล้นอย่างหาที่สุดมิได้ของพระองค์ยิ่งนัก ขอแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์จงสาดส่องคุ้มครองเหล่าพี่น้องเทพอัศวินที่รักยิ่งของข้าให้ปราศจากภัยแผ้วพานภยันตรายทั้งหลายทั้งปวงตลอดไปด้วยเทอญ”
“ครีอุส ตรงนี้ไม่มีคนอื่นอยู่แล้วนะ อีกอย่างข้าคิดว่าแสงศักดิ์จะทำข้าตายรอบสองมากกว่าจะคุ้มครองข้า” ฮาเดสถอนหายใจแล้วพยักเพยิดไปทางเนเฟลที่แขนเสื้อชุดยูกาตะขาดรุ่งริ่ง “แล้วก็ช่วยรักษาเนเฟลด้วย แผลที่ไหล่ซ้ายเขาสาหัสเอาการ”
“เข้าใจแล้ว” ครีอุสตอบรับด้วยการเอามือวางบนบ่าฮาเดสอย่างนุ่มนวลแผ่วเบาเสียจนถูกแตะหน้าแทบแดง...ที่ใช้คำว่าแทบแดงเพราะแน่นอนว่าเขาไม่มีเลือดในตัวให้หน้าแดงอยู่แล้ว จากนั้นครีอุสก็หันไปใช้คาถาฟื้นฟูพลังให้เนเฟล
เนเฟลไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ แต่น่าแปลก...แม้ฮาเดสจะเห็นเพียงแค่หน้าครึ่งล่างของเนเฟลแต่เขากลับกำลังรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองเขา แต่กำลังเสมองไปทางอื่นด้วยท่าทีกึ่งไม่พอใจ
ทำไมกันนะ บางทีคนๆ นี้ก็เข้าใจยากยิ่งกว่าเกรเซียสเสียอีกนะนี่...
“เฮ้อ โชคดีจริงๆ ที่พวกเจ้าปลอดภัย แต่ว่าคนอื่นๆ ยังกลับมาไม่ครบเลยข้าจึงต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกเสียหน่อย ไปพักผ่อนเถอะนะพวกเจ้าทั้งสองคน” ครีอุสส่งยิ้มสว่างไสวมาให้อีกหน “อีกอย่างพวกโคลด์บลัดก็กลับมากันหมดแล้วยกเว้นเทอร์มิสคนเดียว ข้าคิดว่าจะอยู่รอหน่อยน่ะ”
ฮาเดสตั้งท่าจะพูดว่าการพักผ่อนไม่ใช่อะไรที่จำเป็นกับเขาเลย แต่พอได้ยินเพื่อนวัยเด็กพูดถึงเทอร์มิสเขาก็พูดอะไรไม่ออก ทว่าเนเฟลที่อยู่ข้างๆ พูด ‘ขอรับ..’ คำเดียวเสร็จก็จับมือลากตัวเขาแล้วพาออกไปแทบจะทันที
จะพาไปไหนนะ? อืม...เหมือนจะเป็นทางไปป่าสน
“เนเฟล เจ้าเหนื่อยมากแล้วนะ กลับไปพักผ่อนที่ตำหนักเถอะ” ฮาเดสร้องบอก เนเฟลไม่ได้ตอบว่ากระไร แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาไม่ได้ใช้วิชาก้าวข้ามเมฆา
“เนเฟล?” ฮาเดสร้องเรียกอีกครั้ง แต่คราวนี้เนเฟลกลับเซเสียจนต้องเอามือยันกำแพงไว้
เห็นอย่างนี้แล้วฮาเดสจึงเข้าไปช่วยพยุงอย่างเป็นห่วงพลางถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไป”
“เหนื่อย..” เสียงตอบเบาหวิวจากคนตรงหน้า “เมื่อคืนไม่ได้นอน..”
“เอ๋?” ข้าจำได้ว่าเขาบอกข้าว่าเขานั่งหลับตอนอยู่กับข้าไม่ใช่หรือไงกันนะ หรือว่า... “เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้านั่งรอคำตอบจนรุ่งสางเลยน่ะ!”
เนเฟลแค่พยักหน้าโดยไม่พูดไม่จา
ม...หมอนี่ช่างบ้าเกินบรรยายกว่าที่เขาคิดเป็นร้อยเท่าเลยจริงๆ
ฮาเดสอึ้งไปชั่วครู่
“ข้าขอโทษนะ” ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจแล้วกระซิบอย่างแอบสำนึกผิด “เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าที่ห้องแล้วกัน”
“ข้าไม่ได้โทษเจ้า..” เนเฟลบอกแล้วก็เงียบไปอีก
ฮาเดสพยุงเนเฟลไปที่ห้อง เขาไม่เคยเข้ามาที่ห้องของเนเฟลมาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองไปรอบๆ ซึ่งมีชั้นหนังสือมากมายที่ถ้าเอามารวมกันแล้วดูท่าจะยังมีพื้นที่มากกว่าห้องน้ำในห้องของคนๆ นี้เสียอีกกระมัง
“นั่นต้นเชอรี่ที่เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังหรือเปล่าน่ะ” ฮาเดสเอียงคอมองต้นเชอรี่ต้นที่เล็กแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนตรงมุมห้อง มันสูงแค่ประมาณสี่ฟุต ใบสีเขียวเข้ม และมีผลดกสีชมพูอ่อนเต็มต้นสีเหมือนผมของเนเฟลไม่มีผิด
คนทั่วไปจะจินตนาการเทพอัศวินเนเฟลที่มีผิวสีซีดๆ ผมสีซีดๆ เสื้อผ้าสีซีดๆ และทำตัวล่องไปลอยมานี่นะ
“อืม นั่นแหละ..” เนเฟลตอบเสียงไร้เรี่ยวแรงอย่างที่ไม่รู้ว่าเขาพูดให้สมกับเป็นเทพอัศวินเนเฟลหรือว่าอิดโรยจริงๆ กันแน่ “เจ้าหรี่ไฟหน่อยนะ ข้าไม่ชอบแสงสว่าง..”
เหมือนกันนั่นล่ะ...ฮาเดสคิดแล้วเอื้อมมือข้างที่ว่างอยู่หมุนปรับความสว่างในตะเกียงเล็กๆ ที่แขวนข้างประตูแล้วค่อยพยุงเนเฟลนั่งบนเตียง เนเฟลเอียงคอเล็กน้อยขณะถามคำถามเอื่อยๆ
“พรุ่งนี้เจ้าจะทำอะไรเหรอ จะให้ข้าไปอยู่ที่ป่าสนเป็นเพื่อนอีกไหม..”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เรื่องนั้นค่อยว่ากันทีหลังเถอะ เจ้าสมควรพักได้แล้ว วันนี้เหนื่อยมามากพอแล้วล่ะนะ”
ฮาเดสค่อยๆ ปล่อยตัวคนตรงหน้าพอให้มั่นใจว่าจะไม่เป็นลมหงายหลังไปเสียก่อนแล้วจึงพูดว่า “เช่นนั้น ข้าก็ไม่รบกวนเจ้าแล้วนะเนเฟล พักผ่อนเสียเถอะ” แล้วเขาก็ลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป
แต่แล้วทันใดนั้นโดยที่เขาไม่คาดคิด ชายหนุ่มผู้มีผมสีชมพูสลวยก็เอื้อมมือมาจับมือเขาไว้
ระหว่างที่ฮาเดสกำลังงง เนเฟลก็ออกแรงกระตุกหน่อยเดียวเขาก็เซถลาไปนั่งเกยตักอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย และขณะที่ยังไม่หายตกใจนั้นมือขาวซีดข้างหนึ่งของเนเฟลก็รั้งเอวเขาไว้ ส่วนอีกข้างก็ดึงหน้ากากของเขาออกแล้วกดท้ายทอยเขารับริมฝีปากที่ประกบลงมาในไม่กี่วินาที
นั่นเล่นเอาคนถูกกระทำอย่างเขาช็อกค้างทำอะไรไม่ถูกไปเลย แต่เมื่อเขาเผลอเผยอปากอีกฝ่ายก็ได้โอกาสสอดลิ้นเข้ามา ลิ้นอุ่นควานหยอกเย้าไปทั่วโพรงปาก ฮาเดสพยายามจะดิ้นแต่ไม่ช้าก็ต้องเปลี่ยนมายึดไหล่เนเฟลอย่างช่วยไม่ได้
พนันได้ว่าไม่เคยมีใครอีกแล้วนอกจากเขาที่รู้ว่าเดมอส เนเฟลจะเป็นคนที่จูบเก่งขนาดนี้
แต่เขาไม่พนันนะ กฎของการเป็นเทพอัศวินระบุว่าห้ามพนันขันต่อระหว่างเทพอัศวิน เอ่อ ไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องนี้เสียหน่อย!
“อื้อออ” ฮาเดสเริ่มหมดเรี่ยวหมดแรงขึ้นมากะทันหัน แปลกจริง ไม่ยักรู้มาก่อนว่าอัศวินแห่งความตายจะรู้สึกเหมือนหมดแรงได้กับเขาด้วย
เนเฟลค่อยๆ ถอนจูบอย่างเชื่องช้าแต่ยังคงอ้อยอิ่งกับริมฝีปากบางนั้นราวกับยังจูบไม่พอ ฮาเดสถูกสวมกอดจากวงแขนขาวซีดทำให้ใบหน้าเขาแนบกับอกของอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้
“เน...เนเฟล” เขาเริ่มพูดตะกุกตะกัก “จ...เจ้า...ทำ...ทำไม...ถึ...ถึง...ได้...”
ฮาเดสรู้สึกว่าในตอนนี้ตัวเองพูดติดอ่างได้เยี่ยมกว่าเทพอัศวินไทรอนเสียอีก
“ไม่ต้องกลัวหรอก..” เสียงแผ่วๆ กระซิบอยู่ข้างหู “ข้าไม่ทำอะไรคนที่ไม่ยินยอมอยู่แล้ว..”
ฮาเดสฟังแล้วคิ้วกระตุกนิดๆ แสดงว่าจูบเมื่อครู่นี่เขายินยอม?
“ก่อนที่เจ้าจะเอาดาบตัดหัวข้าหรืออะไรทำนองนั้น..” ชายผิวสีซีดเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง “ข้าจะขอบอกไว้ตรงนี้ว่าถึงเจ้าจะไม่รักข้า ไม่ว่ายังไงข้าก็จะรอเจ้า ลอเรน..”
คราวนี้เล่นเอาคนฟังชะงักกึก
รอ? เดมอสบอกว่าจะรอเขางั้นหรือ?
เหมือนกับที่ตัวเขารอเกรเซียสมาโดยตลอดหรือเปล่านะ?
“ลอเรน..” เดมอสกระชับวงแขนอีกนิด “ข้าเข้าใจเจ้า ข้าเข้าใจความรู้สึกของคนที่รอดีพอๆ กับเจ้า เพราะฉะนั้น..” เขากระซิบข้างหูชายหนุ่มผมสีดำแซมเงิน “ก็ช่วยเข้าใจด้วยว่าข้าเองก็ทรมานไม่ต่างอะไรจากเจ้าเลย..”
“คือ...ข้า...ข้าไม่รู้จะตอบเจ้ายังไง” ลอเรนตอบอู้อี้เพราะใบหน้าถูกกดซุกอยู่ที่แผ่นอกของเดมอส “ข้าไม่รู้จริงๆ ขอโทษนะ...อา นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าควรพักผ่อนได้จริงๆ แล้วล่ะ”
เขาแกะมือเดมอสออกอย่างสุภาพแล้วถอยหลังออกมาสองก้าวจึงนึกอะไรขึ้นได้
“เอ้อ ข้าเกือบลืมไป” ลอเรนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบถุงขนมถุงเล็กที่มีตราสัญลักษณ์ของเทพอัศวินเนเฟลออกมา “ไอซอทฝากลูกอมกับช็อกโกแลตสอดไส้ราสเบอรี่มาให้เจ้า”
“ขอบคุณ..” เดมอสยื่นมือไปรับแล้วถามด้วยเสียงเนือยๆ ว่า “เจ้าเปิดดูงั้นหรือ..”
ลอเรนชะงักกึกแล้วปฏิเสธอ้อมแอ้ม “เปล่าหรอก แต่ข้าเคยเห็นเครื่องดื่มที่เจ้าชอบวางไว้ใกล้ตัวตอนอยู่ในห้องสมุดน่ะ ข้าก็แค่เดาเท่านั้นเองว่าเจ้าชอบอะไร”
เดมอสส่งยิ้มประหลาดที่เขาตีความหมายไม่ออกมาให้ แล้วก็พยักหน้าทำนองว่าอนุญาตให้ออกไปได้
แต่พอลอเรนดันบานประตูออกไปได้ครึ่งตัว เดมอสก็ร้องเรียกเขาอีกครั้ง
“นี่เจ้าน่ะ..”
“อะไรหรือ”
เดมอสยิ้มแล้วชี้นิ้วไปที่ต้นไม้ที่มุมห้องก่อนเอ่ยทิ้งท้ายประโยคที่ทำให้คนฟังปิดประตูปังแทบไม่ทัน
“ข้าใช้ลิ้นผูกปมลูกเชอรี่ได้นะ เจ้าคิดว่าจริงหรือเปล่าลอเรน ให้ข้าพิสูจน์กับเจ้าอีกทีได้ไหม?”
เดมอส! ที่เจ้าจูบไปน่ะเป็นอัศวินแห่งความตายนะ ทำไมเหล่าเทพอัศวินที่นี่ถึงเส้นประสาทตายด้านกับคำว่าประมุขแห่งความตายกันเสียจริงล่ะเนี่ย!
ลอเรนเอนตัวพิงบานประตูด้านนอกอย่างเหนื่อยใจ
คนพวกนี้มีจิตสำนึกกับการเป็นเทพอัศวินบ้างไหมน่ะหา!
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
กลับมาอีกครั้งกับตอนใหม่ที่ตัดฉับไปดื้อๆ คำถามที่ตั้งกับตัวเองก็คือ...
มันเร็วไปมั้ยที่ขึ้นตอนสองก็ได้เรื่องเลยเนี่ย...
อ่ะ เอาเป็นว่าช่วงนี้แถวบ้านกำลังอยู่ในช่วงระวังภัยพิบัติ
เพราะฉะนั้นหากหายหน้าไปนานก็เดาได้ว่าน้ำท่วมไม่ก็ขี้เกียจอ่ะจ้า >w< <<เล่นง่ายเนอะ \(^O^)/
ความคิดเห็น