คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : อย่ามายุ่ง 5
“ฟู่กุ้ยยย” เสียงนายน้อยที่ดังขึ้นลั่นห้องอักษร ลั่นไปถึงโรงครัวส่วนตัวมันจริงๆ นั้นอยู่ตรงบริเวณที่ถูกต่อเติมอยู่ท้ายจวน มันที่กำลังทำขนมถั่วกวนก็รีบเดินไปหานายน้อยอย่างเร่งรีบ
นายน้อยก็ยังคงเป็นนายน้อย...
พลันมันเข้าไปถึงก็เห็นตัวประกอบหลิงอีทำสีหน้าปลาตายอยู่ด้านหลัง ส่วนด้านหน้านายน้อยก็กำลังตื่นตาตื่นใจกับตำราแพทย์อีกครั้ง...
“มีอันใดหรือขอรับ” มันว่า หลังจากที่แต่งนิยายจบนามปากกาหนอนน้อยเย้ยฟ้าก็ถูกปิดตาย เนื่องด้วยมันเองก็ไม่ได้สนใจนิยายใคร่เขียนใคร่พรรณนาเป็นพิเศษเท่าไหร่ ส่วนนายน้อยก็เริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อความโศกเศร้าระทมทุกข์ของนางพญาร้อยเล่ห์ได้ทานทน หลังจากกว้านซื้อหนังสือหนังสือมาหลายเรื่องที่ตัวเอกล้วนไม่เคยตายดีเห็นจนชินชา เพียงเห็นผู้แต่งก็เตรียมใจขึ้นไปอีกสามส่วนเวลาอ่าน
“นี่ นี่ สารท้ารบถึงเจ้า” ว่าจบก็โยนหนังสือเล่มน้อยไปอยู่ตรงหน้า พร้อมข้อความอหังการเย้ยฟ้า ปรามาสว่าเขาไร้ความสามารถทำได้เพียงลอกเลียนนิยายของคนอื่นมาดัดแปลง หดหัวอยู่ในกระดองไม่ยอมเขียนอักษร และตบท้ายด้วยข้อความยั่วยุให้แต่งนิยายเรื่องใหม่ประชันกัน
มันอ่านจบชั่วครู่คิ้วที่ขมวดน้อยๆ ก็คลายลง รอยยิ้มอ่อนน้อมถ่อมตนก็ฉาบอยู่บางๆ อีกครั้งราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเอง
“ขอรับ” มันตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย นายน้อยที่กำลังพลุ่งพล่านกับหนังสือเรื่องใหม่เกี่ยวกับนักรบหาญกล้าในแดนไกลเลือดร้อนระอุฆ่าฟันผู้คนแปดทิศทางแตอนจบจะกลายเป็นศพถูกแขวนประตูเมืองแต่ก็ไม่ยอมคุกเข่าให้กบฏ แม้แต่ครั้งเดียวรีบตบโต๊ะฉากใหญ่ ทำตัวเหมือนเป็นพระเอกของเรื่อง
“ชิชะ เจ้าหนอนหัวหด เกิดมาเป็นถึงชายชาตรีแม้แพ้พ่ายแต่ก็จงอย่าได้เสียศักดิ์ศรี จงยืนหยัดองอาจทระนงต่อแสงจันทร์ส่องไม่หวั่นเกรง” ว่าจบก็ปีนขึ้นตกเขียนหนังสือ ยกขางอเข่าอีกด้าน ยกมือชูขึ้นเหนือศีรษะโบกธงชัยก็ไม่ปาน
มันเพียงก็มหน้ากลั้นหูกลั้นตาอยู่อย่างมากเพื่อไม่ให้หัวเราะเพราะความเอ็นดู แม้วันเวลาผ่านไปนายน้อยจะเติบใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อยแต่อย่างไรเสียสำหรับมันก็น่ารักอยู่ในที
“ไม่รู้หล่ะเจ้าหนอนช้อยโง่เง่า ในเมื่อท่านนางพญาร้อยเล่ห์อยากจะต่อกรเจ้า เจ้าก็ต้องลงสู่สนามรบ เดือนนี้ทั้งเดือนเจ้าไม่ต้องปรนนิบัติรับใช้ข้า แต่จงประพันธ์งานแต่งชั้นเลิศมาให้ได้ ครั้งนี้ข้าจะเป็นกลาง ไม่มีเวลาอ่านนิยายของเจ้า อย่าได้เสียใจไปเลยต่อให้พ่ายแพ้ ยังไงเสียก็ถือว่าเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูล” ว่ากลับมันอย่างให้กำลังใจสองสามคำ จากนั้นก็โยนกระดาษมาให้ปึกใหญ่พร้อมกับหมึกพู่กันชั้นเลิศอีกชุดหนึ่งก็โบกมือไล่ให้ไปประพันธ์งานเสียอย่างนั้น ส่วนตนเองเปิดหนังสือแล้วย้อนกลับไปหน้าแรกดูก็รู้ว่าอยากจะอ่านซ้ำอีกสักรอบ
ฟู่กุ้ยที่กำลังแย้มยิ้มพลางก้มหัวเคารพนอบน้อม แต่ในใจกับมุ่งมั่นลุกโชน หวังจะทุ่มนางพญาหัวหงอกนั่นให้ไปกองกับพื้นถนน เพียงแต่มิอยากทำเรื่องมากให้ยากเรื่อง เพราะทุกวันนี้ก็หาเวลาให้ตัวเองก็นับว่ายากเต็มที
มันบรรจงเขียนอักษรร้อยเรียงเรื่องราว เพราะความสุดยอดของนางพญาร้อยเล่ห์คือความแปลกใหม่ มันจึงคิดถึงเรื่องใกล้แต่หากไกลตัวผู้คนเป็นร้อยพันอักษรถ่ายทอดเรื่องราวอย่างช้าๆ เป็นเรื่องราวเด็กชายเซียนสมุนไพรเติบโตมาจากจ้าวพฤกษาในป่าลึกมีบุคลิกเย่อหยิ่งจองหอง เชิดหน้าจนคอแทบหัก เป็นที่หมั่นไส้ของผู้คนข้างกายมีสัตว์อสูรเทียมฟ้าเป็นพยัคฆ์ขนปุยที่แปลงกายเป็นแมวคอยปกปักรักษาอันตรายที่จะย่างกรายเข้ามาใกล้ ให้เด็กชายอาละวาดได้อย่างเต็มที่ เนื้อเรื่องสบายๆ ระหว่างมิตรภาพ และการจากลงไปทั่วพิภพก็เริ่มต้นขึ้น...
ปึก
เสียงของเงินตำลึงที่ถูกกระทบกับโต๊ะไม้จนดังสนั่นพร้อมคำพรรณนาลักษณะก็ดังขึ้นออกจากปากทันที
“เหลาป่านเอาพยัคฆ์ ไม่สิ เอาแมวให้ข้าหนึ่งตัว ลักษณะมีไม่มาก ขอเพียงแค่ขนสีขาวนวลสง่าหากแต่มีแต้มสีดำเหมือนเปลวไฟที่โชติช่วงรัตติกาล หูทั้งสองข้างเป็นสีดำสนิทไร้สีปน ส่วนหางปลายเป็นสีดำไล่เป็นสีขาวจรดโคน ตัวไม่เล็กมากสามารถพาดบนคอได้อย่างองอาจหากแต่ดูอรชร ดวงตาสีฟ้าใสกระจ่างข้างและทองกระจ่างอีกข้างหนึ่ง” นายน้อยว่ากล่าวทันทีที่เข้ามาถึงร้านขายสัตว์เลี้ยง
“เอ่อ คุณชายน้อยข้าเกรงว่ายามนี้คงไม่มี” หลงจู๊ประจำร้านที่กำลังรับแขกผู้สูงศักดิ์ตัวน้อยพูดอย่างอ่อนจิตอ่อนใจ เพราะก่อนหน้านี้มีหลายสิบคนที่มาถามหาแมวลักษณะจำเพาะเช่นนี้มากมายจนน่าประหลาด
“นั่นสินะเสี่ยวหูเป็นถึงยอดพยัคฆ์ในแดนเซียน มีเงินเท่าใดคงหาซื้อในพิภพมนุษย์เช่นนี้ไม่ได้” นายน้อยพูดพลางซึมกะทือ ยามนึกถึงเสี่ยวหูที่เดินทางเหนือล่องใต้ตามหลินเป่ยไปทุกท้องที่การผจญภัยเป็นสหายสนิทรู้ใจไปทั่วหล้า พลันก็เหลือบไปเห็นเจ้าแมวน้อยตามลักษณะดังกล่าวอยู่ในอ้อมกอดชายผู้หนึ่ง
“เสี่ยวหู” เสียงของนายน้อยที่ครางออกมาอย่างตกตะลึงแมวที่อุตส่าห์หามานานกว่าสามเดือน กว้านหาทุกร้านในที่สุดก็ปรากฏให้เห็นสักที ขาของเขาพลันขยับเข้าไปหาเหมือนโดนยาเสน่หาของปีศาจดอกเหมยในป่าต้องห้าม
“โอ้ ไม่นึกเลยว่าคุณชายน้อยสกุลหยวนจะรู้จักชื่อพยัคฆ์ตัวน้อยของข้าด้วย” คำพูดคำจาใหญ่โตเต็มที บวกกับเครื่องแต่งกายฉูดฉาดสีสดใสเหมือนนกยูงรำแพนหางเช่นนี้ คงมิใช่ใครอื่นต้องอ๋องน้อยคนสุดท้ายของฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนเป็นแน่
“นี่เจ้า” นายน้อยกัดปากล่างจนแดงช้ำกล้ำกลืนฝืนทนคำขอซื้อต่อในที
หยางอ๋องผู้นี้เป็นคนแปลกนัก นอกจากพูดจาโอหังใหญ่โตเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง ชอบตัดชุดสีสันฉูดฉาดเป็นสตรี ปากคอเราะรายไม่ไว้หน้าใคร ขนาดกลุ่มนายน้อยเกเรจอมเกเรอย่างมันยังไปกล้าไปยุ่ง หลังเห็นบุตรชายขุนนางขั้นหนึ่งคนหนึ่งดันทำตัวไม่รู้ความทำสร้อยคอไข่มุกของอ๋องน้อยขาดไปเส้นจนต้องโทษตัดมือ...
ทำเอามันเห็นเป็นต้องขยาด ถ้าหากมันเอ่ยปากไปเกรงว่าคงต้องโดนตัดลิ้น
“จุ๊ๆ ไม่ยอมเอ่ยปากต่อแล้วหรือ แต่เอาเถิดต่อให้เจ้าอยากจะซื้อก็คงไม่ได้เพราะแมวตัวนี้ข้าซื้อมาในราคาหมื่นตำลึงทอง” ว่าจบก็ลูบหัวเจ้าแมวตัวน้อยก่อนที่จะเหลือบไปเห็นป้ายชื่อที่ทำจากทองคำสลักประดับด้วยอัญมณีดูเพียงตาเปล่าก็รู้ว่าเป็นช่างฝีมือจากในวังอย่างอวดศักดา เหล่าบรรดาชนชั้นสูงตัวน้อยเวลาว่างไม่มีอะไรทำในยังเด็กเกินกว่าจะเหนื่อยยากกับการแก่งแย่งชิงดีชิงตำแหน่งหรือกิจบ้านกิจเมือง เพราะงั้นแทนที่จะเอาเวลาหมดไปกับการนอนตบยุงบ้าง แต่ก็เอาเวลาไปใส่ใจกับหนังสือไร้สาระส่งผลให้ของใช้หลายชิ้นถีบราคาพุ่งสูง เพราะความพิเศษที่มีลักษณะจำเพาะที่ทุกคนต่างแย่งชิงมีไว้ในครอบครอง
โดยเจ้าแมวตัวจ้อยที่อยู่ในอ้อมกอด มีทั้งเหล่าขุนนางหลายท่านขอซื้อ ไม่ว่าจะเพื่อบุตรตัวน้อย จวบจนไปยังหัวหน้าครอบครัวต่างต้องการมีไว้ในครอบครองเถ้าแก่หัวใสย่อมหาทางให้ได้ราคางามๆ จนเปิดประมูลให้ได้ราคา ใครจะไปรู้ว่าแมวตัวนี้มีวาสนาถึงหมื่นตำลึงทองราคาที่สามารถซื้อจวนหลังใหญ่ได้สบายๆ
นายน้อยที่ทำปากยื่นก่อนที่จะสะบัดตัวออกไปอยู่ในที ก่อนที่ฟู่กุ้ยจะเดินตามไปค้อมตัวเล็กเป็นการขออภัยแทนนายน้อยที่ทำตัวไม่สุภาพ
แต่ก็ถูกมือที่เหมือนคีมเหล็กจับยึดมือมันเอาไว้
“ท่านเสี่ยวฉงเทียนด้วยโปรดเซ็นหนังสือให้ข้าที” ว่าจบก็ค่อยยกเจ้าเสี่ยวหูในอ้อมแขนให้บ่าวใช้แล้วหยิบหนังสือนิยายต้นฉบับที่ประมูลซื้อมาอย่างสดๆ ร้อนๆ แข่งกับแม่นางน้อยคนหนึ่งอย่างหน้าไม่อาย
มันที่ถูกมือแกร่งบีบจนเป็นรอยแดง ทั้งยังเป็นอ๋องตัวน้อย มันยิ่งไม่กล้ารับความเคารพ แต่นายน้อยมันก็เดินอย่างเร่งรีบ มันจึงไม่สามารถค้อมกายคารวะได้อย่างถูกต้อง จำต้องหยิบหนังสือในมือใช้พู่กันของร้านขายสัตว์เลี้ยงเขียนลายเซ็นบนหน้าว่างเปล่าอย่างเร่งรีบ พลันคิดถึงเจ้าเสี่ยวหูในอ้อมแขนเลยวาดมันแถมให้อีกตัว
“ท่านชื่ออะไร” มันถามอย่างเร่งรีบเมื่อเห็นนายน้อยเริ่มเดินไปไกลลิบตา มันไม่สนด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายรู้จักมันได้เช่นไร
“หลงหยาง ข้าชื่อหลงหยาง” เสียงทุ้มของหนุ่มพึ่งเสียงแตกว่ากล่าวในทันที มันจึงเขียนถ้อยคำขอบคุณที่สนับสนุน แต่นี่ฉวัดเฉวียงเชียนชื่อยามปากกา คล้ายคลึงกับที่นางพญาร้อยเล่ห์เขียนให้นายน้อยไม่กี่วันก่อน
จากนั้นก็เป่าด้วยปากพอให้หมาดๆ แล้วยื่นให้เจ้าของโดยไม่ได้เหลือบแลใบหน้าที่สดใสปนสีชมพูระเรื่อเหมือนเด็กหนุ่มพบรัก
“ข้าไปล่ะ หลงหยาง” มันรีบพูดเป็นกันเองอย่างลืมตัวเพราะหลังของนายน้อยเริ่มหายไปในสายตาแล้ว ส่วนเจ้าของชื่อก็โบกมือลาด้วยอากาศเหม่อลอยแล้วรีบคว้าเจ้าเสี่ยวหูที่อยู่ข้างก่ายกอดรัดแน่นแล้วจูบไปสองสามทีจนถูกข่วนไปสองแผลบนใบหน้า แต่ไม่โกรธอันใด
สมกับเป็นพยัคฆ์จริงๆ
มันที่กำลังวิ่งตามนายน้อยที่เดินไปตามรายทางอย่างเร่งรีบก่อนที่จะได้หนังสือนิยายมาอีกกองใหญ่พร้อมกับหนังสือการแพทย์ และตำราดาราศาสตร์มาอีกในจำนวนเท่าๆ กันมาให้ถือ แต่กระนั้นมันก็ได้รับเงินปันส่วนมาอีกนิดหน่อยจากการขายนิยายที่พอได้รับความนิยมชมชอบ
นายน้อยจับยัดหมั่นโถวปิ้งเข้าปากและกัดขบเคี้ยวเหมือนเป็นเนื้อมังกร ขบเคี้ยวอย่างโกรธแค้น ส่วนหางตาก็ไปหยุดที่บ่าวที่เดินตามต้อยๆ อย่างแค้นเคือง ทันทีที่เข้าไปในห้องก็เหมือนได้รับอาวุธคู่ใจเครื่องกระเบื้องลายครามพุ่งเฉียดกายไปเพียงหนึ่งชุ่นพร้อมลักษณะป่นละเอียดกว่าทุกครั้ง
“ฟู่กุ้ย เจ้าบ่าวชั้นต่ำ” นายน้อยว่าพลางชี้นิ้วไปยังบ่าวที่ก้มหน้านิ่ง
“เหตุใดแต่งจบแล้วจึงไม่นำมาให้ข้าตรวจถี่ถ้วนดี เจ้าแต่งนิยายข้าไม่เห็นได้อ่านก่อนสิ แต่นี่...เจ้าเห็นไหมว่าเสี่ยวหูถึงกลับไปเคียงคู่กับคนที่มิคู่ควร” นายน้อยว่าด้วยนัยน์ตาโกรธเกรี้ยว ทั้งที่ฟู่กุ้ยเป็นบ่าวในเรือน มันใช้เวลาเดือนกว่าในการเขียนนิยายแต่เขาไม่ได้อ่านสักตัวอักษรได้แต่ตะกอนกอดหนังสือเล่มอื่น กว่ามันจะรู้ว่านิยายเล่มนี้สนุกสนานพาทีก็ผ่านไปกว่าสามเดือน
หากสหายสนิทไม่แนะนำเรื่องเขาคงไม่ได้อ่านเป็นแน่แท้
“ก็... ก็นายน้อยบอกว่าไม่ต้องการตรวจดู” มันพูดเสียงเบาๆ ราวกับยุง ก้มหน้ามองรองเท้าสีดำที่อยู่บนพื้น
“เหลวไหล” นายน้อยประกาศเสียงกร้าว คนอย่างเขาจะปฏิเสธงานเขียนเช่นนี้ได้อย่างไร ก่อนจะนึกเหตุการณ์สองสามรอบก็พลันกระจ่างชัดแต่ก็ยังวางมาดแก้เขิน
“อะแฮ่มจะอย่างไรก็ตามแต่ เรื่องนี้ถือเป็นข้อผิดพลาดของเจ้าจงจำไว้เป็นบทเรียน จะเขียนนิยายร่ายพรรณนา เจ้าก็อย่าลืมให้ข้าพิสูจน์อักษร ถ้าเกิดบ่าวเช่นเจ้าเขียนผิดเขียนถูกข้าที่เป็นนายก็อาจเสียหน้าได้” เขาว่าอย่างวางมาดทำตัวเหมือนว่าตนเองเป็นผู้เฒ่าผู่แก่ก็ไม่ปาน ทั้งๆ ที่ไม่กี่วันก่อนยังสอบถามเกี่ยวกับการบ้านที่อาจารย์สั่งอยู่เลยแท้ๆ ไม่ว่าจะกี่ครั้งคนตรงหน้าก็ยังน่าเอ็นดู
“ขอรับ ขอรับ” มันตอบรับด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะเห็นมือขาวบางแบออกเหมือนโจรรีดไถอีแปะข้างทาง
“แล้วเล่มต่อไปเล่า” นายน้อยว่าพลางทำเสียงขรึมหากแต่นิ้วทั้งสี่กับกระดิกยิกๆ
“ยังไม่ได้เขียนขอรับ” มันตอบเสียงเรียบ นายน้อยก็ตบโต๊ะด้วยมือทั้งสองข้างอย่างตะลึงงัน “อะไรกันฟู่กุ้ย เหตุใดจึงขี้คร้านตัวเป็นขน เกิดเป็นชายต้องอุทิศตน ยามขัดสนจะได้มั่งมี”
“บ่าวก็แค่ไม่แน่ใจว่านิยายเป็นที่นิยมรึไม่ เถ้าแก่บอกว่านักเขียนหน้าใหม่ไม่ค่อยมีฐานลูกค้าจึงยากต่อการได้ออกเล่มใหม่”
“ชิชะ ตาเถ้าแก่จนสายตาฝ้าฟาง คงไม่ใช่ว่าเจ้าหากผลตอบรับไม่ดีเจ้าก็คิดจะไม่สานต่อหรอกนะ”
“เป็นเช่นนั้นขอรับ” มันพูดอย่างแผ่ว
“เจ้าหนอนไม่ได้ความเห็นเงินทองสำคัญกว่าเกียรติยศ เจ้าจำไว้เจ้าเป็นถึงผู้แต่ง ต้องคำนวณถึงผู้อ่านให้มากเรื่องเงินเป็นเรื่องน้อยเรื่องจบสิถึงเป็นเรื่องใหญ่” เขาพูดพลางสั่งสอนมองบ่าวตรงหน้าอย่างดูแคลน
“หากขาดพู่กัน กระดาษขาว หรือน้ำหมึกก็จงมาขอข้าอย่าได้ตระหนี่เป็นอันขาด ข้าในฐานะนักอ่านผู้หนึ่งของสนับสนุนจากใจ” เขาพูดเสียงเข้มอีกคำ
“ขอรับ ขอรับ งั้นบ่าวขอไปชงชาก่อน” มันรับคำส่งๆ รับคำก่อนที่หยิบจำเครื่องชาที่ไม่เคยอยู่ได้ครบชุดออกไปจากเรือน
“หยุดบัดเดี๋ยวนี้ ฟู่กุ้ยมาเขียนเล่มใหม่บัดเดี๋ยวนี้” เสียงนายน้อยก็ยังคงแหลมคมบาดจิตบาดใจดังก้องไปทั่วทั้งเรือน...
หลังจากนั้นฟู่กุ้ยก็แทบก้าวสู่วิชาชีพนักเขียนอย่างเต็มตัวจะดื่มชายังมีบ่าวมาคอยดูแล จะทำอะไรล้วนมีคนคอยรับใช้เหมือนนายน้อยอีกคนก็ไม่ปาน แต่มันก็ไม่ได้ทำตัวหยิ่งโยโสแต่อย่างใด ยามใดที่มันใค่รปรนนิบัติก็จะปรนนิบัติอย่างประณีตเหมาะสมอย่างดีเยี่ยม และรู้จักกำหนดการเขียนเป็นตารางเวลาไม่บ้าระห่ำเช่นกาลก่อน และแม้ว่าหนังสือจะเขียนได้ช้าแต่เหล่าผู้อ่านก็ยังคงเฝ้ารอคอย
จวบจนเพลาล่วงเลยไปหลายปีนายน้อยย่างอายุเข้าสิบขวบก็พลันมีคำสั่งจากนายท่านให้ไปฝึกปัญญานั่งสมาธิที่วัดในหุบเขาสูงที่ห่างไกลและเคร่งครัดเพื่อเป็นกุศลแก่ฮูหยินเฒ่าที่ล่วงรับไป โดยมีบ่าวรับใช้ติดตามไปเพียงไม่กี่คน โดยในหลายวันก่อนหลิงอีก็ประสบอุบัติเหตุโดยบังเอิญจนจำต้องกลับจวนแม่ทัพไปรักษาตัวเป็นระยะเวลาหลายเดือน ส่วนฮูหยินรองที่กำลังตั้งครรภ์กับหยวนฉู่ที่ยังเล็กไม่อาจไปได้ด้วยตนเอง
ส่วนมันกับนายน้อยก็ต้องเร่งเดินทางตั้งแต่ค่ำมืดมิอาจได้ล่ำลาฮูหยินใหญ่ที่ไปเข้าเฝ้าฮองเฮาเลยสักนิด... ก็ถูกส่งมายังวัดเสียแล้ว
ภายในวัดก็สมเป็นวัดที่เมตตาธรรมนายน้อยนุ่งขาวห่มขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ตื่นแต่ยามอิ๋นนอนยามห้าย ถือศีลกินเจ ทุกวันท่องบทสวด กวาดวัดวาอารามมากมายเสียไม่หมดสิ้น ข้าหล่ะสงสาร
นายน้อยเสียจริง
“ฟู่กุ้ยเจ้าช่วยทำข้าทีสิ” นายน้อยที่กำลังยื่นผ้าขาวกระสอบที่สำหรับใช้ในวัดให้ฟู่กุ้ยที่กำลังปักผ้าอย่างเงียบสงบอยู่ด้านหน้า นายน้อยที่พึ่งได้ใช้เวลาส่วนตัวสักทีหลังจากนั่งกรรมฐานเกือบสองชั่วยามก็ได้รับคำสั่งให้สู่ห้องส่วนตัว และผ้ากองใหญ่อีกกองเพื่อส่วนรวม
กระนั้นสำหรับหยวนเฉิงการปักผ้า ซักผ้า ดูไม่ว่ามุมมองก็เป็นงานของสตรีตกทุกข์ที่ต้องปักษ์เย็บเป็นงานจุนเจือครอบครัว ทั้งที่เขาเป็นบุรุษอีกทั้งมีทรัพย์สินและบ่าวไพร่มากมาย เหตุใดเขาจะต้องทำตัวเหมือนคนทุกข์ยากทั้งๆ ที่ไม่ได้ตกทุกข์ด้วยเล่า อีกทั้งทุกคนก็ล้วนมีมือเหมือนกันเสื้อผ้าอาภรณ์เองก็รับผิดชอบกันเองสิ หาใช่ธุระของเขาไม่ เมื่อคิดได้ดังนั้นจากมือที่กำลังสนเข็มมานานครึ่งเค่อก็เหมือนไม่มีแรงเสยอย่างนั้น ตัดสินใจผลักดันงานที่ไม่ถนัดให้คนถนัดรับผิดชอบจะดีกว่า การเลือกใช้คนให้ถูกกับงาน นั่นคือคุณสมบัติพื้นฐานของการเป็นผู้นำที่ดี
และแน่นอนคนผู้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหนย่อมเป็นฟู่กุ้ย บ่าวผู้นี้มีมือที่รวดเร็วฉับไวทั้งที่ได้รับงานมาเท่าๆ กันแท้ๆ แต่ในขณะที่เขากำลังสนเข็มลงรูมันก็ทำงานไปรวดเร็วเกือบครึ่ง เสมือนว่าเทพเซียนบันดาลมาไม่ผิดเพี้ยน
ฟู่กุ้ยที่ทำงานไปอีกสักพักใหญ่ๆ เพราะทำงานสำหรับคนสองคนมองนายน้อยที่กำลังหลับใหลด้วยสายตาเอ็นดู อายุไม่กี่ขวบปีต้องนอนให้มากๆ ถึงจะเติบใหญ่เป็นยอดคน
มันค่อยๆ ขยับ ผ้าปักกองใหญ่สำหรับคนสองคนส่งไปเรือนซักล้างที่เต็มไปด้วยผู้คน เหล่าสาวใช้ในวัดก็มองมันมาอย่างอึ้งเพราะงานที่รับมองมากมายกว่าคนปกติถึงสองเท่า หากแต่ใช้เวลาเท่าๆ กัน
“นายน้อยของข้าล้าเต็มทีจึงขออยู่ในห้อง ขออภัยที่ไม่อาจส่งมอบผ้าให้ด้วยตนเองได้” ฟู่กุ้ยพูดด้วยเสียงนอบน้อมมองเหล่าพี่สาวที่กำลังจ้องมองมา
“รู้แล้ว หากงานเสร็จพวกเจ้าก็ไปเถอะ นายบ่าวเชิญพักผ่อนตามแต่อัธยาศัย แต่อย่าลืมขณะปฏิบัติกิจส่วนตัวให้ดี ที่นี่เป็นสถานปฏิบัติธรรมแด่พุทธองค์อย่าได้ทำตัวเหลวไหลเป็นอันขาด” เธอพูดอีกครั้งแล้วโบกมือไล่ ฟู่กุ้ยยามกลับห้องก็พบเห็นนายน้อยนอนอยู่หายใจเข้าออกอย่างสงบใจ ก่อนที่จะค่อยๆหยิบหนังสือและกระดาษที่ผู้คนที่นิยมคัดพระธรรมนำมาเขียนนิยายเล่าขานตำนานต่อไป หากมันไม่เขียนอีกไม่นานนายน้อยของมันต้องสติแตกเป็นแน่ หากแต่การที่จะหลบหนีออกจากที่นี่ก็ไม่ใช่การดี ไม่ว่าจะส่งผลต่อชื่อเสียงอกตัญญู หรือไม่แน่ว่าอาจจะมีผู้ร้ายอยู่รอบนอกก็เป็นได้
อารามแห่งนี้แม้ไม่ได้ใหญ่โตแต่ก็มีผู้ปฏิบัติธรรมอยู่บ้างเพราะเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาสที่มีความสามารถด้านทำนายดวงชะตา หรือการปฏิบัติธรรมที่เข้มงวดกวดขัน ทุกสถานที่ล้วนแต่มีคนเฝ้ามอง ส่งผลให้ยากต่อการทำร้ายในที่แจ้งเห็นชัด
มันจรดน้ำหมึกลงในกระดาษครั้งแล้วครั้งเล่าในที่สุดนายน้อยของมันก็เริ่มเคลื่อนไหว แขนเล็กๆ ทั้งสองข้าที่ยันตัวลุกจากฝูกนอนมือที่กำลังขยี้ตาตัวเองช้าด้วยความง่วงงุน สาบเสื้อเผยให้แผ่นอกขาวนวลอยู่รำไร ฟู่กุ้ยค่อยวางพู่กันลงบนแท่นก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติรับใช้ในทันที มันค่อยๆ คลานเข่าไปหานายน้อยที่ง่วงงุนผูกชายเสื้อให้เรียบร้อยแล้วหยิบหวีที่ไม่ทำจากทองหรือหยกชั้นดี หากแต่เป็นหวีไม้ธรรมดาเรียบง่ายหวีผมเงางามอย่างเบามือก่อนจะจัดทรงง่ายๆ ด้วยปิ่นเงินที่ติดตัวมาแต่วันแรก และเนื่องด้วยที่แห่งนี้เป็นวัดจึงมิอาจพรมน้ำหอม หรือใส่เครื่องประดับที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในสัมภาระ ทุกอย่างจึงดูเรียบง่ายเหมือนชาวบ้านทั่วไป และแน่นอนที่สุดแม้จะดูบ้านๆ นายน้อยก็ยังดูสูงส่งแตกต่างจากคนอื่นอยู่เสมอ
“ฟู่กุ้ยข้าหิว” เสียงนายน้อยบ่นโอดเบาๆ มันทำได้เพียงอมยิ้มอ่อนค่อยๆ ประคองนายน้อยให้ยืนขึ้น พาไปนั่งที่ด้านนอกเรือนจากนั้นมันก็เก็บของให้เข้าที่ แล้วออกมาสวมใส่รองเท้าให้นายน้อย และเตรียมตัวไปรับอาหารที่โรงครัว
ในวันแรกที่มาถึงหลังจากถูกทิ้งกลางป่ากลางเขาแปลกที่แปลกทาง ครั้นมันก็ยังคงสับสนมึนงงไม่ทราบเวลาตั้งโต๊ะอาหาร และเหล่าคนรอบกายที่เงียบไม่บอกเหมือนจงใจ จนสุดท้ายก็จำต้องอด ยามมันไปของข้าวสารอาหารแห้งปันมาสักหน่อยก็ไม่มี จนต้องใช้หมั่นโถวก้นถุงที่ค้างคืนมาพอประทังชีวิตไว้ แต่หากว่ากันตามตรงหมั่นโถวเย็นชืดกับข้าวและผักจืดๆ ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นัก...
สองสามวันแรกนายน้อยโวยวายไม่ต้องการที่จะทานหากแต่ความหิวก็เอาชนะทุกอย่าง อาหารไม่เลิศรสเขาก็จำเป็นต้องกิน มันล่ะสงสารจับใจ
แต่จะทำไงได้ตอนมาใหม่มันไม่รู้ลู่ทางกว่าจะรู้จักเส้นสาย ก็ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์...
“อาหารที่เนี่ยห่วยแตกเหมือนทุกที” นายน้อยว่าขณะเขี่ยข้าวไปมา กิริยามารยาทเหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจหาใช่คนสกุลใหญ่เลยแม้แต่น้อย แต่ก็ตักข้าวเปล่าและผักชืดเข้าปากอย่างอดไม่ได้
“เพราะนางแพศยาเหยาเหมยนั่นแท้ๆ” เขาพูดก่อนที่จะซัดข้าวเหม็นเขียวเข้าปากและใช้ฟันเล็กๆ บดขยี้
ฟู่กุ้ยที่เห็นนายน้อยอารมณ์ไม่ดีเพราะคิดเรื่องของนางจิ้งจอกแม่ลูกอ่อนนั้น เขาก็พยายามเรียกร้องความสนใจกลับคืนตะเกียบไม้ที่คีบวางเนื้อสัตว์จากแขนเสื้อด้วยความเร็วแล้ววางลงบนช้อนนายน้อยที่กำลังเอาเข้าปากแล้วทำตัวรู้ไม่ชี้
เนื้อหนูป่าดูอย่างไรก็ไม่ไพเราะหากแต่ในวัดวาอารามที่เต็มไปด้วยผู้คน การหาเนื้อสัตว์ชนิดนี้ก็นับว่าหาได้ง่ายดายที่สุดเท่าที่จะหาได้ ตัวมันเองก็เคยกินอยู่บ้างยามจนคงไม่มีสิทธิที่จะเลือกสรรเนื้อสัตว์เท่าใดนัก ขอมีเป็นเนื้อก็นับว่าเพียงพอ... แต่มันกับนายน้อยนั้นแตกต่างกันนายน้อยที่กินเนื้อวัว เนื้อแพะมาทั้งชีวิตการทานเนื้อหนูคงน่ารังเกียจน่าดู แต่จะทำเช่นไรได้หล่ะระหว่างนายน้อยที่มีความสุขกับอาหาร กับนายน้อยที่มีสีหน้าอมทุกข์ ขอเพียงเห็นสีหน้าอารมณ์ดีเพียงชั่วประเดี๋ยวก็นับได้ว่าคุ้มค่า
ในส่วนของหยวนเฉิงที่กำลังกินเนื้อแห้งที่มีกลิ่นควันไฟอบอวลไปทั่วทุกอณู แม้เนื้อจะน้อยและแข็งกระด้าง แต่นี่กับว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดเท่าที่จะหาได้ในยามนี้ ก่อนที่หยวนเฉิงจะใช้ขาเตะอีกฝ่ายใต้โต๊ะและใช่มือซ้ายส่งสัญญาณรีดไถในที่ลับ ฟู่กุ้ยอยากจะแย้มยิ้มทั้งน้ำตาในทันที ถ้าหากนายน้อยรู้เข้าว่าทานสิ่งใดไปไม่แคล้วจะโดนแก้วแตกเฉียดอีกสองสามถ้วยเป็นแน่
ฟู่กุ้ยที่แย้มยิ้มหน้าซีดๆ เข้าไปทุกทีก่อนจะหยิบขนมในถุงผ้าส่งไปให้มือเล็กไปจนหมด ยามล้างจานในโรงครัวก็แอบกระซิบซาบในที่ลับ
“เดี๋ยวไปกลับไปค่อยคุยเรื่องนี้” นายน้อยพูดเสียงเบาก่อนที่จะเดินไปปฏิบัติกิจวัด ปัดกวาดเช็ดตัวเล็กน้อยแล้วเริ่มปล่อยให้เหล่าผู้มาปฏิบัติธรรมไปนั่งกรรมฐาน สวดมนต์ตามแต่จะพอใจ ส่วนนายน้อยมีหรือจะพลาดกลับห้องเล็กๆ นั่นทันที
“เหตุใดเจ้าจึงมีเนื้อได้” ทันทีที่ห้องนายน้อยก็รีบพูดขึ้น อาหารที่นี่นอกจากเย็นชืดไม่อร่อย แถมยังให้น้อยนิดยิ่งกว่าข้าวในโรงทานไม่รู้ทำไมคนอื่นถึงได้มากกว่า ส่วนเขาและบ่าวกลับได้น้อยจนน่าสงสาร เมื่อถามไถ่ก็ได้คำตอบพร้อมยิ้มเย็นชืดว่า เป็นเพียงเด็กก็ให้ตามเด็กไม่อาจให้เท่าผู้ใหญ่ อีกทั้งยังกล่าวอ้างถึงยามมาไม่ยอมทานอาหารให้หมดถ้วยโรงครัวจึงตักอย่างพอดีท้อง
“ข้าน้อยจับมา” ฟู่กุ้ยพูดเสียงเบาพลางก้มหน้า การจับสัตว์ในวัดถือเป็นบาปมหันแต่หากมันก็ยังฝืนกระทำ
“จับ จับที่ใด” นายน้อยพูดเสียงเรียบ พลันเจ้าฟู่กุ้ยตัวดีก็มองไปยังฝ้า และเหลือบมองไปยังป่าช้าด้านท้าย นายน้อยที่อยู่ในห้องพลันลิ้นชาคิดถึงเนื้อที่กินอยู่ในที มือเล็กๆ ปิดปากจนแน่นเสมือนอาหารจะถูกขย้อนออกมาจากท้อง มองบ่าวหน้าซื่อตาใสจับอาหารอะไรไม่ทราบแน่ชัด แต่ที่แน่ๆ ไม่น่าจะใช่อาหารดี ไม่งั้นมันคงไม่ก้มหน้าก้มตามองผืนไม้หยาบๆ นี่ไม่ยอมจ้องตา
“นี่เจ้า นี่เจ้า” นายน้อยชี้มือย้ำๆ เหลือบแลของใช้ใกล้ตัว เนื้อที่ห้องหับล้วนคับแคบ ของก็น้อยนิดจนน่าสงสารไม่มีอะไรพอจะปาใส่บ่าวอวดดีได้
“ขะ...ข้าเห็นนายน้อยบ่นอยากกินเนื้อมาหลายวัน อีกทั้งแต่ละวันก็ไม่อาจกินอาหารได้อิ่มท้องเลยสักมื้อ ข้าน้อยไร้ความสามารถไม่รู้เลยตัดสินใจหาหนูป่ามารมควันเป็นเนื้อแห้งประทังชีพ” ฟู่กุ้ยพูดอย่างขลาดกลัว เหลือบมองนายน้อยที่ยังมีความโมโหอยู่สองส่วน
“แม้หนูป่าจะไม่อร่อยเท่าวัว แต่ก็พอมีเนื้อให้กินแม้จะน้อยแต่ก็เป็นเนื้อ อีกทั้งข้ายังไม่ชำนาญทางไม่อาจออกไปไกลหาผลหมากรากไม้ในป่าอีกได้ ทั้งต้องตื่นยามอิ๋นข้าเกรงว่าคงไม่อาจหาได้ทันเวลา ทำได้เพียงสำรวจใกล้ๆ” ความจริงฟู่กุ้ยลองไปช่วยงานในครัวเพื่อปันส่วนอาหารมาบ้างหากแต่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาแม้แต่น้อย แม้จะหยิบยื่นสินน้ำใจคนที่นี่ก็เหมือนถูกปิดปากเงียบ สงวนกายวาจาไม่ยอมช่วยเหลือเกรงว่าผู้คนหลายคนคงถูกกันไม่ให้ยุ่งเกี่ยว แต่โชคยังดีไม่มีท่าทีว่าจะถูกทำร้ายแต่อย่างใด
“เฮ้อ...ช่างเถอะเจ้าจะไปทำอะไรก็ทำ” นายน้อยว่าก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบนิยายแก้เบื่อที่กองอยู่บนพื้นห้อง โชคยังดี ที่แม้ที่นี่ไม่มีที่ให้เล่น แต่เขาก็ยังพกพานักเขียนนิยายส่วนตัวมาคอยรับใช้ในที
“ขอรับ” ฟู่กุ้ยรับคำก่อนที่จะมอบกายหยิบเสื้อผ้าขาวไปทำความสะอาดชะล้างที่ท้ายวัด ฟู่กุ้ยหยิบผ้าขาวเนื้อหยาบไปยังโรงซักล้าง มีคุณลุงคุณป้าก็มองมันด้วยรอยยิ้มแย้มน่าสงสัย พอมันเดินไปถึงบ่อน้ำก็พลันกระจ่างชัดที
น้ำใส่ๆ ในบ่อที่ควรจะถูกตักอย่างเบามือบนผิว หาใช่ใช้แรงใส่อารมณ์จนน้ำเกิดตะกอนคละคลุ้งจนดำไม่เห็นก้น มันเหลือบมองรอบกายก็เป็นเช่นเคยทุกคนต่างก้มหน้าไม่กล้าสบตา มันทำได้เพียงเดินออกจากวัดเข้าสู่เขตป่าด้านหลังอย่างกลั้นใจ เนื่องจากเคยเดินสำรวจมาบ้างที่นี่ป่ามีต้นไม้ใบหญ้าที่ต้องการน้ำอยู่จำนวนมาก คาดว่าคงมีแม่น้ำอยู่ใกล้ๆ นี่ไม่รวมถึงเหล่ารอยกีบเท้าของสัตว์ที่อยู่ตามรายทาง
ในที่สุดฟู่กุ้ยก็ไปถึงจุดหมาย ธารน้ำใสที่ไหลผ่านไปพอมีเหล่าปลาตัวจ้อยที่อ้วนพีอยู่เล็กน้อย ทันทีที่ฟู่กุ้ยไปถึงก็หนีหายไปหมด ในขณะที่ฟู่กุ้ยกำลังทำซักผ้าหูตาก็ยังคงเปิดกว้างอย่างเสมอเพราะเกรงว่าหากไม่ได้เจอสัตว์ร้าย ก็คงไม่แคล้วเจอคน...
แต่โชคยังดีบ่าวอย่างมันคงไม่มีใครเห็นค่า ทุกสิ่งทุกอย่างราบรื่นดี มันจึงหยิบต้นไม้ใบหญ้าถักเป็นสายผูกเป็นปมเป็นที่ดักปลาอย่างง่ายๆ ในขณะที่เดินกลับที่พักมันก็พยายามเหลือบตามองรอบนอกแล้วใช้มีดเล็มเล็กขีดเป็นรอยตามทางในที่ไม่เห็นชัดมากนัก หยิบกิ่งไม้เนื้อแข็งจากตามพื้นก่อนที่จะเดินจากไป
ฟู่กุ้ยกำลังหมกมุ่นกับงานฝีมือตั้งแต่อยามเช้าจรดค่ำ ไม้ที่ถูกมีดเล่มเล็กเฉือนไปทีละน้อยแหลมคมพอที่จะเป็นอาวุธ มันไม่อาจไว้ใจ หากฮูหยินคิดฆ่าฮูหยินรองได้ เกรงว่าฮูหยินรองคงไม่แตกต่างกัน
หากแต่ช่วงเวลานี้ยังคงสงบ เกรงว่าขากลับมันอาจจะไม่รอด เพราะฉะนั้นมันจำต้องเตรียมพร้อมเตรียมถึงสถานการณ์เลวร้ายเท่าที่จะคิดได้... มันผ่อนลมหายใจอย่างช้าๆ เหลือบมองนายน้อยที่กำลังหลับนอนอย่างมีความสุขดี
เด็กที่ดีย่อมควรจะเป็นเด็ก มองโลกให้สวยงามเหมือนที่เป็น
แม้ความจริงโลกจะโหดร้ายก็ตาม
-----
|
ความคิดเห็น