ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หญิงโฉดชายชั่ว....อย่ายุ่งกับนายน้อยข้านะ (YAOI)

    ลำดับตอนที่ #4 : อย่ามายุ่ง 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 565
      54
      10 เม.ย. 65



    พระจันทร์อยู่บนหัวเตรียมพร้อมจะจากลา มันก็ตื่นขึ้นมาเพื่อทำงานที่ต้องทำ มันสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนที่จะเปิดประตู ไม่มีบ่าวชาย หรือคนรับใช้ของใครลากมันไปโบยตี แต่ถึงแม้จะหวาดกลัวแค่ไหนใบหน้าของมันก็คงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมานอกจากใบหน้าที่ม่วงช้ำครึ่งซีกเท่านั้น

    บ่าวรับใช้ต่างยังทำงานอย่างขันแข็งบรรยากาศทุกอย่างยังคงเป็นปกติ เสียงกระซิบกระซาบของพี่สาวในวันนี้มันตั้งใจฟังกว่าทุกๆ วัน

    “ฮูหยินรองได้ลูกชายน่ารักน่าชังมาคนหนึ่ง”

    “ขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่ทำให้ฮูหยินรองรอดมาได้”

    “นางคลอดก่อนกำหนดตั้งหนึ่งเดือน แต่โชคยังดีที่รอดออกมาได้ทั้งแม่ทั้งลูก”

    ท่ามกลางเสียงซุบซิบนั่นเองมันก็กลั้นไม่ให้เผลอยิ้มกว้างเพราะเกรงว่าจะมีใครล่วงรู้ ขอบคุณสวรรค์ที่มันไม่ไม่ได้ผิดพลาด...

    เหล่าตัวยาขับเลือดนั้นหากกะปริมาณให้ดีจะไม่เกิดอาการแท้งบุตร แต่เป็นเพียงแค่การเร่งคลอด โชคยังดีที่ยาที่ฮูหยินเอามาให้ส่วนใหญ่เป็นตัวยาสามัญที่มันรู้จัก ไม่ได้ผิดแปลกพิสดารแต่อย่างใด

    มันจึงพอควบคุมปริมาณยาให้ไว้ได้ โชคดีจริงๆ โชคดีจริงๆ

    หากมันไม่ทำ มันคงไม่รอด

    และหากมันทำ มือของมันคงเปื้อนเลือดนอง

    แต่จะทำไงได้หล่ะโลกนี้ไม่มีทางเลือกให้สำหรับบ่าวอย่างมัน ก้มหน้าค้อมกาย ถวายชีวิต ถวายวิญญาณ แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเพียง....บ่าวรับใช้เท่านั้น

    ทำดีได้คำชม ทำพลาดได้ความตาย

    ทันทีที่นายน้อยขยับมันก็เริ่มปรนนิบัติรับใช้อีกครั้ง เตรียมน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้อย่างทุกๆ วัน

    “หน้าเจ้าไปโดนอะไรมา” เสียงของนายน้อยที่เอ่ยขึ้นยามเห็นวงหน้าเด็กรับใช้ที่ม่วงช้ำ

    “ขะ..ข้าน้อย” มันได้บอกกล่าวอะไร เพียงก้มหน้าลงต่ำ ยามนั่นมันเข้าใจดีพี่สาวที่ร้อนใจพลั้งเผลอลงมือกับมันเพราะแรงอารมณ์

    “ตอบ” นายน้อยถามเสียงเข้มอีกครั้ง มองหน้าฟู่กุ้ยเขม้นพลางใช้มือเล็กๆ จับหน้าของอีกฝ่ายให้เงยหน้าอย่างชัดๆ

    นี่คือตุ๊กตาของข้า คนของข้า มีเพียงข้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์รังแกได้ มันเป็นใครที่กล้าทำร้ายของของข้า

    จากนั้นก็เริ่มหยิบถ้วยชาที่อยู่ใกล้มือปาจนสุดแรงเหมือนอย่างที่เคยทำ ฟู่กุ้ยแม้จะเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทแต่ก็เรียบร้อยมาก ไม่เคยวางอำนาจบาตรใหญ่ขนาดคนรับใช้ชั้นต่ำกว่ายังเรียกว่าพี่สาวพี่ชายคงไม่กล้าที่จะพูด และจ้องไปยังเหล่าบ่าวที่รับใช้ใกล้ชิดเขม็ง

    “ใคร ใครเป็นคนทำ ถ้าหากพวกเจ้าไม่ใช้ลิ้น ก็ไม่จำเป็นต้องมี” นายน้อยที่กำลังโกรธเกรี้ยวกวาดตามองบ่าวไพร่ที่ลงไปกองอยู่กับพื้นเหมือนเป็นภาพที่ไม่ได้เห็นมานานตั้งแต่ฟู่กุ้ยเข้ามารับใช้

    “เป็นจือหลินเจ้าค่ะ จือหลินบ่าวรับใช้คนสนิทของฮูหยินรอง” สาวใช้คนหนึ่งพูดด้วยเสียงสั่นเครือ เพราะยามนั้นนางกำลังจะกลับเรือนนอนจึงเห็นฟู่กุ้ยที่เดินกลับมาพอดี ระหว่างทางก็เลยเห็นภาพชัดสองตา

    “เพราะฟู่กุ้ยสังเกตว่านายน้อยจะเข้านอนแต่ไม่ดับตะเกียงสักที จึงคิดว่าว่าเพราะเสียงอึกทึกครึกโครมจากภายนอก ฟู่กุ้ยจึงเข้าไปตักเตือนเจ้าค่ะ แต่แล้วจือหลิน...นางก็เลยบันดาลโทสะตบเข้าที่หน้าฟู่กุ้ยเจ้าค่ะ”

    และ...เพล้ง

    เสียงแก้วชาใบที่สองที่เฉียดหน้าไปอีกครา

    “ไป ข้าจะไปเรือนฮูหยินรอง” นายน้อยว่าจบเหล่าข้ารับใช้ก็รีบแต่งตัว แล้วปรี่ไปเรือนฮูหยินรองที่กำลังนอนซมอยู่เพราะเหนื่อยอ่อนจากการคลอดบุตรชาย

    แต่เมื่อนายน้อยไปถึงเรือนก็ถีบประตูเข้าไปในทันที เสียงโวยวายเอ็ดตะโรเข้ามาทุกที่ที่เดินผ่าน ส่งผลให้จือหลินบ่าวคนสนิทของผู้เป็นจำต้องนายออกหน้าออกตา เพราะเรือนของแม่หลังคลอดห้ามสายลมเย็นพัดผ่านเป็นอันขาด นางจึงรีบปลีกตัวออกมาแล้วต่อว่า

    “เจ้าไม่เห็นหรือไงฮูหยินกำลังพักผ่อนอยู่ พวกเจ้าจะส่งเสียงไม่ได้” นางประกาศกร้าววางอำนาจบาตรใหญ่ยามนี้ฮูหยินของนางคลอดบุตรชายออกมา ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานแต่กาลก่อนบัดนี้นายของมันแทบมีสิทธิทัดเทียมฮูหยินใหญ่ประจำจวน

    “ฮูหยินรึ เหอะ เป็นเพียงบุตรสาวของบัณฑิตตกยากกล้าคิดว่าตนเองมีศักดิ์เทียบเท่าแม่ข้างั้นรึ” เสียงของเด็กชายดังขึ้นพลางมองสาวใช้หน้าตาพอดูได้ด้วยแววตาวาวโรจน์ ยิ่งเห็นหน้าขาวนวลเนียนไร้ลอยจ้ำ เขาเองยิ่งคันไม้คันมือ

    “คุกเข่าลงบัดเดี้ยวนี้”

    “นายน้อยเฉิง บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวผิดไปแล้ว ฮูหยินรอง ฮูหยินรอง” เสียงของนางหวีดร้องลั่นยามเมื่อเห็นใบหน้าน่ารักของนายน้อยเหมือนปีศาจร้าย แล้วยิ่งเหลือบไปเห็นใบหน้าของบ่าวคนสนิทที่อยู่ข้างกาย มันยิ่งหวีดร้องเรียกฮูหยินรองเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่น่าเสียดายฮูหยินของนางเสียเลือดมากเกินไป เหนื่อยมากเกินไป จึงยากที่จะตื่นมาช่วยนาง

    เพียะ

    เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้า แม้จะเป็นฝ่ามือเล็กๆ ไม่เจ็บเท่าไหร่นัก แต่มันกับสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว

    “นายน้อย” เสียงฟู่กุ้ยดังลั่น เมื่อมองฝ่ามือเล็กที่กระทบใบหน้าของสตรีชั้นต่ำคนหนึ่งเพื่อมัน บาดหัวใจมันเหมือนคมมีด มันค่อยๆ คลานเข่าไปด้านข้างพลางเป่ามือเล็กนั่นอย่างเบามือกลัวเจ็บช้ำ

    “นายน้อยอย่าเปลืองแรงเลยขอรับเดี๋ยวจะเจ็บมือเอาได้ จือหลินก็เป็นเพียงบ่าวชั้นต่ำที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนหนึ่งเท่านั้น ท่านอย่าได้เอาตัวไปเกลือกกลั้วเลยนะขอรับ” ฟู่กุ้ยรีบกล่าว พลางมองสาวใช้ที่คุกเข่าอย่างไม่อยู่ในสายตา เรื่องที่ถูกตบตีไปไม่ได้อยู่ในสมองของมันทั้งสิ้น

    “ที่เจ้าพูดมาก็ถูกแค่บ่าวชั้นต่ำคนหนึ่ง ข้าไม่ควรเปลืองแรง งั้นเอางี้ละกันโบยมันร้อยไม้หากมันยังรอดก็ให้มันคลานเข่ามาขอขมาเจ้า” นายน้อยว่าหลังจากรู้สึกเจ็บแปล๊บที่มือ

    มือเนียนละเอียดของเขามีหรือจะไม่เป็นรอย ยามตบเข้ากลับใบหน้าอันหยาบกระด้างของบ่าวรับใช้ รู้งี้ข้าน่าจะเอาถ้วยน้ำชามาจากในจวนจะได้ขว้างให้สุดแรงไม่ต้องเจ็บมือ

    “นายน้อยไม่จำเป็นต้องถึงเพียงนั้น จือหลินตบหน้าข้างั้นข้าก็เพียงตบหน้าจือหลินกลับคืนก็พอ แต่ข้ายังเป็นเด็กแรงน้อย เกรงว่าจะตบไม่หนักมือ เช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่เอาเหล็กนาบหน้านางซีกเดียวกับที่นางตบข้าแค่นี้ก็ถือว่าหายกัน อีกทั้งฮูหยินรองตอนนี้ก็มีความชอบคลอดบุตรชายเป็นขวัญให้นายท่านการเมตตาจือหลินก็ถือว่าเป็นกุศลโดนโบย100ไม้เกรงว่านางไม่มีโอกาสกลับมาคลานเข่าขอขมา

    “เอาเพียงแค่นั้นรึ” นายน้อยถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ มองฟู่กุ้ยที่กำลังนวดมือให้หายเจ็บช้ำ

    “ขอรับ” ฟู่กุ้ยเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม มองนายน้อยอย่างเทิดทูน

    “โชคยังดีที่ฟู่กุ้ยเป็นคนจิตใจเมตตา อีกทั้งนายเจ้ายังทำประโยชน์ไว้มาก เจ้าจึงยังรอดชีวิตอยู่ได้ คราวหลังอย่าได้กำเริบเสิบสานคิดจะทำร้ายบ่าวของข้าอีก ยิ่งตำแหน่งแม่ของข้า และอย่าริอาจกำเริบเสิบสานมองไม่เห็นหัวข้าที่เป็นบุตรชาย”

    “ไปฟู่กุ้ย ข้าหิวข้าวแล้ว” นายน้อยว่าหลังจากอาละวาดจนหนำใจ ก่อนจะค่อยๆ เดินออกไปอย่างอารมณ์ดี

    จือหลินที่ยังมึนงงสถานการณ์ตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ ถูกลากตัวออกไป อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าปรานี ไม่ตายแล้วเยี่ยงไร การที่หญิงสาวมีใบหน้าอัปลักษณ์นั้นมันยิ่งกว่าตายทั้งเป็น แค้นนักไอ้เด็กบ้าหยวนเฉิง

    แต่...แค้นยิ่งกว่าคือเจ้าชั้นต่ำที่ทำให้มันเป็นเช่นนี้

    ฟู่กุ้ย ไอ้อสรพิษ

    ในขณะที่ฟู่กุ้ยที่กำลังคีบกับให้นายน้อยอย่างใจเย็น มันค่อยเลือกสรร เดาใจ หยิบหาอาหารใส่จานโดยนายน้อยไม่จำเป็นต้องบอกเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะวันนี้เสียแรงไปมาก นายน้อยเลยทานอาหารได้มากกว่าที่เป็น

    เรือนจันทร์กระจ่าง

    ฮูหยินใหญ่ที่บัดนี้สภาพไม่เหมือนวันวาน ดวงตาบวมแดงช้ำจากการอดนอน บ่าวรับใช้ที่ร่ำไห้ต่างล้วนก้มหน้าลงต่ำหมอบลงอยู่กับพื้น ชาอุ่นๆ ที่มีควันลอยคลุ้งขึ้นจากถ้วยน้ำชาก่อนที่จะโยนลงพื้นอย่างแรงระหว่างบ่าวรับใช้ทั้งสอง น้ำชาร้อนที่เปรอะตามชายกระโปรง หากแต่เสียงหวีดร้องไม่หลุดออกมาจากปากได้

    “เหตุใดมันจึงไม่ตาย” นางเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา ขณะมองบ่าวรับใช้ทั้งสองที่ยังคงก้มหน้า

    “สวรรค์ เหตุใดสวรรค์ถึงเป็นเยี่ยง หึ” นางฉีกยิ้มเหี้ยมออกจากใบหน้าบาง คิดถึงนางแพศยาแซ่เหยาทั้งที่ตกเลือดแต่ก็ยังมีชีวิตรอด ทั้งลูกทั้งบุตรล้วนไม่ได้ตายจากพรากไปไหน สายสัมพันธ์แม่ลูกที่ทำให้หล่อนเกือบอาเจียนออกมา อีกทั้งยังเป็น...บุตรชาย

    แม้ยามนี้นางจะเป็นฮูหยินใหญ่ แต่นางเหยาเหมยนั่น ตอนไม่มีบุตรก็ได้เป็นถึงฮูหยินรอง ยามนี้นางมีบุตรชายคงไม่แคล้วปีนหัวหล่อนเหยียบเล่นเป็นแน่ ท่านพี่ก็ช่างโหดร้ายนักโปรดปรานมันออกหน้าออกตา ข้าไม่น่าทำใจกว้างเลย ใจกว้างให้นางแต่งเข้าเรือน นางจิ้งจอกก็ยังเป็นจิ้งจอกอยู่วันยังค่ำ ตระกูลตกยากแล้วไรเล่า หากผูกใจรักมั่นก็คงผูกใจรักอยู่อย่างนั้น สายสัมพันธ์ของคนสองคนแน่นแฟ้นเสียหล่อนอยากจะอาเจียน

    เพื่อให้มันสองแม่ลูกตาย นางถึงขนาดดึงเฉิงเออร์เข้ามาเสี่ยง เพื่อกำจัดนาง ไม่ใช่นางไม่เคยลองวิธีอื่น นางเคยลองมาหลายครั้งเพื่อไม่ให้เหยาเหมยตั้งครรภ์ แต่จะเช่นไรเล่านางแพศยานั่นก็ยังคงตั้งครรภ์อีกทั้งยังเป็นบุตรชาย เห็นทียามนี้ตำแหน่งเราสองแม่ลูกคงไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว บุตรชายคนโตแล้วไรเล่าหากไม่ได้รับความโปรดปรานมีหรือจะมีหน้ามีตา...

    ไม่ได้การถึงอย่างไรนางก็ต้องกำจัดมารหัวขนนี้ไม่ว่า เป็นบุตรหรือมารดาก็ได้ทั้งนั้น

    ยามนี้เหยาเหมยคงใกล้ตายเต็มที ถ้าหากโดนซ้ำไปอีกทีต่อให้เป็นเทพเซียนก็คงช่วยไม่ได้

    นางกัดเล็บแน่นก่อนที่จะสั่งบ่าวรับใช้ไปหยิบพู่กันกับกระดาษมา ครานี้มันคงต้องขอแรงจากท่านพ่อ...

    “ฮูหยิน ฮูหยินเกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ คุณชายน้อยเจ้าค่ะ คุณชายน้อย” เสียงของบ่าวรับใช้ทำให้นางตื่นออกจากภวังค์ ก่อนจะที่รีบดินไปจุดหมายปลายทางทันที เฉิงเออร์ เฉิงเออร์ของแม่

    เสียงสะอื้นของหญิงสาวดังแล้วดังเล่าในเรือนหลักของจวน คุณชายน้อยหยวนเฉิงที่กำลังยืนจ้องหน้าท่านพ่ออย่างไม่วางตาโดยมีบ่าวสนิทคุกเข่าอยู่ข้างกาย

    ฮูหยินรองตื่นขึ้นมาในยามบ่ายก็เกิดกรีดร้องร่ำไห้สะอื้น ยามเมื่อเห็นบ่าวคนสนิทหน้าตากลายเป็นคนอัปลักษณ์แก้มขวาที่ถูกแนบด้วยเหล็กร้อน น้ำเหลืองที่ไหลออกมาเหมือนอสุรกายก็ไม่ปาน นางเลยจำต้องแบกร่างกายที่ฟื้นตัวไม่เสร็จดีร่ำไห้หลั่งน้ำตาหวังว่าท่านพี่เมตตาเพิ่มขึ้นอีกสักนิด เพื่อเป็นสักขีพยานถึงการแสดงอำนาจ ยามนี้บุตรชายของนางเกิดแล้ว บุตรคนนี้แคล้วคงไม่จำเป็น...

    เย่อหยิ่ง เอาแต่ใจ จองหอง อวดดี โหดเหี้ยม ทุกข้อความที่กล่าวมาล้วนแต่ไม่มีดีแต่หากปอกรรวมเป็นบุตรชายคนโตแห่งตระกูลหยวน ดูอย่างไรก็ไร้ค่ามีแต่นำภาระสู่วงศ์ตระกูล

    “ท่านพี่เจ้าคะ ท่านพี่ต้องช่วยน้องนะ จือหลินถูกทำโทษอย่างไม่เป็นทำ จือหลิน..นางเป็นเพียงสินเดิมสิ่งเดียวที่น้องมียามย้ายมาอยู่ในจวน บัดนี้นางถูกรังแกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม ท่านพี่โปรดเมตตาเราสองนายบ่าวด้วย” เสียงสาวงามร่ำไห้สะอื้นเศร้าโศกโศกา ใบหน้าซีดขาวที่ไร้สีเลือด ร่างกายใส่อาภรณ์เบาบางจากการรีบร้อน น้ำหูน้ำตาไหลจนดูแทบไม่ได้ เรียกคะแนนความสงสารของชายหนุ่มได้ดีทีเดียว ใบหน้าหล่อเหลาเอาการแม้จะมีรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลาไปบ้างแต่ทุกสิ่งล้วนแต่ดูดี

    “อย่าห่วงไปเลยน้องหญิง เรื่องนี้ต้องได้รับความเป็นทำ ข้าไม่ปล่อยให้คนผิดลอยนวลแน่” หยวนจ้านพูดด้วยเสียงเบาราวกับขนนกปลิว จับแม่ยอดดวงใจประคับประคองให้ลุกขึ้นอย่างนิ่มนวล ก่อนจะเหลือบมองเจ้าลูกในไส้ แววตาเย่อหยิ่งจองหองไม่สำนึกผิดแม้แต่น้อย ขณะที่บ่าวรับใช้ก้มต่ำอยู่ข้างกาย

    “หยวนเฉิง กำเริบเสิบสานกำแหงจองหอง คุกเข่า คุกเข่าขอขมามารดาของเจ้าบัดเดียวนี้” หยวนจ้านพูดเสียงเหี้ยมเมื่อมองเด็กชายคอแข็งเท้าแข็งไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่ชุ่นเดียว ยิ่งเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่ข้างกายก็ยิ่งปวดใจอุตส่าห์ทำคุณงามความดีให้ตระกูลคลอดบุตรชายให้สืบทอดเมื่อวันวาน แต่วันนี้ยังถ่อมาถึงเรือนใหญ่เพื่อขอความเป็นธรรมให้สาวใช้ คุกเข่าก้มหน้าหวังเพียงความเมตตาไม่ห่วงตัวเองแม้เพียงน้อยนิดคิดแล้วก็ยิ่งโมโหโทโสบุตรชายอย่างหยุดไม่อยู่ ทั้งที่เป็นบุตรในอุทรหากแต่ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต ก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน คงเป็นเพราะมีแม่เป็นสกุลจินพวกขุนนางบู๊ไร้ซึ่งรอยหยักในสมองเลยมีใจคอโหดร้ายทารุณตั้งแต่เล็ก ยิ่งเห็นแววว่าน่าผิดหวังขึ้นทุกที

    “มารดา ใครคือมารดาข้า แม่ข้าบัดนี้ก็ยังอยู่ เหตุใดข้าถึงจะต้องคุกเข่าให้อี้เหนียงจากตระกูลบัณฑิตชั้นต่ำ” นายน้อยพูดอย่างจีบปากจีบคอมองหญิงงามที่สำออยอยู่ข้างท่านพ่ออย่างรังเกียจ

    “สามหาวนัก อี้เหนียงอันใด นางเป็นถึงฮูหยินรองประจำจวนเจ้าทำผิดต่อนางก็ต้องคุกเข่าให้สำนึก”

    “ข้ารึทำผิดต่อนาง แค่ทำโทษบ่าวรับใช้คนหนึ่งมีอันใดที่ว่าผิดกัน หรือว่าแม้แต่บ่าวรับใช้ ข้าที่เป็นบุตรชายคนโตของสกุลยังต้องเกรงอกเกรงใจ” นายน้อยว่าขณะมองบิดาอย่างกินเลือดกินเนื้อ ต่อให้ท่านพ่อถูกยกย่องจากคนในใต้หล้า หากแต่แพ้น้ำตาของสตรีอย่างน่าละอาย มันเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกขยะแขยงนัก

    “เหอะ เจ้าเป็นนายก็ควรรู้จักมีเมตตากรุณาธรรม เจ้าเป็นเด็กกลับโหดเหี้ยมลงมือรุนแรงเกินควร ข้าเห็นหลายครั้งหลายคราแต่ก็ยอมหลับตาข้างหนึ่งตลอดมา จนวันนี้ข้าเหลือทนกับเจ้าแล้ว”

    “เห็นข้าทำมาหลายครั้งหลายคราแต่ท่านก็ยังคงนิ่งเฉยไม่ว่ากล่าวตักเตือน ท่านพ่อท่านเป็นบิดาเช่นไรกันแน่ ข้าทำผิดมาหลายครั้งกับบ่าวไพร่หลายคน แต่น่าเสียดายหลังของพวกมัน ชีวิตของพวกมันไม่มีค่าเท่ากับบ่าวคนสนิทของฮูหยินรองแค่คนเดียว

    อ่า สวรรค์เสด็จพ่อช่างยุติธรรมนักหนา มีเมตตากรุณาเหลือพรรณนา” นายน้อยว่าก่อนจะมองผู้เป็นบิดาอย่างเหยียดหยาม หัวเราะในลำคอและแปรเปลี่ยนเป็นหัวเราะลั่นแล้วค่อยๆ เดินจากไป

    “เดี๋ยวเจ้าจะไปไหน หยวนเฉิง หยวนเฉิง” หยวนจ้านกล่าวเพราะฝั่งหนึ่งกำลังประคองเหยาเหมยที่อยู่ข้างๆ อย่างเบามือ หากแต่ปากกำลังพูดจาร้ายกาจกับลูกในอุทร หากต้องการจะเดินตามไปก็ทำไม่ได้ หากจะส่งบ่าวไปจับตัวก็คงดูไม่งาม ฉับพลันก็เหลือบมองบ่าวรับใช้ที่ยังคงนั่งอยู่ไม่ได้เดินหนีจากไปไหนอย่างปรามาส

    “ฟู่กุ้ยไปตามนายเจ้ากลับมา หากตามมาไม่ได้เจ้าจะถูกโบยจนตาย” นายท่านเอ่ยวาจาเสียงเหี้ยม มันทำได้เพียงแค่นเสียงในหัวใจ นี่หรือความเมตตากรุณาที่พูดมาเมื่อครู่ ชีวิตของบ่าวรับใช้คงไม่มีค่าพอเท่ากับรอยแผลเป็นของสาวใช้คนสนิทของเหยาเหมย นี่เป็นอีกครั้งที่มันนึกเสียดายตีงูต้องตีให้ตายไม่น่าเมตตาเลยสักนิด มันคิดอย่างเงียบๆ ดวงตาที่ก้มต่ำฉายแววความแค้นเคือง มันแค้นทุกคนรวมไปถึงฮูหยินรอง

    อี้เหนียงผู้นี้สมควรตายพันครั้ง มีสิทธิอันใดที่ทำให้นายน้อยของมันโดนดุด่า จะรักกันปานจะกลืนกินก็ช่างปะไร แต่นายน้อยก็คือบุตรในอุทรของนายท่าน เมื่อเทียบกับสตรีชั้นต่ำผู้หนึ่งที่ไร้ลาภยศ นายน้อยของมันดูดีกว่าเป็นสิบเท่าของทุกมิติที่พบเจอ

    “ชีวิตของบ่าวไม่มีค่า ไม่อาจเทียบบาดแผลบนใบหน้าของพี่สาวจือหลินเลยหรือขอรับ” มันพูดออกมาด้วยแววตาใสกระจ่างเหมือนแก้ว เลิกก้มหน้าค้อมตัวอีกต่อไปหากแต่มองหน้าของนายท่านให้ชัดเจนเต็มสองตา แล้วสะท้อนทุกอย่างให้เห็นตัวตนเหมือนกระจกใส

    ใบหน้าของเด็กชายที่ขาวซีดยามมีรอยม่วงช้ำล้วนขับให้เห็นชัด ตาของมันบัดนี้เริ่มบวมช้ำ ด้วยร่างเล็กที่เหมือนเป็นเด็กอายุห้าขวบล้วนแต่ยิ่งทำให้น่าเวทนา อีกทั้งอุปนิสัยดูเรียบร้อยใจดีสุภาพอยู่เสมอไม่เหมือนเด็กเกเรที่ทำร้ายกลั่นแกล้งผู้คน

    “นายน้อยลงโทษพี่จือหลินเพราะพี่จือหลินไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ฮูหยินรองอาจจะไม่รู้ยามท่านคลอด บ่าวของท่านเสียงดังเอะอ่ะโวยวาย เรือนของท่านกับเรือนของนายน้อยล้วนห่างไกลกันมากเหมือนหุบเขากับมหาสมุทร หากแต่บ่าวของท่านยังเอะอะส่งเสียงป่าวประกาศไปทั่วทั้งจวน นายน้อยเองก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งหลังอ่านหนังสือทบทวนตำรา คัดหนังสือพันอักษรก็อยากที่จะพักผ่อนหากแต่พี่สาวตะโกนเสียงดังถึงเพียงนั้น พอข้าเอ่ยปากตักเตือนนางก็ตบมาที่ข้าอย่างไม่สนใจ ประการต่อมาพี่จือหลินใจคอยากหยั่งถึงนักฮูหยินรองอาจจะไม่ทราบอีกนั่นแหละ ยามนายน้อยเดินทางไปหาท่านถึงจวนเพื่อไปหาน้องชาย เพราะตื่นเต้นดีใจอยากร่วมยินดีเลยเร่งรีบไปบ้างแต่พี่สาวกลับตะโกนออกมาอย่างไม่เคารพ อีกทั้งจงใจเรียกชื่อตำแหน่งของฮูหยินรองผิดเป็นฮูหยิน เห็นได้ชัดว่าใฝ่สูงเกินตัวจงใจสร้างความแตกแยกร้าวฉานให้กับครอบครัว แค่สองประการนี้พี่จือหลินก็สมควรตายเป็นพันครั้ง หากแต่นายน้อยกับปรานีและเห็นแก่หน้าข้าที่บวมช้ำจะให้ข้าทำเช่นเดียวกับพี่จือหลินทำ ข้าจึงขอเปลี่ยนเป็นเหล็กนาบหน้าด้วยตนเอง นายท่านขอรับนายน้อยโหดเหี้ยมใช่หรือไม่ขอรับ...

    ท่านบอกว่าหากข้าตามนายน้อยมาไม่ได้ก็สมควรโทษตาย แต่หากนายน้อยถูกสาวใช้หมิ่นเกียรติเหยียดหยามสร้างความร้าวฉานให้กับจวน ถูกทำโทษเพียงเหล็กนาบหน้า

    นี่สินะขอรับ สิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรม” มันพูดพร้อมท่วงท่าทางที่ใสซื่อเหมือนเด็กน้อยที่หัดเรียนรู้ ใบหน้าที่ม่วงช้ำเผยรอยยิ้มอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ก่อนที่จะเดินจากไป….

    มันจะยอมก้มหัวให้ใต้หล้า แต่จะไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใดที่ว่าร้ายนายน้อยของมัน

    การเมตตากับเดรัจฉานนับว่าไร้เมตตา ต่อจากนี้ไปจะหาว่ามันไร้ปรานีก็แล้วกัน...

    แต่ทันทีที่มันเดินกลับเรือนอย่างเร่งรีบ ก็พบฮูหยินใหญ่ที่ใบหน้าขาวซีดใช่มือประคองนายน้อยอย่างเจ็บปวด มันยิ่งปวดใจมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก หากมันไม่ปรับสูตรยาละก็...

    นายน้อยของมัน ฮูหยินใหญ่ก็คงไม่เป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่ผ่านไปแค่วันเดียว สถานการณ์ในจวนก็ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว เพราะมันคิดตื้นเกินไป คิดง่ายเกินไป เพียงเพื่อให้ตนเองใสสะอาดไร้มลทินมือไม่เปื้อนเลือด

    แต่น่าเสียดาย น่าเสียดาย ที่มันไตร่ตรองไม่ถี่ถ้วนมันลืมมองไปว่าชายที่ตกในห้วงรักนั้นไร้สมองเพียงใด ต่อให้เป็นบุตรก็พร้อมที่จะฉีกทึ้ง

    สถานะของนายน้อยตอนนี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว...

    นายหญิงที่กำลังลูบประคอง เมื่อเหลือบมองมันก็ถลึงตาแค้นเคืองอย่างไม่สนกิริยามารยาท หากไม่ใช่เพราะบ่าวผู้นี้ เฉิงเออร์ก็ไม่มีทางเสียหน้าต่อนางแพศยาเหยาเหมยแน่ คราวนี้ภายในจวนคงรู้กันทั่วว่า...ควรจะถือหางใคร

    “เจ้าบ่าวชั้นต่ำมานี่บัดเดี๋ยวนี้” เสียงของนายหญิงแม้จะแหบพร่ามองเด็กชายที่คลานเข่ามาจนติดชายกระโปรง แล้วบีบดวงหน้าของเด็กน้อยอย่างแรงไม่สนใจรอยม่วงช้ำเลยสักนิด

    “บาดเจ็บเพียงนิด แต่ก็สำออยดีนัก”

    “ชิวไฉ่ ตบหน้ามัน” สิ้นเสียงคำพูดรอยประทับแดงของฝ่ามือแดงก็ปรากฏลงตรงหน้า ตบซ้ายตบขวาอย่างไม่ยั้งมือ ตบจนกลิ่นเลือดคาวคลุ้ง ความเจ็บปวดที่มากมายแต่มันก็ได้ทำเพียงกลั้นน้ำตา เพราะมันทำงานผิดพลาด หวาดกลัวศีลธรรมจนทำให้เป็นเยี่ยงนี้... เป็นมันเองที่บีบนายหญิงให้จนตรอก..

    เพล้ง

    เสียงของถ้วยน้ำชาอีกใบที่เฉียดใกล้ชิวไฉ่ พร้อมน้ำชาร้อนๆ ก็ตามมา

    “หยุดมือบัดเดี๋ยวนี้ ฟู่กุ้ยเป็นของข้า เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาลงมือ” ก่อนที่จะพูดเสียงอ่อนกับมารดา “ท่านแม่เรื่องนี้จะว่ากล่าวฟู่กุ้ยมันไม่ได้ มันไม่เคยเอ่ยฟ้องข้าสักหน่อย หากโทษว่าผู้ใดเป็นคนผิดก็ต้องโทษบ่าวใช้ของฮูหยินรองที่ลงมือกับบ่าวข้าได้หนักถึงเพียงนี้ ท่านแม่ต้องเห็นเมื่อตอนเช้าน่ามันม่วงปูดโปนแสลงตานัก ข้าเป็นนายของมันตบมันก็เหมือนตบข้า หากข้าไม่ลงโทษมัน สักวันบ่าวของเรือนฮูหยินรองไม่แคล้วเหยียบหัวข้า” นายน้อยว่าพลางกอดอก เหลือบมองฟู่กุ้ยที่หางตาแล้วเบือนหน้าหนีใบหน้าแดงช้ำไปทั้งสองข้างหากพรุ่งนี้มารับใช้ก็คงกลายเป็นคางคกในร่างคน

    “อีกทั้งเรื่องวันนี้ทำให้ข้าเปิดหูเปิดตากับฮูหยินรองมากยิ่งขึ้นจากเป็นนางบำเรอของท่านพ่อ พัฒนากลายเป็นนางบำเรอแพศยามารยาร้อยเล่ห์” นายน้อยว่าพร้อมลูบมือมารดามองหญิงสาวที่งดงามบัดนี้ไร้สีของชาดเหมือนทุกๆ วัน

    “ท่านแม่กลับเรือนก่อนเถิด ยามนี้หน้าตาของท่านล้วนแต่ไม่น่าดู ลูกเห็นแล้วแสลงใจนัก” นายน้อยว่าอย่างจีบปากจีบคอ อย่างไรเสียเขาเองก็เป็นชายชอบดูของสวยๆ งามเจริญหูเจริญตา ยามเหยาเหมยนั่นปรากฏตัวต่อหน้าท่านพ่อแม้จะไม่ได้แต่งหน้าทาปากแต่ก็ดูงดงามเหมือนดอกหญ้ารดน้ำค้าง แต่หากท่านแม่ไม่ได้แต่งหน้าทาปากเหมือนกันแต่กลับเหมือนผีดิบที่ขึ้นมาจากโลงเสียนี่ ดูอย่างไรก็ไม่น่าทะนุถนอมเลยสักนิด...

    “...แม่ แม่จะรีบกลับเรือน” ฮูหยินที่ใช้มือลูบหน้าตัวเองอย่างตื่นตะลึง รีบเร่งฝีเท้ากลับเรือนส่วนตัวตนเองทันที เพราะเป็นห่วง

    เฉิงเออร์ ไม่สิ ห่วงตนเองมากเลยรีบร้อน ได้เพียงแค่แต่งตัวลืมแต่งหน้าเสียสนิท ยิ่งเมื่อวันวานทั้งกรีดร้องร่ำไห้ไม่น่าดู ยามนี้หน้าของนางคงแก่เหมือนแม่ม่ายตามตลาดเป็นแน่ อย่างไรสตรีก็เป็นสตรี แม้จะเป็นแม่คนแล้วก็ยังอยากสวยเสมอ

    “นางน่าเกลียดจริงๆ หากข้าแต่งตัวไม่ดีเจ้าอย่าริอาจลืมเตือนข้าเชียว” นายน้อยกล่าวหลังจากมองนางเดินจากไป พลางจับชายเสื้อตรวจตราความเรียบร้อยของผ้า เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีก็เดินเข้าห้องอักษรเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา

    “ขอรับ” มันว่าเสียงแผ่วเบา ขณะอยู่ด้านหลังมัน เห็นแผ่นหลังเล็กๆ นี่ช่างกว้างใหญ่สามารถให้คนอย่างมันได้พักพิง

    กระดาษและพู่กัน แท่นฝนหมึก ถูกเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพมันหยิบขึ้นมาค่อยๆ คัดตัวอักษรอย่างตั้งใจ แม้จิตใจเหม่อลอยไปยังอนาคตที่คาดไม่ถึง...

    “ฟู่กุ้ยนี่คืออาจารย์วรยุทธ์ของเจ้า” ยามสายของวันๆ หนึ่งมันถูกผลักไปหาชายชราที่อยู่บนลาน ฮูหยินใหญ่เป็นคนสกุลจินเป็นสกุลที่มีชื่อเสียงด้านขุนนางบู๊มาจากรุ่นสู่รุ่นเพราะฉะนั้นการหาคนฝึก

    วรยุทธ์ไม่ใช่เรื่องยาก ครั้งนี้สกุลจินได้ส่งองครักษ์ส่วนตัวมารับใช้นายน้อยจำนวนหนึ่ง พร้อมกับองครักษ์ข้างตัวที่รุ่นราวคราวเดียวกันมาเป็นคนข้างกาย ชื่อของเขาออกจะแปลกสักหน่อย ชื่อดั้งเดิมชื่อว่าเจ้าสิบสอง แต่นายน้อยบอกว่าไม่ชอบเลยตั้งชื่อหลิงอี* เป็นเด็กที่อายุแก่กว่าประมาณสามเดือน แต่ตอนบอกกับนายน้อยลดลงเป็นอ่อนกว่าสามเดือนแทน...

    ถ้าว่ากันตามตรงในกลุ่มนี้ฟู่กุ้ยแก่ที่สุด ตามด้วยหลิงอี และก็นายน้อย แต่ถ้าว่ากันตามอายุโดยนายน้อย นายน้อยเป็นคนที่แก่ที่สุด ตามด้วยหลิงอี แล้วฟู่กุ้ยเป็นการปิดท้าย...

    หลิงอีผู้นี้นับว่าเป็นคนเข้าถึงยาก นายน้อยสั่งอะไรก็ทำตามไม่เคยปริปาก ไม่เคยบ่น ไม่เคยตั้งคำถาม เหมือนตุ๊กตาไร้ชีวิตตัวจริง แต่ตัวหลิงอียามตกเย็นก็จะเปลี่ยนเป็นศิษย์พี่กวดขันให้มันฝึก

    วรยุทธ์ทุกค่ำคืน ส่วนในยามเช้าก็ทำตัวเป็นผู้ติดตามนายน้อยได้อย่างดีเยี่ยม

    นายน้อยชอบหลิงอีพอสมควรเพราะรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาและดูเข้มงวดนับว่าเป็นสิ่งเพิ่มบารมีนายน้อยอีกสองส่วน ยามไปเที่ยวเล่นมีมันเป็นลูกไล่ และมีหลิงอีทำหน้าเข้มไว้คอยคู่นับว่าเป็นส่วนผสมที่ลงตัว

    ส่วนในสถานการณ์ในเรือนนับวันก็จะยิ่งกดดันขึ้น ฮูหยินรองเริ่มเรียกร้องแล้วแผ่อิทธิพลไปทั่วทั้งจวน ในขณะที่ฮูหยินใหญ่แม้จะไม่ได้รับความโปรดปรานแต่สกุลเก่าก็เป็นผู้มีอำนาจมาก พอที่จะไม่ให้นายท่านสามารถปลดสุ่มสี่สุ่มห้าได้ แต่กระนั้นเดี๋ยวบ่าวคนนี้ทีคนนั้นทีหาเรื่องมาให้ไม่หยุดหย่อน

    แต่มันก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะแค่เพียงปรนนิบัติรับใช้ อีกทั้งเล่าเรียนทั้งบู๊และบุ๋นก็หนักหนาเต็มที จนเดี๋ยวนี้งานปรนนิบัติมันเริ่มสั่งงานเหล่าพี่สาวได้คล่องแคล่ว เพื่อให้มีเวลาไปทำงานราชงานหลวงให้มากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก

    อ้อ น้องชายของนายน้อยมีนามว่าหยวนฉู่ เกิดมาหน้าตาอัปลักษณ์ตัวเล็กน่าเกลียดเหมือนไก่ไม่มีขน ตอนนายน้อยไปเห็นน้องชายตนเองยังรับไม่ได้ แต่เมื่อตอนวันฉลองครบรอบร้อยวันคุณชายรองแม้จะตัวเล็กแต่ก็พอเห็นความน่ารักน่าชังพอควร แต่สำหรับมันคงไม่มีใครน่ารักเท่านายน้อยได้หรอก ตอนเด็กๆ นายน้อยต้องน่ารักกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่าเป็นแน่

    มือข้างหนึ่งมันกำลังตักน้ำจากสุขาท้ายเรือนมาเจือน้ำสะอาดจากบ่อให้เจือจาง ราดลงเหล่าสมุนไพรที่คาดว่าจะมีประโยชน์ในภายภาคหน้าแม้ว่าหน้าตามันจะเหมือนใบหญ้าก็ตามที

    “ฟู่กุ้ยนายน้อยเรียกเจ้านะ” เสียงของหลิงอีที่ดังขึ้นอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงจากด้านหลัง มันค่อยผละจากงานในมือลงมองศิษย์พี่ควบตำแหน่งอาจารย์ที่มีอายุน้อยกว่าตรงหน้า ว่ากันตามหลักอาวุโสตามจริงมันมีอายุมากกว่ายังไงก็มีศักดิ์เป็นพี่ใหญ่ในบรรดาทั้งสาม แต่หลิงอีกับคิดว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่หน้านิ่งเหมือนปลาตายยโสโอหังจนมันอยากเอากระโถนสาดใส่หน้า แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะมันรับใช้นายน้อยละทิ้งอดีตทั้งปวง จึงได้แต่รับชะตากรรมลำดับอาวุโสผิดความจริงนี้อย่างเงียบๆ

    มันหยิบถังน้ำปนอาจมใส่วางใส่มือคนตรงหน้าและชี้มองสวนสมุนไพรขนาดย่อม เพื่อบอกว่าให้รดน้ำต่อให้ด้วย

    มันเดินอย่างเร่งรีบแต่ก็นับว่ามีสติย่ำไปห้องอักษรทันที ทันทีที่เหยียบเข้าไป ก็เห็นนายน้อยที่กำลังมีเหล่าพี่สาวคอยรับใช้แกะเปลือกองุ่นแล้วๆ ค่อยๆ กอปรเข้าปากอย่างใจเย็น ในขณะที่อ่านชีวประวัติรักของบุคคลในมือ ส่วนหน้าปกย่อมเป็นตำราแพทย์อย่างไม่ต้องสงสัย

    เพียะ

    เสียงของหนังสือนิยายประโลมโลกติดอันดับหนังสือที่ได้รับการคัดลอกที่ดีที่สุดในช่วงนี้ถูกโยนลงมาแทบเท้า นายน้อยที่เห็นหน้ามันก็เริ่มระเบิดอารมณ์ในที “พวกเจ้าออกไปก่อน” เสียงของนายน้อยว่า โบกมือไล่สาวใช้ที่อยู่กาย ก่อนจะหันมามองหน้ามันด้วยแววตาแค้นเคืองปนเศร้าสร้อย

    “นี่มันหนังสืออะไรของเจ้า” นายน้อยว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดพร้อมกับวงแดงที่ตา “เจ้านักเขียนชั้นต่ำนี่คิดอะไรอยู่ เหตุใดในตอนท้ายจึงกลายเป็นโศกนาฏกรรมได้ พระเอกนางเอกล้วนตายจากแต่งมาถึงห้าเล่ม เล่มละหลายร้อยหน้าล้วนแต่สนุกสุขสันต์หรรษาการผจญภัยแดนเทพเซียน แต่ตอนท้ายฝ่ายอธรรมกับเกือบชนะอีเออร์ก็ตาย ส่วนจ้าวหยุนก็สูญเสียวรยุทธ์มีอย่างที่ไหน มีอย่างที่ไหนกัน” นายน้อยตะคอกเสียงดัง พร้อมดวงตาแดงก่ำ ทั้งที่เขาไปเลือกเองกลับมือแท้ ๆ ตั้งแต่เล่มแรกยันเล่มสุดท้ายสนุกหรรษาตลอดทั้งเรื่องจนเขาแทบจะนั่งไม่เต็มที่ มีเพียงสามบทสุดท้ายเท่านั้นที่ไม่ได้ความ

    “ไม่รู้หล่ะฟู่กุ้ยตอนจบเช่นนี้ข้าไม่ชอบ เจ้าจงไปหานักเขียนเปลี่ยนแปลงบทให้สิ้น ที่ข้าทำล้วนแต่เป็นการปกป้องแผ่นดิน ไม่มีนักอ่านคนไหนพอใจกับฉากจบเช่นนี้แน่” นายน้อยว่าพลางกอดอกเชิดหน้าขึ้นไปอีกทาง แม้ว่าเรื่องเหล่านี้ออกจะดูเหลวไหลไปบ้าง แต่ยังไงเขาก็ทำใจยอมรับเหตุการณ์ที่อยู่ในหนังสือไม่ได้อยู่ดี

    ฟู่กุ้ยค้อมศีรษะขอความเมตตาเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปยังร้านหนังสืออย่างช้าๆ และกระแทกหนังสือต่อหน้าตาเฒ่าอย่างแรง

    “ตอนจบนี่มันอะไรกัน นายน้อยของข้าอุตส่าห์ชื่นชอบตั้งแต่ต้นยันท้าย เสียอย่างเดียวตอนจบกลับดูไม่งาม เถ้าแก่ท่านพอจะสามารถเปลี่ยนตอนจบให้ข้าได้หรือไม่” มันพูดพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้อย่างออดอ้อนเต็มที่

    “หือ ตำราแพทย์จะเปลี่ยนตอนจบได้อย่างไรเหลวไหล” ชายชราหลังเหลือบมองหน้าปกหนังสือด้วยหางตา

    “ไม่ใช่ๆ เถ้าแก่นี้คือหนังสือนิยายรักประโลมโลกผจญภัยของท่านไงเล่า กระบี่เซียนยอดพิภพ ที่ท่านแสนจะภาคภูมิใจในครั้งก่อนไง” มันพูดพลางเปิดหน้าหนังสือที่อยู่ภายใน ที่เป็นเนื้อเรื่องของนิยายรัก

    บอกตามตรงมันก็ไม่ค่อยเข้าใจถึงสุนทรีย์ของนายน้อยเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะมันไม่ค่อยสนใจเรื่องรักใคร่ และความยากลำบากบนเส้นทางของการเป็นเซียน เพราะทุกวันนี้เส้นทางบนโลกมนุษย์ก็หนักหนาเกินพอ

    แต่นายน้อยไม่ใช่เขาคลั่งไคล้นิยายเล่มนี้มากถึงขนาดกราบอาจารย์ร่ำเรียนวิทยายุทธร แม้ว่าจะเกียจคร้านไปบ้างแต่ก็นับว่าพอมีวิชา ทำให้มันคิดว่านิยายประโลมโลกพวกนี้พอมีประโยชน์อยู่บ้าง หากแต่วันนี้ดูก็รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้ทำให้นายน้อยถึงหลั่งน้ำตา จนมันนึกอยากจะเผาร้านหนังสือให้เหียนหมดเมือง

    “ไอ้หยา หากนายน้อยของเจ้าไม่ชอบก็แค่โยนทิ้งไป เจ้าไม่รู้หรอกว่ามีสตรีอีกเป็นร้อยที่ชื่นชอบตอนจบโศกนาฏกรรมนี้ ถึงขนาดตบรางวัลให้ข้าเกือบสิบตำลึง” ตาเฒ่าพูดจาจีบปากจีบคอแล้วชี้ไปยังข้าวของเครื่องใช้อาหารที่ถูกกองอยู่บนส่วนหนึ่งของโต๊ะเต็มไปหมด

    “งั้นเถ้าแก่ท่านพอจะติดต่อคนเขียนได้หรือไม่ บอกว่าหากเปลี่ยนแปลงตอนจบนายน้อยของข้าเพียงคนเดียวจะจ่ายเงินให้อย่างงาม” มันพูดอย่างต่อรอง

    “เหลวไหล เจ้ารู้ไหมนักเขียนของข้าเป็นใครแม้จะทำการปกปิดตัวตนไม่ต้องการให้ใครรู้ชื่อเสียงเรียงนาม แต่ข้าขอเอาผมหงอกของข้าเป็นประกัน ว่านางจะต้องเป็นสตรีที่สูงศักดิ์แต่งกวีร่ายพรรณนาเพราะความสนุกหาใช้เงิน” ตาเฒ่าว่าขณะที่ใช้นิ้วเหี่ยวจิ้มหน้าผากเขาเหมือนสั่งสอนบุตรชายตัวจ้อย จนมันเบ้ปากอีกสองสามทีอย่างหงุดหงิด

    “ไปๆ ไสหัวกลับไปให้พ้น ข้าจะทำมาหากิน” ชายชราพูดพลางโบกมือขึ้นไล่อย่างขอไปที

    “ได้ไม่เปลี่ยนก็ให้มันรู้ไป ถ้าหากข้าหานางไม่เจอข้าก็จะแต่งตอนจบเองก็ได้” มันว่าพลางเชิดหน้าขึ้นคลับคล้ายคลับคลากับนายน้อยไม่ผิดเพี้ยน

    “กะอีแค่แต่งนิยายเขียนพรรณนาจะยากเช่นไรกัน” มันว่าจบก็สะบัดตัวไป ปล่อยให้เถ้าแก่เจ้าของร้านเหลือบมองเด็กชายสวมชุดบ่าวไพร่อย่างอ่อนอกอ่อนใจ

    เด็กอย่างเจ้าจะอาจหาญเทียบนักเขียนมือทองอันเป็นแหล่งเงินของข้าได้อย่างไร เกิดแล้วตายมาเกิดไปก็ยังคงเร็วไปอีกร้อยปี

    ในขณะที่ฟู่กุ้ยเดินอย่างองอาจมาดแมนเต็มที่ ตรงปรี่เข้าไปยังห้องหนังสือนายน้อยอย่างอาจหาญเฉกเช่นนักรบ หยิบจับกระดาษคว้าพู่กันจากห้องอักษรอย่างแน่วแน่ ก่อนที่จะเริ่มเขียนร้อยแก้วพรรณนาไม่สนใจสายตานายน้อยที่อยากรู้อยากเห็น

    หยวนเฉิงที่อยู่ในห้องกำลังหานิยายเล่มอื่นเพื่อปลอบประโลมความเศร้าภายใต้ปกหนังสือตำราแพทย์อย่างรื่นเริง เจ้าบ่าวตัวน้อยก็อาจหาญก็เดินก้าวเข้าห้องไม่ยอมก้มหัวมาเหมือนแต่ก่อน จะเตรียมดุด่าว่ากล่าวแล้วโยนถ้วยน้ำชาอีกสองสามถ้วย แต่ครั้นเห็นบ่าวดูมุ่งมั่นหยิบพู่กันหยกกระดาษเนื้อดีไม่สนใจผู้เป็นนายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ใช่ว่าหยวนเฉิงใจคอคับแคบงกกะอีแค่กระดาษกับพู่กัน ซึ่งส่วนใหญ่ฟู่กุ้ยได้ใช้มากกว่าเขาซึ่งเป็นเจ้าของซะอีก แต่การบ้านงานคัดอักษรที่อาจารย์สั่งก็ล้วนเสร็จเรียบร้อยแล้ว และด้วยน้องชายตัวจ้อยที่เกิดมาทำให้ท่านพ่อไม่สนใจไยดีเขาเช่นกาลก่อนส่งผลให้การรบ้านคัดอักษรลดลงเกินครึ่ง เจ้าบ่าวตัวดีเลยมีเวลาหายใจหายคอได้บ้าง ครั้งเหลือบมองบ่าวตัวจ้อยที่กำลังคัดหนังสือด้วยลายมือแปลกตาดูเหมือนว่าจะเป็นลายมือของตัวมันเอง กวัดแกว่งคล่องแคล่วเหมือนสายน้ำ แต่ก็หนักแน่นเหมือนพยัคฆ์เหินนับว่างดงามจับตา อีกทั้งยังเขียนได้รวดเร็วเพียงไม่กี่เค่อก็เขียนออกมาได้หลายสิบแผ่น พอเขาหยิบขึ้นมาอ่านเท่านั้นแหละ ตาลุกวาวโยนนิยายฆ่าเวลาในมือทิ้งไปในทันที

    นี่มัน นี่มัน บทตอนต่อไปจากเล่มจบของกระบี่เซียนยุทธภพที่เขาติดงอมแงมนี่นา.... เขาซูดน้ำลายที่อยู่ในปากอย่างคล่องแคล่วรีบอ่านต้นฉบับสดๆ ที่อยู่ตรงหน้าอย่างรื่นเริง ทั้งสำนวนที่ดูแล้วลอกเลียนแบบได้ดีเยี่ยมอ่านแล้วมิมีติดขัด การใช้สำบัดสำนวน บทกวีก็ลอกเลียนได้ยอดเยี่ยมไร้รอยต่อ นับว่าเป็นผลงานปลอมแปลงชั้นหนึ่งในใต้หล้า ขณะที่เขากำลังดื่มด่ำอย่างไม่ติดขัดพลันก็เหมือนได้เห็นจุดบางจุดที่ผิดพลาดก็รีบกุลีกุจอนหยิบผงหมึกสีแดงล้ำค่าจากผสมในแท่นที่เก็บอยู่ลึกสุดของโต๊ะอย่างไม่นึกเสียดาย แล้วใช่พู่กันเล็กๆ เหมาะมือวงกลมแก้ไข้จุดบกพร่องนั่นเหมือนบรรณาธิการ

    เยี่ยมตรงนี้ เนื้อเรื่องดีไม่ติดขัด แต่ตรงนั้นบรรยายผิดแผลกจากเรื่องเก่าคงต้องแก้ไข อ่า ตรงนี้บรรยายเช่นนี้ไม่ดีหลุดกับบทบาทเดิม

    สองนายบ่าวต่างหลุดสู่โลกแห่งการเขียนจนมืดค่ำแม้น้ำชาก็ไม่ทันได้จิบ กว่าฟู่กุ้ยเริ่มรู้สึกตัวว่าใกล้เวลาเตรียมโต๊ะอาหารเต็มทีจึงหยุดมือลง

    “เหตุใดเจ้าถึงหยุดมือ” นายน้อยที่อยู่ข้างกายได้อย่างไรไม่ทราบ เอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ

    “ใกล้เวลาเตรียมโต๊ะแล้วขอรับ” มันพูดอย่างหวาดๆ เมื่อเห็นเจ้านายตัวน้อยที่ใกล้ชิดกำลังนั่งอ่านนวนิยายภาคต่อตามใจฉันอย่างขมวดคิ้ว

    “เตรียมต้้งเตรียมโต๊ะอันใดเจ้าเป็นบ่าวข้างกายข้าเหตุใดเจ้าต้องลงแรง ไปเจ้านั่นแหละไปจัดโต๊ะให้เรียบร้อย” นายน้อยว่าชี้ไปยังพี่สาวอยู่ที่ประตูห้องอักษรให้จัดเตรียมโต๊ะแทนมัน

    “เอ้าเขียนต่อ กำลังสนุกเทียว” นายน้อยว่าก่อนจะนั่งอ่านตรวจทานแผ่นนิยายอยู่ในมือ ฟู่กุ้ยเห็นดังนั้นก็พลันตื่นเต้น ใจจดใจจ่อแต่งนิยายที่คาดว่านายน้อยจะชื่นชอบต่ออย่างใจเย็น

    และเมื่อเวลาผ่านเลยไปจนเกือบอาทิตย์นวนิยายภาคต่อฉบับคนเขียนใหม่ก็ได้ปรากฏอยู่ในมือ หากไม่ใช่เพราะนายน้อยตัดสินใจทำการบ้านด้วยตนเองมันคงไม่มีเวลาทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้แน่ นายน้อยนับว่าเป็นนักอ่านตัวยงตามติดนิยายชนิดเผาขน อีกทั้งยังเป็นนักอ่านสายหัวร้อน ไม่ยินยอมให้นักเขียนได้พักเสียด้วย หากเอาเวลาไปทำเรื่องอื่นนับว่าไม่ได้ความ ระยะเวลาทั้งอาทิตย์มันเพียงทำแค่แต่งนิยายกับฝึกวรยุทธ์ยามค่ำคืนเรื่องอื่นแทบไม่ได้จดจ่อ แต่กระนั้นนายน้อยก็พึงพอใจมาก แม้น้ำชาจะร้อนไปหน่อย ที่นอนยับไปนิดก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด

    “อืม เช่นนี้สิดี” นายน้อยที่กำลังอ่านนิยายฉบับสมบูรณ์ทวนเป็นรอบที่ห้า มากกว่าอ่านปรัชญาข่งจื้อที่อาจารย์สั่งเสียอีก ก่อนที่จะยื่นหนังสือให้มันแล้วกล่าวว่า “เอาไปให้เหลาป่านร้านหนังสือคัดลอกเสีย เผยแพร่ให้เทียบเท่านางพญาร้อยเล่ห์อะไรนั่น” ที่นายน้อยกล่าวมาคือนักเขียนเจ้าของบทประพันธ์กระบี่เซียนยอดพิภพ

    “...ให้นางได้รู้ว่านิยายดีเป็นเช่นไร ไม่ใช่นิยายขยะที่นางแต่งขึ้น” นายน้อยว่าพลางเชิดหน้าขึ้นสูงหลายสิบวิ ให้มันรู้เสียบ้างในฐานะแฟนพันธุ์แท้นิยายตัวยงอ่านอักษรแตกฉานเพียงไม่กี่ขวบปี สายตาของเขาย่อมเฉียบคมรู้แท้เด่นชัดว่าอะไรกันแน่คือนิยายที่เยี่ยมยุทธ์ และแน่นอนย่อมไม่ใช่นิยายตอนจบปวดตับควักไส้ควักพุงเช่นนั้น...

    “นายน้อย” มันพูดเสียงมองนายน้อยขึ้นด้วยความหวาดกลัว มันแต่งนิยายเล่มนี้เพียงเพราะแรงอารมณ์เสี้ยววินาที ความจริงไม่ได้จริงจังเสียเพียงนั้น หากแต่เห็นนายน้อยนิยมชมชอบจึงแต่งต่อจนจบเล่ม

    “ทำไมเจ้าไม่เชื่อสายตาของข้ารึ” นายน้อยพูดขึ้นพลางถลึงตามองบ่าวไพร่อย่างโกรธเคือง

    “บ่าวมิกล้า บ่าวมิกล้า” มันรีบเอ่ยอย่างเรียบร้อย หยิบจับหนังสือนิยายในมือเขียนปกเป็นชื่อกระบี่เซียนยอดพิภพเล่มจบฉบับปรับปรุง ก่อนที่จะเตรียมเขียนชื่อประพันธ์เป็นนายน้อยคนงาม

    “หยุดเสียบัดเดี๋ยวนี้ เจ้าคิดจะเขียนชื่อใคร”

    “ย่อมเป็นนายน้อยขอรับ” มันว่าอย่างซื่อตรง ดวงตากระจ่างใสไร้ร่องรอยน้อยเนื้อต่ำใจ

    “เพ่ย เหตุใดจึงเป็นข้า เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร คิดดูถูกข้างั้นรึ”

    “แต่นายน้อยไปคนแก้ไข หนังสือเล่มนี้หากไม่มีนายน้อยคงไม่มีทางเสร็จสมบูรณ์”

    “เหอะ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ที่ข้าช่วยเจ้าแก้ไขนั่น เพียงฐานะนักอ่านชั้นเลิศก็เท่านั้น หาใช่อยากแอบอ้างเป็นคนแต่งอย่างใด อีกทั้งข้าเป็นนายน้อยที่สูงศักดิ์ไม่มีทางเกลือกกลั้วกับของไร้สาระให้เสียมือ” นายน้อยพูดอีกขึ้นอีกครึ่งคำ “เอาเถอะ ข้าคิดอยู่แล้วว่าเจ้าเอียงอายอีกทั้งถ่อมตนจนน่าหมั่นไส้ ข้าจึงแกะสลักแท่นหยกเนื้อดีให้เป็นของขวัญ” ว่าจบก็หยิบหีบไม้เนื้อแข็งตั้งขึ้นมาบนโต๊ะ เปิดออกมาก็เผยเห็นตราประทับจากหยกสีเขียวใสคุณภาพดีพร้อมหมึกสีแดงก่ำในตลับอันจ้อย จากนั้นก็สลักมัน ณ ตอนนั้นเลย

    “ประทับตรา ตรงนี้” นายน้อยว่าพลางชี้นิ้วมันค่อยๆ แปะบนหนังสือเล่มน้อยอย่างสั่นไหว

    “จะสั่นอันใด เจ้าจะกลัวอะไรหนักหนานิยายเล่มนี้เนื้อหาดีเยี่ยม เจ้าจะกลัวไปไย” นายน้อยเอ็ดมันเล็กน้อย ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มแรกที่มันเห็นทุกขั้นตอน ใช้มือเล็กโบกหมึกแดงให้แห้งดี

    เผยให้เห็นร่องขาวเป็นตัวอักษร เสี่ยวฉงเทียน (หนอนน้อยเย้ยฟ้า) อย่างกระหยิ่มยิ้มย่องใจ ส่งไปยังมือฟู่กุ้ย “เอาหล่ะ ส่งไปให้เหลาป่านร้านหนังสือจ้างให้เขาไปเผยแพร่ ข้าอยากรู้นักนางพญาอะไรนั่นจะตอบโต้เช่นไรว่าจบก็ยัดขนมเข้าปากไปอีกชิ้น แล้วโบกมือไล่ให้มันไปทำงานทำการ

    ฟู่กุ้ยที่เดินย่ำออกมาจากจวนแล้วค่อยเดินไปทางร้านหนังสือที่มันคุ้นเคย และกระแทกหนังสือกระบี่เซียนยอดยุทธภพเล่มจบฉบับปรับปรุงในมือไว้บนโต๊ะ

    “เถ้าแก่ ข้ามีหนังสือมาขาย” เถ้าแก่เหลือบตามองมาแค่หางตาก่อนจะแค่ยเสียงหัวเราะออกมาในลำคอ “เหอะ เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมยังไม่เลิกฝันเฟื่องอีกรึ” เสียงแหบว่ากล่าวพลางส่ายหน้าสองสามที ก่อนจะหยิบจับหนังสือเล่มอื่นไม่สนใจมัน

    “ฝันเฟื่องหรือไม่ไม่สำคัญ แต่ข้าคิดว่าตอนจบแบบนั้นแม้จะมีคนชมชอบแต่คงน้อยนิดเพียงหยิบมือ ไม่เหมือนตอนจบของข้าคนทั่วไปย่อมชมชอบ” มันพูดพลางยกหัวกอดอกเหมือนผู้เป็นนายอีกครั้ง

    “เถ้าแก่ท่านคิดดูดีๆ ข้าอุตส่าห์ยอมเขียนฉากจบที่ผู้อื่นนิยมท่านไม่จำเป็นต้องมีเรื่องผิดใจกับแม่นางน้อย อีกทั้งยังรักษาความพอใจกับลูกค้าท่านได้เป็นอย่างดี ลองอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วตรองดูให้ดี” มันว่าจบก็กลับไปยังปรนนิบัติรับใช้ที่จวน

    หลังจากนั้นสองสามวันก็ได้ข่าวคราวว่าหนังสือเล่มน้อยถูกเผยแพร่ไปอย่างราบรื่น แม้จะเป็นต่างคนเขียนแต่สำบัดสำนวน ท่าทีตัวละครล้วนถูกถ่ายทอดอย่างเป็นธรรมชาติไม่มีอันใดติดขัด เหล่าผู้อ่านที่ไม่ยินยอมในตอนจบก็รวมตัวกันซื้อหนังสือฉากจบแบบปรับปรุงครื้นเครงดี จนมันได้เงินส่วนแบ่งถึงครึ่งตำลึง แน่นอนว่านายน้อยไม่สนใจเงินเพียงเล็กน้อยเช่นนี้แต่กลับพึงพอใจที่นิยายได้ถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง แม้แต่สหายก็ยังมีเล่มนี้ไว้ในครอบครอง แค่คิดว่าหนังสือเล่มน้อยนี้เป็นมาจากบ่าวไพร่ของเขาเอง ประกอบกับนามแฝงแสนประหลาดนี้ที่เขาตั้งให้ได้ถูกเผยแพร่และเก็บรักษาไว้ในแต่ละจวนก็อารมณ์ดีจนกินผักไปได้ถึงสามคำ

    อีกด้านหนึ่ง

    “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู” เสียงของสาวใช้ตัวดีที่ดังไปทั่วเรือนหลังน้อย คุณหนูคนงามที่กำลังลงมือรดน้ำให้หัวไช้เท้าลูกงามก็เอ็ดขึ้น “อะไรของเจ้าซิ่งหู จะร้องอะไรเสียงดัง” เสียงใสต่อว่าในขณะที่รดน้ำไม่ขาด

    “ดูนี่สิเจ้าคะคุณหนู” มันว่า ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มน้อยในอกเสื้อขึ้นมา หน้าปกมีชื่อเรื่องเซียนกระบี่ยอดพิภพ ฉบับปรับปรุง โดยชื่อผู้แต่งแสนอัปลักษณ์อย่าง หนอนน้อยเย้ยฟ้า ดูน่าเกลียดน่าชัง มันที่กำลังไปเอาเงินส่วนแบ่งจากเหลาป่านร้านขายหนังสือกับเห็นหนังสือเล่มน้อยขายดิบขายดีจนตานางกระตุกยิบๆ

    เซียนกระบี่ยอดพิภพ เป็นสิ่งที่คุณหนูน้อยนางแต่งเองกับมือ เด็กสาววัยเพียงหกปีกว่าแต่สามารถเขียนอักษรพรรณนาเป็นเรื่องราวชวนฝันได้ล้ำเลิศจนมีชื่อเสียงเรียงนามละบือไกลจนเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ แต่กระนั้นก็มีนิสัยแปลกประหลาดชอบแต่งนิยายที่จุดจบเป็นโศกนาฏกรรมส่งผลให้มีเสียงด่าทออยู่บ่อยครั้ง แต่กระนั้นหนังสือของแม่นางน้อยผู้นี้ก็ได้เสียงตอบรับอย่างดีเยี่ยมเพราะความแปลกใหม่และสำนวนภาษาที่ได้ความ แต่มาวันนี้กลับมีนักเขียนไร้เสียงเรียงนามชื่อน่าเกลียดน่าชังชิงมาแต่งหนังสือล้อเลียนเปลี่ยนแปลงตอนจบอย่างหน้าไม่อาย

    มันมองคุณหนูที่หยิบหนังสือในมือมันไปอ่านเปิดผ่านๆ แบบชั่วครู่ก่อนที่จะแย้มยิ้มเราเดินเข้าไปยังเรือนหลังน้อย

    คุณหนูของมันเป็นคุณหนูใหญ่จวนเจ้ากรมโยธา แต่กระนั้นเป็นเพราะมารดาเสียไปตั้งแต่เล็ก จวนจึงถูกยึดโดยแม่เลี้ยงที่ถูกแต่งตั้งเป็นฮูหยินใหญ่ทั้งนี้นางยังคลอดบุตรสาวบุตรชายกันมาอย่างละคนล้วนแล้วแต่ถูกปรนเปรอจนเสียนิสัย ในขณะเดียวกันก็คุณหนูของมันกับถูกทุกคนในจวนละเลย แต่สวรรค์ก็พอมีเมตตาอยู่บ้างความเป็นอยู่ในจวนไม่นับว่าอัตคัดจนเกินไปแต่ก็ไม่ได้อยู่สุขสบายเฉกเช่นคุณหนูในจวนอื่นๆ แต่กระนั้นคุณหนูก็มีความสามารถหลังจากจับพู่กันได้ตอนห้าขวบก็เริ่มเขียนหนังสือหาเงินให้ตนเองแต่น้อย

    “ฮ่าๆ ๆ ๆ ดี ดี นี่มันดีเป็นบ้า ไม่อยากจะเชื่อแม้แต่สมัยนี้ก็เริ่มมีแฟนฟิคกันแล้ว” เสียงใสๆ ที่ดังขึ้นจากภายในเรือนมันก็รีบเดินเข้าไปหาในที

    “คุณหนู คุณหนูอารมณ์ดีอันใดเจ้าคะ ท่านไม่เห็นหรือว่านิยายของท่านกำลังถูกล้อเลียน” มันพูดเสียงเข้มขณะมองนายหญิงที่หายตัวไปเกือบสามชั่วจากนั้นกลับมาด้วยรอยยิ้ม

    “ซิ่งหู เจ้าไม่เข้าใจนี่มันเรียกว่าแฟนฟิค ข้าเห็นบ่อยไป” นางว่าพร้อมยิ้มแย้ม ก่อนจะหมายมั่นปั้นมือเขียนนิยายเล่มต่อไปเร็วกว่าที่คาดไว้ถึงสองส่วน




    Thumbnail Seller Link
    หญิงโฉดชายชั่ว...อย่ามายุ่งกับนายน้อยข้านะ
    M.P.Y.L
    www.mebmarket.com
    มัน....เป็นเพียงข้ารับใช้ชั้นต่ำเขา...เป็นนายท่านที่รับใช้ด้วยชีวิตเธอ...เป็นนางแพศยาที่ฉกชิงสิ่งสำคัญที่มันเฝ้าถนอมแต่จะทำเช่นไรเล่า เพราะโชคชะตา...
    Get it now
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×