ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หญิงโฉดชายชั่ว....อย่ายุ่งกับนายน้อยข้านะ (YAOI)

    ลำดับตอนที่ #3 : อย่ามายุ่ง 3 ฉบับอีบุ๊ค

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 727
      58
      9 เม.ย. 65

    ตึง ตึง เต้ง

    เสียงนายน้อยที่กำลังดีดเพลงพิณเจ็ดสายขมวดคิ้วมุ่น ตอนนี้นายน้อยกำลังเริ่มบทเรียนบรรเลงเพลงพิณหนึ่งในศาสตร์ที่ชนชั้นสูงสูงจำต้องเรียนรู้

    บางทีมันก็หน่ายใจนัก เหตุใดชนชั้นสูงถึงมีเรื่องให้เรียนรู้มากมายไปเต็มไปหมด หลักคำสอน หลักการปกครอง เขียนอักษร วาดภาพ รวมถึงบรรเลงดนตรี ตอนที่ข้ายังเป็นเพียงชนชั้นต่ำก็แค่คิดว่าชนชั้นสูงเกิดในกองเงินกองทองนอนกินรำกินก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องทำงานทำการก็สุขสบาย แต่พอมันเป็นบ่าวก็รับรู้เลยว่าช่างเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี

    แม้ชนชั้นสูงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องปากท้องแต่ก็มีเรื่องให้ทำมากมายเป็นภูเขาเลากาทั้งๆ ที่อายุโดยรวมก็7ปี7เดือนกับ12วันเท่านั้น แต่ก็ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งร่ำเรียนวิชาความรู้มากมายยัดเข้าไปในสมองอย่างไม่จบไม่สิ้น อีกทั้งนายท่านยังกวดขันเข้มงวดพอสมควรยามมีเวลาว่างมักทดสอบความรู้นายน้อยอยู่เสมอ และหากทำไม่ได้นายน้อยก็จะถูกหวดจนขาลาย เอาตรงๆ ตอนที่มันอายุเท่านายน้อยทำได้แค่เก็บแยกยาสมุนไพรจดใบสั่งยาได้นิดๆ หน่อยเท่านั้น อีกทั้งที่มันทำไม่ใช่พ่อแม่กวดขันแต่มันคิดอยากจะช่วยเอง ซึ่งแตกต่างจากนายน้อยอย่างเห็นชัด...

    แต้ง

    นายน้อยบรรเลงเพียงพิณเพี้ยนอีกหลายจุด พร้อมกับความอดทนที่ใกล้จะหมดลง พอๆ กับมันที่ค่อยๆ นับถอยหลังเหมือนคนบ้า

    3 2 1

    โครม

    พิณหลายร้อยตำลึงลงไปกองอยู่กับพื้น ความอดทนและความกล้าหาญชาญชัยของนายน้อยไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ มันค่อยๆ ค้อมตัวลงพร้อมฟังเสียงรอบตัวไปด้วย

    “เฮอะ แสลงหูนัก พิณชั้นต่ำนี่มันอะไรกันดีดแต่ละทีเสียงไม่ใสไม่เสนาะเลยสักนิด ข้ายิ่งฟังยิ่งแสลงหู ท่านอาจารย์ข้าคิดว่าพิณนี้คงไม่เหมาะที่จะบรรเลง รอสักสองสามวันจนกว่าข้าจะได้พิณดีๆ สักตัวก่อนค่อยมาสอนศิษย์จะดีหรือไม่” นายน้อยยกมือคำนับท่านอาจารย์ด้วยรอยยิ้ม เหลือบมองชายตรงหน้าที่เป็นยอดฝีมือจากกรมสังคีตในราชวังด้วยรอยยิ้มกว้าง

    “คุณชายหยวนกล่าวเกินไป พิณนี้เพียงดูด้วยตาก็นับว่ามีราคาค่างวดไม่น้อย ไม้เนื้อดี การประกอบก็เป็นเลิศ นับว่าเป็นพิณช่างเลิศประมาณหนึ่ง แต่น่าเสียดายทั้งๆ ที่สายไม่หย่อนไม่ขาด เสียงกลับไม่นุ่มนวล ทั้งยังหยาบกร้านเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ ช่างน่าเสียดาย ช่างน่าเสียดาย ทั้งที่เป็นพิณดีๆ แท้แต่กลับเสียทันทีที่เริ่มบรรเลง” ท่านอาจารย์ของนายน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราวกับว่าเป็นการพูดเรื่องราวดินฟ้า แต่คำพูดวาจากลับเต็มไปด้วยคำเชือดเฉือนมันที่กำลังกอดพิณอย่างทุลักทุเลถึงกับชะงักค้างไม่กล้าที่จะวางบนโต๊ะกลัวว่าพิณนี้จะมีอันเป็นไป

    แต่ฉับพลันก็มีเสียงหัวเราะคิกคักของบ่าวไม่กลัวตายหลุดออกมา นายน้อยไม่ได้ละสายตากับท่านอาจารย์ตรงหน้าเพียงแต่สั่งการเสียงแน่นออกมาจากริมฝีปากเล็กนั่นอย่างร้ายกาจเกินวัย “องครักษ์นำนางไปโบยให้ตาย”

    เฉียบขาด รุนแรง และเหี้ยมโหม

    สามคำนี้ช่างเหมาะสมกับนายน้อยของมันนัก แต่จากการที่มันเริ่มได้เรียนรู้ตำราประวัติศาสตร์และการปกครองนี่ช่างเป็นคุณสมบัติของคนเหนือคนจริงๆ สาวใช้เดนตายผู้นั้นไม่ทันได้กรีดร้องก็โดนลากออกไปจากเรือน ท่านอาจารย์และนายน้อยก็จ้องตากันอย่างไม่วางตา

    “ฟู่กุ้ยน้ำชา” นายน้อยพูดขึ้นฟู่กุ้ยจึงรีบฝากพิณในมือไว้ที่สาวใช้ อย่างไรเสียมันก็คิดว่าถ้วยน้ำชาน่าจะถูกกว่าพิณอันงาม

    มันค่อยๆ รินน้ำชาในอุณหภูมิที่เย็นกว่าปกติเล็กน้อยหวังว่าจะดับแรงอารมณ์นายน้อยได้บ้างแม้เพียงน้อยนิดก็ยังดี แล้วก็เป็นดังคาดทันทีที่ดื่มหมดถ้วยน้ำชาก็ถูกขว้างไปใกล้ท่านอาจารย์อย่างไม่ได้ตั้งใจ

    นายน้อยสะบัดมือสองสามทีก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ขออภัยพอดีข้ามือชาไปหน่อย ฝึกเพลงพิณครั้งแรกก็เป็นเช่นนี้ มือของข้าไม่ค่อยมีแรง” นายน้อยว่ากล่าวมองโต๊ะที่ว่างเปล่าของตัวเองอย่างอารมณ์ดี อย่างน้อยก็ไม่มีพิณเก่ามาให้รกหูรกตา

    ตอนนี้ฟู่กุ้ยที่อยู่ข้างกายที่อยู่ข้างตัวนายน้อยค้อมตัวจนแทบไม่รู้จะค้อมยังได้อีก แม้นายน้อยจะมีนิสัยร้ายกาจไปบ้างตามนิสัยเด็กน้อยทั่วไป แต่นายท่านกลับเป็นคนเข้มงวดกวดขันนัก หากนายท่านรู้เข้านายน้อยไม่วายขาลายเป็นแน่

    “วันนี้ข้ารู้สึกไม่สบายขอตัวไปพักผ่อนก่อน” นายน้อยว่าสะบัดตัวเดินไปอย่างไม่สนใจไยดี ทิ้งปัญหากองไว้ให้มันเป็นภูเขาตั้งตระหง่านตรงหน้า

    “หยุดบัดเดี๋ยวนี้ พ่อของเจ้ามาขอร้องข้าถึงกรมสังคีตเพื่อฝึกสอนให้เจ้าบรรเลงเพลงพิณ แต่ดูสิ่งที่เจ้าทำทั้งขี้คร้านไม่อดทนเพียงดีดไม่ถึงครึ่งเค่อก็ไปเสียแล้ว หากเรื่องนี้ไปถึงหูบิดาของเจ้า ข้าเองก็ช่วยไม่ได้”

    “เจ้ากล้างั้นรึ หึ ช่างเถิดท่านมาสอน ข้าก็จะให้ท่านสอนได้เต็มที่” ก่อนพูดต่อ

    “ฟู่กุ้ยเจ้ามานี่สิ บ่าวผู้นี้เป็นบ่าวส่วนตัวของข้าเป็นคนอดทน อีกทั้งขยันขันแข็งเสียดายที่เป็นเพียงชนชั้นต่ำคนหนึ่งเท่านั้น หากท่านอยากสอนก็สอนมันละกันไม่ต้องมาสอนข้า”

    “ไม่ต้องตามมา ตั้งใจเรียนวิชาให้ดีหากเจ้าเรียนไม่ดีข้าจะโบยเจ้าจนตาย” ว่าจบก็สะบัดตัวออกไปอย่างไม่กลัวเกรง ท่านพ่อขอให้มาสอน ข้าก็จะให้มันสอนเสียจนพอใจ แต่ก็สอนบ่าวชั้นต่ำคนหนึ่งไม่ได้มาสอนข้า

    ยามนี้มันค้อมตัวลงต่ำยิ่งกว่าเดิม อยากจะกลายเป็นปูเสฉวนหดเข้ากระดองทั้งอย่างนั้น จะถอยกลับก็ไม่ได้ จะเดินหน้าต่อก็ใช่ที

    นายน้อยนะนายน้อยเหตุใดถึงทำกับข้าเช่นนี้ อีกฝ่ายเป็นถึงอัจฉริยบุคคลแห่งกรมสังคีต ได้ยินว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่ฮ่องเต้โปรดปรานมากที่สุด ขนาดนายน้อยของมันที่เป็นถึงบุตรของเสนาบดีที่ว่าใครๆ ก็ต้องยอมให้ส่วนหนึ่ง แต่คนคนนี้ทั้งที่ดูเหมือนตำแหน่งเล็กไม่ได้มีบทบาททางการเมืองใดๆ แต่กลับหัวแข็งไม่ยอมอ่อนข้อให้ หากไม่เป็นที่โปรดปรานจากราชาเห็นทีจะทำเยี่ยงนี้ไม่ได้

    พลันมันได้รับรู้ถึงแววตาที่กำลังจับจ้องมาที่มันดุจเหยี่ยว ใบหน้าของคนคนนี้นับว่าเป็นคุณชายหน้าหยกผู้หนึ่ง ดวงตาคมกริบสีดำสนิท ดวงหน้าเรียวเล็ก คิ้วโก่งดุจคันศร ริมฝีปากเรียวบางที่เอ่ยแต่ละคำคมกริบราวกับใบมีด แต่กระนั้นร่างกายก็อรชรคนคนนี้อ้อนแอ้นนัก แต่นิ้วงามนั้นกับขาวผ่องดุจลำเทียน ยามใดที่ดีดพิณนั้นก็ดึงดูดสายตาไม่ให้ใครผละออกจากการมองนิ้วเรียวยาวนั้น

    “นั่งลงสิ” เสียงหวานว่าพลางนั่งลงสู่ที่นั่งดังเดิม ส่วนมันก็ได้แต่คุกเข่าก้มหัวลงอีกครั้ง

    “บ่าวขอความเมตตาสักครั้ง อย่าได้ถือสาหาความนายน้อยเลย นายน้อยยังเป็นเด็กไม่รู้ประสา เพียงอยากต่อต้านนายท่านเท่านั้น ยามเช้าเรียนอักษร ยามเว่ยเรียนบทกลอน ยามเซินก็ต้องเรียนเพลงพิณอีก ไม่เพียงเท่านั้นหลังจากทานข้าวเย็นนายท่านก็เรียกไปเอาการหากท่องได้ไม่ดีจะโดนตีจนขาลาย และตอนกลางคืนยังต้องคัดหนังสือจนดึกดื่นเวลานอนจนแทบไม่มี นายน้อยหาได้เกลียดวิชาเพลงพิณไม่ เพียงแต่การเรียนของนายน้อยนั้นมีมากนัก นายน้อยเพียงอยากเที่ยวเล่นตามประสาเท่านั้น โปรดเมตตานายน้อยด้วย” มันรีบเอ่ยปากพูดพยายามคลายโทสะของอัจฉริยบุคคลท่านนี้ ครั้นมันจะกล่าวขออภัยแทนนายน้อยเหมือนที่แล้วๆ มาก็ใช่ที เนื่องด้วยบุคลิกคนนี้องอาจตั้งมั่น ดูท่าทางจะเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ นายน้อยของมันแม้จะได้ลงมือดีดกับพิณ แต่ท่าทางดีดล้วนแต่ไม่ใส่ใจไยดีเท่าไหร่นักก็นับว่าเป็นการดูถูกกระทงแรก กระทงที่สองคือพยายามหาข้ออ้างเกียจคร้านหย่อนยานการฝึกฝน กระทงที่สามนายน้อยขอมันทำกิริยาท่าทางไม่น่ารัก แม้ไม่ดูถูกแต่ก็ท่าทางยโสโอหังเอาการ แต่หากเอาเรื่องนายท่านมาอ้างก็อาจจะพอแบ่งความผิดของนายน้อยไปส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นนายท่านดูท่าไปร้องขอแกมบังคับ จึงไม่แปลกที่จะไม่พอใจนายท่านแต่ทุนเดิม หากมันใส่เชื้อไฟเพิ่มผู้ร่วมอุดมการณ์ไปอีกคนยิ่งเป็นลูกในไส้เป็นคนบอกเอง ท่านอาจารย์ผู้นี้คงคลายโกรธไปได้บ้าง

    “ดี” คำสั้นๆ แต่หากฟังดีๆ เสียงนั้นอ่อนลงไปส่วนหนึ่ง มันลอบถอนหายใจไปเปลาะหนึ่ง

    “เอ้า หยิบพิณของเจ้าขึ้นมาแล้วบรรเลงให้ข้าฟัง”

    “หา” มันร้องเสียงหลงมองคนตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง คนคนนี้คิดจะสอนมันจริงๆ

    “นายของเจ้ากล่าวว่าให้ข้าสอน ข้าก็สอน ก็เหมือนเจ้านายตัวน้อยของเจ้าว่าบอกให้มาสอนแตไม่ได้ระบุตัว จะเป็นนายน้อยของเจ้าหรือเป็นบ่าวรับใช้ก็ไม่ต่างกันนักหรอก” เขาว่าแต่ก็ยังคำพูดส่อเสียดประชดชันเหยียดหยาม จะเป็นบ่าวหรือเป็นนายก็ไม่ต่างกัน..คนคนนี้นับว่าโอหังสิ้นดี

    “เอ้า ยังไม่รีบดีดอีก สาวใช้นางนั่นเป็นอันใดไปเหตุใดจึงไม่ยกพิณอันนี้ไปให้บ่าวตัวน้อยนั่นเล่า ดีดไป ดีดเพลงเดียวกับที่ข้าให้นายน้อยนั่นแหละ

    มันจึงจำใจหยิบพิณเก่าที่อยู่ในมือและดีดออกมาเบาๆ

    คิดถึงท่วงทำนองที่ได้รับฟังก่อนหน้า เหลือบมองคนตรงหน้าด้วยความสั่นกลัวแต่เห็นท่าทีอีกฝ่ายสงบนิ่งไม่ตำหนิมันก็ดีดต่อ คิดถึงท่วงท่าที่คนนี้ดีดอย่างงกๆ เงิ่นๆ

    แต๊ง แต๊ง แต๊ง แต่งง เสียงดีดง่อนแง่นฟังดูไม่ได้ แต่เพราะอีกฝ่ายไม่เอ่ยปากบอกให้หยุดมันก็ไม่กล้าหยุดมือ

    เด็กนี่ เสียงในใจของอัจฉริยะเพลงพิณ เจิ้งฉิงอันผู้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ก็มองเด็กชายรูปร่างคล้ายไก่ผอมๆ ตัวหนึ่งอย่างเงียบงัน แม้จะดีดเพี้ยนจนแสลงหูเกือบทุกตัว แต่นี้ก็เป็นเพียงครั้งแรกที่ดีดพิณ มือบางเช่นนั้นอย่าว่าแต่กดสายพิณเลยแรงดีดที่พอให้มีเสียงก็นับว่าดีมากแล้ว แต่นั่นหาใช่เรื่องสำคัญไม่ บ่าวรับใช้นี้อยู่ข้างตัวเจ้าเด็กน้อยเฉิงจอมอวดดีไม่นานนัก และข้าที่สอนเพลงพิณตอนที่เจ้านี้อยู่จำนวนครั้งที่เจอใช้สองมือนับก็ยังได้ ถึงจะสอนมานานแต่ว่าต่างคนต่างหลีกเลี่ยงที่จะพานพบข้าติดธุระจริง ส่วนเด็กนั่นติดธุระลม ผลัดกันไปผลัดกันมา การเรียนการสอนก็ไม่ถึงไหนนักบรรเลงมาได้เพียงครึ่งเพลงก็นับว่าเก่งแล้ว แต่เจ้าเด็กนี่อยู่เพียงด้านหลังไม่เคยสัมผัสพิณ แต่กับการจับท่วงท่าทางของเด็กน้อยจอมอวดดีได้อย่างเป็นมั่นเหมาะ แม้เจ้าเด็กนั่นจะคร้านตัวเป็นขนแต่ก็นับพอได้ว่าเป็นผู้มีมันสมองผู้หนึ่งแต่เนื่องจากเป็นเด็กแรงกด แรงดีดจึงไม่ค่อยมี เสียงเพี้ยนจึงหลุดออกมาเป็นพักๆ แต่ตัวโน้ตที่ปล่อยออกมาล้วนแม่นยำ ส่วนบ่าวคนนี้ทั้งการดีดการกดล้วนไม่ได้เรื่อง แต่จังหวะการดีดท่าทางล้วนถูกต้อง นับว่าลักจำมาไม่ใช่น้อย อีกทั้งยังดูใจเย็น ขยันอดทน เห็นทีว่าจะเป็นดินชั้นเลิศอีกก้อน

    เจิ้งฉิงอันมองเด็กตรงหน้าอย่างสนใจก่อนจะตวาดเสียงดังลั่นกลางเรือน

    “ไม่ได้เรื่อง ดีดอะไรของเจ้า...” แล้วเริ่มสอนสั่งจนมันเริ่มเลอะเลือน ฟู่กุ้ยที่ถูกคลื่นทฤษฎีและปฏิบัติซัดโถมเข้ามาเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง

    “นี่เจ้าฟู่กุ้ยเหม่ออันใดอยู่เหตุใดไม่รีบรินน้ำชาให้ข้า” เจ้านายตัวน้อยที่แสนวางก้าม มองบ่าวตัวจ้อยที่กำลังเหม่อลอยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มองมือเล็กที่แดงขณะยกกาน้ำชาอย่างสั่นเทาทำเอานัยน์ตาของนายน้อยสั่นไหวไม่รู้ตัว

    เจิ้งฉิงอันนั่นไม่ปรานีบ่าวมันเลยสักนิด นายน้อยซดน้ำชาอย่างคาดโทษมองบ่าวที่กำลังเหม่อลอยด้วยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พลันมันก็เหมือนนึกขึ้นได้หยิบพิณโบราณ13สายมาให้ที่ห้องอักษรในเรือน แต่ยามที่เขาเห็นพิณโบราณนั้นก็เหมือนต้องของร้อนรีบออกปากไล่ให้ไปไกลหูไกลตา “พิณนี่เป็นของเจ้าแล้ว ยามเจิ้งฉินอันนั่นมายังเรือนเจ้าก็เป็นศิษย์ส่วนมันเป็นอาจารย์ ส่วนข้าจะหาเครื่องดนตรีอื่นมาเล่น”

    นายน้อยพูดยามมองคนตัวเล็กว่าอย่างอ่อนใจคาดว่าเจ้า

    เจิ้งฉิงอันนั่นบ้าเอาการ หากบ่าวตัวน้อยไม่ยอมฝึกเป็นประจำ ตัวเขาเองก็กลัวว่าเจ้าเจิ้งฉิงอันมาตามราวีให้เล่นเครื่องดนตรีถึงในฝันจึงริคิดเปลี่ยนเครื่องดนตรี

    ผีผาเครื่องดนตรีนำสมัยที่ได้มีการนำเข้าจากพวกเปอร์เซีย ผีผาเป็นสีดำสนิทรูปร่างเหมือนน้ำเต้าดูองอาจกล้าหาญกว่าพิณนี้เป็นไหนๆ พวกพิณแม้เป็นศิลปะชั้นสูงแต่เหล่าสตรีคุณหนูใหญ่ทั้งหลายต่างเล่าเรียน กลับกับผีผาที่มักนิยมในหมู่คุณชายมากกว่า แต่ท่านพ่อก็ทั้งแก่และหัวโบราณบังคับให้เรียนพิณโดยไม่สนใจ และยิ่งมันบ่นโอดกลับเจิ้งฉิงอันว่าอยากเรียนผีผามันก็บอกปัดไม่ยอมสอนสั่งพูดจาเยาะเย้ยถากถางให้มันเรียนพิณจนเชี่ยวชาญถึงจะได้บรรเลง

    เพ่ย เจ้านั่นใช้หัวแม่เท้าคิดหรืออย่างไรกว่ามันจะเชี่ยวชาญพิณในระดับที่อีกฝ่ายยอมรับระยะเวลาสักสิบปีก็ยังน้อยไป ถึงตอนนั้นเขาคงเลิกคิดถึงดนตรีแต่หาสตรีแต่งเมียไม่ดีกว่าหรือ

    และด้วยความที่มันเป็นเจ้านายที่รักบ่าวใช้อยากให้บ่าวมีความฉลาดหลักแหลมเก่งกว่าบ่าวสกุลอื่นก็นับเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่จะส่งเสริมด้านวิชาการให้ คอยดูเถิดมันจะมอบวิชาความรู้ให้บ่าวคนนี้ให้เทียบเท่าคุณชายสักคนในเมืองหลวงให้ดู ดูเถอะนะเจ้าฟู่กุ้ย ความที่รักข้าให้เหมือนแม่น้ำแยงซี จะมีนายคนไหนเลี้ยงดูบ่าวได้ดีเยี่ยงเขาบ้างเล่า

    จากนั้นเขาก็คีบหมูสามชั้นนึ่งเข้าปากอย่างไม่รู้รสชาติ จากนั้นก็คีบกับอีกสองสามอย่างเข้าปากรัวๆ และรีบเข้านอนเร็วกว่าที่ควรเป็น คลับคล้ายครับครากลัวบ่าวจะหันมาพูดปฏิเสธไม่อยากเรียนวิชาบรรเลงพิณเป็นอย่างยิ่ง

    ฟู่กุ้ยยามนี้กำลังจ้องมองแสงจันทร์ส่องอย่างเหม่อลอย ชีวิตการเป็นอยู่ของมันในยามนี้ล้วนห่างไกลจากภาพชีวิตในหัวหลายพันลี้ บ่าวรับใช้ทำเพียงแค่นายสั่งก็ดูเหมือนง่าย แต่คำสั่งนายมันแต่ละทีนั้นล้วนแต่เป็นหนทางที่ยากลำบากเหลือแสน จะไปซ้ายก็ไม่ได้ไปขวาก็ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหันหลังกลับ ตอนนี้มันเหมือนอยู่ในรูไม้ไผ่ที่คับแคบหายใจไม่ออก พร้อมหลายสิ่งหลายอย่างที่มันต้องเรียนรู้จากการ

    กระทำมากกว่าหัดมอง มันจึงได้แต่ฝึกฝนอย่างน้อยที่สุดก็ต้องดีดพิณหรือกู่เจิ้งที่อยู่ในมือให้ช่ำชอง เพราะหากมันไม่ช่ำชองเจิ้งฉิงอันนั่นขู่ว่าจะไปฟ้องนายท่านให้นายน้อยเดือดร้อน แค่ในคาบเรียนมันก็ดีดจนมือแดงไปหมด อีกฝ่ายไม่ปรานีว่ามันเป็นเพียงบ่าวแม้แต่น้อย แถมยังสอนเร็วมากพอเห็นว่าพอมันจำบทเพลงได้หน่อยก็ให้ดีดซ้ำไปซ้ำมาทั้งอย่างนั้น มันเองก็ไม่อยากจะพูดว่าเจ้าเจิ้งฉินอันนั่นสอนห่วยแตกเป็นบ้าถึงแม้เจ้าตัวจะมีฝีมือก็ตามที

    แต้ง แต่ง แต๊ง เสียงของสายพิณที่ขาดออกจากกันดีดใส่หน้ามันจนเป็นรอยแดง

    เวรเอ้ย

    มันสถบในใจดังลั่นอยากจะโยนพิณนี้ออกไปให้พ้นๆ ทาง

    “ข้าไม่อยากเล่นแล้ว” ฟู่กุ้ยกล่าวพลางผลักพิณสูงค่าไว้ด้านหน้า มันนึกอยากจะโยนพิณไปให้พ้นๆ เหมือนที่นายน้อยเคยทำกับพิณตัวก่อนๆ แต่ก็ทำไม่ได้ อย่างแรกคือมันไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อพิณใหม่ สองคือมันไม่กล้าพอ ตาของมันตอนนี้เริ่มเป็นรอยแดง ความรู้สึกอึดอัดคับใจก็เริ่มตีขึ้นมาในอก มันไม่ชอบ มันไม่อยากทำ แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้

    มันเคยดีใจที่ได้ร่ำเรียนอักษร ได้ถือโอกาสคัดตำราชั้นสูง ได้เรียนในสิ่งที่ชาวบ้านทั่วไปไม่เคยเรียน แต่ในตอนนี้มันอยากเป็นเพียงบ่าวโง่ๆ ในโรงครัว ไม่ต้องคิดอะไรให้มากเพียงหาอาหาร เพียงเตรียมวัตถุดิบเท่านั้น ไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งใต้แสงจันทร์โง่ๆ เพื่อดีดพิณ เพื่อคัดหนังสืออีก มันก็เป็นเพียงคนชั้นต่ำก็เท่านั้น

    จะร้องไห้รึ? เสียงในใจของมันดังก้องขึ้นในหัว มันก็ทำได้เพียงกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ หากมันปล่อยโฮขึ้นมาในครานี้เกรงว่ามันคงคิดจะหนีไปไม่อยากเป็นบ่าวรับใช้ที่นี่อีก

    มันฝึกพิณอย่างนี้ในทุกๆ ช่วงที่มีเวลาว่าง หลังจากทำการบ้านเสร็จ หลังจากทบทวนคำสอนและตำรา มันก็จะหยิบพิณขึ้นมาบรรเลงทุกที่จนตามันดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัดเจน

    นายน้อยในตอนนี้ยามมองหน้ามันก็ลดความอารมณ์ร้ายลงไปได้ถึงสามส่วน นายน้อยเหลือบมองมันชั่วครู่ขณะอยู่บนโต๊ะอาหารประจำจวนจากที่จะคิดหยิบอาหารเหลือใส่ชามก็ใจดียกน่องไก่และอาหารหลายอย่างจนล้นถ้วย ยามเมื่อมองเห็นบ่าวตัวน้อยที่ผอมแห้งอยู่แล้วแต่ก็ยังผอมแห้งลงไปอีก แก้มก็ตอบลง ใต้ตาที่ดำคล้ำเหมือนผีดิบ เพราะเกรงว่าหากอีกฝ่ายตายไปคงกลายเป็นวิญญาณอาฆาตตน

    แต่ความพยายามของฟู่กุ้ยก็ไม่ได้สูญเปล่านับจากเสียงพิณที่แสลงหูก่อกวนหยวนเฉิงยามหลับอยู่หลายครั้ง ก็เริ่มดีมากขึ้นจากเพลงหลอนประสาทหูแล้วแปรเปลี่ยนเป็นเพลงกล่อมนอนชั้นดี

    จนมาถึงวันครบกำหนดฟู่กุ้ยก็ได้เริ่มบรรเลงเพลงพิณที่ได้รับมอบหมายให้เรียนรู้ให้ผู้เป็นอาจารย์ฟัง เพลงพิณที่เรียบนิ่งคล้ายสายน้ำไหลจากลำธารแม้จะไม่ได้หวือหวาแต่ก็นับว่าฟังได้เหมือนเพลงต้นฉบับไม่ผิดเพี้ยน มันลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกแม้ไม่ได้บรรเลงเพราะพริ้งแต่ก็นับว่าถูกต้องแม่นยำ

    “ไม่ได้เรื่อง” เสียงของเจิ้งฉิงอันที่ดังขึ้นเมื่อฟังเพลงจบ บทเพลงนี้แม่นยำแต่กลับไร้ซึ่งจิตวิญญาณของผู้บรรเลงภายนอกพอดูได้แต่ภายในกลวงเปล่าไร้ราคา

    ฟู่กุ้ยก้มหน้านิ่งมองพิณมองตัวเองอย่างท้อแท้ มันอยากถอยหนีมันอยากกรีดร้องไม่ยอมรับความจริงแต่นั่นก็คงเป็นไปไม่ได้ มันบรรเลงมันย่อมรู้ดีว่าเพลงพิณของมันนั้นไร้ซึ่งจิตวิญญาณ มันก็แค่บรรเลงไปเท่านั้น

    แต่ในขณะนั้นนายน้อยของมันกลับโกรธเกรี้ยวเหมือนกับว่าถ้อยคำบาดหูนั้นเป็นของตนเอง น้ำชาที่ร้อนพอดีกลับกลายเป็นร้อนไปอีกครั้ง

    เพล้ง

    “ร้อน” นายน้อยตวาดกร้าวพลางโยนแก้วเฉียดตัวเจิ้งฉิงอันอย่างไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็ส่งแววตาชิงชังไปให้เจิ้งฉิงอันที่อยู่ตรงหน้า กล้าดียังไงถึงว่ากล่าวบ่าวของมัน

    “ฟู่กุ้ย เจ้านี่จะนิ่งทำไม เหตุใดยังไม่ไปเก็บกวาดอีก ถ้าหาก

    เจิ้งฉิงอันที่ไร้ความสามารถนั่นได้รับบาดเจ็บเจ้ามิแคล้วต้องรับผิดชอบ” นายน้อยว่า มันที่กำลังเศร้าก็เหมือนถูกปลุกออกจากภวังค์กุลีกุจรหยิบเศษแก้วตามพื้น

    “ไร้ความสามารถ เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เจิ้งฉิงอันถามเสียงเรียบพลางจิบชาดอกไม้ที่อยู่ในมือ ทั้งชีวิตทุกคนต่างยกยอปอปั้นแต่คำว่าไร้ความสามารถเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเจอ

    “เหอะ ก็หมายความตามนั้น ข้าสั่งให้ท่านสอนบ่าวข้า แต่มันเล่นไม่ได้ความ ไม่ใช่เพราะศิษย์แย่ แต่เพราะอาจารย์ไม่ได้เรื่อง

    ดูข้ากับบ่าวนี่สิ เรียนกับท่านเหมือนกันก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ถ้าหากไม่ใช่เพราะอาจารย์แย่จะเป็นเพราะอะไรเล่า”

    ถ้าท่านเก่งจริงแม้แต่ลาท่านก็ต้องสอนได้ แต่ข้าที่ฉลาดหลักแหลมแม้จะดีดได้พอประมาณแต่ก็ไม่สามารถนำไปอวดใครเขา ส่วนเจ้าบ่าวนี้ถึงดีดได้ไม่ดีทั้งที่ขยันถึงเพียงนี้ไม่ใช่เพราะมัน แต่เป็นเพราะอาจารย์”

    “สามหาว”

    “สามหาวอันใด ท่านฉลาดปราดเปรื่องในเรื่องดนตรี แต่ในการเป็นอาจารย์นั้นกับชั้นเลว ศิษย์ทำได้ถึงเพียงนี้ยังไม่รู้จักให้กำลังใจเอาแต่เอ่ยวาจาส่อเสียดไม่เป็นปัญญาชน” นายน้อยพูดจีบปากจีบคอ เหมือนอัดอั้นตันใจมานาน เจ้าเจิ้งฉิงอันคนนี้แม้จะมีชื่อเสียงเป็นที่โปรดปรานแต่การสอนมันก็ไม่ได้ความนัก ดีดหนึ่งทีแล้วให้ทำตาม เทคนิคการดีด การสื่ออารมณ์ก็ไม่สอน ที่เขาเล่นได้ถึงขนาดนี้ก็เพราะพอมีมิตรสหายสอนเล็กๆ น้อยๆ เป็นพื้นฐานให้ ครั้นเวลามันสอนเจ้าบ่าวนี่ก็จมูกเชิดจนคอแทบจะหัก ด่ามันลงโทษไม่เคยไว้หน้า อีกทั้งอยากปากปีจอนัก ยามทำเรื่องขัดใจนิดหน่อยก็วิ่งแจ้นจะไปฟ้องบิดาเหมือนขันทีน่ารังเกียจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่พอสบโอกาสจะได้ว่าสักที

    “เรื่องน้ำอดน้ำทนฟู่กุ้ยของข้าย่อมเป็นหนึ่ง มันดีดได้ถึงเพียงนี้เพราะตัวมันเองล้วนๆ ไม่ใช่เพราะเจ้าสักนิด” นายน้อยปรามาสอย่างรุนแรง ฟู่กุ้ยซาบซึ้งจนแทบน้ำตาไหล นายน้อยรับรู้ถึงความยากลำบากของมัน รับรู้ถึงความเหน็ดเหนื่อยของมัน ถึงมันดีดไม่ได้ความก็ยังไม่นึกรังเกียจรังงอน

    “จะเป็นไปได้อย่างไร ตั้งแต่ข้าเกิดมาอาจารย์ก็สอนแบบนี้เพียงแค่ได้ยินข้าก็สามารถบรรเลงได้ไม่ติดขัดมือไม่เห็นเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้า แล้วก็เจ้าเป็นอันใดข้าอุตส่าห์ให้เจ้าดูมือที่บรรเลงกลับยังบรรเลงได้เหมือนเด็กขายของ ส่วนเจ้านายน้อยสกุลหยวน ข้าสอนเจ้าก็มาหลายครั้งเจ้าก็ดีดได้ดีกว่าเจ้าเด็กนี่”

    “เจ้าอาจารย์โง่อย่าได้คิดว่าทุกคนเป็นอัจฉริยะเหมือนเจ้า เจ้าเป็นถึงอัจฉริยะในรอบร้อยปี ส่วนข้าก็เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์เก่งกาจยังต้องให้สหายชี้แนะสองสามคำ ส่วนบ่าวข้าแม้จะไม่ฉลาดนักแต่ก็ใช้ความอดทนทดแทนในระยะเวลาเท่านี้ก็นับว่าดีแล้ว” นายน้อยว่าจบก็หยิบพวงองุ่นเข้าปาก สะบัดหน้าไปมาเหมือนเหนื่อยใจมองผู้ใหญ่ไม่รู้ความ แก้มป่องของนายน้อยที่ระเรื่อเพราะพูดจนเมื่อย ทำเอาหัวใจมันเต้นตึกตักเล็กน้อย

    ท่านอาจารย์เจิ้งฉิงอันโกรธจนหน้าเขียวแล้วหันกลับมามองมันอย่างคาดโทษอย่างไม่ยอมรับ “ไหนเจ้าลองบอกข้ามาสิ เจ้าไม่เข้าใจตรงไหน เหตุใดถึงเล่นไม่ได้ดี” แล้วตรงปรี่มาด้านหลังมองดูขณะที่มันจับพิณอย่างตั้งใจ หมายมั่นที่จะปั้น” เด็กธรรมดา” ให้เป็นนักดนตรีที่มีความสามารถ เขาจะไม่เป็นเพียงนักดนตรีที่แสนเก่งกาจแต่จะเป็นอาจารย์ชั้นเลิศอีกด้วย

    “เอ้า ดีดอีกที”

    มันดีดอย่างกล้าๆ กลัวๆ เสียงพิณหนักเหมือนก้อนหินก็ดังขึ้นอีกครั้ง

    “ใช้ไม่ได้ เหตุใดเพลงที่ควรเหมือนสายลมที่พัดผ่านถึงหนักแน่นถึงเพียงนี่เจ้าต้องดีดมันเบาๆ เหมือนอย่างนี้ เห็นหรือไม่” อาจารย์รีบว่ากล่าวแต่ก็คงกลัวไม่ได้เรื่องเลยดีดให้มาดูหลายครั้ง พอมันพอจำได้ก็ลองดีดให้ดูอีก

    “ยังหนักไป”

    “นี่ก็ไม่มีแรง”

    “บอกข้าทีว่าชาติที่แล้วเจ้าเป็นแค่ลิง”

    “เอ้า เอาใหม่” บอกอย่างนี้ไปซ้ำๆ ดังก้องเรือน ส่วนนายน้อยนะหรือพอเห็นเจ้าเจิ้งฉิงอันนั่นหักเหความสนใจไปยังบ่าวรับใช้ก็กระหยิ่มยิ้มย่อม รีบผละตัวออกไปกลับเรือนอย่างเงียบๆ ทันที ปล่อยให้อาจารย์กับบ่าวเอาใจใส่กันอย่างเต็มที่

    เสียงเพลงพิณที่เริ่มเข้าที่เข้าทาง บทเพลงที่ลื่นไหลเหมือนครั้งก่อนแต่กลับอ่อนโยนแผ่วเบาเหมือนน้ำตกที่ไหลแม้จะมีบางส่วนจะหลุดบ้างเป็นพักๆ แต่ก็นับว่าดีสำหรับเด็กวัยเดียวกัน พอฟู่กุ้ยเล่นจบก็เผลอหลุดยิ้มออกมาแม้จะไม่ได้ดีมากนักแต่ก็นับได้ว่าเห็นความก้าวหน้าไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนครั้งก่อน และมองไปยังอาจารย์อย่างคาดหวังฃ แว๊บหนึ่งก่อนที่จะหลุบตามองพิณอย่างหดหู่

    อย่าได้ใจไปเจ้าบรรเลงได้แต่ไม่ได้ดีถึงเพียงนั้น อีกทั้งมันยังเป็นเพียงชั้นต่ำต้องใช้เวลานานกว่าจะพอได้ความ มันพูดกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา

    ในส่วนอาจารย์ที่เด็กน้อยส่งสายตาที่คาดหวังมาให้หัวใจก็คันยิบๆ แม้เจ้าเด็กนี่ไม่ได้หน้าตาเป็นเลิศแต่ก็ขาวเนียนละเอียดพอควรนับว่าเป็นเด็กหน้าตาสะอาดเรียบร้อยคนหนึ่ง รวมกับความขยันอดทนตลอดหลายชั่วยามที่ผ่านมาไม่มีปริปากบ่นเลยสักครั้ง ดีดซ้ำไปซ้ำมาอย่างตั้งใจทำเอาเขาเอ็นดูขึ้นมาบ้าง

    สัมผัสแผ่วที่ศีรษะแตะแว๊บเดียวก็หายไป ฟู่กุ้ยรีบเหลือบไปมองผู้เป็นอาจารย์ทันที ปรากฏว่าเจิ้งฉิงอันกับใช้พัดปกปิดใบหน้าเอาไว้ครึ่งหน้า มันเผยรอยยิ้มอย่างเต็มหัวใจด้วยความยินดีแม้จะไม่ได้ยินคำชมเชยก็ไม่เป็นไรแค่เขาอุตส่าห์ลดตัวมาลูบหัวคนขั้นต่ำก็นับว่าดีมาก

    ในใจมันตอนนี้เพิ่มความสำคัญแก่นายน้อยไปอีกขั้นหนึ่งหากนายน้อยไม่ให้โอกาสไม่ถอดใจกับการไร้ความสามารถ มันถึงจะได้มีวันนี้ได้ นี่เป็นวันดีของมันมากที่สุดเลยทีเดียว หลังจากเลิกเรียนมันก็ไปปรนนิบัตินายน้อยเหมือนทุกๆ วัน เมื่อนายน้อยเหลือบแลใบหน้าเป็นพักๆ พอเห็นว่าดูปลอดโปร่งก็สบายใจ

    วันนี้มันเข้านอนเร็วกว่าปกติ อาจเป็นเพราะมันดีดพิณเป็นเวลานานพอดู พอทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีร่างกายก็เหมือนได้คลายความตึงเครียดลง แต่ในขณะที่ฟู่กุ้ยจมอยู่ในห้วงลึกนั้นก็ได้มีมือดีลากตัวมันไปจากเตียง

    สัมผัสที่แรกที่รับรู้คือมันกองไปอยู่กลับพื้น รอบนอกมีแสงสีนวลของตะเกียงสว่างไสวไปทั่วทั้งห้อง

    ฮูหยินของจวนที่ดูโทรมกว่าทุกวันใบหน้าขาวปกคลุมไปด้วยสีแดงรอบดวงตา ร่างบางอยู่ในชุดนอนสีขาวสะอาดเนื้อสวมเสื้อคลุมเอาไว้อย่างหลวมๆ ภายใต้แสงเทียนที่วูบไหวนัยน์ตางามดูอำมหิตอย่างที่มันคิดไม่ออก

    “ฟู่กุ้ย” เสียงของนายหญิงยังอารีแต่มันกลับขนลุกชัน

    “เจ้าอยู่ที่นี่มาก็ปีกว่าแล้ว เห็นทีคนถึงเวลาทำประโยชน์ให้แก่นายของเจ้าบ้าง” เธอว่าพลางใช้มือลูบไล้ขอบหน้าอย่างยั่วเย้า ขนตาสีดำสนิทกะพริบไปมาช้าๆ มันทำได้เพียงก้มหน้านิ่งมองพื้นอย่างหวาดกลัว เรียกตัวยามค่ำคืนเห็นทีคงไม่ใช่เรื่องดี

    “เจ้าว่าฮูหยินรองตอนนี้เป็นเช่นไร” ฮูหยินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่แววตากลับไม่เจือรอยยิ้มสักนิด ในตอนแรกที่มันเข้าจวนฮูหยินรองที่พึ่งเข้ามาพร้อมๆ กันแต่ก็เป็นที่โปรดปรานนัก ยิ่งเวลานี้ฮูหยินรองที่กำลังตั้งครรภ์จวนจะใกล้คลอดเต็มที ถ้าหากเป็นชายอำนาจของนายหญิงก็ยิ่งสั่นคลอน แต่ล่วงเลยมานานถึงเพียงนี้ถ้าหากลงมือเกรงว่าแม่และเด็กคงไม่รอด...

    เหงื่อเย็นๆ เริ่มไหลตามกรอบหน้า เงาของนายหญิงที่วูบไหวไปมาดูมือปีศาจร้ายเต็มที มันไม่เอ่ยคำอันใดแม้เพียงครึ่งคำ ไม่ใช่มันไม่สามารถตอบได้แต่หากเป็นเพราะไม่กล้าตอบมากกว่า กลัวว่าหากตอบอาจถูกคำพูดที่มันเอ่ยออกมาอาจเป็นอสรพิษที่รัดมันจนตาย

    แต่นายหญิงก็ยังคงยิ้ม มองบ่าวตัวน้อยที่ไม่ได้มีเนื้อหนังมังสาที่ผอมแห้งติดกระดูกอีกต่อไป แต่ถึงแม้จะมีเนื้อหนังมากขึ้นแต่ก็ไม่นับว่าอุดมสมบูรณ์

    “หึหึ เหตุใดจะต้องหวาดกลัวถึงเพียงนั้นด้วยเล่า ข้าเพียงอย่างถามถึงสภาพการกินของฮูหยินรองว่า ตอนนี้กินดีอยู่ดีหรือไม่ หากขาดเหลืออะไรข้าจะได้เช่วยเติมเต็ม เจ้าเองก็เข้าออกโรงครัวบ่อยๆ คงไม่แปลกที่จะรู้ข่าวคราวมาบ้าง”

    อยากจะรู้ข่าวคราวเหตุใดไม่ถามบ่าวประจำตัวนางเองเล่าเหตุใดมาถามจากมัน มันเป็นเพียงบ่าวดูแลนายน้อยบุตรของท่านไม่ใช่หรือ ยิ่งไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะลากมันมาเปื้อนโคลน

    “เรียนฮูหยิน จากที่ได้ยินมาฮูหยินรองล้วนแต่ได้เลี้ยงดูอย่างดี เนื้อไม่ขาดนมไม่พร่อง ฮูหยินมิจำเป็นต้องเป็นห่วงขอรับ” มันพูดตามตรงแต่เหงื่อก็คงไหลซึมออกมาเรื่อยๆ

    “ข้าได้ยินจากเฉิงเออร์มาว่าเจ้าทำบัวลอยได้เลิศรสนัก แม่ครัวของจวนข้าถึงก็ไร้ฝีมือเมื่อเทียบกับฝีมือเจ้า ฮูหยินรองบอกข้าหลายครั้งหลายหนว่าอยากลองทานฝีมือเจ้าดู เฉิงเออร์เองก็เป็นเด็กมีความกตัญญูจึงอยากให้เจ้าทำขนมไปฝากเรือนฮูหยินรองให้ได้ลิ้มรสสักครั้งในชีวิต” นางว่าเสียงหวาน

    “ฮูหยินเยินยอเกินไปแล้ว บ่าวมีฝีมือมีเพียงน้อยนิดไฉนเลยจะกล้าทำขนมให้ฮูหยินรอง ตัวบ่าวก็เป็นเพียงบ่าวรับใช้อยู่ข้างตัวนายน้อยย่อมพอรู้ว่านายน้อยชอบลิ้มชิมรสอันใดจึงปรุงได้ถูกปากก็เท่านั้นหาได้รสชาติวิเศษอย่างที่นายน้อยเยินยอ”

    “ฮะๆ ช่างถ่อมตัวนักเจ้าตัวน้อยเห็นอยู่ว่าเจ้าเป็นคนมีฝีมือบัวลอยของเจ้าต้องอร่อยล้ำเป็นแน่แท้” ต่อให้ไม่อร่อยก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้าใส่บางสิ่งได้เป็นพอ นางพูดต่อในใจ เหลือบมองเด็กร่างน้อยที่ดูพอจะฉลาดเฉลียวได้ความ อีกทั้งยังเด็กนัก

    ช่างเหมาะจริงๆ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับมือ....กลิ่นคาว

    นางโยนถุงเครื่องหอมลงไปยังด้านล่าง ด้านในประกอบด้วยโกฐหัวบัว ขมิ้นชัน หรูเสียง ตานเสิง ดอกคำฝอย เถาเริน แม้จะเป็นสมุนไพรแต่หากใช้กับคนตั้งครรภ์ล้วนแล้วแต่มีฤทธิ์ขับเลือดทั้งสิ้น

    “เจ้าจงใส่ไว้ในไส้ของบัวลอยของฮูหยินรองโดยเฉพาะ เพราะนางเป็นสตรีที่พิเศษ ข้าเองก็อยากทำนุบำรุงนางเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน” ฮูหยินใหญ่พูดด้วยรอยยิ้มเอื้ออารีแต่แววตากับคมกริบเชือดเฉือน หลังกวาดตามองเด็กหนุ่มที่ก้มหน้านิ่งอยู่เบื้องล่างสักพักก็สั่ง

    “เอาล่ะเจ้าไปได้แล้ว” เป็นสตรีต้องนอนแต่ยามค่ำหากไม่ดูแลตัวเองให้ดีผิที่งดงามผุดผาดก็จะเหี่ยวเฉาลงได้ นับว่าวันนี้เป็นวันดีของเจ้า ฮูหยินรอง

    ทันทีที่ฟู่กุ้ยเดินออกจากห้องพร้อมถุงเครื่องหอมของอนุสือที่อยู่ในมือ แม้ตัวมันจะได้รับมาจากฮูหยินใหญ่ก็ตามที มันก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งเดินตามบ่าวรับใช้ที่กำลังเดินออกมาส่งด้านนอกเรือน

    “วันพรุ่งเจ้าต้องเตรียมขนมให้พรั่งพร้อมอย่าให้ผิดพลาดเป็นอันขาด บัวลอยให้ทำเป็นสำรับใหญ่รวมกันห้ามใส่สีเจือปน เม็ดอ้วนขาวนวลเนียนเหมือนพระจันทร์เหมือนกันทุกลูก ส่วนเรื่องรสชาติให้เจ้าใส่งาดำเยอะหน่อยและน้ำผึ้งเพิ่มให้พอ อย่าให้ได้กลิ่นแปลกปลอมเป็นอันขาด และอย่างสุดท้ายหากถูกจับได้เจ้าอย่าลืมเอ่ยถึงเจ้าของถุงหอมเข้าใจแล้วหรือไม่” บ่าวรับใช้ที่จับแขนมันแน่นพลางกระซิบกระซาบข้อความยาวเหยียดสำหรับอาหารบำรุงฮูหยินรอง ฟู่กุ้ยทำได้ก้มหน้านิ่งและอดทนต่อแรงของหญิงสาวที่บีบมันจนแทบเขียวช้ำก่อนที่จะหลบผู้คนเดินกลับห้องนอนตัวเองอย่างเงียบๆ

    ฟู่กุ้ยเปิดถุงหอมดูของภายในด้วยสายตาไร้ความรู้สึก

    ความจริงมันเพียงดมกลิ่นก็พอรู้ดีว่าสมุนไพรที่อยู่ภายในได้เป็นอย่างดี สมุนไพรทุกตัวฮูหยินใหญ่ที่เลือกสรรได้อย่างเอาใจใส่ดีแท้ มาอยู่ในจวนได้ไม่นานมันก็ได้พบเจอเรื่องเหม็นคาวเข้าจนได้ มันทอดถอนหายใจให้กับตัวเองและคิดถึงนายน้อยผู้ฉลาดหลักแหลมของมันก่อนจะล้มตัวลงนอนทั้งอย่างนั้นและหลับไปอย่างง่วงงุน

    แต่วันเวลาไม่เคยไหลย้อนกลับมา ในที่สุดวันพรุ่งนี้ก็มาถึงจนได้ มันตื่นก่อนเวลาปกติถึงหนึ่งชั่วยามอาจเป็นเพราะรู้เรื่องราวบางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ก่อนจะใช้แท่นฝนหมึกในห้อง บดสมุนไพรในถุงหอมอย่างใจเย็น ในขณะบดก็นึกถึงสิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมในอนาคตที่จะมาถึงในเวลาอันใกล้ มือน้อยๆ ค่อยๆ ใช้แท่นฝนหมึกกดไปมาด้วยน้ำหนักที่มั่นคง ความจริงหากใช้ครกที่อยู่ในห้องครัวมันคงป่นเป็นผงได้โดยง่ายแต่ไม่ใช่กับแท่นฝนหมึกอันน้อยนี้ แต่เล็กๆ ก็ดีมันจะได้ไตร่ตรองทุกๆ อย่างอย่างตั้งใจ

    ยามเย็นที่แสนสุขสันต์บ่าวรับอย่างมันได้รับสั่งจากนายน้อยให้เข้ามาโรงครัวตระเตรียมอาหารหวานที่เลิศรสให้กับเหล่าผู้คนบนโต๊ะ ฟู่กุ้ยที่กำลังกวนแป้งทุกครั้งที่ไม้พายสัมผัสก็รู้สึกหนักหน่วงกว่าทุกครั้งที่มันกวนมา แต่ก็ยังดีเพราะการใช้แรงมากๆ เนี่ยก็ช่วยซ่อนมือที่สั่นเทาได้อย่างดีเยี่ยม การทำขนมที่มีคนจับจ้องมองมาอย่างสำรวจทุกขั้นตอน แต่จะทำไงได้มันก็เพียงแต่ทำหน้าที่ให้เสร็จลุล่วงก็เท่านั้น สถานการณ์ที่บีบบังคับบ่าวอย่างมันทุกย่างก้าว ตัวเป็นบ่าวกายเป็นบ่าว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องมอบให้นาย รวมทั้งศีลธรรมนั้นก็ด้วย จะมีหรือไม่ ผู้เป็นนายต่างหากที่เป็นคนตัดสิน หาใช่...ตัวมันเอง

    มันค่อยๆ บรรจงปั้นบัวลอยทุกลูกให้ทุกคนอย่างตั้งใจราวกับว่ามันคือไข่มุกเม็ดน้อยในอุ้มมือ

    หากรอดพ้นก็เสมอตัว แต่หากโดนจับก็ต้องตาย...มันคงต้องแลกด้วยชีวิตกับบัวลอยถ้วยนี้ มันหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างมีสติให้มากที่สุดเท่าที่เป็นได้ แม้เหงื่อจะไหลหยดเป็นน้ำแต่ดวงตาของมันก็ไม่เคยที่จะสั่นไหว

    ไม่ได้ ไม่ได้ จะเผยพิรุธไม่ได้ ต้องตั้งใจ ต้องมีสมาธิยิ่งกว่าที่เคย...

    รักษาคนว่ายากแล้ว การฆ่าใครสักคนนั้นยากยิ่งกว่ามากเป็นเท่าทวีคูณ

    บัวลอยของทุกคนได้ครบแล้วที่นี่ก็เหลือบัวลอยพิเศษของฮูหยินรอง งาดำสีดำที่อยู่ในถ้วยเหลืออย่างพอเหมาะพอเจาะมันค่อยๆ หยิบซองกระดาษสีขาวใต้ชายเสื้อและค่อยคลี่ออกมาใส่ในโถ ทำทุกอย่างอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็โยนมันลงเตาเผาให้กลายเป็นเถ้าธุลี

    เมื่อบัวลอยต้มเสร็จก็กลายเป็นก้อนสีนวลลอยอยู่ในน้ำขิงหอมหวนชวนน่าลิ้มลอง มันค่อยๆ ยื่นชามไปที่สาวใช้ที่คุ้นหน้าคุ้นตา พี่สาวรับอย่างเบาๆ เหลือบมองของในโถเพียงครู่ก็ค่อยๆ ละสายตาจากไป ภายในห้องอาหารในจวนก็คล้ายกับมีงานรื่นเริงทุกคนล้วนแต่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีเป็นมั่นเหมาะ ยามที่นายน้อยของมันได้รับบัวลอยถ้วยโตก็ยิ้มแย้มสดใสเหมือนดวงตะวัน เหล่าบรรดาคนในจวนที่ได้ลิ้มรสต่างก็ชื่นชมยินดี แม้แต่ฮูหยินรองที่กำลังตั้งครรภ์ก็กินได้อย่างราบรื่นบัวลอยทุกลูกถูกกัดกิน

    ทุกคำที่ได้ลิ้มชิมรสล้วนอยู่ในสายตาของมัน เสียงของลมหายใจล้วนดังกึกก้องเข้ามาในหัว ภาพคำสอน ภาพของหญิงตั้งครรภ์ ภาพของหญิงสาวที่ร่ำไห้ขอเพียงลูกน้อยปลอดภัย ฉายซ้ำไปซ้ำมาจนมันอยากอาเจียน

    “ฟู่กุ้ย ฟู่กุ้ย ฟู่กุ้ย” เสียงเรียกของนายน้อยที่ดังขึ้นมาสอดแทรกในโสตประสาท นายน้อยที่แย้มยิ้มอย่างถือดีเพราะคำเยินยอจากคนรอบข้างจนตัวลอย เรียกมันอีกครั้ง

    “ขอรับ” มันรีบค้อมตัวรับ เหลือบมองเห็นฮูหยินที่มองด้วยแววตาอารี แผ่นหลังของมันพลันเย็นวาบไปทั้งตัว

    “ยังจะขอรับอะไรอีก รีบขอบคุณท่านพ่อเร็ว เจ้ามีความสามารถสามารถฉลาดหลักแหลม ท่านพ่อเพิ่มเบี้ยหวัดให้เจ้าตั้งสองตำลึง” นายน้อยว่าพลางส่งสายตามองมันเหมือนมองลาโง่ มันทำเพียงฉีกยิ้มแล้วแสร้งทำเป็นดีอกดีใจอย่างออกหน้าออกตา “ขอบพระคุณนายท่านที่เมตตา ขอบพระคุณนายหญิงที่เมตตา ขอบพระคุณนายน้อยที่เมตตา ขอบพระคุณฮูหยินรองที่เมตตา” มันคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะจนมีเลือดไหลซึม ฉีกยิ้มดีอกดีใจเหมือนเด็กน้อยที่ได้รับของเล่น ฉีกให้อ่อนโยน บริสุทธิ์ใส่ซื่อ และโง่งมเท่าที่สุดที่จะทำได้ ยิ่งใสซื่อเท่าไหร่ ยิ่งโง่เขลาเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งมีโอกาสรอดชีวิต

    เหล่าผู้คนทั้งหลายที่อยู่เบื้องหน้าทำได้เพียงเชิดอย่างที่เคยทำมองคนชั้นต่ำที่อยู่แทบเท้า ยิ่งผู้คนก้มต่ำมากเท่าไหร่ค่าของคนก็สูงมากขึ้นเท่านั้น

    มื้ออาหารจบลงไปด้วยความอบอุ่นจนถึงการแยกจากไปเรือนส่วนตัวแต่ละเรือน

    ฟู่กุ้ยที่กำลังถูหลังให้นายน้อยพลางพรมน้ำมันหอมอย่างพอดีๆ ร่างกายขาวอมชมพูละเอียดเหมือนไข่มุกเม็ดงามท่ามกลางดอกกุหลาบสีแดงสดตัดกันอย่างลงตัว มันค่อยลงนวดให้นายน้อยที่กำลังเมื่อยขบ จับจุดที่นายน้อยชื่นชอบอย่างเอาใจใส่

    “ดี ตรงนั้นหล่ะดี” ปากนายน้อยพึมพำอย่างพออกพอใจ แม้จะตัวน้อยนิดแต่ก็รู้จักหาความสำราญ พลันได้ยินเสียงวุ่นวายดังขึ้นนอกจวนเสียงของบ่าวไพร่ที่เดินวิ่งกันให้วุ่น เปลือกตาที่กำลังปิดเพราะความสบายก็จำต้องลืมตื่นขึ้น

    “มีเรื่องอะไรกัน” นายน้อยถามพลางนิ่วหน้า มันที่กำลังปรนนิบัติทำได้เพียงส่งสายตาพี่สาวที่คอยติดตามให้ไปสืบหาความมาแจ้ง

    “แย่แล้วเจ้าค่ะนายน้อย ฮูหยินรองเจ้าค่ะ ฮูหยินรองคลอดก่อนกำหนดเจ้าค่ะ” เสียงของบ่าวรับใช้ที่กลับมายังห้องอาบน้ำอย่างร้อนรนมือของมันก็พลันเย็นเฉียบด้วยความหวาดกลัว...

    “ชิ เรื่องราวของสตรีวุ่นวายดีแท้” นายน้อยว่าก่อนที่จะลุกขึ้นจากอ่างน้ำอย่างเบื่อหน่าย มันแม้จะตกใจอยู่บ้างก็หยิบผ้าผืนโตค่อยเช็ดร่างให้นายน้อยอย่างบรรจง

    “นายน้อยจะออกไปดูหรือไม่ขอรับ” มันถามอย่างพลางค้อมลงต่ำขณะสวมเสื้อสีขาวชั้นในเสร็จสิ้น เผื่อนายน้อยต้องการที่จะใส่เสื้อคลุมเพื่อที่จะออกจากเรือน

    “ไม่ล่ะ ข้าเป็นชายเหตุใดต้องสนใจเรื่องหยุมหยิมของสตรีด้วย” นายน้อยว่าก่อนที่จะเชิดหน้าขึ้นอย่างองอาจ มันมองจมูกเชิดๆ ของนายน้อย ร่างกายที่เย็นเฉียบก็เหมือนได้ฉีดเลือดไก่ให้มีกำลังวังชา ขึ้นมาบ้าง มันค้อมตัวลงต่ำแล้วแย้มยิ้มส่งนายน้อยไปที่เตียงนอน มันค่อยๆ ออกจากห้องอย่างรู้งาน แต่เวลาผ่านไปสักพักตะเกียงในห้องก็ยังคงไม่ดับลง

    มันยังได้ยินเสียงอึกทึกที่ดังขึ้นไม่หยุดอย่างจนใจ จนต้องไปว่ากล่าวตักเตือนสักเล็กน้อยผลตอบรับคือหน้าที่บวมแดงครึ่งซีก

    “เพียะ” ทันทีที่ฝ่ามือกระทบใบหน้าของมัน เหล่าบ่าวรับใช้ก็พลันรู้ความขึ้นอย่างหน้าประหลาด เสียงอึกทึกครึกโครมพลันเงียบอย่างไม่น่าเชื่อ ร่างเด็กชายที่ลงไปกองกับพื้นเพราะแรงของสาวใช้ กลิ่นสนิมที่เริ่มคละคลุ้งไปในปาก มันหลับตาลงกลืนเลือดเข้าไปในลำคอ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ตลอดทั้งวันก็พลันอยู่ที่กระบอกตา

    “พี่สาว ข้าจะบอกท่านอีกเพียงครั้งเดียวได้โปรดเบาเสียงลงด้วย ข้าน้อยรู้ดีว่าเรื่องครานี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่การนอนหลับของนายน้อยก็สำคัญไม่แพ้กัน” มันพูดอย่างไม่มีอารมณ์ในน้ำเสียง

    ถ้าหากฟู่กุ้ยรอนานกว่านี้ รอให้นายน้อยรับสั่ง ต่อให้มีเรื่องใหญ่โตเพียงใด แต่ไม่แคล้วจะมีคนต้องหลังลายเพิ่มเป็นแน่

    มันค่อยๆ ค้อมตัวลงต่ำสักพัก เมื่อเห็นผู้คนเริ่มเบาเสียงลงจึงค่อยเดินจากไปอย่างเงียบๆ ฟู่กุ้ยเฝ้าอยู่ยืนห้องสักพักจวบจนดับแสงตะเกียงไฟ มันก็ค่อยๆ จากไปยังห้องของตนเอง

    มันขดตัวลงนอนบนเตียงเย็นๆ ใช้ผ้าห่อคลุมกาย สองมือปิดหูไม่ต้องการสดับเสียงอะไรทั้งสิ้น มันเพียงก้มหน้าศีรษะชิดเข่าแล้วท่องกับตัวเองในใจ ไม่แม้แต่เปล่งเสียงทางวาจา และไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้

    มันไม่ได้ทำอะไรผิด

    มันไม่ได้ทำอะไรผิด

    มันไม่ได้ทำอะไรผิด....

    ขับกล่อมตัวเองไปจนกระทั่งหลับนอน


    -------------------------------


    Thumbnail Seller Link
    หญิงโฉดชายชั่ว...อย่ามายุ่งกับนายน้อยข้านะ
    M.P.Y.L
    www.mebmarket.com
    มัน....เป็นเพียงข้ารับใช้ชั้นต่ำเขา...เป็นนายท่านที่รับใช้ด้วยชีวิตเธอ...เป็นนางแพศยาที่ฉกชิงสิ่งสำคัญที่มันเฝ้าถนอมแต่จะทำเช่นไรเล่า เพราะโชคชะตา...
    Get it now
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×