ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หญิงโฉดชายชั่ว....อย่ายุ่งกับนายน้อยข้านะ (YAOI)

    ลำดับตอนที่ #2 : อย่ามายุ่ง 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 836
      73
      9 เม.ย. 65


    “ตื่นได้แล้วฟู่กุ้ย” เสียงของหญิงสาวที่ดังขึ้นใกล้ตัว หญิงรับใช้ที่กึ่งลากกึ่งจูงบ่าวรับใช้ตัวน้อยให้ลุกจากฟูกนอน แม้ตะวันยังจะไม่ขึ้นสู่ฟากฟ้า แต่คนเป็นบ่าวไพร่มีหรือจะมีสิทธิ์เสวยสุขนอนเย้ยพระอาทิตย์ได้

    ตื่นนอนยามอิ๋นจุดฟืนไฟเพื่อเตรียมอาหาร จัดเตรียมน้ำท่าเพื่อเช็ดเนื้อเช็ดตัว เดินตลาดหาอาหารสด บ่าวรับใช้ต่างวิ่งวุ่นกันไปทั่ว แต่กระนั้นก็ยังคงเงียบสงบ เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการรบกวนการนอนหลับของเหล่าผู้เป็นนาย

    ครั้งนี้แม้ฟู่กุ้ยจะไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันเนื่องจากงานยามเช้าเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาไม่สามารถเอ้อระเหยลอยชายได้ แต่สิ่งที่ฟู่กุ้ยได้รับคือการสอนสั่งจากพ่อบ้านเซียวไม่ว่าจะเป็นวิธีแปรงผม ทาน้ำมันมวย การเลือกชุด การเลือกถุงหอม การใช้ชีวิตประจำวันต่างแต่มีรายละเอียดปลีกย่อยทั้งสิ้น

    ความรู้มากมายที่ถูกอัดแน่นเต็มหัวไปหมด

    “...เอ้า วันนี้ก็พอแค่นี้ละกันตอนนี้ก็ใกล้ยามที่นายน้อยตื่นแล้ว อ้อ จริงสิถ้าหากอยากเป็นบ่าวที่ดีก็ต้องสังเกตผู้เป็นนาย เข้าใจไหม เอาล่ะ ไปเตรียมปรนนิบัตินายน้อยได้แล้ว” พ่อบ้านเซียวตบบ่าฟู่กุ้ย

    อย่างนิ่งๆ เหมือนให้กำลังใจ ตอนแรกฟู่กุ้ยก็เกรงกลัวชายชราอยู่บ้าง ทั้งมีหนวดเคราเต็มหน้า นัยน์ตาคมกริบดูเข้มงวด แต่พอเวลาสอนสั่งก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าที่คิด

    ฟู่กุ้ยก็มาเฝ้าอยู่หน้าเรือนแม้จะง่วงนอนไปบ้าง เนื่องจากอากาศยามหัวรุ่งเย็นกำลังดี ส่วนขานั้นบัดนี้ชาจนไร้ความรู้สึกไปแล้ว แต่แล้วหลังรอมาประมาณสามเค่อนายน้อยก็เคลื่อนไหว

    เหล่าพี่สาวน้องสาวก็เริ่มเตรียมตัวหยิบน้ำหยิบท่าตั้งท่าอย่างพรั่งพร้อม

    “เข้ามา” ทันทีที่สิ้นเสียงเหล่าบ่าวรับใช้ต่างก็กรูเข้าไปในห้อง คนหนึ่งถือถังทองเหลือง คนหนึ่งถือถ้วยน้ำ อีกคนถือเกลือและสมุนไพร บางคนถือน้ำมันมวย ส่วนฟู่กุ้ยนั้นได้ถือผ้าสีเช็ดหน้าสีขาวเนื้อละเอียดนิ่มนวล

    ทันทีที่เข้าไปถึงในห้อง ถังทองเหลืองก็ถูกเติมเต็มด้วยน้ำอุ่นโดยสัดส่วนน้ำร้อนน้ำเย็นพอดี ฉับพลันที่เท้าสัมผัสน้ำบ่าวที่เตรียมปรนนิบัติก็ถูกถีบจนล้มลง

    “ร้อน” เสียงของนายน้อยที่ดังขึ้นทันที

    “ข้าต้องบอกเจ้าอีกกี่ครั้งกี่คราว่าน้ำมันร้อนเกินไป องครักษ์ องครักษ์อยู่ไหนรีบเจ้าชั้นต่ำนี้ไปโบยยี่สิบไม้” เสียงนายน้อยเกรี้ยวกราด บ่าวผู้นั้นไม่ทันได้กรีดร้องก็ถูกลากออกจากห้องทันที

    บรรยากาศในห้องกดดันจนแทบหายใจไม่ออก บ่าวรับใช้พลันตัวสั่นงกงัน

    “ยังยังไม่รีบไปอีก ไปนำน้ำสะอาดไปเปลี่ยนให้ข้า” เสียงนายน้อยตวาดก้อง ก่อนที่ไปคว้าน้ำสะอาดสำหรับกลั้วปากจากสาวใช้ที่สั่นกลัว ก่อนที่จะสาวใช้ใช้หยาชวน*จิ้มเกลือแล้วแปรงฟันให้นายน้อยด้วยมืออันสั่นเทา

    “ฟู่กุ้ยเจ้ามาแปรงฟันให้ข้าสิ” เสียงของนายน้อยดังขึ้นก็จะสะบัดสาวใช้สั่นเป็นลูกนกอย่างน่าสงสาร ฟู่กุ้ยที่อยู่ข้างๆ ก็เลยมาปรนนิบัติรับใช้

    ฟู่กุ้ยที่อยู่ด้านหลังก็มาประชิดตัว ฟู่กุ้ยค่อยหยิบไม้หน้าตาคล้ายแปรงขนาดเล็กอย่างงกงันแต่กระนั้นตัวด้ามจับก็ทำจากงาช้าง ก่อนที่พี่สาวคนนั้นจะหยิบเกลือเหมือนให้จิ้ม แม้จะสับสนในตอนแรกแต่ก็พอรู้เรื่องบ้าง เนื่องจากพ่อที่เป็นหมอก็เลยเคยให้ใช้ของเช่นนี้มาก่อน แต่หากใช้กิ่งไม้เหลาจนไร้เสี้ยนถูด้วยน้ำสะอาดเพียงเท่านั้น

    ฟู่กุ้ยค่อยๆ แหย่เข้าไปในปากนายที่อ้าออก มันค่อยๆ แปรงอย่างระมัดระวังไม่ให้โดนลิ้นเพราะเป็นส่วนที่อ่อนไหว หากตรงโคนลิ้นโดนสิ่งแปลกปลอมมาแตะต้องเกรงว่าจะทำให้อยากอาเจียน ฟันขาวดุจไข่มุกนวล ฟู่กุ้ยค่อยถูไปถูมาอย่างมีสมาธิทั่วทั้งปาก เมื่อสะอาดดีแล้วก็เห็นพี่สาวถือถ้วยสะอาดมาให้อีกถ้วยเหมือนไว้บ้วนปากในทีแรก ฟู่กุ้ยเห็นดังนั้นก็เข้าใจยื่นถ้วยสะอาดไปให้นายก่อนจะหยิบถ้วยคืน จากนั้นนายน้อยก็ยื่นแขนขาวนวลมาเหมือนรอที ใบหน้าที่เหมือนซาลาเปาลูกโต เชิดคอขึ้นอย่างหยิ่งทะนง

    ฟู่กุ้ยพยายามกลั้นยิ้มจนเมื่อยแก้ม แต่ก็หยิบจับผ้าขาวเนื้อดีที่ชุบน้ำอุ่นจนชุ่ม แต่ทันทีที่สัมผัสผิวนวลก็ร้องขึ้นมาอีก “นี่ก็เย็นเกินไป เช็ดแล้วมิสบายตัว” นายน้อยที่ตวาดกร้าวมองบ่าวใช้เหมือนพยัคฆ์ แม้ตกใจไปบ้างแต่ฟู่กุ้ยนับว่าเป็นเด็กที่พอมีสติไม่ตกใจลนลานเหมือนคนอื่นๆ ครานี้น้ำอุ่นกว่าเดิมเล็กน้อย พอสัมผัสผิวผ่องก็ไม่ได้รับคำตำหนิติเตียน มันพยายามจดจำความรู้สึกนี้อุ่นที่อยู่ในมือ เพื่อรับประกันกับตัวเองในใจว่าอุณหภูมิน้ำจะต้องไม่มีผิดพลาดอีก

    นายน้อยก้าวออกจากอ่างทองเหลือง บ่าวที่อยู่ด้านล่างก็เช็ดเท้าให้อย่างรู้ความ ครานี้บ่าวที่ยกเหล่าเสื้อผ้าอาภรณ์ต่างๆ มาให้นายน้อยเลือกสรร

    “นี่” นายน้อยชี้ไปที่ชุดผ้าไหมสีม่วงเข้ม ปักลายพยัคฆ์สีทอง จากนั้นนายน้อยก็เลือกหยกเนื้อดีแขวนเป็นพู่ห้อย

    “ฟู่กุ้ย วันนี้เจ้ามาเป็นบ่าวรับใช้ประจำตัวข้า แค่วันนี้วันเดียวข้าก็เห็นว่าเจ้าฉลาดกับบ่าวชั้นต่ำไม่ได้เรื่องพวกนี้นัก

    หึ ยังดีนะที่ข้ามีดวงตาพยัคฆ์ ไม่เช่นนั้นคงจมปลักกลับบ่าวโง่เช่นเจ้าจนตาย” ว่าจบก็สะบัดตัว นั่งบนเก้าอี้ แล้วเริ่มสั่งการ

    “ตั้งโต๊ะ” สิ้นเสียงพูดเหล่าบ่าวรับใช้ก็ถอนตัวออกไปเหลือเพียงแค่มันกับบ่าวอีกคนที่ยังเหลือในห้อง

    “ออกไป” เสียงของนายน้อยประกาศกร้าว ไล่สาวใช้ประจำตัวออกไป

    “นายน้อยเจ้าคะ ฟู่กุ้ยยังเด็กนัก ข้าเกรงว่าจะปรนนิบัติได้ไม่ดีพอ” นางรีบคุกเข่าหน้าผากแนบพื้นขอความเมตตา แม้นายน้อยจะโมโหร้ายเอาแต่ใจมากแต่ก็ได้รับการกินอยู่ที่สบายกว่าบ่าวทั่วไปมาก หากนางต้องกลับไปอยู่โรงเลี้ยงสัตว์ต้องคอยกวาดขี้โคขี้หมูอีกก็ยากนักที่ตัดใจ

    “ใครสั่งให้เจ้าพูด เหอะ เจ้าปรนนิบัติข้ามาไม่กี่เดือน แต่ทำอะไรไม่เป็นเสียอย่าง ข้าตวาดนิดหน่อยก็สั่นเป็นลูกนก พอข้าใช้อะไรให้เจ้าทำเจ้าก็บอกว่าไม่ได้ ในคราแรกที่ข้าไม่ปลดเจ้าออกเพราะข้าจะดูว่าเจ้าจะอยู่ได้กี่น้ำอีก ข้าพอรู้ดีว่าบ่าวเยี่ยงพวกเจ้ากลัวข้ายิ่งกว่าหนอนแมลง แต่ยามนี้ข้ามีบ่าวเป็นของตัวเอง เงินตำลึงที่จ่ายก็เป็นของข้า ร่างกายมัน วิญญาณของมันล้วนเป็นของข้าทั้งหมด ข้าถือว่าเป็นนายของมันยิ่งกว่าบ่าวชั้นต่ำเยี่ยงเจ้าที่ท่านแม่มอบให้มา” เสียงนายน้อยองอาจอย่างหยิ่งทะนง ไม่รู้ทำไมใจของมันสั่นเหมือนถูกรัวกลอง แต่อย่างไรริมฝีปากของมันก็กลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ

    คนคนนี้แหละคือ…นายของมัน

    หลังจากนั้นเองฟู่กุ้ยก็เริ่มหน้าที่บ่าวรับใช้คนสนิททันที การรับใช้ของมันในตอนแรกแม้จะงกๆ เงิ่นๆ อยู่บ้าง แต่ด้วยความที่มันเป็นคนพอรู้ความทุกอย่างจึงเริ่มเป็นไปอย่างราบรื่น

    นายน้อยไม่ชอบอากาศเย็นเกินไปร้อนเกินไป นายน้อยชอบใส่สีม่วงแต่จะไม่ใส่ชุดซ้ำโดยเด็ดขาด พู่ห้อยนายน้อยนิยมเป็นหยกหินแกะสลักแต่บางครั้งก็ชอบทำหล่นหายบ่าวรับใช้ต้องจับตาดูให้ดี นายน้อยชอบชาที่อุณหภูมิเย็นกว่าปกติเล็กน้อย นายน้อยไม่ชอบรสเฝื่อนของชา หากชงควรล้างใบชาออกประมาณสองรอบ น้ำที่นายน้อยอาบอุ่นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ถึงกับอุณหภูมิห้อง หากนายน้อยส่งเสียงดังยามค่ำแสดงว่าฝันร้ายพอตอนเช้ามาจะเกรี้ยวกราดมากกว่าปกติ อีกทั้งนายน้อยเกลียดการเรียนเป็นที่สุด

    เหมือนดั่งสถานการณ์ในตอนนี้...

    อาจารย์สอนตำราข่งจื้อ ตีความกลอนสี่อักษร แต่สิ่งที่นายน้อยทำคือนั่งวาดรูปดอกบัวตูมที่อยู่เบื้องหน้าแทน เส้นพู่กันแม้ลงน้ำหนักได้ไม่ค่อยสมดุล แต่เส้นก็ปราดเปรียวดุจก้านหลิวปลิวลม

    “....เอ้าลองพูดบทที่ข้าพูดมาสิ”

    “ข่งจื้อกล่าวว่า...เมื่อข้าพเจ้าสอนอะไร หากท่านรู้ก็บอกว่ารู้ หาก...โอ๊ยข้าจำไม่ได้ดอกท่านอาจารย์อ่านออกเสียงไม่กี่คราข้าจะรู้ได้อย่างไร” นายน้อยโอดครวญ

    นายน้อยนี่ช่างฉลาดหลักแหลมนักฟังผ่านๆ ไม่กี่ทีก็จำได้บ้างแล้ว ส่วนมันสมองนั้นเปรียบดังลาโง่หากไม่ได้ทำการคัดลายมือให้นายน้อยเห็นทีมันคงท่องบทนี้ไม่ได้แม้แต่ตัวอักษรเดียว

    “โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว ข้าอยากพักผ่อน ฟู่กุ้ยเจ้าเรียนไปก่อนแล้วค่อยกลับมาสอนข้า” ว่าจบก็ไม่ทันได้ตอบรับวิ่งหนีออกไปจากศาลากลางน้ำทันที มันเพียงส่งสายตาพี่สาวที่อยู่ใกล้ให้ไปตามดูเท่านั้น

    “ท่านอาจารย์ขอรับ บ่าวขออภัยจริงๆ เมื่อคืนนายน้อยนั่งคัดตำราตามคำสั่งของนายท่านจนดึกดื่นเลยไม่ค่อยได้พักผ่อน การเรียนวันนี้เลยไม่ค่อยมีสมาธินัก บ่าวขอถือสิทธิ์กราบขออภัยท่านอาจารย์แทนนายน้อยด้วย” ฟู่กุ้ยเอาหน้าผากชิดพื้น ยามนี้เป็นบ่าวมันทำเช่นนี้นับครั้งไม่ถ้วนจนรู้สึกคุ้นชิน แต่ใจมันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ คนที่มันจะกราบด้วยใจมีเพียงนายน้อยเท่านั้น

    “ฮึ” เสียงชายชราแค่นเสียงอยู่ในลำคอ เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่บ่าวนี่พูดเป็นเรื่องโกหกพกลมทั้งเพ

    “ช่างเถอะ ข้าไม่ถือสาหาความ ในเมื่อคุณชายหยวนเฉิงสั่งให้เจ้าเรียนแทนงั้นเจ้าก็ท่องต่อจากนายน้อยเจ้าละกัน” ท่านอาจารย์เฉินแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ เหลือบมองบ่าวหน้าตาบ้านๆ ก้มหัวจรดพื้นอย่างชินชา

    บุตรชายสกุลหยวนนี้แย่จริงๆ ทั้งหยิ่งผยองจองหองถือดี เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง ไร้ซึ่งความอดทน เห็นทีสกุลหยวนคงใกล้สิ้นชื่อเต็มที

    “ลักษณะผู้รู้คือ ผู้รู้ตัวว่ารู้อะไรบ้าง และไม่รู้อะไรบ้าง ดังที่

    ข่งจื้อกล่าวว่า เมื่อข้าพเจ้าสอนอะไร หากท่านรู้ก็บอกว่ารู้ เมื่อไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ นั่นแหละคือความรู้ พอดีเมื่อวานนี้ยามนายน้อยคัดตำราข้าก็เห็นบทกลอนนี้พอดี พอมองแล้วชอบจึงอ่านซ้ำไปมาแล้วท่องได้อย่างขึ้นใจ” มันกล่าวกับท่านอาจารย์แล้วกล่าวต่อว่า

    “เพื่อไม่เป็นการเสียมารยาท หากท่านต้องการสอนสั่งนายน้อยเรื่องใดขอให้ท่านอาจารย์เห็นข้าน้อยเป็นเหมือนสาร ถึงแม้ข้าน้อยจะไม่เข้าใจแต่ก็จะจดจำทุกคำพูดบอกกล่าวนายน้อยยามที่นายน้อยทบทวนบทเรียน” มันพูดอีกครั้งพร้อมน้อมตัวลง

    “ดี” อาจารย์กล่าวรับคำ มองบ่าวรับใช้ที่ต่ำต้อยที่เพียงท่องกลอนสี่อักษรได้ไม่กี่ประโยคก็อวดเก่ง คิดว่าคำสอนของเขาง่ายดายต่อการจดจำ คอยดูเถิดข้าจะทำให้บ่าวรับใช้อวดดีเยี่ยงเจ้าอยากตายเพราะคำสั่งสอนของข้า ท่านใดนั้นเองอาจารย์ที่อยากกำราบบ่าวรับใช้ที่ถือดีก็เริ่มต้นสองสิ่งที่ซับซ้อนยากขึ้นไปอีกขั้น

    มันทำเพียงหยิบกระดาษและพู่กันฟังจดจ่อทุกคำกล่าวของท่านอาจารย์อย่างตั้งใจ แต่ถึงแม้มันจะพอจำอักษรได้พันตัวแต่ตัวอักษรทางวิชาการก็เป็นเรื่องสลักซับซ้อนไม่เหมือนใบสั่งยาที่พอเขียน ได้จึงทำให้บางคำที่มันเข้าใจไม่ถ่องแท้ถามท่านอาจารย์ด้วยความโง่เขลาไปหลายครั้งหลายครา และด้วยความที่มันเป็นคนโง่หากประโยคใดที่มันคิดว่าไม่ชัดแจ้งก็จะรีบถามไถ่แต่โดยดี

    ท่านอาจารย์เองจากตอนแรกปรามาส แต่เมื่อสอนไปสักพักก็เริ่มรู้สึกอัดอั้นตันใจความรู้มากมายที่มีเต็มเป็นภูเขาเหลากาก็ได้รับการถ่ายทอดสักที ลืมไปเลยว่ามันเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น

    “อะแฮ่ม....เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ก่อน อย่าลืมไปบอกคุณชายน้อยด้วยล่ะ” ท่านอาจารย์บอกอีกครั้งวันนี้สอนเพลินมากเกินไปหน่อยจนเกือบเลยเวลา มองบ่าวตัวน้อยที่ดูรู้ภาษา แม้อักษรหลายตัวจะไม่รู้ความแต่ก็นับว่าดีมากแล้วถ้าเทียบกับบ่าวคนอื่น อีกทั้งยังช่างเจรจาถามไถ่ หากตรงใดไม่รู้ก็ซักถาม อีกทั้งบางประเด็นเขาเองก็ไม่ได้สนใจพลันได้ยินคำถามถึงจะรู้แจ้งขึ้นมา

    ผิดกลับคุณชายน้อยที่แสนเกียจคร้าน การสั่งสอนบ่าวก็ดีไม่น้อย แต่ก่อนจากไปก็เอ่ยกำชับอีกครา “แล้วนี่เป็นการบ้านอย่าลืมให้นายเจ้าทำด้วยล่ะ” อาจารย์ว่ากล่าว ส่วนหนึ่งเป็นการบ้านที่อาจารย์ให้คุณชายน้อยจริง แต่อีกส่วนให้กับตัวบ่าวคนนี้มากกว่า แต่จะให้ผู้ว่าสอนสั่งบ่าวไพร่ก็กระไรนัก พลันนึกถึงคุณชายก็พอจะรู้แจ้ง

    ให้การบ้านทีใครก็คิดว่าไม่ต่างกัน....

    ฟู่กุ้ยกลับเรือนของนายน้อยอีกครั้ง เห็นสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าห้องหนังสือใจมันก็ปลื้มปริ่มนัก นายน้อยของตนนี้ช่างเป็นอัจฉริยบุคคลเพราะสิ่งที่อาจารย์สอน นายน้อยย่อมรู้แจ้งก็ไม่แปลกที่จะเบื่อหน่ายและง่วงงุน

    มันขออนุญาตก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปในห้อง

    พลันเห็นนายน้อยที่กำลังนอนท่ามกลางกองหนังสือก็ปลื้มปริ่มใจ ก่อนที่มันจะไปหยิบผ้าห่มผืนนุ่งห่มเข้าที่ตัว ยามโพล้เพล้อากาศก็หนาวขึ้นเป็นธรรมดา นายน้อยเป็นผู้ดีมีสกุลอาจจะป่วยได้ง่าย จากนั้นมันก็หยิบหนังสือที่ถูกกางไว้อย่างเบามือสอดใบไผ่สลักเป็นที่คั่นหน้า แต่ตาก็แอบมองดูหนังสือเล่มหนาที่มีตัวอักษรจีนยาวเป็นพืดและอ่านมัน

    ภายในดูเหมือนเป็นบทพรรณนาทิวทัศน์แดนสวรรค์ น้ำตกชอุ่มกลางพงไพร และคู่หูยวงยาที่อยู่เคียงคู่ จากนั้นอะไรต่อก็ไม่ทราบเหลือบมองปกหนังสือที่มีการเย็บติดแบบลวกๆ มันฉงนเล็กน้อยก่อนที่จะอ่านหนังสือ กลับกลายเป็นว่าเป็นชื่อหนังสือที่มันคุ้นเคยดี伤寒杂病论 ตำราแพทย์ที่มันอ่านตั้งแต่เด็ก พร่ำพรรณนาถึงอาการทางการแพทย์เหตุใดภายในจึงกลายเป็นบทกวีบรรยายธรรมชาติได้เล่า

    มันสับสนมึงงง พลิกไปพลิกมาอยู่หลายทีดูอย่างไรไส้ในก็ไม่ใช่ที่มันรู้จัก เหลือบไปมองสันปกที่ยับย่นแล้วมองกองกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกโยนอยู่ด้านล่างพร้อมเนื้อหาที่คุ้นตาก็เข้าใจในทันที ก็ร้องอ๋ออยู่ในใจ แม้จะอายุเพียงเท่านี้แต่ก็มีความฉลาดหลักแหลมรู้จักการสับเปลี่ยนปกหนังสือ ถือว่าเป็นยอดคนอย่างแท้จริง

    ในใจของมันไม่ว่านายน้อยของมันทำอะไรก็นับได้ว่าดีเลิศ

    มันผละตัวออกไปดูท่าทางของนายน้อยคงจะพักสายตาสักพักใหญ่ ก่อนที่จะไปโรงครัว

    โรงครัวยามนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม เพิ่มเติมคือพอมีคนกลัวเกรงมันบ้าง หลังจากผ่านเหตุการณ์รับใช้เสี่ยงตาย

    วันนี้มันเพียงจะมาเริ่มรับใช้ได้ไม่กี่วัน วันเวลาโพล้เพล้เช่นนี้แหละ แต่วันนั้นฮูหยินรองที่กำลังเป็นที่โปรดปราน จู่ๆ นึกอยากทานนกพิราบตุ๋นขึ้นมาทำเอาครัวสับสนวุ่นวายไปหมด แค่นั้นยังไม่พอนายน้อยของมันยังต้องการทานรังนก พอมันไปบอกสาวใช้ในโรงครัวที่กำลังวุ่นก็โดนตะเพิดไล่ออกมาทั้งอย่างนั้น มันพยายามพูดอย่างใจเย็นสักสองสามทีแต่เหมือนพี่สาวจะคิดว่ามันเซ้าซี้จะขอขนมพลันปังตอง้างมือหมายจะสับแขนมัน มันยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ดี แขนเล็กๆ เหมือนกระดูกไก่หากถูกสับขึ้นมาจริงๆ มือคงขาดกระเด็นเป็นแน่ รับใช้นายน้อยก็ต้องรับใช้ แขนเล็กๆ นี้ก็อยากจะรักษาไว้อยู่กับตัว แม้มันจะเล็กไปหน่อยเก้งก้างไปนิดแต่ก็นับว่าเป็นแขนของมันอยู่ดี

    พลันมันเห็นแป้งข้าวเหนียวที่โม่ทิ้งไว้อยู่ท้ายครัว มันจึงคิดถึงบัวลอยที่แม่มันเคยทำ แม้จะหารังนกให้นายน้อยกินไม่ได้ ก็ลองนี่ก็แล้วกัน...

    มันจัดแจงหยิบหาขิงก่อนตัดแง่งเป็นท่อนๆ ใส่น้ำลงไปต้ม จากนั้นก็ถึงคราว ทำไส้มันหยิบงาดำมาจำนวนหนึ่งตำให้ละเอียดเหมือนทำยาลูกกลอน ใส่น้ำผึ้งไปเล็กน้อยและคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นมันก็ควานหากระทะทองเหลืองหยิบใบพายและจัดแจงใส่แป้งข้าวเหนียวและน้ำลงไปคนในขณะที่ไฟยังอ่อน

    บัวลอยนับว่าเป็นขนมที่ส่วนผสมน้อย วิธีการทำก็ไม่ได้ยาก แต่การเตรียมแป้งนั้นเหนื่อยมากจะต้องกวนแป้งให้เป็นเนื้อเนียนนุ่มห้ามมีช่องอากาศเหลืออยู่แม้แต่น้อย อีกทั้งยังต้องให้เหนียวข้นกำลังดี มันกวนเสียจนแขนชาเหงื่อไหลเต็มหน้าไปหมด พลันเมื่อเห็นแป้งเหนียวนุ่มกำลังดีมันก็โรยแป้งที่โต๊ะเพื่อไม้ให้ติดมือจากนั้นก็นวดให้เนื้อเนียนแล้วยัดไส้ข้างใน แล้วต้มให้สุกใส่น้ำขิงร้อนหวานกำลังดีไปให้

    ฟู่กุ้ยค่อยๆ ยกมันออกจากในครัว ไปที่เรือนนายน้อยของมัน

    “เหตุใดจึงช้านัก แค่รังนกถ้วยเดียว” นายน้อยบูดบึ้งอยู่บนโต๊ะหนังสือ หลังจากที่เขาลำบากตรากตรำนั้นอ่านนิยายมาเกือบค่อนเล่มหวังหารังนกมากับแกล้มแต่ก็ไม่มี

    “ขออภัยขอรับนายน้อย พอดีครัวตอนนี้กำลังยุ่งมาก..”

    “ยุ่งอะไร มีงานอะไรสำคัญกว่าข้างั้นรึ” นายน้อยตบโต๊ะเสียงดังวางก้าม มองดูบ่าวรับใช้ที่อยู่เบื้องล่างอย่างถือดี

    “ฮูหยินรองต้องการทานนกพิราบตุ๋น ก็เลย...”

    “เฮอะ ฮูหยินรองก็แค่สตรีชั้นต่ำเท่านั้น” จากนั้นก็โบกมือให้มันยกไปวางไว้ที่โต๊ะ

    “นี่มันไม่ใช่รังนกนิ” นายน้อยโวยวายอีกคราเหลือบมองเม็ดบัวลอยเล็กๆ พอดีคำที่อยู่ในถ้วย ส่วนมันก็จับชามแน่นหากนายน้อยคิดจะคว่ำจานจะได้ไม่หกเลอะเทอะ

    “ในครัวยามนี้ยุ่งมาก ข้าน้อยด้อยความสามารถนักจึงเตรียมได้แค่นี้” ฟู่กุ้ยพูดพลางก้มหน้าลงต่ำ

    “นี่เจ้าทำเองงั้นรึ” นายน้อยมองมันอย่างสนเท่ห์ มองบัวลอยไม่เล็กไม่ใหญ่ในชามอย่างชั่งใจ แม้เขาจะไม่ได้รังเกียจแต่ก็ไม่ได้ชอบขนมชนิดนี้นักที่จวนทำลูกใหญ่เล็กกว่ากำปั้นมันเพียงนิดเดียวเวลากัดเข้าปากทำท่วงท่าที่กินล้วนแต่ไม่สง่างาม กินทีไส้ไหลย้อยเลอะไปหมด แต่บัวลอยลูกนี้ไม่เหมือนกันลูกไม่ใหญ่เพียงเท่าผลผู่เถาลูกโตเท่านั้นด้วยปากของเขาคงจะกินได้เป็นแน่ อีกทั้งสีน้ำขิงไม่เข้มจนเกินไปคงไม่ทำให้มันแสบลิ้น

    เขาตักขึ้นมาลูกนึกก่อนที่จะคาดโทษบ่าวตัวเล็ก “หากไม่อร่อยขึ้นมาข้าจะตีเจ้าด้วยไม้เรียว” มันว่ากล่าว พลางคิดถึงไม้แหลมที่ท่านพ่อเหลาเอาไว้เวลาจะตีมัน ไม้เล็กๆ แค่นั้นแต่ก็มีอนุภาคหนักหนานักมันเองก็อยากจะตีคนเช่นนี้บ้างสักครา

    จากนั้นปากเล็กก็กินบัวลอยเข้าไปทั้งลูก กลิ่นน้ำขิงหอมหวานกำลังดี แม้ตัวไส้จะหวานน้อยไปหน่อยแต่ก็ได้กลิ่นหอมของงาดำ แต่จุดหลักคือตัวแป้งเหนียวหนึบหนับนุ่มลิ้น ช่างอร่อยเลิศนัก

    และแล้วความเงียบก็ปกคลุมไปทั่วห้องหนังสือ ขณะที่ทานบัวลอยก็ค่อยๆ หยิบหนังสือวิชาการ (?) ขึ้นมาอ่านเป็นกับแกล้ม แต่ถ้าหากว่าความอร่อยของขนมทำให้บ่าวใช้ในครัวไร้ความผิดเกรงว่าจะไม่ใช่ เพราะยามเมื่อขนมอร่อยลิ้นหมดลงนายน้อยก็ระเบิดลงทันที

    “ขนมเพียงแค่นี้จะไปพออันใดกัน” หยวนเฉิงโวยวายใส่ฟู่กุ้ย

    อย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะด่าลามไปยังโรงครัวว่าบ่าวใช้กำเริบเสิบสานไม่เห็นหัวบุตรชายของเสนาบดี รับใช้ได้ไม่เต็มความสามารถบัวลอยที่เขากินทั้งเหนียวทั้งลูกใหญ่กินทีแก้มก็ปวดไปหมด สู้บ่าวชั้นต่ำทำเองไม่ได้แม้แต่น้อย ต้องมีคนคอยเสี้ยมไม่ให้ใส่ใจดูแลเขาอย่างดีเป็นแน่

    จากนั้นนายน้อยก็เดินไปหาโรงครัวเหมือนพายุ อาละวาดจนนกพิราบตุ๋นเกือบสองชั่วยามกลายเป็นอาหารสุกร จากนั้นยังไม่พอเหล่าบ่าวใช้ที่ไร้ความสามารถ ละเลยนายน้อย ล้วนถูกโบยกันคนละสิบไม้ทั่วหน้า

    “พวกเจ้าจำไว้ให้มั่น บ่าวของข้าก็เหมือนข้ากล้ากำเริบเสิบสานกับมันเท่ากับไม่เห็นหัวข้า ไม่ฟังคำสั่งมันเท่ากับไม่ฟังคำสั่งข้า พวกเจ้ายังโชคดีที่วันนี้ฟู่กุ้ยทำขนมได้พอใช้ มิเช่นนั้นข้าจะตัดลิ้นของเจ้าเสีย” ว่าจบก็เชิดหน้าเดินถลากลับจวน ไม่วายเอ่ยปากกับฟู่กุ้ยที่อยู่ข้างตัวว่าวันนี้อยากทานนกพิราบตุ๋นให้ไปบอกโรงครัวด้วย…

    และเนื่องจากเวลาเคี่ยวที่ไม่มากพอนกพิราบตุ๋นที่พอเหลือชามนั้นย่อมตกเป็นของมัน

    อืม..... นายน้อยช่างปรีชาสามารถเหนือเหล่าผู้คนอย่างแท้จริง

    ฟู่กุ้ยก็ยังคงเป็นฟู่กุ้ย เขาก็ยังชื่นชมนายน้อยเสมอมา

    “พี่สาวข้าขอยืมอุปกรณ์ครัวสักครู่ได้หรือไม่” ข้าเอ่ยขึ้นพลางค้อมตัวอย่างนอบน้อม

    “อะ...เอาสิใช้เลย” ส่วนพี่สาวแวบแรกก็กลัวเกรง แต่ก็กลับใจเย็นอีกครั้งเหลือบมองเด็กตัวน้อยที่อายุห่างเกินกว่ารอบด้วยความชื่นชม เด็กนี่รับใช้นายน้อยไปได้เกือบปีแล้ว ทั้งยังรับใช้จนเป็นที่โปรดปรานไม่น้อย ทั้งๆ ที่มีอำนาจแต่กลับไม่วางท่าใหญ่โตเหมือนบ่าวคนสนิทเรือนอื่นติดจะสุภาพถ่อมตน ไม่ค่อยทำให้พวกเธอลำบากใจ

    เมื่อฟู่กุ้ยได้ยินคำอนุญาตก็แย้มยิ้มอย่างยินดี พลางลงมือทำของว่าใช้ส่วนผสมเป็นมันสีม่วงนำมาต้มใส่ชาดอกไม้ให้มีกลิ่นหอมในเนื้อเนียน ใช้ตะเกียบจิ้มจนรู้ว่านุ่มดีคีบขึ้นมาปอกเปลือกนอกออกจากนั้นใช้ช้อนบี้ให้เละใส่น้ำตาลเพียงเล็กน้อยแล้วพักทิ้งไว้หันมาเตรียมไส้ ในครั้งนี้มันเลือกเป็นไส้ถั่วเหลืองกวนธรรมดาแต่ใส่ชาดอกไม้ที่โดนต้มจนเปื่อยในนั้นเล็กน้อยพอมีกลิ่นบางๆ ปรุงรสชาติด้วยน้ำผึ้งใส่เกลือเล็กน้อยพอเค็มที่ปลายลิ้น ปั้นให้กลายเป็นก้อนพอดีคำจากนั้นก็หยิบมันม่วงที่กวนไว้แต่ต้นมาแผ่แล้วใส่ไส้ไว้ตรงกลาง แล้วค่อยจับยัดใส่พิมพ์ไม้ดอกเบญจมาศสิบสองกลีบแลดูสวยงาม แล้วก็จัดแจงเตรียมน้ำชาร้อนกว่าปกติเล็กน้อย ยามเดินไปถึงเรือนก็จะอุ่นพอดี

    แล้วทันทีเดินเข้าประตูไม่ทันที่จะนายน้อยคนดีจะเอ่ยปากขออาหารว่างเหมือนปกติก็เห็นชุดน้ำชาอุ่น และของว่างเข้ามาพอดี เจ้าฟู่กุ้ยที่ช่างสารพัดประโยชน์นักไม่เสียแรงที่เขาไถ่ตัวมันมา แม้ตัวจะผอมแห้งเก้งก้างไปบ้างแต่เรื่องการปรนนิบัติเขาเองก็ต้องยอมรับ ทั้งการชงชาที่เป็นเลิศ ขนมที่ทำก็อร่อยลิ้น และที่สำคัญปลอมแปลงลายมือเขาได้เหมือนยิ่งกว่าตัวจริงแม้กระทั่งท่านพ่อก็จับไม่ได้ อีกทั้งยังพอมีหัวคิดการบ้านที่ทั้งอาจารย์และทั้งท่านพ่อที่เขามอบหมายไป หากตรงใดไม่รู้ก็มาถามบ้างแต่หากตอบได้เองก็ตอบให้ ซึ่งขอบอกได้เลยว่ากรณีแรกแทบไม่เคยมีให้เห็น

    นี่ไม่รวมถึงรู้จักประจบสอพลอท่านอาจารย์หนวดเฟิ้มไม่ให้ฟ้องท่านพ่อยามข้าไม่สนใจเรียนหนังสือ มันก็ทำได้ดียิ่ง นับว่าเป็นบ่าวชั้นเลิศ สมกับที่ดวงตาของเขาที่แหลมคมจริงๆ

    พลันใช้มือเล็กกัดขนมเข้าไปคำใหญ่รสสัมผัสนุ่มได้กลิ่นดอกไม้จางๆ นับว่าเป็นขนมชั้นเลิศ จากนั้นก็จิบชาอุณหภูมิพอดีรสขมชุ่มคอที่แผ่ไปทั่วปลายลิ้น เหมือนสุขกายสบายกระเพาะ เขาเองก็จำต้องฝึกฝนบ่าวไพร่ ยื่นตำราเล่มหนึ่งให้ไปนั่งคัดพลางกำชับว่า

    “เขียนลายมือข้า อย่าผิดพลาดเสียสักตัวเดียว” และก็อ่านนิทานของเซียนน้อยผจญโลกอย่างจำเริญใจ

    ฟู่กุ้ยรับตำรามาแล้วกระดาษปึกหนึ่งอย่างจนใจ ตำรานี้ยาวเกือบสองร้อยหน้า มันจำได้ว่านายท่านมอบหมายให้เมื่อสัปดาห์ก่อน ครั้นกำหนดส่งคือวันพรุ่งแต่ตัวหนังสือสักตัวก็ไม่มีให้เห็น คาดว่าคืนนี่คงไม่ได้นอนเป็นแม่นมั่น

    “พู่ว” มันเป่าหายใจออกจากปากด้วยความเมื่อยขบ เนื่องด้วยมันไม่ดูน้ำมันตะเกียงให้ดีเลยต้องมานั่งใช้แสงจันทร์ทำเยี่ยงนี้ ข้างนอกหนาวเย็นนัก เสื้อผ้าของมันแม้ไม่ดีเลิศเยี่ยงคุณชายแต่ก็ดีในระดับหนึ่ง แต่กระนั้นก็ไม่อาจต้านลมหนาวได้ ยามลมหนาวพัดผ่านขนบนกายมันพลันลุกชัน จากนั้นมันก็ตั้งจิตมั่นคิดว่าแสงจันทร์คือเปลวไฟที่โชติช่วงบนเตาผิงอุ่น คิดถึงอ้อมกอดของมารดายามชมแสงจันทร์ หากใจคิดว่าอุ่น กายนั้นก็คงจะอุ่นตาม

    ไร้สำเนียง ไร้วาจา มีเพียงเสียงพู่กันที่กระทบหน้ากระดาษ จนท้ายที่สุดมันก็คัดจนจบลุกออกจากที่นั่งเก็บข้าวของกลับเรือนตนเอง

    “ฮืมมม” ฟู่กุ้ยครางในลำคอ แม้จะได้นอนเพียงไม่กี่ชั่วยาม แต่มันก็ต้องทำหน้าที่เหมือนในทุกๆ วัน แต่ตอนนี้ดีขึ้นหน่อย มันเริ่มรู้จักใช้อำนาจศักดิ์มันพอสูงขึ้น ยามอยู่ในเรือนเลยพอเจรจาสั่งการเหล่าพี่สาวได้อย่างไม่เกรงกลัว ถึงแม้มันเป็นเพียงเด็กเท่านั้น หน้าที่ของมันก็เหลือเพียงตรวจตรางานดูว่าเรียบร้อยดีหรือไม่และดูรายละเอียดเรียบร้อยต่างๆ ตรวจดูถุงเครื่องหอมว่ามีคุณภาพไม่เก่าจนกลิ่นเลือนราง ตรวจดูพู่ห้อยว่าไม่มีด้ายลุ่ยออกมา อีกทั้งยังต้องตรวจดูตะเข็บผ้า สีสันของผ้าว่าสม่ำเสมอดีหรือเปล่า ตรวจดูรองเท้าไม่ให้เปื้อนขุ่นโคลน คิดอาหารเช้าสั่งโรงครัว ล้วนต้องตรวจตราทั้งสิ้น

    ว่ากันตามตรงนี่เป็นภาระที่ใหญ่เกินตัวสำหรับเด็กอย่างมัน แต่สุดท้ายมันก็ทำให้ทุกคนยอมรับความสามารถเด็กน้อยอย่างไร้ข้อกังขา วัดได้จากการที่มันอยู่ข้างกายได้ถึงขนาดนี้ ล้มล้างความคิดเห็นมันเป็นเพียงของเล่นระบายอารมณ์ของนายน้อยทันที และมองมันเป็นบ่าวรับใช้อย่างเต็มตัว

    ไม่สิ มันไม่ได้เป็นเพียงบ่าวรับใช้...

    แต่มันจะเป็นทุกอย่างที่นายน้อยอยากให้เป็น


    ---------

    สนับสนุนนักเขียนได้ที่ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×