คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : อย่ามายุ่ง 1 ฉบับE-book
ติ้งๆ
เสียงของน้ำฝนที่ไหลลงตามซอกหลังคากระทบกับพื้นสกปรกที่อยู่ในคุก กลิ่นอับ กลิ่นสุขาตีกันไปมั่วชวนให้รู้สึกคลื่นเหียน แสงนวลของจันทรารอดผ่านรูเล็กจากด้านบนเผยให้เห็นร่างไม่เล็กไม่ใหญ่ใส่ชุดสีขาวเนื้อหยาบนอนขดตัวอยู่มุมของห้อง แผ่นหลังที่เกรอะกรังไปด้วยสีดำแดงกระดำกระด่างของเลือดที่เกรอะกรังย้อมไปกับชุดสีขาวเนื้อหยาบกระด้าง
โบยถึงห้าสิบไม้ หากมีชีวิตรอดก็นับว่าสวรรค์เมตตา แต่ก็ไม่เมตตาถึงขนาดให้อีกฝ่ายพ้นโทษ
ตึกๆ
เสียงรองเท้าไม้ของสตรีที่กระทบกันเป็นจังหวะ พร้อมกับแสงสีนวลของคบเพลิงที่มาพร้อมๆ กับ...ร่างบางเจ้าของลำคอระหงสวมชุดชายกระโปรงเป็นสีแดงดุจดอกโบตั๊นที่โชติช่วงในเปลวไฟ ดวงหน้างามสีขาวนวลลออ ริมฝีปากทาชาดสีแดงเข้มส่งผลให้ริมฝีปากงามเย้ายวน ดอกบัวบานสีแดงสดที่อยู่ระหว่างคิ้วขับวงหน้าให้เฉิดฉายเข้าไปอีกขั้น เส้นผมสีดำเงางามจากการพรมน้ำมันไม้หอมชั้นดี ทันทีที่หล่อนขยับไหวตัวเครื่องประดับสีทองพรั่งพร้อมไปด้วยไข่มุกนับร้อยเม็ดกวัดแกว่งไปตามอริยา
“ตื่น องค์หญิงมาเยี่ยมเจ้า” เสียงขององครักษ์พร้อมถีบกระแทกกรงไม้ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนมีเสียงหวานเหมือนกระดิ่งลมเอ่ยตามมา
“ฟู่กุ้ย” ร่างงามลำคอระหงใช้ผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเหมยซับเข้าที่หางตา มองคนตรงหน้าอย่างห่วงหาอาทร
ร่างบางที่อยู่ในกรงขังพลันขยับตัว หรี่ตามองแสงจ้าที่สาดส่องลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากที่แห้งผากลำคอที่แห้งจนเป็นผุยผง เจ้าของนามฟู่กุ้ยเหลือบแลมองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนที่จะกลับไปเข้ามุมอุ่นของตนอย่างไม่แยแส ราวกับเป็นการบอกเป็นนัยว่า นางแพศยาอย่างเจ้า ข้าไม่อยากเสวนา
“นี่เจ้า..” เสียงหวีดห้าวปรามาสทันที เป็นเพียงแค่นักโทษชั้นต่ำแต่หากยังไม่เห็นพระเมตตาขององค์หญิงขั้นสองเหมยหลันที่ได้รับพระเมตตาจากไทเฮาเและอีกไม่นานก็กำลังได้อวยยศเป็นฮองเฮาอีกด้วย ทั้งคนรอบกายองค์หญิงล้วนแต่เป็นล้วนสูงศักดิ์ต่างจากเจ้าทาสซอมซ่อนี่ไม่รู้กี่ขุมต่อกี่ขุม
“หยุดเถอะ อาจิ้ง ฟู่กุ้ยแค่ไม่ได้ตั้งใจ เจ้าออกไปก่อนนะข้าอย่างคุยกับฟู่กุ้ยสักครู่” ร่างระหงเอ่ยเสียงหวานกับองครักษ์ข้างตัวหยาดน้ำตาคลอตามนัยน์ตาเรียวหงส์สั่นเทาตามแรงอารมณ์
“แต่ว่า..องค์หญิง” แม้จะทัดทานแต่เมื่อเห็นแววตาขององค์หญิง
ที่แน่วแน่ก็ถอดใจทิ้งคบเพลิงไว้ให้ก่อนที่จะจากมา
สายลมที่เหน็บหนาวโรยตัวเข้ามาในคุกอันเย็นชืด เสียงของจักจั่นหนอนแมลงก็ยังคงขับขานเป็นเสียงดนตรี
“ฟู่กุ้ย เจ้ายังไม่ยอมอีกหรือ” เสียงของหญิงสาวที่เดินใกล้เข้ามาเอามือแตะกรงที่เย็นราวกับน้ำแข็ง แม้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิแต่ก็ใกล้ฤดูใบไม้ร่วงเต็มที อีกทั้งยามเย็นไร้ไฟให้ผิง แม้แต่ถ่านซักก้อนล้วนไม่มี ทำให้ที่แห่งนี้หนาวจับใจ
“ฮึ” คำตอบรับมีเพียงเสียงในลำคอหากแต่แฝงไปด้วยความเย้ยหยันอยู่ในที
“เจ้านายของข้ามีเพียงคุณชายคนเดียวเท่านั้น นางแพศยาอย่างเจ้า ข้าไม่ต้องการ” แม้ลำคอจะแห้งผากดุจเม็ดทรายแต่ก็ยังหนักแน่นมั่นคงดุจต้นไม้สูงที่ตั้งตรงไม่หวั่นไหวกับภัยทั้งปวง
“ฟู่กุ้ย เจ้าไม่เข้าใจ นี่ไม่ใช่คำขอแต่เป็นคำเตือน” ดวงหน้างามเผยรอยยิ้มชวนมอง ชาดสีแดงยังคงทำงานของมันได้อย่างดีเยี่ยม พูดพลางมองเล็บยาวสีแดงเข้มที่อยู่บนมือปลอกนิ้วสีทองกรีดกรายอยู่ปลายนิ้วก้อย เป่าลมร้อนเบาๆ เนื่องจากเกรงว่าไม่แห้งดี
เพียงเพื่อมาที่คุกชั้นต่ำแห่งนี้นางลงแรงไปมากเสียยิ่งกว่าเตรียมตัวเข้าวังเสียอีก แต่งตัวให้งามดุจดั่งนางหงส์ทองเพื่อสร้างความ แตกต่างระหว่างฐานะให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เสื้อขาวเนื้อหยาบของนักโทษ กับผ้าไหมย้อมสีแดงสดอบกลิ่นดอกมู่หลันจนหอมชัดเจน
“เป็นคนข้างตัวข้าไม่ดีตรงไหน ข้าเป็นถึงองค์หญิงขั้นสองของแว่นแคว้น เป็นบุตรบุญธรรมของเสนาบดี เป็นน้องสาวนอกไส้ของนายเจ้า เป็นคนรู้ใจของท่านแม่ทัพ เป็นสหายสนิทของกุนซือ และเป็นว่าที่มารดาของแผ่นดิน ดูสิฟู่กุ้ย ฐานะข้ายิ่งใหญ่เทียมฟ้า ขอเพียงเจ้าได้มาเป็นข้ารับใช้เจ้าย่อมได้เสวยสุขเกียรติยศนี้ไปด้วย แล้วเหตุใดเล่าฟู่กุ้ย เหตุใดเจ้าจึงปฏิเสธได้ลงคอ” ร่างบางที่ย่อต่ำลงมองฟู่กุ้ยที่อยู่เบื้องล่างอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้าคิดว่าหยวนเฉิงสนใจเจ้าจริงๆ งั้นรึ เพียงข้าเอ่ยขอเจ้าเพียงคำเดียว เจ้าจำต้องมาอยู่ตรงนี้ ข้ารู้จักพี่ใหญ่มากี่ปี แล้วเจ้าเล่ารู้จักพี่ใหญ่มาเกือบค่อนชีวิต แต่เขากลับไม่เห็นค่า เจ้ากำจัดศัตรูทิ้งแทนเขา แล้วไงเล่า? เจ้ายอมมือเปื้อนเลือดสังหารคน ก่อกรรมทำเข็ญก็มาก แต่สู้ข้าที่เคยรับธนูแทนเพียงดอกเดียวไม่ได้ เคยอุ่นเตียงแล้วอย่างไร ตัวข้าพี่ใหญ่ล้วนให้เกียรติ แม้แต่เส้นผมก็ยังไม่ได้จับ เจ้ายกตัวถวายวิญญาณแล้วได้อะไรกลับมา ข้าตอบให้เจ้าได้ เพราะเจ้าไม่เคยได้อะไรกลับมาเลย ความรักสักนิดก็ไม่เคยได้ประสบ แต่ขอเพียงเจ้ามาอยู่ข้างกายข้า เจ้าจะได้รับเกียรติมากกว่าบ่าวเคยได้รับ เพียงมาอยู่ข้างกายข้า ข้าจะให้เห็นว่าอำนาจนั้นหอมหวานเป็นเช่นไร เจ้าไม่ต้องประจบเอาใจใครอื่นก็หมอบแทบเท้าเหมือนสุนัข
ขอเพียงเจ้าเปิดใจ เปิดข้าเข้าไปในอุทร ข้าจะทำให้เจ้าไปให้สูงยิ่งกว่าแกร่งยิ่งกว่า...เจ้านายโหลยโท่ยของเจ้า”
ซ่า
เสียงของกระโถนที่สาดโครมใส่โฉมงามที่กำลังพูดพล่าม
“อย่าริอาจมาว่านายน้อยของข้านะ” เสียงแหบแห้งที่เปล่งออกจากลำคออย่างโกรธแค้น กลิ่นเหม็นหืนชวนน่าคลื่นเหียนลอยฟุ้งไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ
“แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ” เจ้าของปากที่ทาชาดสีแดงเอ่ยอย่างแค้นเคือง ฉับพลันก็กรีดร้องพลางครางสะอื้น “ฟู่กุ้ย ฟู่กุ้ย เหตุใดเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้ ข้าเพียง...ข้าเพียงอยากให้เจ้าเป็นคนข้างตัว เจ้าเป็นสหายสนิทของข้า เหตุใดเล่าฟู่กุ้ย...” ทันทีที่เหล่าองครักษ์เข้ามาทันทีที่ได้ยินเสียงเหล่านั้น
เหล่าสิ่งปฏิกูลที่น่าคลื่นเหียนก็เปรอะเปื้อนตามตัวขององค์หญิงน้อย อีกทั้งนี้เป็นคุกใต้ดิน กลิ่นเหม็นคละคลุ้ง หากแต่ไร้ซึ่งอากาศถ่ายเท ส่งผลให้เหล่าอาจมส่งกลิ่นหวนจนแทบจะอาเจียน
“นี่เจ้า เจ้า” เสียงขององครักษ์ที่ชี้มาอย่างต้องการจะคาดโทษก่อนที่จะลงมือตวัดแส้ไปยังร่างกายที่มีแต่รอยฟกช้ำ
เพี๊ยะ เพี๊ยะ
เสียงของแส้หนังที่บาดเข้าถึงเนื้อคน ผ้ากระสอบที่บางจนดูไม่ได้แหวกขาดซ้ำอีกเผยให้เห็นจ้ำเลือดที่อยู่เนื้อใน
“พอแล้วอาจิ้ง พอแล้ว ฟู่กุ้ยไม่ได้ตั้งใจ เป็นเพราะปากข้าไม่ดีเองทำให้ฟู่กุ้ยแค้นเคือง ปล่อยไปเถิดนะ ยามนี้ข้าอยากกลับเรือนเต็มที” เสียงหญิงสาวเอ่ยอย่างอาทรร้อนใจเกรงว่าบ่าวจะทำร้ายฟู่กุ้ยจนบวมช้ำมากขึ้นไปอีก
แม้จะโกรธแค้นอยู่บ้าง แต่ในยามนี้พระวรกายขององค์หญิงย่อมสำคัญกว่าสะบัดตัวส่งเสด็จอย่างรวดเร็ว
“พี่ฟู่กุ้ย ยอมเถิดเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ที่มาทำหน้าที่ขัดล้างสิ่งปฏิกูลกล่าวขึ้น พลางใช้แปรงถูพื้นทั้งน้ำตา
“เหนื่อยเจ้าแล้วนะ” ฟู่กุ้ยฝืนพูดเสียงอ่อนพลางยิ้มน้อยอย่างอ่อนโยน เหม่อมองบ่าวในเรือนที่ตนเคยจ้ำจี้จ้ำไชตรงหน้ากลายเป็นหญิงสาวที่มีความรับผิดชอบสมความภาคภูมิ
“แม้องค์หญิงจะมีพฤติกรรมมิชอบไปบ้าง แต่อย่างไรเสียงนางก็มีฐานะสูงส่ง นางเองก็เอ่ยขอพี่ฟู่กุ้ยจากนายน้อย ใจนางก็คงชมชอบพี่ฟู่กุ้ยอยู่ไม่น้อย เหตุใดจำต้องกัดกลืนฝืนทนเช่นนี้ล่ะเจ้าค่ะ หากท่านยื้อต่อไปข้าเกรงว่า แม้แต่ชีวิตท่านเองก็มิอาจรักษาไว้” นางพูดพลางขัดกรงขังน้ำตานอง มองคนที่เป็นเหมือนอาจารย์คอยสอนสั่งอยู่ในสภาพทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น…
หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นเพียงรอยยิ้มอ่อน เหลือบมองหญิงสาวที่ถูกลากตัวออกไปจนไกลลิบตา
แสงจันทรานวลลออลอดผ่านช่องเล็กดุจดั่งไข่มุกเม็ดโตพลางนึกถึงตัวเองในอดีต จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง...
ตอนเป็นเพียงเด็กน้อยวัยเยาว์…..
ข้าเกิดและโตในสลัม หากแต่บิดามารดาหาใช่คนไม่รู้ความ แม่ของข้าเป็นนางกำนัลเล็กๆ ที่ได้มีโอกาสรับใช้คนในวังหากแต่พบเห็นเรื่องที่ไม่สมควรจึงหนีจากการถูกตามล่า ส่วนพ่อข้าในครานั้นยังคงเป็นหมอหลวงแม้ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถด้วยความรักมั่นในตัวผู้เป็นมารดาเลยแอบลักลอบหนีตามกัน
หลังจากแม่คลอด “มารหัวขน” เช่นข้าออกมาร่าง ร่างกายของท่านแม่ก็อ่อนแอลง แต่เนื่องด้วยท่านพ่อของข้าพอมีความสามารถเลยจัดเทียบยาบำรุงเลือดให้แม่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
หากแต่ยามมีล้วนเป็นเทพ ยามไร้ล้วนเป็นโจร
ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีมาเริ่มร่อยหรอตามกาลเวลาที่พัดผ่าน จนในที่สุดอาการของแม่ข้าก็ทรุดตัวลง ยามนั้นมีโรคระบาดจากหมู่บ้านใกล้เรือนเคียงส่งผลให้ค่ายาค่าอาหารล้วนราคาถีบตัวขึ้นสูงอย่างพุ่งทะยาน ในตอนนั้นครอบครัวของข้า ไร้ยา ไร้อาหาร ไร้เงินทอง
ข้าที่เป็นลูกจึงยอมขายตัวแลกเงินทองเพื่อแสดงความกตัญญูรู้คุณ การกระทำเช่นนี้ไม่ได้แปลกอันใด ชาวบ้านทั่วไปไม่มีเงิน อะไรอะไรล้วนสามารถเปลี่ยนเป็นทรัพย์ได้ทั้งนั้น ยกบุตรสาวให้เป็นอนุ ยกเมียให้เป็นบ่าว ขายบุตรชายให้แม่ม่ายล้วนเห็นได้จนเป็นเรื่องปกติ การที่ข้าขายตัวเพื่อช่วยเหลือมารดาถือเป็นการรู้คุณที่สมควร…
บิดามารดาปรึกษากันอยู่นานว่าจะขายที่ไหนดีเพื่อให้ได้ราคางาม สุดท้ายก็ปักใจไปที่เมืองหลวงแม้จะอันตรายไปบ้างแต่เรื่องราวก็ผ่านมาได้เกือบสิบปีทุกอย่างล้วนลืมเลือนไปตามกาลเวลา
ข้าในวัยแปดขวบมุ่งสู่เมืองหลวงเพื่อขายตัว เนื่องจากเดินทางมาเป็นระยะเวลาแรมเดือนสภาพของข้าไม่ต่างจากขอทานน้อยเสียด้วยซ้ำ แม่ข้าที่ป่วยอยู่ลูบแก้มไปมาพลางน้ำตาไหลอาบหน้า ข้าเพียงกุมมือนางอย่างแผ่วเบาอย่างให้กำลังใจ ขอเพียงแม่ข้าหายดีการมีบุตรชายอีกสักเจ็ดคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก สูญเสียข้าไปเพียงหนึ่งกับได้กลับมามหาศาลถือว่าเป็นการกระทำที่คุ้มค่าและคู่ควร อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องเสียค่าอาหารเลี้ยงดูข้าอีกคน
ข้าร้องเพลงกล่อมนางจนหลับจากนั้นก็เดินไปกับพ่อเร่ขายตน
เนื่องจากกระดาษมีราคาแพงชาวบ้านธรรมดาอย่างข้าก็มิอาจตัดใจนำมาใช้ได้เพียงเพื่อเร่ขายตนเอง ข้ากับบิดาจึงไปกากชานอ้อยติดป้ายขายตน พลางเขียนบทกวีง่ายๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจ หลังจากข้ามองเหล่าชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาแต่กระนั้นก็ไม่มีใครเหลือบแลเด็กในสภาพเหมือนกับขอทานน้อยผอมแห้งไม่มีแรงเช่นข้า
“นี่เจ้าชนชั้นต่ำ หยุดก่อนสิ” เสียงแหลมเล็กของเด็กชายเพียงมองด้วยหางตาก็รู้ว่าเป็นคุณชายน้อยที่สูงศักดิ์ ทั้งกลิ่นเครื่องหอมชั้นดีที่ลอยตามลม ยิ่งไม่รวมถึงผ้าต่วนเนื้อดีย้อมสีครามสดใส ข้ากับพ่อรีบหลบทางเนื่องจากเกรงว่าตนจะขวางหูขวางตาคุณชายน้อยท่านนี้เข้า
“บทกวีนี้เจ้าแต่งเองรึ” แต่แล้วคุณชายน้อยก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ยื่นพัดที่ทำจากไม้กฤษณาเนื้อดีชี้มายังเศษชานอ้อยที่ห้อยบนคอ
โชคชะตาลิขิตฟ้า เมตตาข้าให้รับใช้
“ถึงแม้ลายมือจะอัปลักษณ์ไปหน่อยแต่กลอนสี่อักษรของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว ดี งั้นข้าตกลงจะซื้อเจ้า” เสียงของคุณชายน้อยเอ่ยอย่างยโสโอหังทำเอาเหย่าฉายเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตะลึง ผิวขาวนวลเนียนเหมือนจันทร์ผ่อง ริมฝีปากสีชมพูเหมือนดอกมู่หลาน คิ้วแหลมคมเหมือนพญาอินทรี ใบหน้าเชิดขึ้นเหมือนไม่แยแสใคร ก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกข้ารับใช้ให้เอาเงินมาให้
“แค่นี้คงพอสินะ” ไม่พูดเปล่าก็โยนก้อนตำลึงทองออกมา เหล่าสองพ่อลูกรีบคว้าขึ้นมาด้วยความสั่นเทาแต่เดิมเพียงคิดขายตนได้มากสุดก็เพียงสามสี่ร้อยอีแปะ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าชาวเมืองหลวงจะใจป้ำกว่าที่คิดมาก เพียงแค่นี้มารดาก็จะสามารถรักษาได้อย่าง
เหมาะสมเสียที
“ขอบพระคุณ นายน้อยที่เมตตา” เสียงของสองพ่อลูกก้มตัวลงโขกศีรษะลงบนพื้นอย่างไม่สนใจใคร
นี่คือ….ความประทับใจที่ฟู่กุ้ยได้เจอกับนายน้อยครั้งแรก
หลังจากนั้นไม่นานเมื่อกลับไปถึงจวนสกุลหยวน จวนที่โอ่อ่าใหญ่โตที่สุดที่เขาเคยเห็นมา ใหญ่กว่าจวนของเจ้าเมืองที่ฟู่กุ้ยเคยเห็นไม่รู้ตั้งกี่เท่า ในครั้งแรกที่ฟู่กุ้ยได้เห็นก็คิดว่าที่นั่นเปรียบเหมือนสวรรค์บนดินจนเผลอหลุดปากออกมาอย่างลืมตัว “ที่นี่เป็นสวรรค์หรือขอรับ”
สิ่งที่ได้รับการตอบรับนั้นก็คือ “จะเป็นสวรรค์ได้อย่างไรเจ้าลาโง่ ไปพ่อบ้านเซียวรีบเอาเจ้าลาน้อยนี้ไปอาบน้ำแต่งตัวข้าจะเอามาเป็นบ่าวส่วนตัวข้า”
“ขอรับนายน้อย” พ่อบ้านเซียวที่มีผมงอกแทบจะครึ่งหัวก้มหัวลง ทำเอาเหย่าฉายมองคุณชายด้วยแววตาชื่นชมอย่างเปี่ยมล้น
นายน้อยยิ่งใหญ่ไร้ใครเทียม แม้คนแก่คราวทวดก็จำต้องก้มหัวให้
หลังจากนั้นฟู่กุ้ยก็ถูกขัดเนื้อขัดตัวเอาคาบเหงื่อคราบไคลออกไปเสียสิ้น ผมที่ยุ่งเหยิงมาแรมเดือนก็ถูกบรรดาท่านน้าหวีให้จนสะอาดเรียบร้อยดี
“นายน้อย ข้านำบ่าวมาให้แล้วขอรับ”
“เข้ามา” เสียงของนายน้อยยังอหังการเช่นเดิม ตอนนี้ด้านซ้ายขวาของนายน้อยล้วนแต่มีสาวใช้คอยปรนนิบัติรับใช้เดียวคอยป้อนขนม หยิบน้ำชา ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงตนเองแต่อย่างใด ส่งผลให้เหย่าฉายในตอนเลื่อมใสศรัทธาเข้าไปอีกขั้น
“เงยหน้าขึ้นสิ” นายน้อยพูดขึ้นพลางกัดขนมที่บ่าวข้างกายของคอยป้อนขึ้นอีกชิ้น
ฟู่กุ้ยยเงยหน้าขึ้นอย่างเกร็งๆ
“อืม พออาบน้ำอาบท่าผิวพรรณเจ้าก็ไม่เลวเลย ติดก็เพียงคล้ำแดดไปหน่อยที่เหลือนับว่าใช้ได้” นายน้อยพูดพลางกินขนมไปพลาง ก่อนที่จะเอามือหยิบน้ำชาจากมือสาวใช้อีกด้วย
“ร้อน” ทันทีที่จิบน้ำชาความร้อนก็จู่โจมทันที จอกน้ำชาถูกสาดไปที่สาวใช้อย่างไม่สนใจไยดี
“กรี๊ดด ร้อนเจ้าค่ะนายน้อย” สาวใช้โอดครวญ
“รู้ว่าร้อนแล้วเหตุใดยังเอามาให้ข้าดื่มอีก นี่เจ้า...ไปเอากาน้ำชามา” เสียงของนายน้อยดังขึ้นพลางใช้มันไปหยิบกาน้ำชาลายครามมาจากสาวใช้ที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นร้องขอความเมตตา
เหย่าฉายหรือฟู่กุ้ยในตอนนั้นหยิบกาขึ้นมาอย่างเบามือเนื่องจากลายครามนี้ มันพอรู้อยู่บ้างว่าแพงระยับ
“สาดใส่พวกนาง ข้าบอกว่าให้สาดใส่พวกนาง” นายน้อยพูดเสียงดังลั่นพลางสั่งบ่าวรับใช้คนใหม่ให้ทำตาม แม้จะงกเงิ่นไปบ้างแต่เด็กนี่ก็ไม่ทำให้มันผิดหวัง เหย่าฉายสาดน้ำใส่พวกนาง
แม้ตัวเขาจะลังเลอยู่บ้างแต่นายน้อยสั่งให้มันทำมันก็จำเป็นต้องทำ…
เหล่าข้ารับใช้ที่หวีดร้องเสียงแหลมจากน้ำร้อนลวก
“เฮอะ ร้อนงั้นรึ น้ำชากานี่นั่นแหละที่พวกเจ้ายกมาให้ข้าดื่ม” พูดจบก็ขว้างแก้วชาที่อยู่ในมือส่งผลให้สาวใช้ตัวสั่นหวั่นไหว
“ไป ไสหัวออกไป” เหล่าบ่าวรับใช้ที่ตัวสั่นงกงันรีบจากไป ย่างเท้าอย่างเร่งรีบ
“เจ้าชื่ออะไร”
“บะ…บ่าวชื่อเหย่าฉายขอรับ” เหย่าฉายในตอนนั้นกำลังกลั้นสะอื้นอย่างสุดความสามารถ รอบดวงตาออกสีแดงจาง หากแต่ไร้ซึ่งน้ำตาสักหยดเดียว และแน่นอนนายน้อยที่มีนิสัยแข็งแกร่งดุจผูผามีหรือจะสนใจมัน
“เหย่างั้นรึ?”
“เหย่าจากคำว่ายา ฉายจากคำว่าสมบัติขอรับ” เขาพูดอย่างนอบน้อม
”เหย่าจากคำว่ายาอย่างนั้นรึ” เสียงของนายน้อยที่ดังขึ้นอย่างตกใจ มองมันราวกับเป็นหนอนแมลง
“อักษรในโลกนี้ก็มีตั้งมาก เหตุใดต้องเป็นคำว่าเหย่า เจ้ารู้รึไม่ตั้งแต่ข้าเกิดมาข้าเกลียดอะไรมากที่สุด อันดับหนึ่งคือหนังสือ สองนั่นก็คือยา ชื่อของเจ้าดันมีตัวอักษรของสิ่งที่ข้ารังเกียจเสียนี้” เขาว่าพร้อมยกมุมปากขึ้นอย่างขยะแขยง และพูดว่า “หากเป็นเช่นนี้แล้วก็นับว่าเป็นวาสนาของเจ้าที่ได้รับเกียรติให้คุณชายผู้สูงศักดิ์ของข้าตั้งชื่อ อืม....” นายน้อยคิดอย่างตั้งใจ แล้วก็คิดถึงเหล่าตัวอักษรที่ถูกให้คัดจนเขาเข็ดขยาดเต็มที
“ฟู่กุ้ยเป็นเช่นไร ฟู่จากคำว่าอุดมสมบูรณ์ ส่วนกุ่ยก็จากคำว่าร่ำรวย เจ้าจะมาเป็นบ่าวรับใช้ข้าก็ต้องนำมาซึ่งความยินดีให้แก่ข้า เข้าใจหรือไม่...ฟู่กุ้ย”
“ฟู่กุ้ยน้อมรับขอรับ” เหย่าฉายหรือฟู่กุ้ยทรุดตัวลงแล้วเอาศีรษะไปโขกกับพื้นด้วยความยินดี
“แล้วปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วหล่ะ” นายน้อยถามอย่างวางภูมิ
“แปดปีขอรับ”
“อะไรนะ” เสียงนายน้อยที่ตะโกนดังลั่น เหลือบมองหน้าตามันไปมาด้วยดวงตาเท่าไข่ห่านแลดูน่าเอ็นดูจนมันคันไม้คันมือยิบๆ
“เหตุใดจึงแปดปี” นายน้อยมองมันอย่างโมโหโกรธาลุกขึ้นจากที่นั่งเหลือบมองมันซ้ายแลขวาอย่างไม่ตั้งใจ
“เอ่อ..จะ...เจ็ด ไม่สิจริงแล้วข้าน้อยอายุห้าขวบปี พอดีข้าน้อยโง่เขลานัก นับวันเดือนปีไม่ค่อยคล่อง” ฟู่กุ้ยรีบพูดขึ้นเมื่อเห็นนายน้อย
หยิบแก้วน้ำชาใบใหม่ ดูเหมือนจะเตรียมขว้างปา หากแต่เมื่อมันเพียงเปลี่ยนอายุที่แท้จริงก็วางมันลงแต่โดยดี
“ดี ปีนี้ข้าอายุหกขวบกับอีกสามเดือน นับว่าเป็นพี่เจ้า” นายน้อยพูดพลางกระหยิ่มยิ้มย่องเอามือไขว่หลังอย่างผู้ทรงภูมิ เนื่องด้วยท่านแม่ของเขาให้กำเนิดบุตรชายเพียงคนเดียว เขาจึงเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในบ้าน เขาจึงจำใจต้องไปเล่นกับเหล่าคุณชายน้อยคนอื่นอย่างช่วยไม่ได้ แต่ระยะหลังมานี้เหล่าบรรดาคุณชายที่อ่อนแอล้วนหลบหน้าเหมือนเห็นเขาเป็นผีร้าย ทำให้เขา “เล่น” ไม่ได้อย่างเต็มที่ ส่วนพวกที่ไม่หลบหลีกถอยหนีล้วนแต่เป็นราชนิกุลที่เขาไม่อาจล่วงเกินจึงได้ ได้แต่เก็บเกี่ยวความคับแค้นไว้ในอก เลยถือโอกาสซื้อเจ้าบ่าวตัวจิ๋วมาเป็นที่รองมือรองเท้า แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็นว่าอายุมากกว่าซะนี้ ตอนแรกก็กะทุบตีขับไล่ไปอยู่เรือนซักล้าง แต่เพราะอีกฝ่ายไม่รู้ความเป็นเพียงคนชั้นต่ำทั้งยังอายุน้อยกว่าเขา และเขาเองก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่ถือสาหาความกับเด็กเช่นนี้
“เอาเถอะวันนี้เจ้าไปพักได้แล้ว” เมื่อถามได้รู้ความแล้วพลันเขาเห็นอีกฝ่ายสั่นเล็กๆ อาจเป็นเพราะยังไม่เคยฝึกเป็นบ่าวเลยไม่ชินกับการคุกเข่าเป็นเวลานาน คงต้องบอกให้พ่อบ้านเซียวดูแลคนของเขาให้ดีซะหน่อยแล้ว
“ขอบพระคุณขอรับนายน้อย” ฟู่กุ้ยรับคำก่อนที่จะค่อยๆ ถอยหลังออกจากห้อง ทันทีที่เดิมตามสาวใช้ออกจากในจวน หยดน้ำตาก็พลันพรั่งพรูออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“พี่สาว ฟู่กุ้ยเจ็บ ฮึก ฮืออ” เสียงร้องไห้จ้าดังขึ้นชายกางเกงสีครามของฟู่กุ้ยบัดนี้ขาดเป็นรู เผยให้เห็นเข่าที่เต็มไปด้วยเศษแก้วบาดผิวไปทั่วทั้งเข่า
“ว๊าย…นี่เจ้า” เดิมทีนางคิดจะเอ็ดเด็กน้อยสักนิด เนื่องจากที่นี่เป็นถึงจวนเสนาบดีหาใช่กระท่อมเล็กๆ ของบ่าวไพร่ที่เจ้าจะร้องไห้แล้วได้ทุกอย่างที่ต้องการ พลันเห็นเข่าที่ยอมไปด้วยเลือด หล่อนก็เปลี่ยนความคิดรีบพาเข้าไปในโรงครัวทันที
ภายในโรงครัวเต็มไปด้วยเหล่าสาวใช้ที่โดนลวกจากน้ำชาก่อนหน้า กำลังพยายามรักษาผิวผ่องเอากากดอกเก๊กฮวยที่เหลือมาปกรอยแดงตามรอยลวก
“นี่เจ้ารีบไปเอาสุรากับผ้าสะอาดมาเร็วเข้า” เสียงหวีดร้องของบ่าวอาวุโสทันทีที่เข้ามาโรงครัว
“กูกู่เป็นอันใดหรือเจ้าคะ ส่งเสียงดังเอะอะเชียว” เสียงของบ่าวร่างเล็กอีกเคยที่กำลังยกชาเก๊กฮวยมาให้ ทันใดนั้นเองก็เห็นกูกู่ร่างเล็กอุ้มบ่าวรับใช้คนใหม่ของคุณชายน้อยเข้าโรงครัว ขาเล็กเก้งก้างนั้นปรากฏเลือดไหลเป็นทาง
“ว๊าย รีบวางไว้ตรงนี้เร็ว” เหล่าบรรดาบ่าวชายและบ่าวหญิงเหลือบมองเด็กชายที่กำลังกลั้นสะอื้นด้วยความสงสาร บ่าวรับใช้ที่คนอื่นต่างเรียกว่ากูกู่หยิบตะเกียบแล้วค่อยๆ คีบเศษแก้วออกจากบาดแผลทีละชิ้น ทันทีที่หยิบเศษแก้วออก เลือดสีแดงสดก็โพยพุ่งออกมาเหมือนเขื่อนที่พังทลาย เหล่าสาวใช้ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือนำผ้าสะอาดกดแผลที่อยู่บนขาคนร่างเล็ก เด็กน้อยที่พยายามกลั้นสะอื้นกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถก่อนที่นัยน์ตาของฟู่กุ้ยเหลือบไปมองพี่สาวที่ฟู่กุ้ยจำต้องสาดน้ำชาใส่ที่กำลังมองให้กำลังใจอยู่เคียงข้างกัน
มือเล็กแม้ไม่ได้นิ่มเหมือนลูกผู้ดีกำเข้าไปที่ชายกระโปรงของหญิงสาวตรงหน้าพร้อมเอ่ยเสียงครวญ
“พี่สาวคนดี ฟู่…ฮึก… ฟู่กุ้ย ขอโทษ” ฟู่กุ้ยพูดพลางน้ำตาไหลอาบแก้ม เหลือบมองบาดแผลที่ปกคลุมด้วยกากใยของดอกเก๊กฮวยด้วยความรู้สึกผิด
“เจ้าเด็กโง่ เจ้าจะมาขอโทษทำไม เขาเป็นนายเจ้าเป็นบ่าว นายสั่งทำอะไรล้วนต้องทำตามนั้น ต่อให้เขาสั่งให้เจ้าฆ่าข้า บ่าวอย่างเราก็ไม่มีสิทธิ์ถามด้วยซ้ำ” พี่สาวตรงหน้าพูดอย่างไม่ยี่หระกับบาดแผลที่ได้รับ พลางใช้พัดโบกให้เด็กชาย “เตรียมใจไว้ดีล่ะ ขั้นตอนนี้เจ็บมาก” ไม่ทันขาดคำสุราก็ถูกสาดเข้าแผลโดยตรงสร้างความเจ็บปวดให้ฟู่กุ้ยเป็นอย่างมากแต่ก็กลั้นใจไว้
“แม้นเจ้าเจ็บแค่ไหนก็ต้องทน ภายภาคหน้าล้วนมีเหตุการณ์มากมายที่เจ้าต้องเผชิญ จงจำคำของข้าไว้ จงอดทน” บ่าวสาวคนนั้นพูดพลางหัวเราะเยาะต่อโชคชะตา นิ้วงามปัดเส้นผมของฟู่กุ้ยที่ชื้นแฉะไปด้วยเหงื่อ
“สุรานับว่าเป็นของมีค่า แต่นับว่าไม่ได้แพงเท่ากับเกลือ เพราะฉะนั้นรีบปรนนิบัติรับใช้คุณชายให้ดี แล้วรีบมาตอบแทนพวกข้า”
“เฮ้อ เสร็จสักที” เสียงของกูกู่ดีขึ้นเล็กน้อยพลางมัดปมที่ข้อเข่า โชคดีที่แผลไม่ลึกจนถึงกระดูก เศษแก้วที่แทงเข้าไปมีชิ้นไม่ใหญ่มากนัก คนในโรงครัวก็เหมือนจะคุ้นชินดี หยิบขี้เถ้าก้นครัวมาโปะแผลให้เด็กชายเพื่อห้ามเลือด
“ขอโทษขอรับที่ต้องทำให้ลำบาก” ฟู่กุ้ยพูดเสียงอ่อย เขามาถึงจวนเพียงวันเดียวก็ทำให้ผู้คนวุ่นวายไปหมด อีกทั้งนึกถึงสุราที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ก็เพราะเขาเอง
“ข้าว่าเปลี่ยนจากขอโทษมาเป็นขอบคุณได้หรือไม่” กูกู่พูดด้วยความอารี
“ขอบคุณขอรับ” ฟู่กุ้ยพูด จากนั้นไม่นานก็สลบไป
เสียงของกระทะดับตะหลิวที่ดังโฉ้งเช้งไม่หยุดช่วงเวลาที่เขาตื่นคาดว่าจะเป็นยามเซิน เนื่องจากเราห้องครัวเตรียมจัดหาอาหาร แผลที่เข่าเองก็ดูเหมือนว่าเลือดก็จะหยุดไหลแล้ว ในฐานะที่พึ่งกลายมาเป็นบ่าวรับใช้เขาเองก็ไม่อยากที่จะงอมืองอเท้า
แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักใครในโรงครัว เนื่องด้วยเขาเป็นเด็กตัวเล็กเก้งก้างแต่กระนั้นก็ยังมีจิตใจต้องการช่วยเหลือเหล่าพี่สาวล้วนเอ็นดู แม้จะดูเก้งก้างไม่เป็นงานอยู่บ้างแต่งานที่เขาทำก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใดเพียงเด็ดผัก ล้างผัก หยิบสมุนไพร จึงไม่ได้มีปัญหาอันใดนัก
เมื่ออาหารมื้อใหญ่ได้ตั้งสำรับจานเนื้อหกอย่างผักอย่างและน้ำแกงอีกหนึ่งอย่างก็นับได้ว่ามื้ออาหารมื้อโตที่สุดที่เขาเคยเจอมา
ยามอยู่บ้านพอมั่งมีกับข้าวที่มีก็เพียงจานเนื้อหนึ่งจานผักสองจานก็เท่านั้น
แม้อาหารจะกลิ่นเย้ายวนใจในฐานะที่ตนเป็นบ่าวก็จำต้องสำรวมกิริยากล้ำกลืนน้ำลายจนสุดความสามารถ ยามเช้ามานี่กินได้เพียงหมั่นโถวแข็งๆ หนึ่งลูกเพื่อประทังชีวิตก็อดสะท้อนใจไม่ได้
“เอานี่” เสียงพี่สาวที่ดังขึ้นอยู่ด้านหลัง พร้อมเศษหนังหมูของขาหมูที่ตุ๋นเข้ามาในปากแม้จะเค็มไปบ้างแต่ก็นับว่านุ่มละลายทันทีที่กัดลงไป
“อร่อยจังเลยขอรับ” ฟู่กุ้ยพูดพลางกินเศษหนังหมูอย่างอารมณ์ดี พี่สาวยิ้มรับก่อนที่จะใช้มีดหั่นไปที่ขาหมูที่ถูกเลือกส่วนที่ดีแก่ผู้เป็นนาย
“เพราะข้าเห็นว่าเจ้ารู้จักอดทนอดกลั้นหรอกนะ ถึงยอมยกเศษเนื้อนั้นให้ หากเป็นยามปกติหากนายยังทาสวง
ไม่ทานก็อย่าหวังว่าเจ้าจะได้ลิ้มรส”
“ขอรับ” ฟู่กุ้ยยิ้มกว้างก่อนที่บรรดาเหล่าบ่าวรับใช้ทั้งหลายจะเริ่มหยิบอาหารคาวหวานมุ่งสู่เรือนใหญ่
จากที่ได้ยินมาทุกวันอาทิตย์จะมีการจัดสำรับใหญ่เป็นวันที่จะได้ทานอาหารพร้อมหน้า หากเป็นวันอื่นๆ จะแยกสำรับทานแต่ละเรือนส่วนตัว
“ฟู่กุ้ย นายน้อยเรียก” เสียงของบ่าวชายที่รีบวิ่งรี่มาจากเรือนใหญ่ ฟู่กุ้ยจึงจำต้องหยุดงานล้านจานในมือ แล้วเดินตามออกไปอย่างเร่งรีบ
เรือนไม้งดงามสะอาดตาแม้แต่บนราวบันไดก็ยังมีการแกะสลักรูปเหล่ามวลหมู่ดอกไม้งามตลอดแนว อีกทั้งวิวทิวทัศน์เป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่มีศาลาอยู่กลางบึง เหล่ามวลหมู่ผกาสีชมพูที่แข่งขันกันออกดอกผลิใบ งามเสียจนฟู่กุ้ยลืมหายใจ
“มัวเหม่ออะไรอยู่หล่ะ มาเร็วๆ สิ” เสียงบ่าวชายตามเร่ง ก่อนที่จะจับแขนบางเหมือนท่อนไม้ฉุดไปตามแรงมือ แม้จะเจ็บอยู่บ้างแต่
ฟู่กุ้ยก็ไม่ได้ร้องเพียงแต่พยายามก้าวขาสั้นๆ ให้ไวยิ่งขึ้น
เรือนใหญ่สว่างไสวไม่เกรงกลัวว่าจะไร้ซึ่งน้ำมันตะเกียง
“บ่าวพาฟู่กุ้ยมาแล้วขอรับ”
“เข้ามา” ทันทีได้ยินเสียงเชิญ ฟู่กุ้ยก็ค้อมตัวมองพื้น
“เจ้าชื่อฟู่กุ้ยรึ” เสียงหวีดแหลมของหญิงสาวสูงศักดิ์ขึ้นตรงหน้า เนื่องจากมันเป็นเพียงบ่าวเลยมองเห็นเพียงปลายเท้าของตนเอง
“ขอรับ” มันว่าอย่างนอบน้อม
“ท่านแม่เห็นไหมหรือขอรับ บ่าวคนใหม่ของข้าผอมแห้งแรงน้อยนัก ข้าที่เป็นนายที่ดีจึงจำต้องเก็บหนังหมูเอาไว้ให้มัน หากให้มันไปแย่งอาหารกับบ่าวในโรงครัวเกรงว่ากระดูกสักชิ้นก็คงไม่ได้กิน” นายน้อยว่าพลางยื่นไปหยิบถ้วยเล็กจากมือบ่าวรับใช้คีบหนังหมูที่ได้มาใส่ไปลงไป และในยามที่มารดาไม่สนใจก็แอบคายหนังหมูที่ลงใส่ในชาม
หนังของขาหมูทั้งมันทั้งเลี่ยน เขาไม่ชอบเลยสักนิด แต่เนื้อแดงที่อยู่ภายในกลับเปื่อยยุ่ยเลิศรสนัก
ยามนี้มันมีบ่าวประจำตัวเป็นของตัวเองแล้ว ในฐานะคนที่โต
กว่าจึงรู้จักเสียสละให้
เจ้าฟู่กุ้ยเองคงจะสำนึกบุญคุณเป็นล้นพ้นแน่ นายน้อยคิดอย่างย่ามใจก่อนที่จะคีบผักเหม็นเขียวอีกก้านที่บิดาคีบใส่ชามให้มัน
ในขณะนั้นฮูหยินของจวนกำลังสอดส่องมองบ่าวร่างเล็ก แม้จะผอมบางไปบ้างแต่หากเลี้ยงดูสักพักคงมีเนื้อหนังให้พอยล อีกทั้งใบหน้าค้อมต่ำไม่ว่อกแว่กไปไหนดูเจียมกะลาหัวดี มาเพียงวันเดียวก็พอรู้ความแล้ว
“เป็นบ่าวที่ไม่เลว เฉิงเออร์ของแม่ช่างมีตาแหลมคมนั้น” ฮูหยินพูดเสียงหวานพลางลูบหัวลูกน้อยอย่างอ่อนโยน
“เอ้าฟู่กุ้ย ยังไม่รีบขอบพระคุณนายน้อยอีก ขอบพระคุณที่
ฮูหยินมีเมตตากับเจ้า” ฉับพลันเสียงของพ่อบ้านเซียวก็ดังขึ้นหลังจากที่ปล่อยให้ฮูหยินสำรวจบ่าวตัวน้อยจนพอใจ เขาก็เอ่ยปากทันทีอย่างรู้ความ
“ฟู่กุ้ยขอบคุณที่นายน้อยเมตตา” ว่าจบฟู่กุ้ยก็คุกเข่าเอาหัวโขกพื้น พยายามลืมเลือนความเจ็บปวดที่เข่าบางจนหมดสิ้น
“ดี ลุกขึ้นได้” เสียงของนายน้อยที่กำลังกินเนื้อแดงของขาหมูอย่างเอร็ดอร่อยมองบ่าวของตนอย่างพออกพอใจ อาหารใดที่ไม่ชอบก็ตักใส่ อาหารใดที่เขาชอบก็กินเอง หลายครั้งหลายคราจนชามเล็กของฟู่กุ้ยพูนชาม
หลังจากเรือนใหญ่ทานเสร็จครานี้ก็ถึงคราวมัน มองเหล่าข้ารับใช้ที่คลาคล่ำไปทั่วทั้งโรงครัว
ผู้ได้กินก่อนคราแรกคือเหล่าคนสนิทคนใกล้ชิดของเรือนใหญ่ ต่อมาคือเหล่าองครักษ์ คราสุดท้ายคือบ่าวทั่วไป เรียกได้ว่ากว่าจะถึงคราของฟู่กุ้ยอาหารก็ร่อยหรอเต็มที แต่โชคยังดีที่ฟู่กุ้ยยังมีชามข้าววิเศษที่นายน้อยมอบให้ อัดแน่นไปด้วยกับข้าวเลิศรสจนเต็มชาม อีกทั้งด้วยความที่มันผอมแห้งจะปลิวลม อีกทั้งภายหลังต้องคอยปรนนิบัติปีศาจตัวน้อยประจำจวน คนในจวนจึงพอเห็นใจมันอยู่บ้างไม่แย่งกับข้าวกับปลาแต่อย่างใด
เวลาล่วงเลยไปถึงยามไฮ้บ่าวตัวน้อยอย่างฟู่กุ้ยก็ได้เวลากลับเรือนนอน บ่าวสาวประจำตัวของฮูหยินใหญ่นามว่าสุ่ยพร่ำสอนเกี่ยวกับวิธีการวางตัวของมันตลอดการเดินทางไปยังห้องนอน
“ต่อไปนี้เจ้าจะต้องปรนนิบัตินายน้อยให้ดีอย่าได้ขาดตกบกพร่องเป็นอันขาด ตื่นยามอิ๋น รับใช้ยามเฉา จงจำไว้ให้มั่น แม้นายน้อยจะอารมณ์ร้ายไปบ้าง แต่คนเป็นบ่าวเยี่ยงเจ้าก็อย่าได้ริอาจโมโหโทโสเป็นอันขาด หากเจ้าเผลอแตะต้องนายน้อยแม้ปลายเล็บ ข้าก็เกรงว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายเป็นอย่างไร บัดนี้นายน้อยเป็นเจ้าชีวิตของเจ้า เป็นนายของเจ้า แม้เจ้าจะตายก็ยังเป็นผีของนายน้อย อย่าริอาจได้ทรยศเป็นอันขาด” เสียงบ่าวยังคงพร่ำเพ้ออยู่หน้าประตู จ้องมองหน้ามันอย่างวาววับเหมือนคมมีด
“ถ้านายสั่งอะไรจงเชื่อฟัง หากนายน้อยสั่งให้เจ้าไปตายเจ้าก็ต้องไปตาย หากนายน้อยสั่งให้เจ้าทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าเจ้าก็ต้องทำ เข้าใจหรือไม่” ว่าแล้วก็จับมือมันสองข้างแล้วเขย่าเหมือนเสียสติ แต่ทั้งๆ ที่แววตาคมเหมือนใบมีดโกน แต่หากสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว แต่กระนั้นแววตาของหล่อนก็ยังคงแน่วแน่และซื่อตรง
“ขอรับ” ฟู่กุ้ยเองก็แน่วแน่ไม่ต่างกัน
--------------------------------------------------
สนับสนุนนักเขียนได้ที่
|
ความคิดเห็น