คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 [100%]
ช่วงสายของวันรุ่งขึ้น องค์ชายเล็กลุกขึ้นจากเตียงด้วยอาการปวดหัวที่บรรเทาลงมาก ก่อนจะมองไปรอบๆ กวาดสายตาหาเจ้าของบ้านใจดีที่เมื่อคืนสละที่นอนและผ้าห่มให้ในเวลาที่ตนป่วยหนัก แถมยังให้ใส่เสื้อผ้าอุ่นๆอีกต่างหาก
“ท่านเต๋า... อยู่ข้างนอกเหรอ...”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในบ้าน จึงออกไปล้างหน้า และเดินหารอบๆ แต่ก็ไม่มีวี่แวว ยิ่งไปกว่านั้นม้าคู่ใจของช่างหนุ่มก็หายไปจากคอกด้วย คชาใจหายวาบ
“ท่านเต๋า... เจ้าม้า... หายไปไหนกันหมด...”
ขาเรียวเดินออกห่างจากบริเวณบ้าน พลางตะโกนเรียกซ้ำ
“ท่านเต๋า... อยู่ไหน... อย่าทิ้งชานะ... ชาไม่กล้าอยู่คนเดียว...”
คนตัวเล็กทำท่าจะเดินออกไปไกลขึ้น แต่เมื่อมองไปเห็นต้นไม้รอบๆที่มีลักษณะเหมือนๆกันไปหมดก็เกิดกลัวว่าจะกลับมาที่บ้านไม่ถูก ถ้าดื้อดึงไปต่อแล้วเกิดหลงทาง กลัวจะสร้างความวุ่นวายจนโดนดุอีก จึงได้แต่กลับเข้ามาในบ้าน ทานอาหารที่เจ้าของบ้านทิ้งไว้ให้อย่างเงียบๆ
...
...
...
กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงตอนบ่าย ชายหนุ่มพาเจ้าม้าสีดำเข้าไปพักผ่อนในคอก ก่อนจะหอบหิ้วกล่องใส่อาวุธที่นำไปขาย อาหารแห้ง และห่อผ้าใบไม่ใหญ่นัก ติดมือกลับเข้าไปในบ้านด้วย แต่ก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อเห็นองค์ชายตัวน้อยนั่งหลับตาขดตัวอยู่ข้างหีบผ้า ใกล้กับผนังที่ใช้แขวนอาวุธ
“นี่องค์ชาย มานั่งหลับอะไรตรงนี้” เต๋าเรียกเสียงดัง ก่อนจะโยนห่อผ้านั่นใส่ ทำเอาเด็กขี้เซาสะดุ้งตื่น
“ท...ท่านเต๋า ท่านหายไปไหนมา” คชาถามทั้งๆที่ยังงัวเงีย
“อ้าว ฉันก็ต้องเข้าเมืองไปทำมาหากินบ้างสิ แล้วมาหลับอะไรตรงนี้ ไม่ใช่ที่นอนซะหน่อย เดี๋ยวขวานก็หล่นมาตัดคอขาด” เสียงทุ้มกล่าวอย่างดุๆ แต่ก็ต้องหลุดหัวเราะออกมา เมื่อร่างบางนั่นลนลานขยับออกห่างจากบริเวณนั้นทันที “ในถุงนั่นน่ะ ฉันซื้อเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน”
“ท่านเต๋าให้เราเหรอ?” คนตัวเล็กถามอย่างประหลาดใจ
“อือ ชุดเดิมก็ขาดหมดแล้ว อีกอย่าง นายใส่เสื้อผ้าฉันแล้วมันตลกชะมัด”
“ท่านเต๋าใจดีจัง... ขอบคุณท่านมากนะ...” กล่าวขอบคุณพร้อมส่งยิ้มหวาน จนชายหนุ่มเผลอมองไม่ละสายตา รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่องค์ชายเล็กพูดต่อ “ถ้างั้นเราขอเปลี่ยนเลยได้ไหม?”
“ไม่ๆ ยังไม่ได้” คำปฏิเสธทำให้คชาขมวดคิ้ว “นายต้องไปฝึกต่อสู้กับฉันก่อน อาบน้ำเสร็จค่อยเปลี่ยน”
“ฝึกต่อสู้???”
“ก็ใช่น่ะสิ นายเป็นองค์ชาย จะทำตัวอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้”
แขนแข็งแรงคว้าดาบยาวสองด้ามจากผนัง ก่อนจะฉุดร่างบางให้ลุกตามไปที่ลานหน้าบ้าน มือเล็กรับดาบนั้นมาถืออย่างกลัวๆ ท่าทางตื่นตระหนกนั้นดูแตกต่างจากร่างสูงที่ขยับมายืนตรงข้ามอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านเต๋า... ดาบหนักจัง...”
“อย่าบ่นน่า เอ้า ลองแกว่งดาบดูแบบนี้” พูดพร้อมแสดงตัวอย่าง
องค์ชายตัวน้อยไม่กล้าขัดคำสั่ง พยายามทำตามอย่างลำบาก แต่ก็ยังโดนตำหนิ
“ทำไมข้อมือมันอ่อนปวกเปียกแบบนั้น จับให้มั่นคงหน่อยสิองค์ชาย”
องค์ชายคชาพยายามอยู่พักใหญ่ จนช่างหนุ่มทนไม่ไหว ต้องเข้าไปจัดท่าทางให้ โดยเข้าไปยืนประกบทางด้านหลัง วาดแขนขึ้นมาจับมือเล็กไว้
“นี่... อย่างอข้อมือ ต้องจับให้แน่นๆแบบนี้ ถ้าจะฟันก็ขยับแขน หมุนข้อมือแบบนี้” ว่าพลางบังคับข้อมือบางให้เหวี่ยงดาบไปมา “เข้าใจแล้วใช่ไหม ลองทำเองดูก่อน ถ้าคล่องแล้วเดี๋ยวมาสู้กัน”
“จะให้เราสู้กับท่านเต๋าหรือ เราได้ตายคามือท่านแน่ๆ” เสียงหวานตัดพ้อ
“เออน่า ไม่ถึงตายหรอก ฉันแค่จะฝึกให้นายเข้มแข็งขึ้นก่อนจะพากลับวัง ทีหลังจะได้ป้องกันตัวได้ ไม่ถูกใครจับมาง่ายๆแบบนี้อีก ไม่ดีหรือไง”
“ก็ได้ เราจะฝึก” คชารับคำ
...
...
...
เวลาพลบค่ำ องค์ชายสวมเสื้อผ้าชุดใหม่นั่งหมดแรงอยู่กับพื้นบ้าน ยื่นมือเล็กๆที่เต็มไปด้วยแผลพุพองจากการเสียดสีของด้ามโลหะให้ช่างหนุ่มช่วยใส่ยา แม้จะแสบไม่น้อยแต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงร้องเพราะกลัวอีกคนจะรำคาญ ได้แต่กัดริมฝีปากกลั้นน้ำตาจนเสร็จ เต๋าก็อดเห็นใจไม่ได้
“แรกๆก็แบบนี้แหละ ฝึกไปเรื่อยๆมือก็จะด้านแล้วหายเจ็บไปเอง” เสียงทุ้มปลอบ
“แล้วมือของเราก็จะแข็งแรงเหมือนมือท่านเต๋าใช่ไหม?” คชาถามด้วยตาเป็นประกาย เนื่องจากในขณะที่เรียน เขาแอบสังเกตและชื่นชมมือคู่นี้เกือบจะตลอดเวลา มือขาวๆที่ดูแกร่งกร้านทว่าอบอุ่น เหมือนจะปกป้องโลกทั้งใบไว้ได้
“ก็อาจจะ”
“ท่านเต๋าฝึกดาบมานานหรือยัง แล้วอาศัยอยู่ในป่าแบบนี้ มีครูเข้ามาสอนฟันดาบด้วยหรือ?”
“ฉันเคยเรียนตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ไม่ได้ฟันดาบแล้ว ตีดาบขายอย่างเดียว”
“ทำไมล่ะ ท่านเต๋าออกจะฝีมือดี ถ้าท่านรับราชการ ท่านต้องเป็นนักรบชั้นดีของกองทัพแน่ๆ”
“อยู่แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ” ช่างหนุ่มหัวเราะในลำคอ “เออ ฉันสงสัยอยู่อย่างนึง นายเป็นองค์ชาย แต่ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นนายออกไปราชการกับพระราชาเลย ตอนแรกฉันถึงไม่เชื่อว่านายเป็นองค์ชาย”
“อ๋อ... ปกติแล้วท่านพ่อจะไปกับพี่ชายเราที่เป็นองค์รัชทายาท ท่านพ่ออยากให้พี่เรารู้เรื่องบ้านเมืองเยอะๆ ฝึกออกรบบ่อยๆ เป็นนักรบเก่งๆ จะได้ปกครองอาณาจักรได้ ส่วนเราท่านพ่ออยากให้เป็นนักปราชญ์มากกว่า ก็เลยให้อยู่ในวัง เรียนปรัชญา เรียนภาษาต่างประเทศ เรียนการทูต ไว้คอยช่วยเหลือพี่ ท่านพ่อท่านแม่บอกว่าเราไม่ต้องออกรบก็ได้”
“จะว่าไป องค์ชายต้นก็ฝีมือดีใช้ได้นะ” เสียงทุ้มเผลอพูดออกมา
“ท่านเต๋ารู้จักพี่ชายเราด้วยหรือ?”
“เอ่อ... ก็แค่ได้ยินคนเขาร่ำลือกันน่ะ" ชายหนุ่มบอกปัด ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วนายอยู่แต่ในวังน่ะ ไม่เบื่อบ้างหรือไง?”
“ไม่เบื่อหรอก สนุกดี ก่อนหน้านี้มีคนมาคุยมาเล่นกับเราเยอะแยะ มีครูมาสอนดนตรี มีละครบรอดเวย์ให้ดูบ่อยๆ บางทีเราก็ได้เข้าครัวทำอาหาร มีความสุขมากๆเลย จนมีเรื่องกบฏเกิดขึ้นเนี่ยแหละ วังเราก็วุ่นวาย เครียดกันไปหมด” คนตัวเล็กทำหน้าเศร้า “เอ้อ วันนี้ท่านเต๋าเข้าไปในเมืองนี่นา เล่าให้เราฟังบ้างได้ไหมว่าบ้านเมืองเป็นอย่างไรบ้าง”
“อือ...” เขาเรียบเรียงความคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ยังไม่ดีนะ พวกพ่อค้าพูดกันว่าพวกกบฏกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง ขุนนางบางคนก็ถูกข่มขู่จนต้องหนีไป แล้วก็เห็นประกาศตามหาตัวนายติดอยู่ทั่วเมืองเลย”
“ที่เราหายไป ท่านพ่อท่านแม่คงเป็นกังวลมาก... แล้วครอบครัวของเราล่ะท่าน พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?” องค์ชายตัวน้อยวิตก
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่น่าจะปลอดภัยอยู่นะ อย่าคิดมากเลย”
“ท่านเต๋าพาเราไปส่งพรุ่งนี้เลยได้ไหม เราเป็นห่วงพวกเขา”
“จะกลับไปทั้งๆที่ตัวเองยังถูกตามล่าเนี่ยนะ คิดว่าพวกนั้นจะไม่จับนายกลับไปเป็นเชลยอีกหรือไง กลับไปตายชัดๆ” เต๋ากล่าวเสียงแข็ง แต่เมื่อเห็นแววตาหวาดกลัวของอีกฝ่ายก็ปรับเสียงให้นุ่มลง “อยู่ที่นี่สักพักเถอะ ไว้สถานการณ์ดีขึ้นแล้วฉันจะไปส่งเอง”
“อื้อ...” คชาตอบรับเบาๆ น้ำตาคลอ
“อย่าร้องไห้ เป็นองค์ชายต้องเข้มแข็งสิ”
“เรากลัวเหลือเกิน ถึงบ้านเมืองจะเคยมีสงคราม แต่ก็เป็นผู้รุกรานจากอาณาจักรอื่น สู้กันนอกเมืองไม่นานก็จบ ไม่คุกคามเข้ามาถึงในวังในเมืองแบบนี้ แล้วต่อไปผู้คนจะอยู่กันยังไง แล้วครอบครัวชาจะเป็นอะไรมั้ย” องค์ชายร้องไห้ออกมาจนได้
“ฟังนะ มีทหารตั้งมากมายที่พร้อมจะปกป้องพระราชา พวกท่านไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก นายอยู่ตรงนี้ก็ต้องเข้มแข็งเอาไว้ ขี้แยแบบนี้จะช่วยพระราชาได้ยังไงกัน หยุดร้องเถอะ” มือขาวลูบผมนุ่มเบาๆอย่างจะปลอบ
“ฮ...ฮึก... พรุ่งนี้ท่านเต๋าสอนดาบชาอีกนะ... ชาจะตั้งใจเรียน... ชาจะช่วยท่านพ่อ...”
“ได้สิ” ชายหนุ่มส่งยิ้มอบอุ่นให้เป็นครั้งแรก องค์ชายจึงส่งยิ้มกลับไปทั้งน้ำตา
“ขอบคุณท่านเต๋ามากนะ ถึงท่านจะดุแต่ก็ใจดีกับเรามาก เหมือนพี่ชายของเราเลย...” องค์ชายคชาส่งสายตาอ้อนวอน “เรา... เราขอเรียกท่านเต๋าว่าพี่ชายได้ไหม?”
“ว่าไงนะ?”
“ม... ไม่ได้เหรอ?” ใบหน้าน่ารักแสดงอาการผิดหวังอย่างชัดเจน
“ก็... เอ้อ... อย่างอแงสิ... ตามใจนายแล้วกัน...” เต๋าตอบรับอย่างเสียไม่ได้
“ดีใจจัง พี่เต๋า... พี่เต๋าของชา...”
จู่ๆคชาน้อยก็โผเข้ากอดร่างสูงเหมือนเด็กๆ ซุกหน้าเข้ากับไหล่กว้าง ทำเอาอีกฝ่ายวางตัวไม่ถูก รู้สึกขัดๆ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับร่างที่แนบชิด แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้รังเกียจอะไร
“เอ่อ... ดึกแล้ว นายเข้านอนเถอะ นอนบนเตียงก็ได้ จะได้ไม่ป่วยอีก” แขนแกร่งดันร่างเล็กออกห่าง
“ชาไม่อยากเอาเปรียบพี่เต๋า ชาหายป่วยแล้ว คืนนี้นอนที่พื้นก็ได้”
“เอาเถอะน่า นอนเตียงไปเถอะ ฉันยกให้”
“แต่พี่เต๋าบอกว่าชาเป็นองค์ชาย ต้องเข้มแข็ง”
“มันคนละเรื่องกัน”
“งั้นก็นอนเตียงด้วยกันเลยได้ไหม แบ่งกันคนละครึ่ง” เสียงใสเสนอ
“ก็ได้” เสียงทุ้มตอบรับข้อเสนอ
ไม่กี่นาทีต่อมา สองร่างก็ขึ้นไปนอนเบียดกันบนเตียงไม้ขนาดเล็ก แม้จะอึดอัดไปหน่อย แต่เจ้าของเตียงก็หลับลงอย่างง่ายดาย แตกต่างจากคชาที่ใบหน้าแดงวาบ ใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ผ่านไปค่อนคืนก็ยังหลับไม่ลงสักที
ที่ชานอนไม่หลับเป็นเพราะเตียงแคบเกินไป หรือเพราะมีใครละเมอมากอดกันนะ
ทำไมเวลาถูกพี่เต๋ากอดถึงตื่นเต้นขนาดนี้ ไม่เห็นเหมือนตอนพี่ต้นกอดเลยสักนิด
ทั้งๆที่ทั้งสองคนก็เป็นพี่ชายของชาเหมือนกันแท้ๆ
[100% แล้วค่ะ]
*Talk*
อะแฮ่มๆ สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านที่น่ารักทุกคน (แอบเขิน ><" )
ขอบคุณที่แวะมาอ่านฟิคเรื่องนี้นะคะ
ถึงจะมาทีละนิด แต่เราก็จะพยายามอัพให้ต่อเนื่องน้า~
เราห่างหายจากการแต่งฟิคไปพักใหญ่ อะไรๆอาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบนัก
ยังไงก็แนะนำเข้ามาได้นะคะ ทุกเรื่องเลย
ไม่ว่าจะเป็น เนื้อเรื่อง สำนวนการเขียน การจัดหน้า ฯลฯ
จะได้ปรับปรุงเนอะๆๆ ^^
ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นท์ค่ะ :D
ความคิดเห็น