คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 13
ตกค่ำ คชาเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ก่อนหน้านี้ก็นั่งเงียบบนโต๊ะอาหารจนทุกคนเป็นห่วง
ก็รู้แล้วว่าพี่เต๋าไม่ทำอันตรายชาแน่ๆ
แต่ทำไมไม่เล่าเรื่องให้ละเอียดกว่านี้นะ?
ทำไมวันนี้ถึงรีบให้กลับจัง?
แล้วทำไมต้องเงียบด้วย???
อยู่ๆก็นึกน้อยใจพี่ชายคนสำคัญขึ้นมา พาลไม่อยากพูดคุยกับคนอื่นๆไปด้วย
“มีโอกาสคุยกันแล้ว ทำไมชาไม่ถามพี่เต๋าไปตรงๆนะ” เสียงหวานหันไปบ่นตัวเองกับหมอน
“ไม่ชอบแบบนี้เลย... พี่เต๋ามีอะไรปิดบังชาอยู่ใช่มั้ย? จะไม่อยากเจอชาแล้วรึเปล่า?” องค์ชายยังคงคิดมาก “แต่ชาไม่กล้าคุย ไม่กล้าถามอะไรแล้วนี่นา”
ใบหน้าเศร้าๆฟุบลงไปซุกกับหมอนใบเดิม
“แบบนี้อึดอัดจัง ชาไม่เจอกับพี่เต๋าสักพักดีกว่า”
...
...
...
“ว่าไงนะ! องค์รัชทายาทจะขอเจรจาตัวต่อตัวกับหัวหน้ากบฏเหรอ?” พระราชาหันไปถามย้ำกับขุนนางท่านหนึ่งที่ถูกเรียกตัวเข้ามาในท้องพระโรงแต่เช้า
“ขอรับ องค์รัชทายาทบอกว่าไม่อยากให้มีการเสียเลือดเนื้ออีก”
“เจรจาที่ไหน? เมื่อไหร่?”
“พรุ่งนี้ที่เรือนรับรองขอรับ องค์รัชทายาทส่งสารนัดไปแล้ว ให้ทางนั้นมาเจรจากันแบบไม่มีการใช้อาวุธ”
“แล้วทางเราได้เตรียมการอะไรไว้บ้างรึเปล่า?”
“องค์รัชทายาทเตรียมข้อเสนอไว้ แล้วเราก็ได้วางแผนสำรองไว้ว่าถ้าพรุ่งนี้เจรจาไม่สำเร็จจะส่งกำลังไปล้อมค่ายและจัดการขั้นเด็ดขาดกับคนที่ต่อต้านทั้งหมด อันนี้ประสานกับหัวหน้าทุกกองไว้แล้วด้วยขอรับ”
“แล้วพรุ่งนี้ล่ะ เตรียมกำลังไว้ด้วยหรือเปล่า?”
“เปล่าขอรับ องค์รัชทายาทบอกว่ายังไงก็ไม่เอาเพราะทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกับทางนั้นไว้แล้ว ทางนั้นตกลงยินยอม ท่านจึงต้องการจะรักษาสัจจะ เอาแค่ทหารหนึ่งนายมาตรวจค้นอาวุธก่อนเข้าเจรจา เตรียมทหารสัก 3 กองมาเป็นพยานร่วมกับทางนั้นแล้วก็คอยดูแลความปลอดภัย”
“เฮ้อ... กล้าเกินไปแล้ว ทำไมไม่ปรึกษาพ่อบ้างนะ” ผู้เป็นทั้งกษัตริย์และบิดาถึงกับถอนหายใจ “จะไปวางใจได้ยังไง ถึงเราทำตามสัญญาก็ไม่ได้หมายความว่าจะราบรื่น ที่ต้องเสียท่าเพราะอีกฝ่ายเล่นสกปรกน่ะ เห็นมานักต่อนักแล้ว”
“แล้วควรทำอย่างไรล่ะขอรับ?”
“ก็เตรียมคนติดอาวุธมาระวังรอบนอกเพิ่มอีก อยู่ข้างนอกจะได้ดูไม่คุกคามเขาจนเกินไป มีคนสำรองไว้ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรจะได้เข้าไปจัดการได้ทัน ถึงไม่ได้ปะทะกัน อย่างน้อยก็เอาไว้รักษาความปลอดภัยอีกชั้น แบบนี้ไม่ได้ถือเป็นการละเมิดสัญญา เราไม่ได้เอาอาวุธเข้าไปข้องเกี่ยวในการเจรจาสักหน่อย แล้วเราก็ไม่ได้ทำร้ายทางนั้นก่อนด้วย”
“แต่องค์รัชทายาท...”
“เชื่อเถอะ ท่านไปเตรียมกำลังมาเพิ่ม แล้วเราจะคุยกับองค์รัชทายาทเอง”
“ขอรับ”
ขุนนางท่านนั้นน้อมรับพระบัญชา ก่อนจะกลับออกไปคุยกับเพื่อนขุนนางที่รับผิดชอบงานนี้ด้วยกันเพื่อเตรียมสั่งการไปยังกองทหารต่างๆ หวังจะให้การเจรจาผ่านไปได้อย่างสงบโดยไม่ต้องใช้กองกำลังติดอาวุธที่พระราชาให้หามาเพิ่ม
น่าเสียดายที่แผนรักษาความปลอดภัยชั้นที่ 2 นี้ กำลังจะถูกใครบางคนในที่ประชุมนำไปบอกต่อกับฝ่ายกบฏ และเรื่องนี้คงไปถึงเร็วพอที่พวกนั้นจะคิดทำอะไรเพิ่มเติมได้ทันก่อนการเจรจาในวันรุ่งขึ้น
พระราชารอบคอบไม่เปลี่ยนเลยนะ
ถ้าเตรียมกำลังไว้รอด้านนอก คงต้องรีบจัดการรัชทายาทให้เรียบร้อยก่อนพวกมันจะเข้ามาช่วยทัน
เอาเถอะ งานยากๆแบบนี้ก็ดี เผื่อจะเรียกส่วนแบ่งได้เพิ่มอีกสักหน่อย
...
...
...
ช่วงสายของวันนัดเจรจา องค์ชายต้นขอร้องให้พระบิดาและพระมารดาไม่เข้าไปในพื้นที่นัดหมายเพื่อความปลอดภัย จากนั้นจึงเรียกน้องชายเข้าไปคุยอะไรบางอย่างตามลำพังในห้องส่วนตัว
“คชา พี่ฝากนี่ไว้กับแกหน่อย เขาเรียกว่าปืน ของใหม่ อาณาจักรพันธมิตรเราเพิ่งส่งมาถวายท่านพ่อ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินอะไรอาจจะต้องใช้”
องค์ชายตัวน้อยก้มลงมองสิ่งที่พี่ชายส่งให้แล้วตกใจจนหน้าถอดสี
เมื่อคืนตอนที่พี่ต้นกับท่านพ่อทำเสาคบเพลิงหักโค่นลงมา ทั้งๆที่ยืนอยู่ตั้งไกล...
แล้วประกายไฟกับเสียงดังน่ากลัวพวกนั้น...
เกิดจากอันนี้ใช่มั้ย...
“พ... พี่ต้น... ชากลัวนะ แล้วชาก็ใช้ไม่เป็นด้วย”
“แค่เล็งไปที่ศัตรู เหนี่ยวไกตรงนี้ แล้วก็ยิงตรงนี้” อธิบายผ่านๆพลางบีบมือน้องเบาๆช่วยเรียกกำลังใจ “เถอะน่า เราอาจจะไม่ต้องใช้ก็ได้ ของสำคัญมากแต่พี่เอาติดตัวเข้าไปในนั้นไม่ได้จริงๆ ฝากหน่อย พวกทหารก็ยังใช้กันไม่เป็นหรอก เอาไปฝากไว้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรแถมยังต้องมานั่งห่วงอีก ถ้าจำเป็นพี่จะใช้เอง แต่ถือไว้ให้พี่หน่อย ตอนนี้แกอยู่ใกล้ตัวพี่ที่สุด คนสงสัยน้อยที่สุด แล้วพี่ก็ไว้ใจแกมากที่สุดแล้วนะ”
“พี่ต้น...”
“นะ... น้องพี่...” ต้นขอร้องอีกครั้ง ก่อนจะเหน็บปืนสั้นซ่อนไว้ใต้ชายเสื้อคชา โดยที่เจ้าตัวก็ไม่กล้าปฏิเสธ
แต่วันนี้... ขออย่าให้มีใครต้องใช้มันเลยนะ
องค์ชายคชาเดินถือดาบประจำตัวตามรัชทายาทไปยังเรือนรับรองซึ่งเป็นสถานที่นัดหมาย นั่งรออยู่ใกล้ๆระหว่างพี่ชายกล่าวทบทวนภารกิจในวันนี้ให้บรรดาทหารติดอาวุธที่มาร่วมเป็นพยานและรักษาความปลอดภัยได้ฟัง มองไปรอบๆ หันไปเห็นใครบางคนที่ตนพยายามหลบหน้ามาตลอด 2 วันกำลังจ้องมองมาเช่นกัน ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจจนต้องเบือนหน้าหนี
คชา... เป็นอะไรของเขานะ?
ระหว่างนั้นก็แอบเหลือบมองเต๋าเป็นระยะๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายท่าทางตั้งใจฟังสิ่งที่องค์ชายต้นพูดและไม่ได้หันมาสนใจตนอีกก็กล้าพอจะมองใบหน้านั้นตรงๆ
แต่พอต้นพูดจบและเดินกลับไปยังม้านั่ง ทหารหนุ่มก็มองมาทางองค์ชายตัวเล็กทันที คชาอึ้งอยู่สักพักจึงรู้สึกตัวและรีบละสายตา ทำทีเหมือนไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น แถมยังหันไปอ้อนพี่ชายตัวเองหน้าตาเฉย
“ขอให้ราบรื่น เจรจาประสบความสำเร็จนะพี่ต้น” อวยพรพร้อมรอยยิ้มหวาน
“ขอบใจมากคชา” องค์ชายต้นตบบ่าน้องชายเบาๆ แล้วหันไปพูดกับกองทัพของตน “พวกนั้นมากันแล้วล่ะ”
ทหารหลวงเดินนำกองกำลังติดอาวุธกว่า 200 นายของฝ่ายกบฏเข้ามาสู่บริเวณนัดพบ หัวหน้ากบฏเดินตรงมาโค้งคำนับองค์รัชทายาท ก่อนจะออกคำสั่งให้คนของตนไปจัดแถวยืนรอข้างๆกองทหารของพระราชา
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้พูดคุยกับองค์รัชทายาทตามลำพัง” ชายวัยกลางคนแสร้งยิ้ม
“เพื่อความสงบของบ้านเมืองแล้ว เราก็ยินดี ถ้าท่านพร้อมแล้วก็มาตกลงกันเลยดีกว่า ว่าแต่...ท่านทำตามข้อตกลงของการเจรจาใช่ไหม?”
“แน่นอน กระหม่อมไม่ได้พกพาอาวุธ องค์รัชทายาทจะตรวจดูก็ได้”
“เราเองก็เหมือนกัน แต่เพื่อความบริสุทธิ์ใจของทั้งสองฝ่าย เราจะขอให้ทหารของท่านตรวจค้นตัวเรา ส่วนทหารของเราก็จะขออนุญาตตรวจค้นตัวท่านด้วย ได้หรือไม่?”
“ด้วยความยินดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญทหาร...”
ตัวแทนทหารจากทั้ง 2 ฝ่ายทำการตรวจค้นตามคำสั่งต่อหน้ากำลังคนทั้งหมด เมื่อแน่ใจว่าทั้ง 2 ท่านไม่ได้พกพาหรือซุกซ่อนอาวุธใดๆเข้าไปภายในเพื่อลอบทำร้ายกันอย่างที่นึกกลัว ความหวาดระแวงของเหล่าทหารหลวงก็ลดลง
ค่อยยังชั่ว... คงไม่เกิดอะไรเลวร้ายหรอกน่า...
แม้ว่าลึกๆจะยังกังวลอยู่ไม่น้อย แต่องค์ชายต้นก็เข้มแข็งพอจะดำเนินงานต่อ เพื่อให้เรื่องเลวร้ายนี่จบลงอย่างสงบเสียที
“ถ้างั้นก็เข้าไปคุยกันเถอะ ท่าน...”
“กระหม่อมชื่อมาโค” แนะนำตัวอย่างมีมาด “ว่าแต่ในห้องนี่ องค์รัชทายาทไม่ได้ซ่อนทหารหรืออาวุธไว้ลอบฆ่ากันใช่ไหม?”
“เราไม่ทำเรื่องสกปรกแบบนั้นแน่นอน” ต้นยืนยันหนักแน่น ทั้งน้ำเสียงและแววตา
มาโคหันกลับไปหยิบเอกสารปึกหนึ่งจากคนใกล้ชิด ยอมเดินตามองค์รัชทายาทเข้าไปด้านในห้องรับรอง องค์ชายคชาและกองกำลังทั้งหมดได้แต่นั่งรอฟังผลการเจรจาอยู่ด้านนอกด้วยใจจดจ่อ
...
...
...
ในช่วงแรกบรรยากาศของการเจรจายังเป็นไปอย่างไม่กดดันนัก ดูเหมือนทั้งสองจะเข้าอกเข้าใจกันดี ทว่าหลังจากฝ่ายกบฏนำแผนที่อาณาจักรมากางเพื่อขอแบ่งอาณาเขตไปเป็นของตน ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลแถมให้ข้อเสนออื่นๆแล้วก็ไม่มีท่าทีจะลดละ จนองค์รัชทายาทก็เริ่มหัวเสีย
“ไม่ว่าอย่างไร เราก็ขอยืนยันว่าจะไม่ยอมให้ท่านแบ่งแยกดินแดนเป็นอันขาด เรายอมอ่อนข้อให้ท่านมากแล้ว ท่านจะเรียกร้องอะไรก็ได้แต่ไม่ใช่เรื่องนี้”
“ที่กระหม่อมต้องการจากพระองค์ไม่ใช่ทรัพย์สินแต่เป็นอำนาจในการปกครอง กระหม่อมไม่ได้จะยึดครองประเทศของพระองค์ทั้งหมดสักหน่อย แค่จะขอแบ่งหัวเมืองสำคัญๆไปดูแลเองบ้างเท่านั้น บางเมืองเขาเจริญมากพอแล้ว ไม่ต้องการระบบกษัตริย์มาคุ้มหัวแล้ว”
“รู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ต้องการ? ท่านจะขึ้นมาปกครองแทนอย่างนั้นหรือ? แล้วเมื่อท่านเองก็เคยรังแกประชาชนมามาก พวกเขาจะยอมรับผู้ปกครองอย่างท่านได้หรือ? เรายินดีมอบทรัพย์สินและยอมลดโทษให้แล้ว ท่านควรจะรับข้อเสนอนี้ไว้นะ เรื่องวุ่นวายนี่จะได้จบๆไปโดยที่ไม่มีใครต้องเจ็บต้องตายอีก”
“เด็กอย่างท่านจะหวงอำนาจไปทำไมกัน?” คนอายุมากกว่ายิ้มเยาะ
“เราคือพระราชาองค์ต่อไป มีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะรักษาความสงบสุขของบ้านเมือง และเรายอมไม่ได้หากคนที่ไม่รักประชาชนอย่างท่านจะขึ้นมาปกครองประชาชนของเรา” ต้นพยายามควบคุมอารมณ์ “หากท่านยังมีคุณธรรมอยู่บ้าง...”
“เฮ้ย!!!”
อยู่เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกก็ดังขึ้นจากด้านนอก ตามด้วยเสียงชุลมุนของเหล่าทหารจากทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งองค์ชายต้นและมาโคจึงรีบวิ่งออกไปดูสถานการณ์ทันที
...
...
...
(((“ถ้าเห็นว่าท่านมาโคเจรจานานเกินไปแสดงว่าสำเร็จยากแล้วล่ะ ที่พวกแกควรทำคือสร้างสถานการณ์ล่อให้องค์รัชทายาทออกมาข้างนอกแล้วรีบจัดการก่อนที่พวกทหารหลวงจะรู้ตัว”)))
ร่างของกำลังฝ่ายกบฏนายหนึ่งล้มลงบนพื้นด้วยความทรมานใกล้ขาดใจ มีธนูหนึ่งดอกปักอยู่กลางหลัง ร้ายไปกว่านั้น มีอีกดอกหนึ่งปักคาอยู่ใกล้ท้ายทอย กบฏหลายคนเข้าไปพยุง รุมล้อมเพื่อยื้อชีวิต
“พระองค์ทำแบบนี้ทำไม!” มาโคตวาดใส่องค์ชายต้น “พระองค์ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทหารของพระองค์ทำกับคนของกระหม่อม”
ความเครียดขององค์รัชทายาทพุ่งขึ้นทันที รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างแรงเนื่องจากคนของอีกฝ่ายถูกลอบฆ่าในพื้นที่ของตน ทั้งๆที่ตั้งใจจะให้เรื่องนี้จบลงอย่างสงบที่สุดและยังมั่นใจว่าได้กำชับทหารทุกนายแล้วว่าไม่ให้ลงมือทำร้ายก่อน
“ใครยิง!” ต้นจ้องมองทหารแต่ละคนราวกับจะสอบสวน ก่อนจะเดินเลยไปสังเกตแนวพุ่มไม้รอบๆบริเวณนั้น “ใครบังอาจขัดคำสั่งเรา!”
องค์ชายคชาที่ยังคงเสียขวัญได้แต่มองตามพี่ชายตัวเอง นึกอยากให้ใครสักคนออกมารับผิด คุยกันให้เข้าใจ แล้วรีบๆจบเรื่องนี้ลงก่อนที่จะเลวร้ายไปยิ่งกว่านี้
“เราขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น เรายินดีจะรับผิดชอบทั้งหมดและจับตัวคนที่ทำเรื่องสกปรกแบบนี้มาลงโทษ” รัชทายาทพยายามแก้สถานการณ์ “แต่เรายืนยันว่านี่ไม่ใช่คำสั่งของเรา”
“พวกเราจะเชื่อคำพูดของพระองค์ได้อย่างไรกัน ในเมื่อกระหม่อมได้ข่าวมาว่าพระองค์เองก็แอบเตรียมกำลังสนับสนุนไว้รออยู่รอบๆนี่ แปลว่าพระองค์ได้เตรียมการลอบทำร้ายพวกเราไว้แล้วไม่ใช่หรือ?”
กองกำลังนั่น... ไม่ได้คิดจะใช้เลยสักนิด...
แต่ใครเอาแผนลับนี่ไปบอกต่อ???
“แต่เราได้กำชับทหารแล้วว่าไม่ให้เป็นฝ่ายเริ่ม...”
ในช่วงที่กำลังสับสน คนสนิทของมาโคฉวยโอกาสพุ่งเข้าไปรวบตัวองค์ชายต้นไว้ ก่อนจะเอาดาบมาจ่อคอแล้วลากตัวขึ้นไปยืนบนระเบียง ต้นพยายามควบคุมสติตัวเองไม่ให้ลนลาน ส่งสัญญาณให้เหล่าทหารหลวงอยู่เฉยๆ
“ระหว่างชีวิตกับอำนาจการปกครอง อะไรจะสำคัญกว่านะ” ชายคนนั้นพูดเชิงข่มขู่ ขยับดาบเข้าไปติดลำคอ ทำท่าเหมือนจะกดด้านคมลงไป
“อย่าทำร้ายพี่ต้นนะ!”
โดยที่ไม่มีใครคาดคิด องค์ชายคชาพร้อมดาบในมือวิ่งตรงเข้าไปหวังจะช่วยพี่ ทำเอาทุกคนแตกตื่น
“คชา!!!” เต๋าตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ
กองกำลังฝ่ายกบฏจำนวนหนึ่งกรูเข้าไปหมายจะควบคุมตัวองค์ชายไว้อีกคน เต๋ารีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเข้าไปหารวบร่างบางมากอดไว้แน่นเพื่อช่วยป้องกันองค์ชายตัวเล็กจากคมดาบของศัตรู
คชายังตั้งตัวไม่ทันกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่วิ่งหนีคนร้ายตามทิศทางที่ชายหนุ่มชักนำ รู้ตัวแค่ว่ากำลังวิ่งหนีกบฏนับสิบคน ไปไหนได้ไม่ไกล แต่มีพี่เต๋าคอยกอดอยู่ และดูเหมือนพี่ชายคนพิเศษของตนจะรับความเจ็บปวดทั้งหมดไว้แทน
สถานการณ์เกิดวุ่นวายขึ้นมาในเสี้ยวนาที กองกำลังของทั้งสองฝ่ายเริ่มเข้าไปโรมรันกัน มีทหารส่วนหนึ่งเข้ามาช่วยจัดการกลุ่มกบฏที่ไล่ตามองค์ชายและทหารหนุ่ม ทำให้ทั้งคู่ทิ้งระยะห่างจากศัตรูได้บ้าง และทหารนายหนึ่งก็แยกตัวออกไปส่งสัญญาณเรียกกำลังหนุนแล้ว
“เดี๋ยวพี่เต๋า ชาต้องเอาของไปให้พี่ต้น” คชากล่าวขึ้นหลังจากตั้งสติได้แล้วหันไปเห็นพี่ชายแท้ๆกำลังต่อสู้อยู่กับหัวหน้ากบฏอย่างลำบากบนระเบียงเรือนรับรอง แม้จะมีทหารคอยปกป้อง แต่ทหารเหล่านั้นก็ต้องรับภาระฟาดฟันกับกำลังฝ่ายกบฏที่ต้องการปกป้องนายของตัวเองเช่นกัน
“ไว้ก่อนเถอะ ชาต้องหนีไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน เข้าใจมั้ย?”
“อาวุธสำคัญนะพี่เต๋า แค่ใกล้ๆเอง ชาต้องกลับไป”
“อย่าดื้อสิคชา อย่าหยุดวิ่งเด็ดขาด”
วงแขนแกร่งรวบร่างเล็กที่เริ่มขัดขืน บังคับให้รีบไปหาที่ซ่อนตัว
“แต่พี่ต้นกำลังลำบาก ชาต้องเอาปืนไปให้พี่ต้นยิงคนพวกนั้น!” มือเล็กหยิบปืนสั้นใต้ชายเสื้อขึ้นมาถือไว้ พยายามหาทางวิ่งออกไปให้ได้
“คชา มันอันตรายรู้มั้ย!” เต๋าดึงร่างขององค์ชายกลับมา เนื่องจากเห็นว่ามีกบฏอีกคนหนึ่งยังไม่เลิกตามไล่ล่า
“รู้ แต่เราต้องยิงมัน!” เสียงหวานเถียง
“งั้นไอ้นี่มันใช้ยังไง พี่จะยิงมันเอง!”
คชาตกใจที่อยู่ๆเต๋าก็ขึ้นเสียงใส่ แต่ยังพยายามพูดต่อ
“พี่ต้นบอกให้เหนี่ยวไกตรงนี้ก่อน เล็งไปที่ศัตรู แล้วก็ยิงตรงนี้” มือเล็กยอมส่งอาวุธในมือให้
แม้จะยังข้องใจ ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลามากนัก เขาจึงทดลองทำตามที่องค์ชายบอก เหนี่ยวไก หันปากกระบอกปืนเล็งไปที่ผู้ปองร้ายแล้วยิง ทว่าไม่โดนเป้า
เสียงดังที่เกิดขึ้นเรียกความสนใจได้มาก ดูเหมือนฝ่ายกบฏจะเริ่มกลับมาตั้งใจไล่ล่าคนทั้งสองอีกครั้ง
“บ้าชะมัด พวกมันกลับมาอีกแล้ว” เสียงทุ้มสบถ ก่อนจะหันกลับไปยิงอีกนัด ซึ่งกระสุนนัดนี้พุ่งตรงเข้ากลางลำตัวของข้าศึกคนหนึ่งจนล้มลง
“พ... พี่เต๋า... ทำได้ด้วย...” คชาทั้งกลัวทั้งตื่นเต้น “พี่เต๋าช่วยยิงคนที่กำลังสู้กับพี่ต้นหน่อยได้ไหม?”
เต๋ายังประหลาดใจกับอานุภาพของอาวุธที่ตนทดลองใช้ แต่ก็ยิงอีกนัดตามคำขอ กระสุนพุ่งไปโดนแค่ผนังเรือน ซึ่งอยู่ห่างจากบุคคลเป้าหมายราวครึ่งเมตร
“ลองยิงอีกทีนะ” เสียงหวานร้องขอ
ทหารหนุ่มหันกลับมามองกลุ่มคนที่กำลังไล่ตามเขาและองค์ชาย สลับกับมององค์รัชทายาท
เอาวะ!
เขาเล็งไปที่ศีรษะของหัวหน้ากบฏอีกครั้ง นึกกลัวว่าจะพลาดไปโดนองค์ชายต้นเพราะตนยังไม่ชำนาญ แต่ก็กลั้นใจยิงออกไปจนได้
โชคไม่ดีที่ลูกตะกั่วคลาดเป้าไปจากศีรษะ แต่พุ่งพลาดไกลไปเจาะที่หัวเข่าของมาโค ซึ่งนั่นก็เพียงพอสำหรับการทำให้ร่างนั้นทรุดลงไม่เป็นท่า อาจช่วยให้องค์รัชทายาทจัดการได้ง่ายขึ้น
“มันล้มแล้ว รีบไปซ่อนตัวได้แล้วคชา”
เต๋าออกคำสั่งแล้วพาร่างบางในอ้อมกอดวิ่งหนีต่อ ทว่าอยู่ๆก็เริ่มมีธนูตามมายิงสกัด องค์ชายคชาหวาดกลัวจนเริ่มก้าวขาไม่ออก
“วิ่งต่ออีกหน่อยนะ ไปหาที่ซ่อนกัน ไม่ต้องกลัว พี่จะปกป้องชาเอง”
คำปลอบโยนที่ได้รับในยามวิกฤตทำให้องค์ชายพอจะแข็งใจไปต่อได้ แต่กลับต้องเสียขวัญอีกครั้งเมื่อหันไปเห็นว่าพี่ชายคนพิเศษของตนถูกลูกธนูปักเข้าที่ไหล่ และมีท่าทีว่าศัตรูจะยิงมาอีกเรื่อยๆ
“พี่เต๋า!” คนตัวเล็กเริ่มร้องไห้
“พี่ไม่เป็นไรคชา วิ่งต่ออีกนิด ใกล้ถึงที่ปลอดภัยแล้วนะ... อึก!”
ธนูอีกดอกหนึ่งตามเข้ามาปักแผ่นหลังกว้าง แต่เจ้าตัวก็ยังฝืนพาคชาเข้าพรางตัวหลังแนวไม้ทึบๆ พาวิ่งหนีต่ออีกนิด แล้วลากร่างบางลงหลบในสระน้ำใกล้ๆ
อดีตหัวหน้ากองทหารดึงตัวองค์ชายไปซ่อนตัวข้างตลิ่ง มือหนึ่งเกาะคานด้านล่างไว้เพื่อพยุงตัว อีกมือกอดประคองร่างบางไว้แน่นเพื่อไม่ให้จมน้ำลงไป
เต๋าอ่อนแรงเพราะอาการบาดเจ็บ ขณะที่คชาก็ใจเสียเพราะเลือดของอีกฝ่ายละลายรวมกับน้ำรอบๆตัว ทั้งกลัว ทั้งเวียนหัวไปหมด
อดทนอยู่นานจนเสียงการสู้รบเงียบลง เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วเขาจึงค่อยๆดันร่างสั่นเทาขึ้นนั่งพักริมสระ ก่อนที่ตัวเองจะทิ้งตัวลงนอนตะแคงกับพื้นอย่างหมดกำลัง เห็นอย่างนั้นองค์ชายก็เป็นห่วงจนไม่อาจอยู่เฉย
พยายามประคองคนตัวโตกว่าให้ลุกขึ้นเพื่อจะพากลับไปรักษาแต่ก็ทำไม่ไหว จึงตัดใจปล่อยให้อีกคนนอนรออยู่ที่นี่ แล้วรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือทั้งๆที่น้ำตานองหน้า
“อย่าเป็นอะไรนะพี่เต๋า ชาจะรีบไปตามหมอ!”
*************************************************
สวัสดียามดึกค่ะคุณผู้อ่าน
เรื่องนี้ใกล้ถึงตอนจบแล้ว และเราก็พยายามรีบจบอยู่ค่ะ
ช่วงหลังๆมีอัพช้าบ้าง ต้องขอโทษจริงๆเพราะเรียนหนักและส่งงานเยอะมาก
กลัวว่าถ้ายาวกว่านี้จะยิ่งทำให้เพื่อนๆต้องรอ แล้วเราก็จะรู้สึกผิดไปกว่านี้อะค่ะ
ยังไงก็ขอบคุณมากๆที่ยังแวะมาอ่านกันนะคะ :)
ค่ะ แล้วก็มีอีกเรื่องอยากฝากเตือนคุณผู้อ่านด้วยความเป็นห่วง
เพื่อนเราคนหนึ่งเพิ่งเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมาและประมาท
ทุกคนระวังความปลอดภัยของตัวเองให้มากๆนะคะ
เมาแล้วก็เหมือนวิ่งเข้าไปหาอันตราย โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันอันตรายนั่นแหละ
พยายามมีสติไว้ตลอดเวลา เพราะความตายมันใกล้ตัวมากจริงๆค่ะ
ความคิดเห็น