ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silver Swords [TaoKacha]

    ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 12

    • อัปเดตล่าสุด 5 มี.ค. 55





                 รุ่งขึ้น องค์ชายคชาถือดาบเงินประจำตัวเดินตามองค์รัชทายาทไปเรียนดาบด้วยความกระตือรือร้น การนอนหลับไม่เต็มอิ่มและบาดแผลที่หัวเข่าไม่ได้เป็นอุปสรรคแม้แต่น้อย

     

                เพราะเขาหวังเล็กๆว่าจะได้เจอใครบางคนที่นี่ ถึงจะยังเขินเรื่องเมื่อคืนอยู่ก็เถอะ

     

              พี่เต๋าจะอยู่มั้ยนะ     >//////<

     

                ระหว่างนั่งรออาจารย์ธาเลส คชาชะเง้อมองกลุ่มทหารที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นอย่างตั้งใจจนองค์ชายต้นอดสงสัยไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ก็มีเรื่องวุ่นวายมากมายให้คิด จึงไม่เอ่ยปากถามอะไรให้กังวลเพิ่มอีก

     

                ไม่นานนัก อาจารย์วัยกลางคนก็ออกมาพร้อมกับดาบเล่มใหญ่ มีเด็กหนุ่มอีกคนเดินตามหลังมาด้วย

     

                “วันนี้กระหม่อมพาลูกชายมาเป็นคู่มือให้องค์ชายเล็ก ชื่อเจมส์” อาจารย์กล่าวแนะนำพร้อมผายมือไปยังร่างสูงที่กำลังโค้งคำนับองค์ชายทั้งสองอย่างเกร็งๆ

     

                ไม่สิ เห็นแววตานิ่งๆขององค์ชายต้นแล้วเจมส์ไม่ใช่แค่เกร็ง

                ต้องบอกว่า “กลัว” ถึงจะถูก

     

                “สวัสดีเจมส์ ช่วยสอนเราด้วยนะ”

     

    คชายิ้มทักทายอย่างเป็นมิตรกว่าที่คิด เจมส์จึงคลายอาการประหม่า ยิ้มตอบพร้อมพยักหน้ารับ

     

    “เจออาจารย์แล้ว พี่ไปก่อนนะคชา” องค์รัชทายาทพูดขึ้น

     

    “ขอบคุณที่มาส่งชา ดูแลตัวเองด้วยนะพี่ต้น” โปรยยิ้มหวานให้พี่ชาย

     

    “เรียนเสร็จแล้วนั่งรอแถวนี้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วพี่จะแวะมารับแกเอง” ต้นตบไหล่น้องเบาๆ ก่อนจะปลีกตัวออกมา

     

     

                ...

     

     

                ...

     

     

                ...

     

     

                ในที่ประชุมของกองทัพ องค์รัชทายาทพร้อมด้วยขุนนางระดับสูงกว่าสิบนายกำลังอภิปรายกัน

     

                “ถึงตอนนี้จะยังไม่มีการปะทะเพิ่มเติมแต่เราก็ยังวางใจไม่ได้” องค์ชายต้นกล่าวเสียงเครียด “เมื่อคืนมีสารต่อรองส่งเข้ามาในวัง บอกว่าถ้ายกหัวเมืองครึ่งหนึ่งให้ปกครอง มันจะยอมถอนกำลังออกจากเมืองหลวง”

     

                “ไอ้พวกนั้นกำเริบมากเกินไปแล้ว กระหม่อมคิดว่าเราควรจัดการกวาดล้างให้หมดเสียที” บารอนเอริคผู้เป็นเหมือนมือขวาของรัชทายาทพูดแสดงความคิดเห็น

     

                “แต่พวกนั้นก็เคยเป็นประชาชนของพวกเรา บางคนก็เข้าร่วมตามๆกันไปทั้งๆที่ไม่ได้คิดต่อต้านราชวงศ์ แค่โลภอยากได้เงินค่าจ้างเท่านั้น จริงอยู่ที่กำลังทหารของเรามีพอ แต่ถ้าประหารชีวิตทั้งหมดหมดมันจะไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอท่าน”  บารอนโซฮานท้วงขึ้น

     

                “เราไม่อยากปล่อยให้สงครามยืดเยื้อไปกว่านี้ แต่เราก็ไม่อยากให้มีการตายเกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นทหารของเราหรือกองกำลังของพวกมัน” รัชทายาทถอนหายใจ “แต่ยังไงเราก็ไม่ยอมปล่อยให้พวกมันได้ปกครองหัวเมืองแน่ๆ ยิ่งมันมีอำนาจมากเท่าไหร่ โอกาสที่มันจะกลับมาล้มล้างกษัตริย์ก็จะมีมากขึ้น ถึงตอนนั้นเราอาจจะคุมมันไม่อยู่แล้วก็ได้”

     

                “แล้วองค์รัชทายาทจะทำอย่างไรล่ะขอรับ?”

     

                “ถ้าเรียกหัวหน้ากบฏเข้ามาเจรจา...” ต้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ขุนนางทั้งหลายจดจ่อรอฟัง “ไม่รู้ว่าจะเชื่อใจได้แค่ไหน แต่ลองเสี่ยงกันดูหน่อยดีไหม เรากับมันจะคุยกันตัวต่อตัว น่าจะยุติธรรมดีนะ”

     

                “แต่องค์รัชทายาทอาจจะเป็นอันตรายได้นะขอรับ” บารอนเอริคเตือน

     

                “แค่ตกลงกันแบบลูกผู้ชายเท่านั้น ไม่มีอาวุธ ไม่มีผู้ติดตาม ถ้าทางนั้นยอมสวามิภักดิ์เราจะอภัยโทษให้ แต่ถ้าไม่ยอมเราก็ค่อยมาลงมือกวาดล้างกัน พวกท่านคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”

     

                “ถ้าองค์รัชทายาทเห็นว่าดี พวกเราก็พร้อมสนับสนุน” เสียงในที่ประชุมเห็นด้วย “แต่ระหว่างนี้ ทางเราก็ควรคิดแผนสำรองไว้ด้วยเผื่อกรณีที่พวกมันไม่ยอมทำตาม”

     

                “บอกคนของเราส่งสารนัดเจรจา ให้หัวหน้ากบฏเข้ามาพบเราที่วังในอีกสามวันข้างหน้า ย้ำว่าเจรจาตัวต่อตัวกับเรา แบบไม่มีอาวุธหรือผู้ติดตาม” องค์ชายต้นออกคำสั่งกับนายทหารหน้าห้อง “สำหรับพวกท่าน มาช่วยกันวางแผนสำรองต่อเถอะ”

     

                การประชุมยังคงดำเนินต่อไปอย่างเคร่งเครียดและยาวนาน ซึ่งองค์รัชทายาทก็ตั้งความหวังไว้อย่างเต็มที่ว่ามันจะช่วยให้สถานการณ์ร้ายๆคลี่คลายโดยเร็ว

     

    เขามอบความเชื่อใจทั้งหมดให้กับขุนนางทุกคนที่นี่แล้ว

               

     

                ...

     

     

                ...

     

     

                ...

     

     

     

                เวลาล่วงเลยมาจนพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน องค์ชายคชายังคงนั่งรอพี่ชายแท้ๆมารับกลับตำหนักอย่างที่สัญญาไว้ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แวว อันที่จริงเขาเรียนดาบเสร็จตั้งแต่บ่ายแล้ว ทั้งอาจารย์ธาเลสและเจมส์ซึ่งนั่งคุยเป็นเพื่อนหลังเลิกเรียนอยู่นานก็พากันแยกย้ายไปทำธุระของตัวเอง เหลือแค่ทหารคนหนึ่งที่เขาไม่คุ้นเคยยืนอารักขาอยู่ใกล้ๆ

     

              ทหารคนนี้เงียบจังเลย ชวนคุยก็ไม่ค่อยจะคุยด้วย อึดอัดจัง

    แล้วที่พี่ต้นบอกว่าจะมารับชา พี่ต้นลืมไปหรือเปล่า ปกติไม่ช้าขนาดนี้นี่นา

    พี่เต๋าก็ด้วย วันนี้ยังไม่ได้เจอกันสักนิด หายไปไหนกันหมดนะ

              T______________T

     

                “พี่ทหาร...” เสียงเศร้าๆเอ่ยขึ้น “เราอยากกลับตำหนักแล้วล่ะ ช่วยพาเราไปส่งได้ไหม”

     

                ทหารนายนั้นน้อมรับคำสั่ง เดินตามหลังองค์ชายอย่างเงียบๆไปจนถึงจุดหมาย

     

     

                ...

     

     

                ...

     

     

                ...

     

     

                รอจนเวลาล่วงเลยถึงค่ำองค์รัชทายาทก็ยังไม่กลับตำหนัก คชานั่งซึมๆอ่านหนังสือฆ่าเวลาที่โถงอยู่นาน องค์ชายต้นถึงได้เดินกลับเข้ามาด้วยท่าทางอ่อนล้า

     

                “อ้าว คชา!” ต้นอุทานอย่างตกใจ เนื่องจากประชุมเครียดจนลืมไปรับน้องเสียสนิท

     

                “วันนี้พี่ต้นกลับช้าจัง”

     

                “พี่ขอโทษ วันนี้เครียดจริงๆ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งแกไว้นะ”

     

                “ไม่เป็นไรหรอกพี่ต้น ชาไม่ได้โกรธเลยนะ” คชาส่งยิ้มบางๆให้ “มีทหารมาส่งชาแล้ว แต่ชาอยู่เฉยๆแล้วเหงา ก็เลยมานั่งรอพี่ต้นกลับตำหนัก พี่ต้นเหนื่อยมากมั้ย”

     

              ไม่ได้โกรธ... แถมยังมานั่งรออีกเนี่ยนะ... คชาเอ๊ย...

     

                “ขอโทษจริงๆนะคชา” คนเป็นพี่กล่าวอย่างรู้สึกผิด “แล้วนี่เป็นไงบ้าง เห็นว่าได้คู่ซ้อมใหม่ด้วยนี่ ได้เรื่องมั้ย?”

     

                “ก็ดีนะพี่ต้น... แต่ว่าเจมส์ดูเก่งจัง ถ้าเขาไม่ออมมือให้ ชาต้องเจ็บตัวแน่ๆ”

     

                “เฮ้อ... ใครจะไปกล้าลงไม้ลงมือเต็มๆแรงกับองค์ชายล่ะ ไม่มีหรอก”

     

                “แต่ว่าพี่เต๋านะ...”

     

                “ทำไม?” เมื่อได้ยินชื่อของคนที่เคยทำผิดกับกองทัพ รัชทายาทก็ถามสวนไปทันทีจนคชาตกใจ

     

                “ป...เปล่า... ชาแค่จะบอกว่าตอนพี่เต๋าสอนชา พี่เต๋าสู้จริงจังกว่า แค่นั้น”

     

                “เฮ้ย สู้จริงจังเลยเหรอ? แล้วเจ้านั่นทำน้องพี่บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า? มันทำร้ายแกรึเปล่า?” ต้นเริ่มกลัว

     

                “ไม่ใช่นะพี่ต้น” เสียงหวานรีบออกตัวปกป้อง “ถึงพี่เต๋าจะเข้มงวดแต่ก็ไม่เคยทำชาเจ็บเลยสักนิด ใจดีมากด้วย”

     

                “แกไว้ใจคนง่ายๆแบบนี้ไม่ได้นะ เพิ่งเจอกันไม่ถึงเดือน จะไปแน่ใจได้ยังไงว่าเขาเป็นคนดี”

     

                “แต่ชาว่าพี่เต๋าเป็นคนดีจริงๆนะ”

     

                “อย่ามองโลกในแง่ดีขนาดนั้น” อธิบายด้วยเสียงเครียด “พี่ไม่อยากให้แกไปสนิทกับเขามาก พูดตรงๆนะ พี่ไม่ค่อยไว้ใจ ไม่รู้ว่าเจ้าคนชื่อเต๋านั่นคิดจะทำอะไรไม่ดีกับแกรึเปล่า”

     

                เมื่อเห็นท่าทางไม่ค่อยดี คชาจึงรีบแก้ตัวให้ ลืมตัวยกเหตุการณ์ที่ตั้งใจปกปิดขึ้นมาเล่าเสียอย่างนั้น “พี่ต้นอย่าคิดมากแบบนั้นสิ พี่เต๋าไม่ทำร้ายชาหรอก ขนาดเมื่อคืนชาหลงทางแล้วหกล้ม พี่เต๋ายังมาช่วยชาเลย ทำแผลให้ แถมยังพาชามาส่งถึงตำหนักด้วย พี่เต๋าดีกับชามากจริงๆนะ”

     

                “หา! นี่แกออกไปเจอกับมันมาเหรอ!?

     

                “คือ... ก็... ใช่...” องค์ชายเล็กหน้าเสีย “ชาคิดถึงพี่เต๋าก็เลยแอบออกไปเอง... ชาขอโทษ...”

     

                “อย่าทำแบบนี้อีก” รัชทายาทดุ “เลิกยุ่งกับเต๋าซะ พี่เตือนด้วยความเป็นห่วง เพราะพี่ไม่อยากให้แกเป็นอันตราย”

     

                “แต่...” คนน้องทำท่าจะร้องไห้ “ชาไม่เข้าใจ”

     

                “คชา... ใจเย็นๆแล้วฟังพี่นะ...” ต้นพยายามควบคุมอารมณ์ “จำได้มั้ย สงครามเมื่อสามปีก่อน วังด้านหนึ่งถูกเผา ท่านอาของเราก็ถูกลอบสังหาร มันน่ากลัวมากใช่มั้ย”

     

                คชาพยักหน้า

     

                “การที่ศัตรูรู้ทางเข้าออกต่างๆของวัง รู้แผนการ รู้ความเป็นไปของกองทัพเรา แปลว่าต้องมีคนในกองทัพเราเอาความลับออกไปบอกใช่มั้ย” พูดพลางมองหน้าน้องชายนิ่ง “และพี่สงสัยว่าคนทรยศนั่นก็คือเต๋า”

     

                องค์ชายตัวน้อยยืนตัวแข็งทื่อ ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก รู้สึกสับสนจนสมองชา

     

                “เข้าใจพี่หน่อยนะ” ต้นบีบไหล่เล็กเบาๆอย่างจะปลอบ “สุดท้าย หลังจากแม่ทัพของไอ้พวกนั้นถูกท่านพ่อฆ่าตาย พวกมันก็ถอยทัพหนีกลับไป และมีข่าวว่าพวกมันจะแต่งตั้งแม่ทัพใหม่เพื่อรวมกำลังพลมาตีอาณาจักรเราอีกครั้ง ซึ่งเต๋าหายออกไปจากกองทัพเราทันทีที่สงครามจบ เวลาเดียวกับที่พวกมันถอนกำลังออก ช่วงชุลมุนน่ะ นั่นเป็นไปได้ว่าเต๋าจะแอบร่วมมือกับพวกมันใช่มั้ย”

     

              พี่เต๋ากับกองทัพ???

    ยังไงกัน ชาไม่เข้าใจเลยสักนิด

     

    “แกอาจจะไม่เคยรู้ เต๋าเคยเป็นทหารของพี่มาก่อน มียศเป็นถึงหัวหน้ากอง แถมยังเก่งจนพี่เคยวางใจให้มาช่วยวางแผนรบครั้งนั้นด้วย น่าเสียดายจริงๆ” ต้นถอนหายใจ “ที่กลับมาครั้งนี้ พี่ใจดีไม่รีบจับเข้าคุกหรือประหาร เพราะพี่เห็นแก่ที่มันช่วยแกเอาไว้ สั่งให้มาอยู่ในกองทัพจะได้ระวังง่ายๆ แต่แกก็ต้องอยู่ห่างๆ ระวังตัวไว้บ้าง พี่กลัวแกจะถูกทำร้าย กลัวว่าแกอาจจะถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ”

     

    พี่เต๋าเนี่ยนะ

    พี่เต๋าต้องไม่ใช่คนใจร้ายแบบนั้นสิ

    พี่เต๋าเคยทำเรื่องแบบนั้นจริงๆเหรอ

    แล้วพี่เต๋าจะคิดทำร้ายชาได้ยังไงกัน

    ก็เมื่อคืน... พี่เต๋ายังจูบชาอยู่เลย...

     

    องค์ชายตัวน้อยดูเหมือนคนหมดแรง จนพี่ชายต้องดึงตัวมากอดไว้

     

    “เข้าใจแล้วใช่มั้ย เชื่อพี่นะ อยู่ห่างๆเต๋าสักพัก รอให้จัดการพวกกบฏเสร็จก่อน แล้วเราค่อยมาสะสางเรื่องนี้กัน พี่จะตัดสินอย่างยุติธรรมที่สุด ตกลงมั้ย?”

     

    ร่างบางซบลงบนไหล่ขององค์ชายต้นด้วยความรู้สึกเคว้งคว้าง แม้จะไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็รู้ดีว่าพี่ชายแท้ๆของตนไม่เคยคิดใส่ร้ายใคร

     

    แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา พี่เต๋าจะต้องถูกลงโทษใช่มั้ย

    ชาควรจะทำยังไงต่อไปดี กลัวจัง

     

     

    ...

     

     

    ...

     

     

    ...

     

     

    รุ่งขึ้น องค์รัชทายาทพาน้องชายมาฝากเรียนดาบก่อนจะออกไปประชุมเหมือนทุกวัน แต่วันนี้ดูเหมือนองค์ชายคชาจะเหม่อลอยผิดปกติ จนเจมส์ที่มาช่วยฝึกซ้อมให้รู้สึกเป็นห่วง

     

    “องค์ชายคชาเป็นอะไรหรือเปล่า?”

     

    “เราไม่เป็นไร” ตอบด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ

     

    “องค์ชายทะเลาะกับองค์รัชทายาทเหรอ?”

     

    “เปล่านี่เจมส์ ทำไมเหรอ”

     

    “ก็เมื่อเช้านี้ ดูองค์ชายกับองค์รัชทายาทไม่ค่อยคุยกัน แล้วองค์ชายก็ดูซึมๆไป”

     

    “เปล่านะ...” เสียงหวานปฏิเสธ “แต่เจมส์ช่วยพาเราไปในค่ายทหารหน่อยได้มั้ย?”

     

    “องค์ชายจะเข้าไปทำอะไรเหรอ?” เด็กหนุ่มแปลกใจ

     

    “นะ... เจมส์พาเราไปส่งหน่อยเถอะ เราอยากเข้าไปคุยกับคนในนั้น”

     

    “แต่...”

     

    “นะเจมส์ เราขอร้อง”

     

    เจมส์ยังสงสัยไม่หาย แต่เพราะเห็นแววตาน่าสงสารจึงต้องยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้ เขาเดินนำองค์ชายเข้าไปในเขตที่พักทหาร แถมยังช่วยตามหาคนที่องค์ชายอยากเจออีกด้วย

     

    “พี่ชาย รู้จักคนชื่อเต๋ามั้ย? ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนเหรอ?” ถามทหารในนั้นเพื่อความรวดเร็ว

     

    “เต๋า... หมายถึงคนไหนล่ะน้องชาย? คนที่เป็นหมอทหารหรือว่าท่านเต๋าที่เพิ่งกลับเข้ามาในกองทัพ?”

     

    “เอ่อ... คนไหนเหรอองค์ชายคชา?”

     

    “เต๋าคนที่เพิ่งกลับเข้ามา ท่านรู้จักเขาหรือเปล่า?” คชาถือโอกาสถามต่อ

     

    “รู้จักสิองค์ชาย กระหม่อมเคยประจำอยู่กองของท่านเต๋า”

     

    “อย่างนั้น ท่านพอจะเล่าเรื่องราวของท่านเต๋าให้เราฟังหน่อยได้มั้ย?”

     

    “กระหม่อมก็ไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก รู้แค่ว่าท่านเต๋าเคยอยู่ที่นี่ อยู่ๆก็หายไปพร้อมกับน้องชายที่เป็นทหารเหมือนกัน แล้วเพิ่งกลับมาเป็นแค่พลทหารเนี่ยแหละ กลับมาคนเดียวด้วย ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม”

     

    “น้องชายเหรอ???” องค์ชายสงสัย “ว่าแต่ท่านเต๋ายังอยู่แถวนี้หรือเปล่า? ช่วยพาเราไปหาได้มั้ย?”

     

    “ได้ขอรับ”

     

    ทั้งสามคนเดินลึกเข้าไปจนถึงที่พักหลังเกือบสุดท้าย ก่อนที่ทหารนายนั้นจะชี้บอก

     

    “ท่านเต๋าน่าจะอยู่ข้างใน เพราะวันนี้กองของท่านเต๋าไม่ได้ออกลาดตระเวนขอรับ”

     

    “ขอบใจนะ” องค์ชายคชากล่าว “ขอบใจเจมส์ด้วย อุตส่าห์มาเป็นเพื่อนเราถึงนี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันนะ”

     

    “อ้าว องค์ชายคชาไม่ให้รอกลับพร้อมกันเหรอ?”

     

    “ไม่เป็นไรหรอก เรามีเรื่องต้องคุยกับเขาจริงๆ”

     

    “แต่... เขา...ใช่มั้ย?”

     

    “เราไม่เป็นไรหรอกเจมส์ อย่าห่วงเลย ไว้จะเล่าให้ฟังทีหลังนะ”

     

    “อ่า... ก็ได้”

     

    ร่างบางแยกตัวออกมา ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาพี่ชายคนพิเศษ หวังจะจัดการความคับข้องใจนั้นให้ได้

     

    “อ้าว องค์ชายคชา”

     

    แต่ทันทีที่เต๋าหันมาทัก คำถามทั้งหลายก็ถูกกลืนลงคอไปหมด

     

    “พ... พี่เต๋า...” องค์ชายไม่รู้ว่าควรจะเริ่มอย่างไร

     

    “องค์ชายมาถึงนี่เลยเหรอ เหนื่อยไหม?”

     

    ร่างสูงจงใจเดินนำองค์ชายจากด้านในที่พักซึ่งมีทหารเกือบทั้งกองนอนพักเอาแรงหลังออกลาดตระเวนเมื่อคืน ไปยังบริเวณสวนด้านหลังที่พักซึ่งไม่มีคนอื่นๆอยู่ เพื่อจะได้พูดคุยกันได้อย่างสะดวก

     

    “นั่งตรงนี้กันนะ” ชายหนุ่มชวนให้นั่งข้างๆกันบนเก้าอี้ยาว แต่เว้นระยะห่างไว้นิดหน่อย ไม่อยากใครผ่านมาเห็นแล้วมององค์ชายเสียๆหายๆ

     

    “พี่เต๋า... ไม่นอนบ้างเหรอ...” เสียงหวานถาม

     

    “ออกมาคุยกับคชาดีกว่า” เต๋ายิ้มให้ “ชาเป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้สีหน้าไม่ค่อยดีเลย”

     

    “ก็...” คนตัวเล็กเงียบไปสักพัก “ชาไม่สบายใจเลย...”

     

    “พี่ช่วยอะไรได้ไหม?”

     

    “อื้อ...” คชาก้มหน้าลง เต๋าจึงแอบลูบศีรษะกลมเบาๆครั้งหนึ่ง แต่แค่นั้นก็พอจะทำให้น้ำตารื้น

     

    “นี่... เล่าให้พี่ฟังได้รึเปล่า?”

     

    “คือ... ชา...”

     

    ชาจะไปกล้าพูดได้ยังไงกัน ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงแล้วพี่เต๋าโกรธชาล่ะ

    T___________T

     

    “ไม่สะดวกจะเล่าก็ไม่เป็นไร” บีบมือนิ่มเบาๆอย่างจะปลอบ “นั่งเล่นด้วยกันสักพัก ชาอาจจะสบายใจขึ้นนะ”

     

    พี่เต๋า... ดีกับชาขนาดนี้...

    เรื่องนั้นไม่จริง... ไม่จริงหรอก...

     

    น้ำตาที่กลั้นไว้เมื่อครู่ค่อยๆหยดลงมา ร่างเล็กเริ่มสั่นนิดๆก่อนจะหันมากอดอีกคนไว้แน่น วงแขนกว้างโอบตอบ ลูบหลังเบาๆคล้ายจะปลอบใจ

     

    “ใจเย็นๆนะคชา”

     

    “พี่เต๋า... ชาไม่สบายใจเลย จริงๆนะ”

     

    “พี่รู้... ไม่เป็นไรนะ... ระบายออกมาเถอะ... อย่าเก็บไว้คนเดียวเลย...”

     

    “เมื่อคืนนี้... พี่ต้นบอกว่าไม่อยากให้ชายุ่งกับพี่เต๋าแล้ว... กลัวชาจะเป็นอันตราย... แล้วเล่าเรื่องพี่เต๋าให้ชาฟังหมดเลย... ” พูดพลางพยายามกลั้นน้ำตา แต่ก็ทำไม่ไหว “มันไม่จริงใช่มั้ย?”

     

    เล่าให้ฟัง?

    เรื่องที่องค์รัชทายาทเคยพูดกับเราน่ะเหรอ?

    ตอนนี้ความรู้สึกคชาจะเปลี่ยนไปแล้วหรือเปล่า?

    อย่าให้เป็นแบบนั้นเลยนะ

     

                เต๋ารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา แต่ก็ยังอดทนกอดปลอบเด็กร้องไห้จนหยุดสะอื้น

     

                “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะชา ฟังพี่นะ” มือแกร่งช่วยปาดน้ำตาออกให้ “พี่เคยอยู่ที่นี่และหายไปจากกองทัพจริงๆ แต่ไม่ใช่เหตุผลนั้น และพี่ก็ไม่มีทางทำร้ายชาด้วย”

     

                คชาก้มหน้านิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะหันมาฝืนยิ้มหวานๆให้ “รู้แล้วล่ะ ก็พี่เต๋าใจดีกับชาขนาดนี้”

     

                “แล้วนี่แอบหนีมาหาพี่อีกแล้วใช่มั้ยเด็กแสบ สบายใจแล้วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะนะ นานเกินคนอื่นเขาอาจจะสงสัย เดี๋ยวชาจะองค์ชายต้นโดนดุเอา พี่เป็นห่วง” ฝืนพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “วันนี้พี่ไปส่งที่โรงฝึกดาบดีกว่าใช่มั้ย?”

     

                “อื้ม...”

     

                ทั้งสองออกเดินไปยังจุดหมายอย่างเงียบๆ แม้จะได้อธิบายเรื่องราวเข้าใจกันไปบ้างแล้ว แต่ก็ดูเหมือนยังมีบางอย่างที่ยังค้างคาอยู่ในใจของทั้งคู่

     

                บรรยากาศตอนนี้จึงอึดอัดขึ้นมาเฉยๆ แทนที่จะมีความสุขอย่างที่ควรเป็น


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×