คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : หงส์ซาน #16 รวนไปหมด ***
#16 รวนไปหมด
________________________________________________
ได้ยินเสียงเพลงรักดังแว่วมาให้ได้ยิน มันเป็นเสียงร้องของผู้ชาย น้ำเสียงนุ่มๆ มีเครื่องดนตรีประสานเป็นกีตาร์เพียงตัวเดียวเท่านั้น ผมเคยทดลองเล่นมาก่อน แต่เอาดีไม่ได้เลยทิ้งไป เสียงร้องห่วยด้วย
“นี่ ทำไมเฮียถึงชอบอุปถัมภ์เด็ก ทำเอาหน้าหรือว่าอะไร”
ผมละสายตาจากดวงดาวมาถามเสียงเบา
“ตอนเด็กๆ เฮียเคยถูกลักพาตัว ดีว่าหนีออกมาได้พร้อมเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกคน พากันระเหเร่ร่อนเป็นเด็กไร้บ้านอยู่เป็นเดือน ตอนนั้นจำไม่ได้ทั้งชื่อจริงตัวเอง ชื่อป๊าชื่อม๊า หรือเบอร์โทรเลขที่บ้านอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ไม่รู้ด้วยว่าต้องไปพบตำรวจ รู้แค่ชื่อเล่นของตัวเอง เป็นชีวิตที่ต้องปากกัดตีนถีบ กินกันไม่เคยอิ่ม ทั้งถูกรังแก ถูกขับไล่ ป่วยก็ไม่มีเงินไปหาหมอ”
โห มันเจอมาหนักขนาดนั้นเลยเหรอ
มันหยุดเสียงลง นั่งนิ่ง ดวงตาทอดมองไปไกล กลืนน้ำลายลงคอ ผมเดาเอาว่ามันกำลังนึกย้อนไปยังวัยเด็กอยู่
“ในที่สุดเพื่อนร่วมชะตาชีวิตกับเฮียก็ตายลงเพราะอาหารเป็นพิษ ตอนนั้นไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเราเลย”
ถ้าผมมีหู ผมว่าหูผมกำลังลู่ตกลงเรื่อยๆ จากเรื่องสะเทือนใจของเขา
“จำได้ว่าเฮียนั่งร้องไห้หนักมาก โชคดีว่าในวันที่เพื่อนตาย เกิดเป็นข่าวขึ้นมาเล็กๆ แล้วมีคนถ่ายรูปติดเฮียไปลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ป๊าม๊าจึงตามตัวเฮียเจอ”
มันจ้องหน้าผมนิ่งๆ เกลี่ยแก้มผมเบาๆ
“ไม่งั้น เฮียคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้กับหงส์หรอก”
เอ่อ…
กูไม่ได้อยากนั่งอยู่ตรงนี้กับมึงสักหน่อย
ผมไม่ได้รวนมันอย่างที่ใจคิดหรอกครับ ผมเข้าใจมันดี ผมไม่เคยสูญเสียคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทแบบมันมาก่อน แต่เคยสูญเสียสิ่งที่ถือว่ารักมากเช่นกันนั่นก็คือปลา
ครับ ปลาคาร์ปที่คนอื่นอาจมองว่ามันเป็นสัตว์โลกน่าเบื่อที่วันๆ ไม่ทำอะไรยกเว้นว่ายน้ำไปมานั่นแหละ
แต่สำหรับผม พวกมันคือเพื่อน คือสิ่งมีชีวิตที่ดำเนินชีวิตไปอย่างเนิบช้า
ผมชอบเวลาเห็นพวกมันกำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำ ว่ายผ่านไปที่ไหน สายน้ำก็แล่นริ้วเป็นทาง มีความสุขเวลาที่พวกมันอ้าปากงับอาหารกิน บ้างมากันเป็นกลุ่ม บ้างก็มากันเดี่ยวๆ
จำได้ว่าตั้งแต่เกิดมา เพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับผม นอกจากพวกพี่ๆ แล้วก็มีปลาคาร์ปนี่แหละ
ผมเคยมีปลาคาร์ปสุดโปรดอยู่ตัวหนึ่ง มันฉลาดแสนรู้เกินปลามาก มันจะว่ายน้ำมาหาผมทุกครั้งที่ผมเดินไปที่บ่อ ไม่ว่าจะเดินไปดูเล่น หรือเดินไปให้อาหาร (เพราะปลาไม่ใช่สัตว์ที่จะว่ายมาหาหากไม่มีอาหารล่อ) ตัวมันขาวล้วน มีจุดดำกลมๆ บนหัวเห็นได้ชัดเลย (มีคนบอกว่ามันเป็นปลาคาร์ปหยินหยาง)
มันไม่ได้ป่วยตายหรอก แต่แก่ตายตามกาลเวลา
จำได้ว่าผมนั่งร้องไห้ไปหลายวัน ฝังศพมันเองกับมือในสวนหลังบ้านนั่นแหละ (เฮียหยกแนะนำให้ผมเอามาย่างกิน แต่ผมไม่ได้ทำตามหรอก)
“หลังจากนั้นป๊าม๊าจึงจ้างบอดี้การ์ดตามติดเฮียตลอด”
มันเล่าต่อ
“พวกซันไรส์เหรอ”
ผมถามด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ มันส่ายหัวไปมา
“เปล่า ก่อนหน้านั้นเป็นคนอื่น พวกซันไรส์อายุรุ่นๆ เดียวกับเฮีย ยังเด็กกันอยู่ กำลังหัดเรียนวิชาบอดี้การ์ด พวกเขาได้ทำหน้าที่ในช่วงที่เฮียรับช่วงกิจการต่อจากป๊าพอดี พวกเขาเป็นทั้งบอดี้การ์ด ผู้ช่วย และเพื่อนในเวลาเดียวกัน เป็นคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางของเฮียดี ไว้ใจฝากฝังชีวิตได้”
ผมพยักหน้าเข้าใจ
“เห็นว่าสองคนนั้นเป็นการ์ดประจำตระกูลด้วยนี่”
มันพยักหน้า
“พอคลอดออกมาพวกเขาก็ถูกเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมาเพื่อเป็นบอดี้การ์ดโดยเฉพาะ แต่ไม่ได้บังคับหรอกนะ ถ้าเกิดอยากทำอย่างอื่นก็ปล่อยไป แต่ส่วนใหญ่จะเลือดข้น สละได้แม้แต่ชีวิต จะว่าไป พวกเขาก็เหมือนพี่น้องเฮียนั่นแหละ รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน แต่ตอนเด็กๆ พวกเราไม่ได้สนิทกันมาก เพราะพวกนั้นอยู่ศูนย์ฝึกกันซะส่วนใหญ่”
“แล้วมาสนิทกับพี่หมอได้ยังไง”
เรียนรู้ชีวิตมันไว้บ้างก็ดีครับ
“เติบโตมาด้วยกัน ลุงหมอพ่อของกันต์ก็มาตรวจรักษาที่บ้านบ่อยๆ เราถูกชะตากันตั้งแต่เด็ก ไปมาหาสู่กัน ทำอะไรด้วยกันประจำ แต่เส้นทางอาชีพต่างกันเท่านั้น”
“ดูไม่น่าจะเป็นหมอได้เลยนะ พี่หมอกันต์”
มันหัวเราะร่วน
“อัจฉริยะกับคนบ้ามีเส้นกั้นกันไว้บางๆ เท่านั้นแหละ”
เออเนอะ นินทาเพื่อนตัวเองก็ได้ด้วย
“แต่กันต์เป็นหมอที่เก่งนะ ความสามารถในการรักษาเฮียว่าน่าจะมาจากสายเลือดและสัญชาตญาณประจำตระกูล”
เท่าที่เคยรักษามา พี่หมอรักษาเก่งจริงๆ นั่นแหละ มือเบามาก ไม่ว่าจะฉีดหรือทายาแทบจะไม่เจ็บเลย
“งั้นคนที่คบกับคนบ้าได้ก็ต้องเป็นพวกเดียวกันน่ะสิ”
ขอรวนมันหน่อยละกัน
มันเหล่มองผมนิดหนึ่ง
“งั้นคนที่แต่งงานกับคนบ้าก็คงได้เชื้อบ้าไปเต็มๆ แล้วล่ะสิ”
“พอดีอั๊วมีภูมิคุ้มกันดี”
“เหรอ”
มันถามเย้า ตวัดวงแขนกดหัวผมต่ำลงไปกดจูบ แทรกลิ้นเข้ามาคลุกวงในอยู่พักใหญ่ก็ถอนจูบออก
ผมรีบผลักมันห่าง ดีดตัวลุกนั่งดีๆ
“โรคจิต”
มันหัวเราะอารมณ์ดี
“แล้วก่อนหน้าแต่งงาน นอนกับผู้หญิงมาแล้วกี่คน”
ขอซอกแซกเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่งครับ
“ไม่รู้ ไม่เคยนับ”
“แปลว่าต้องเยอะมากๆ น่ะสิ”
ผมถามตาโต มันไม่ตอบแต่ยักไหล่ทำสีหน้าว่า ‘เรื่องธรรมดา’
“สำส่อนว่ะ แล้วนี่เฮียได้ป้องกันไหม ตรวจเลือดมั่งหรือเปล่าเนี่ย ถุงก็ไม่ใส่ด้วย”
ผมโวยวาย มันดีดมะกอกผมเบาๆ ผมกุมหน้าผากด้วยสองมือ
“เฮียป้องกันตลอด ก่อนแต่งงานก็ตรวจเลือดแล้ว เรานั่นแหละ ได้ฉีดยากันพิษลิงบ้ามั่งหรือเปล่า”
“ใครลิงบ้า ไม่ได้บ้าสักหน่อย ไม่ใช่ลิงด้วย”
เสียงเพลงจากแพนั้นเงียบไปแล้ว เขาคงเข้านอนไปแล้ว หรือไม่ก็เงียบลงเพราะเกรงใจคนอื่น เสียงที่ดังมาตอนนี้จึงเป็นเสียงบรรเลงจากธรรมชาติเท่านั้น
เรานั่งเล่นกันต่อกระทั่งความง่วงเข้าแทรก บ๊วยมันถึงได้ชวนผมเข้านอน แอบหวั่นๆ ว่ามันจะทำอะไรผมอีกหรือเปล่า แต่มันคงเต็มอิ่มแล้วในห้องน้ำหรือไม่ก็คงสงสารที่ผมยังเดินเป๋อยู่ถึงได้พากันเข้าห้องแล้วนอนเฉยๆ
บนที่นอนแสนกว้าง พื้นที่สำหรับสองชีวิตมีเพียงน้อยนิดเท่านั้น เพราะมันดึงผมเข้าไปกอดแน่น
ผมเคยชินกับการตกอยู่ในอ้อมแขนมันแล้ว
จะว่าไปมันก็อบอุ่นดีนะ
เราตื่นกันอีกทีหลังพระอาทิตย์เป็นคนปลุก ไม่ได้รีบร้อนเพราะขึ้นเครื่องกันตอนบ่าย เช้านี้กิจกรรมคือนั่งเล่นนอนเล่น ผมตัวแทบบี้เพราะไอ้บ๊วยมันมักมานอนคว่ำทับผมอีกทอดหนึ่งดูภาพในมือถือ
มันถ่ายไปไม่กี่ภาพ แต่ภาพที่ถ่ายสวยครับ แต่ของพี่หมอสวยกว่า
สิบโมง เราก็เช็คเอาท์ ขึ้นเรือเพื่อขึ้นฝั่งตรงไปยังสนามบิน สามสี่วันมานี้ผมสนุกมาก มีความสุขด้วย ถึงจะเหนื่อยหน่อย ขัดใจหน่อย แต่ให้คะแนนความสุขมากกว่าความทุกข์
ลาก่อนเขื่อนเชี่ยวหลาน ถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาเที่ยวใหม่
#ซันไรส์
“สนุกดีเนอะ”
ผมหันไปมองคนพูด อยากถามวิกเซอร์เหมือนกันว่ามันสนุกตรงไหนกับการถูกหลอกให้กินแต่ยานอนหลับทุกคืน
จนป่านนี้น้องผมก็ยังไม่รู้ตัว หรือว่าผมจะส่งวิกเซอร์กลับไปฝึกใหม่ดี
“ฝากหน่อย”
ผมกับวิกเซอร์หันไปมองเจ้าของเสียง หมอยื่นกระเป๋าเดินทางมาให้ ไม่ใช่ขอให้ใครช่วยถือก็ได้ แต่เป้าหมายคือผมโดยตรง เพราะสายตานั้นมองตรงมาที่ผมคนเดียว ผมรับมาวางไว้ข้างๆ เพราะยังจัดกระเป๋าของตัวเองไม่เสร็จ ถึงไม่ใช่หน้าที่โดยตรง แต่เพื่อนสนิทเจ้านายก็เหมือนเจ้านายผมกลายๆ
วิกเซอร์จัดของเสร็จพอดี
“ฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวไปดูแลของเจ้านายต่อ”
ผมพยักหน้า น้องผมหิ้วกระเป๋าเดินออกไป ผมยัดของชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋า รูดซิป ลุกขึ้นยืน มือซ้ายยกกระเป๋าตัวเอง มือขวายกของหมอ ผมไม่พูดไม่จากับหมอสักคำทั้งที่อยู่ด้วยกันภายในเพียงสองคน ผมเตรียมจะก้าวเดิน แต่ถูกดักหน้าไว้ก่อนผมยืนนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งนั้น หมอยิ้ม ตะปบท้ายทอยผมกดหัวผมต่ำลงไปแนบจูบเบาๆ
เพียงเดี๋ยวเดียวหมอก็คลายปล่อย
“ป่ะ ไปกันเถอะ” แล้วหมอก็หันหลัง ก้าวนำไปก่อน
ผมลอบสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก้าวตามไปนิ่งๆ วางกระเป๋าไว้หน้าแพ วิกเซอร์ขนของเจ้านายกับหงส์ซานมาแล้ว ผมกับวิกเซอร์ช่วยกันตรวจสอบความเรียบร้อยของทั้งสองห้องอีกรอบ กันหลงลืม พอเห็นของครบวิกเซอร์ก็เดินไปเช็คเอาท์
ผมยืนคอยอยู่ชานแพใกล้กับประตูห้อง ในขณะที่เจ้านายผมยืนเคียงอยู่กับหงส์ซานริมชานแพ สองวงแขนใหญ่โอบกอดหงส์ซานไว้
มองไปด้านข้าง เยื้องมาทางด้านหลังของเจ้านายนิดๆ มีหมอยืนอยู่ เขายืดอก คล้ายจะสูดลมหายใจเข้าปอด ดวงตาถูกซ่อนไว้หลังกรอบหนาของแว่นกันแดดสีน้ำตาลเข้มจัด
หมอรู้ดีว่าช่วงเวลาไหนควรจะเข้าไปแทรกกลางระหว่างเพื่อนตัวเอง เวลาไหนควรเว้นระยะห่าง
ผมเฝ้ามองเจ้านายกับหงส์ซานเพราะมันเป็นหน้าที่ แต่ไม่รู้ว่าหมอชอบมองเพราะอะไร บางทีหงส์ซานกับเจ้านายผมหยอกล้อกันตามประสาคู่รักหมอก็ยังนั่งมองได้หน้าตาเฉยประหนึ่งดูสารคดีสนุกๆ สักเรื่อง
ตอนนี้ก็เหมือนกัน เจ้านายผมพูดอะไรสักอย่างให้หงส์ซานต้องเขินจนหน้าแดง หงส์ซานต่อว่าเจ้านายผมกลบเกลื่อน
หูผมฟังเสียงลิงๆ ของหงส์ซานก็จริง แต่ดวงตากลับจ้องนิ่งไปยังคนที่ยืนยิ้มมองอยู่ด้านหลังนิ่งๆ
มองอย่างมีความสุข
ความสุขของหมอคืออะไร
คือการได้มองความน่ารักของหงส์ซานงั้นเหรอ (สำหรับผม ยังหาความน่ารักของหงส์ซานไม่เจอ)
หรือว่ามองเพราะเห็นว่าเพื่อนตัวเองมีความสุขจึงมีความสุขตามไปด้วย
รอยยิ้มของหมอ เป็นรอยยิ้มที่ดูบริสุทธิ์ ยิ้มอย่างมีความสุข ยิ้มเหมือนหลายๆ ยิ้มที่ผมเคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในหลายวันที่ผ่านมา
ผมรู้ว่าหมอเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มเก่ง ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยสนใจ แต่หลังๆ มานี้ รอยยิ้มหมอคือสิ่งที่วนเวียนอยู่ในใจผมตลอด
ทั้งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
รอยยิ้มยั่ว
หรือรอยยิ้มที่ราวกับเด็กน้อยบริสุทธิ์นั้น
….....
…..
…
.
(40%)
ตอนแรกเจ้านายผมจะกลับมาพาหงส์ซานเที่ยววันสุดท้ายตอนบ่าย แต่งานเสร็จเร็วกว่าปกติ(หรือพูดให้ถูกก็คือ เจ้านายผมเร่งงานให้เสร็จเร็วขึ้นเพื่อจะได้กลับมาทานอาหารเที่ยงกับหงส์ซานมากกว่า)
ผมเดินได้เงียบแค่ไหน เจ้านายผมก็ทำได้เงียบพอกันทั้งที่ก็ไม่เคยผ่านการฝึกอะไรมาก่อน ผมหันไปมองเจ้านายที่ย่องเงียบมายืนอยู่ข้างๆ ก่อนเวลาแบบนี้
“กลับมาแล้วเหรอครับ”
ผมถามเสียงเบา ท่านพยักหน้ามองตรงไปยังเพื่อนและคนรัก หมอยังนอนอยู่ที่เดิมท่าเดิม ส่วนหงส์ซานไปลากฟูกมาปูเล่นหน้าแพ ตอนนี้กำลังคว่ำหน้าเล่นมือถืออยู่
ท่านไม่พูดอะไร ปากยิ้ม ดวงตามีประกายแฝงแววเหมือนกำลังจะได้เล่นของสนุก ท่านยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากตัวเองเป็นสัญญาณให้ผมเงียบ ผมรู้เจตนาท่านดี ยืนนิ่งอยู่กับที่ ผมมองหาวิกเซอร์ แต่ไม่เจอ พอเจ้านายผมเดินผ่านหมอ รายนั้นก็งัวเงียตื่น หมอกำลังจะอ้าปากทัก แต่พอเห็นเพื่อนไม่ได้สนใจตัวเองยกเว้นเหยื่อที่กำลังนอนเล่นมือถืออยู่ก็เงียบเสียงลง
หมอยิ้ม หยิบหนังสือจากอกไปวางไว้บนโต๊ะ ขยับปรับท่าหันมองไปทางนั้น ค้ำคางนั่งมอง
เจ้านายผมถึงตัวหงส์ซานแล้ว และลิงนั่นกำลังพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหลบออกมาจากกรงเล็บเสือโคร่ง
พยายามให้ตายยังไงก็ไม่มีทางรอดหรอก
ช่วงเวลาเดียวของวันที่ผมจะได้เห็นรอยยิ้มของเจ้านายก็ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับหงส์ซานนี่แหละ สักพักเจ้านายผมก็ตะแคงข้างกั้นหงส์ซานจากโลกภายนอก ได้ยินเสียงครางเร้าอารมณ์แผ่วๆ ของหงส์ซานดังออกมา
ผมละสายตาจากภาพนั้น รู้อยู่แล้วว่าท่านคงไม่ยอมปล่อยให้ช่วงเวลาดีๆ แบบนี้สูญไปโดยไม่แทะแขนขาหรืออาจมากกว่านั้นของ หงส์ซานแน่ๆ
แล้วสายตาผมก็ไปหยุดอยู่ยังใบหน้าของคนที่ยังนั่งมองเจ้านายกับหงส์ซานอยู่ เขามองตาแป๋ว
ผมขมวดคิ้ว อยากเดินไปสะกิดเหมือนกันว่าออกจะเสียมารยาทไปสักนิดที่อีกคนมองเจ้านายและคนรักเจ้านายแบบนั้น
แต่อย่าไปยุ่งกับหมอปัญญาอ่อนแบบนั้นเลย ระบบความคิดคงไม่เหมือนคนอื่น
แม้จะบอกตัวเองไปแบบนั้น แต่ผมก็ไม่อาจละสายตาไปจากเรียวปากที่กำลังฉีกยิ้มนั้นได้ หมอเป็นคนยิ้มง่าย หัวเราะง่าย ผมว่าแค่น้ำกระเพื่อมหรือใบไม้ตกพื้นก็อาจทำให้เขาคนนั้นยิ้มได้ก็ได้
ยิ้มง่ายจนคนที่ได้ฉายาว่าเสือยิ้มยากอย่างผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยิ้มเยอะแยะอะไรขนาดนั้นด้วย
รอยยิ้มของหมอสะดุดลงเมื่อวิกเซอร์โผล่ ตามมาติดๆ ด้วยอาหาร
“ไปสั่งตอนไหน”
เพราะปกติไม่น่าจะได้เร็วขนาดนี้ ใกล้เที่ยงแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่
“สั่งมาจากข้างนอก ขอแค่จานชามเขามาเฉยๆ”
ผมพยักหน้าเข้าใจ ช่วยวิกเซอร์ลำเลียงอาหารมาวางไว้บนโต๊ะใกล้หมอ สองคนที่กำลังสวีทกันอยู่ไม่ได้สนใจการเคลื่อนไหวของเรา กระทั่งอาหารเรียบร้อย
เสียงครางของหงส์ซานเงียบไปแล้ว คงเรียบร้อยไปแล้ว วิกเซอร์ยกนาฬิกามอง เดินดุ่ยๆ เข้าไปใกล้ น้องผมคงไม่รู้ว่าเจ้านายกำลังรังแกหงส์ซานอยู่(หรือรู้ แต่คงคาดเดาเอาว่าน่าจะจัดการไปแล้วเรียบร้อย)
เจ้านายผมหันมามอง หงส์ซานดีดตัวลุกขึ้นมายืนหน้าแดงก่ำ โดนเจ้านายผมรังแกยังไม่พอ ยังมาโดนหมอแกล้งมองด้วยสายตากรุ้มกริ่มอีก
ผมเลิกสนใจใครกลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง วิกเซอร์บอกว่าอาหารมื้อนี้สั่งมาจากร้านอาหารมีชื่อของสุราษฏร์ธานี เจ้านายจึงเรียกให้ผมกับวิกเซอร์ไปร่วมวงด้วย เอาตามจริงท่านให้เกียรติผมกับวิกเซอร์มากกว่าลูกจ้างธรรมดา แทบจะมีฐานะเทียมเท่ากับหมอ เพียงแต่ผมกับวิกเซอร์ไม่ถือตัวเท่านั้น เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของเจ้านายเองไว้ ที่ผมกัดหงส์ซานนี่ก็ถือว่าใช้คำพูดเกินหน้าที่ด้วยซ้ำ แต่ปากผมเป็นแบบนี้แหละ เจ้านายรู้เส้นผมกับวิกเซอร์ดี จึงไม่ว่าอะไร บางทีเห็นผมทะเลาะกับหงส์ซานท่านกลับเห็นเป็นเรื่องสนุกไปซะงั้น
บ่ายนี้เราจะนั่งเรือส่องสัตว์กัน พอบ่ายเรือก็มารับ ผมถูกหมอบังคับให้นั่งด้วยตามเดิม ซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ
สายลมโกรกผิวหน้า หมอล้วงหยิบมือถือออกมากดตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเรือ กระทั่งเรือแล่นมาถึงกลางน้ำ ผมบดบังดวงตาจากแสงจ้าๆ ด้วยแว่นกันแดดสีดำสนิท พอๆ กับน้องผม หมอถอดแว่นออกมาเสียบไว้ที่อกเสื้อ คงจะเห็นภาพไม่ชัดถ้าใส่แว่นถ่าย
ผมเรียนรู้เกี่ยวกับหมอเพิ่มอีกอย่างคือเขาเป็นคนชอบถ่ายรูปมาก แต่ถ่ายจากกล้องมือถือนะ ไม่ชอบใช้กล้องแบบมืออาชีพ และตอนนี้รายนั้นก็กำลังสนุกสนานกับการถ่ายรูปไปตามมุมต่างๆ ถ้าจุดไหนเห็นสัตว์ก็จะลุกขึ้นตั้งหน้าตั้งตาถ่ายเลย
กระทั่งมาถึงกระทิงตัวหนึ่ง มันหันแต่ก้นให้จนหมอทนไม่ไหวตะโกนให้มันหันหน้ามาบ้าง กระทิงตัวนั้นหันมาจริงๆ แต่หมอเก็บรูปไม่ทันได้แต่บ่นตามหลังไปอุบอิบ พอเรือออก หมอก็ก้มดูภาพในกล้อง ขยับเลื่อนมาให้ผมดู ไหล่เกยไหล่ไว้พูดเสียงเบาไม่หวังให้ใครได้ยินนอกจากผม
เจ้านายน่ะไม่ต้องไปพูดถึงหรอก สายตามีแต่หงส์ซาน ส่วนน้องผมกำลังคุยสนุกอยู่กับไกด์เรื่องทำยังไงถึงมองเห็นสัตว์ได้ไวขนาดนั้น
“กระทิงตัวนี้เหมือนนายเลย”
“ตรงไหน”
ผมขมวดคิ้วนิดๆ ถามกลับไปเสียงเบา
“แรง”
สั้นแต่ได้ใจความ ผมนั่งนิ่ง แล้วกระซิบกลับบ้าง
“ยังไม่เคยโดน รู้ได้ไงว่าแรง”
หมอเหลือบตามอง ยิ้ม ไม่ตอบด้วยเสียง แต่ตอบด้วยดวงตาว่าเขารู้ละกันว่าผมเป็นพวก ‘รุนแรง’ เรื่องพวกนี้
เรือยังคงแล่นไป สายลมยังคงโกรกไม่หยุด หมอลุกขึ้นถ่ายรูป บางจังหวะผมก็ต้องจับตัวเขาไว้ เพราะหมอเล่นสนใจถ่ายแต่รูป ไม่สนใจว่าตัวเองจะเซตกเรือหรือไม่ วิกเซอร์ไม่ได้สนใจความปลอดภัยของหมอ คงเพราะเห็นว่าผมอยู่ข้างๆ อยู่แล้ว ผมต้องคอยสังเกต ไม่อยากเห็นใครต้องตัวเปียกก่อนเวลาอันควร
คนขับชี้ให้ทุกคนดูว่ามุมไหนควรถ่ายรูป ทุกคนพุ่งเป้าไปทางนั้นกันหมดไม่เว้นแม้แต่หมอ เขานั่งคุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้าผมเยื้องไปด้านข้าง สีหน้าและสายตาดูแน่วแน่ ฉากหลังเขาคือภูผาอันสวยงาม
มันงดงามจนผมอดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องออกมากดถ่าย
แต่ผมไม่ได้ถ่ายหมอหรอกนะ ถ่ายวิวด้านหลังหมอต่างหาก
มันสวยดี ส่วนหมอเป็นเพียงภาพประกอบเท่านั้น
ทริปนั้นผมได้ภาพลงเครื่องแค่ภาพเดียว วิกเซอร์ก็น่าจะได้เยอะ แต่ที่เยอะสุดคงหนีไม่พ้นหมอ เห็นบ่นว่าเมมเต็ม
แน่ล่ะ เล่นถ่ายกันแทบจะทุกจุดขนาดนั้น ภาพพักหน้าจอของหมอ ยังคงเป็นภาพของผมกับตัวหมอเองที่ไปชมพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันเหมือนเดิม
ไกด์ถามว่าอยากเที่ยวต่อไหม แต่เจ้านายกับหมอปฏิเสธ เราจึงหันหัวเรือกลับที่พักกัน
แดดร่มลมตกแล้ว พอเรือจอด หงส์ซานก็โดดลงน้ำทันทีตามไปติดๆ ด้วยหมอ และเจ้านาย ผมกับวิกเซอร์ยืนทำหน้าที่ของตัวเองบนชานไม่ห่าง สวมแว่นกันแดดคนละอัน ยืนพักแขนไพล่หลังคล้ายพลทหาร มันเป็นท่าพักที่สบายที่สุดสำหรับเราแล้ว
พอลิงเห็นเจ้านายว่ายน้ำเข้าหาลิงก็ว่ายน้ำหนีทันที บางทีผมก็อยากจับลิงบ้านั่นมัดเสาแล้วเอาน้ำมันราด
ดื้อกับเจ้านายผมจริงๆ
แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นเสน่ห์ของหงส์ซานที่เจ้านายผมหลงรัก ถ้าง่ายๆ วิ่งโร่เข้าหาเหมือนผู้หญิงที่ผ่านมา เจ้านายผมคงไม่สน คงมีแค่หงส์ซานนี่แหละ ที่ดื้อสะบัดจนอยากจับล่ามวันละหลายๆ หน
หงส์ซานหันมาชวนผมกับวิกเซอร์ด้วยน้ำเสียงกวนๆ ตามสไตล์ ผมกับวิกเซอร์นิ่งกระทั่งเจ้านายอนุญาตผมกับวิกเซอร์จึงขยับถอดเสื้อออกจากหัวแทบจะพร้อมกัน พากันก้าวลงน้ำ
เอาตามจริงก็อยากลงไปแช่น้ำเย็นๆ เหมือนกัน อย่างที่ผมเคยบอกนั่นแหละว่าปกติไม่ชอบลงน้ำนักหรอก เพราะมันทำให้นึกถึงเวลาฝึก ยกเว้นบางเวลาที่อยากเล่นน้ำจริงๆ หมอไม่เข้ามายุ่งกับคู่รักที่กำลังมาฮันนีมูน ว่ายเล่นของตัวเองไปเงียบๆ
ข้อดีของหมอคือนี่แหละ ต่อให้ไม่มีใครก็สามารถดูแลตัวเองได้ ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้ย้ายออกจากครอบครัวใหญ่มาอยู่คนเดียวเพียงลำพัง (ก็ไม่เชิงว่าลำพังเพราะมีหมาโหดอีกสี่ตัวคอยเป็นพี่เลี้ยง)
เจ้านายผมพาหงส์ซานเกาะหลังว่ายน้ำออกไปไกล ผมลอยคอคุยอยู่กับวิกเซอร์ สักพักเราก็พากันเงียบ ตาผมมองตรงไปยังผืนน้ำด้านหน้า
ผู้คนจากแพอื่นลงมาเล่นด้วยเหมือนกันส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว เจ้านายผมไม่สนใจใคร โลกของเจ้านายมีเพียงหงส์ซานเท่านั้น ในขณะที่หมอ กำลังทิ้งตัวนอนหงาย ปล่อยร่างกายให้ไหลเอื่อยไปตามกระแสน้ำ ลอยนิ่งประหนึ่งได้กลายร่างเป็นส่วนหนึ่งของผืนน้ำไปแล้วเรียบร้อย
พระอาทิตย์กำลังจะลาลับ ผมจ้องมองไปยังคลังแสงดวงโตนั้น มันเคลื่อนที่อย่างแช่มช้าต่ำลงเรื่อยๆ เจ้านายผมสร้างความทรงจำสุดท้ายของวันบนริมฝีปากของหงส์ซาน
ในขณะที่หมอ เคลื่อนที่จากการนอนหงายมาเป็นลอยคอ ทอดมองไปยังพระอาทิตย์ดวงเดียวกัน แม้ฉากตรงหน้าจะเป็นเจ้านายกับหงส์ซานที่กำลังจูบกันอยู่ก็ตาม
ผมว่าภูมิต้านทานของหงส์ซานดีขึ้นนะสำหรับเรื่องนี้ ไม่โวยวายเหมือนแต่ก่อน ไม่รู้ว่าชินหรือว่าใจอ่อนแล้วกันแน่
หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง
แสงอัสดงสีส้มอาบไล้ไปทั่วทุกพื้นที่ มันสะท้อนให้ทุกสิ่งรอบตัวดูสวยงามไปหมด
ไม่เว้นแม้แต่…
หมอกันต์ปัญญาอ่อนคนนั้น
พระอาทิตย์ตกไปแล้ว แต่แสงยามเย็นยังอยู่ เจ้านายส่งสัญญาณให้ผมกับวิกเซอร์ขึ้นไปสั่งมื้อเย็น ผมทำตามทันที เดินขึ้นจากน้ำไปหยิบเมนูอาหาร ยืนปรึกษากับวิกเซอร์ว่าจะสั่งอะไรดี
จริงๆ มันก็เป็นเกมอ่านใจเจ้านายนั่นแหละ
“ฉันขออาบน้ำก่อนละกันนะ”
ผมกับวิกเซอร์หันไปมองคนพูดพร้อมกัน หมอเดินตัวเปียกเข้ามาใกล้ น้ำไหลพรากเป็นทาง พวกเราพยักหน้า หมอเดินเข้าห้องไป
หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อย ผมกับวิกเซอร์ยืนประจำตำแหน่งด้วยกันหน้าแพ เราจะทำงานกันโดยไม่ต้องสั่งเป็นคำพูด ถ้าเห็นอะไรตรงไหนที่ควรทำตามหน้าที่ เราจะลงมือทำทันที น้องผมเดินเข้าห้องเจ้านายไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาเตรียมไว้สองผืน
พอสองคนนั้นขึ้นจากน้ำ น้องผมก็เดินไปส่งผ้าเช็ดตัวให้ทันที แล้วพวกเขาก็พากันเดินเข้าห้องไป
“ห้องน้ำว่างแล้ว ใครจะอาบน้ำต่อ”
ผมกับวิกเซอร์หันไปมอง หมอเดินออกมา คล้องผ้าเช็ดตัวรอบคอยกขึ้นขยี้หัว ผมฟูไร้ทิศทางไปหมด แต่มันไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของหมอลดลงเลย
เสน่ห์?
ผมขมวดคิ้ว
คิดได้ไงว่าหมอมีเสน่ห์
“นายจะอาบก่อนหรือจะให้ฉันอาบก่อน”
วิกเซอร์ถาม
“นายอาบก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันอาบทีหลัง”
ผมให้สิทธิ์น้องก่อน วิกเซอร์พยักหน้า เดินเข้าห้องไป หมอมองตามกระทั่งวิกเซอร์หายลับเข้าไปในห้องน้ำถึงได้หันกลับมามองผม มือยังไม่หยุดเช็ดหัว
”เป็นพี่นี่เนอะ ต้องเสียสละให้น้อง”
ไม่รู้ว่านั่นคือการแซวหรือการชมกันแน่ ผมตีสีหน้านิ่งเรียบ หมอดึงผ้าเช็ดตัวรอบคอออก ผมถึงได้เห็นชัดๆ ว่าหมอใส่เสื้อกล้ามมา
ตั้งแต่รู้จักกันมา นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เห็น
สีดำสนิท มันขับผิวขาวๆ ของหมอให้ดูเด่นขึ้น แต่ที่เด่นกว่าไม่ใช่ผิว แต่เป็นริ้วรอยจางๆ เป็นจ้ำๆ ต่ำกว่าไหปลาร้าลงไป
รอยคิสมาร์ค?
นี่ผมไปทำไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
หมอก้มมองตาม เงยหน้าขึ้นมายิ้ม
“รอยปลิงดูด”
ผมหน้าตึง ก่อนตีสีหน้านิ่งเรียบตอบกลับ
“แต่คนที่ดูดเก่งกว่าน่าจะเป็นคุณมากกว่า”
หมอยกยิ้ม มันไม่ใช่รอยยิ้มธรรมดา มันดูยั่วๆ ผสมล้อๆ
ผมว่าผมคิดผิดนะ ที่มาต่อล้อต่อเถียงผู้ชายคนนี้ เหมือนขุดหลุมให้ตัวเองพลัดตกลงไปมากกว่า หมอขยับเข้าชิด
“แล้วคืนนี้อยากโดนดูดอีกไหม ยานอนหลับสำหรับวิกเซอร์ยังเหลือนะ แต่ยาปลุกหมดแล้ว”
“ไม่”
ผมตอบกลับทันที หมอยกยิ้ม
“จริงเหรอ...”
หมอค้างคำว่าเหรอไว้แค่นั้น เกลี่ยปลายลิ้นออกมาไล้ริมฝีปาก ช้าๆ จากซ้ายไปขวา ลิ้นสีแดงๆ ตัดกับฟันขาวอย่างชัดเจน
ผมรู้ว่าหมอกำลังยั่วผมอยู่
และผมก็ไม่คิดจะตกลงไปในหลุมเดิมๆ นั้นอีก
ผมยืนหันหน้าเข้าหาแม่น้ำ ส่วนหมอยืนเผชิญหน้ากับผมหันหน้าเข้าหาห้องพัก หมอเลื่อนมือขึ้นมาเกี่ยวคอเสื้อตัวเองต่ำลงจนเห็นติ่งไตสีน้ำตาลอ่อนไร้เสน่ห์ ผมเลื่อนสายตามองตาม
ผมกำลังอ่านใจหมออยู่ ว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรในที่สาธารณะแบบนี้ หมอไม่พูดอะไร นิ้วนางเกี่ยวคอเสื้อดึงต่ำไว้ ขยับเพียงนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้เกลี่ยหัวนมแล้วบีบขยี้เบาๆ จนมันตั้งชัน
ผมกัดกราม พยายามกดข่มความรู้สึกบางอย่างลง รู้สึกปากแห้งขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุ
ผมจำมันได้ดี เพราะเคยตวัดเลียมันมาก่อนแล้ว
คนบีบส่งเสียงครางออกมาให้ได้ยินเบาๆ เสียงนั้นเหมือนมีใครเอาแก้วใสๆ มาปาใส่หู ตอนแรกมันดังเพล้ง ตามด้วยเสียงวิ๊งเป็นทางยาว
หมอถอนมือออก ยิ้มแหะๆ
“เพิ่งรู้ว่านมตัวเองเซนซิทีฟ”
หมอยกผ้าขยี้หัวอีกรอบ ยักไหล่
“ไม่ก็ไม่ เหนื่อยเหมือนกัน วันนี้พักบ้างก็ดี”
เขาพูดแค่นั้น เดินไปนั่งหย่อนขาเล่นริมแพ
ผมกัดกราม ค่อยๆ ก้มมองบางสิ่งที่กำลังพุ่งทะยานขึ้นมา
ผมหันหลังทันที เดินเข้าห้อง วิกเซอร์เดินพันผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำพอดี ผมคว้าผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่า ปล่อยชายให้ตกลงมาปิดส่วนนั้นไว้ น้องผมไม่เห็นจึงไม่ได้พูดทักอะไร เดินเงียบๆ ไปแต่งตัว ผมเดินสวนเข้าห้องน้ำไป
แน่นอนว่าหลังจากนั้น ภาพหมอในชุดเสื้อกล้ามยืนบีบนมตัวเองคือตัวช่วยอย่างดีให้ผมไปถึงได้อย่างง่ายดาย
ผมยืนค้ำสองมือใต้ฝักบัว ได้ยินเสียงครางของหงส์ซานดังก้องมาให้ได้ยิน
เจ้านายผมเก็บแต้มอีกแล้ว
ผมรีบอาบน้ำ เดินหน้าเรียบออกไป
วิกเซอร์ยืนคอยอยู่จุดเดียวกับผมเมื่อกี้ หมอยังนั่งแกว่งขาเล่นน้ำอยู่ ผมเดินออกไปยืนอยู่ข้างๆ น้อง
พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่มองคนคนนั้นอีก มองเลยไปยังแม่น้ำกว้างๆ นั้นแทน
พออาหารมา ผมก็รับหน้าที่เดินไปเคาะห้องเจ้านาย หงส์ซานเดินเป๋ออกมาตามคาด ตอนแรกผมเดาเอาว่าหงส์ซานน่าจะแซวอะไรหมอบ้างเรื่องรอยที่ผมทำไว้ แต่เจ้าตัวกลับทำเป็นไม่เห็นเสีย
คงกลัวจะโดนแซวกลับ
ตกดึก เจ้านายผมใช้เวลาช่วงสุดท้ายดื่มด่ำไวน์และอากาศดีๆ เคียงข้างหงส์ซาน พวกเขาคุยกันเงียบๆ โดยมีดวงดาวและพระจันทร์ลอยเอื่อยอยู่เหนือขึ้นไป
ผมกับวิกเซอร์ซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบคอยรักษาการ หมอเอาอย่างหงส์ซาน ลากฟูกออกมานอนริมแพ ผมพยายามเมินร่างภายใต้เสื้อกล้ามท่ามกลางแสงจันทร์นวลนั้น ตาจ้องออกไปยังภูเขาลิบๆ
วิกเซอร์หาวหวอด ผมหันไปมอง วิกเซอร์ตาปรือ
“ง่วง”
ผมขมวดคิ้ว เหลือบมองไปยังคนที่กำลังนอนคว่ำอ่านการ์ตูนอยู่ ผมถอนหายใจเบาๆ ไม่เอ่ยปากถามอะไรให้วิกเซอร์ต้องสงสัยในตัวหมอ ตบหลังเบาๆ พยักหน้าให้
“ไปนอนก่อนก็ได้ เดี๋ยวทางนี้ฉันดูแลเอง”
วิกเซอร์พยักหน้า เดินเข้าห้องไป ผมหันกลับมามองตัวการ หมอปิดหนังสือลง อ้าปากหาว รวบเก็บการ์ตูนลุกขึ้นยืน
“อ้าว วิกเซอร์ล่ะ”
เขาเดินเข้ามาใกล้ มองเลยหลังผมผ่านหน้าต่างห้องเข้าไปดูภายใน
“หือ หลับแล้วเหรอ”
ผมขมวดคิ้วทำหน้าไม่พอใจ ร้องหึในลำคอ
“คราวนี้คุณเอาอะไรให้เขากินล่ะ”
หมอทำหน้างง
“ฉันเปล่า”
ผมจับข้อมือหมอดึงแรงเข้ามาชิดในลักษณะคุกคาม
“เปล่า? แล้วนั่นคืออะไร”
ผมพยักหน้าเข้าไปภายใน
“นี่ คืนนี้ฉันไม่ได้วางยาเขา”
หมอพูดเสียงเบาลง ผมจ้องตาคนพูด มองหาความจริง
“ปกติวิกเซอร์ไม่เคยง่วงเร็วขนาดนี้มาก่อน”
“อากาศที่นี่ดีจะตาย จะง่วงเร็วก็ไม่แปลก ทั้งเที่ยวทั้งเล่นน้ำ เหนื่อยมาทั้งวัน ฉันเองก็ง่วง จะไปนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์”
หมอพูดแค่นั้น ดึงมือตัวเองออก
ใช่ ผมควรจะปล่อยหมอไป
ผมควรจะไม่ใส่ใจ
ผมควรจะต้องมุ่งมั่นทำหน้าที่ของตัวเองไป เพราะหงส์ซานกับเจ้านายยังอยู่
แต่ผมกลับทำสิ่งที่ค้านกับความตั้งใจไปไกลโข ผมดึงหมอไปชนกำแพงในมุมอับ พ้นจากหน้าต่างที่วิกเซอร์จะมองเห็น หรือถ้าเจ้านายกับหงส์ซานมองมาก็จะไม่รู้ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน ส่วนคนจากแพอื่น ผมไม่สน
หนังสือการ์ตูนของหมอร่วงกราวลงพื้น (ดีว่ามันเล่มเล็กและเบามากจึงไม่ได้เสียงดัง) แนบแผ่นหลังหมอติดกำแพงแรง ก้มจูบทันที
ขออภัย เนื้อหาส่วนนี้ถูกตัดออก
เรือแล่นมาถึงหน้าแพเราตามเวลานัดหมายพอดี ผมดึงสติกลับคืนมายังปัจจุบัน เดินไปขนกระเป๋าและข้าวของอื่นๆ ลงเรือกับวิกเซอร์ ไกด์คนเก่งมาคอยรับส่งอย่างนอบน้อม เจ้านายส่งหงส์ซานนำไปก่อน ตามด้วยตัวเอง หมอเป็นคนถัดไป จังหวะนั้นมีเรือเร็ววิ่งผ่านเข้ามาใกล้ ทำให้เกิดระลอกคลื่นจนแพไหว หมอที่กำลังก้าวเดินเสียการทรงตัวทันที ผมอยู่ใกล้สุดจึงคว้าตัวหมอไว้กันล้ม
จริงๆ ความสามารถระดับหมอ ต่อให้ผมไม่ช่วย เขาก็พยุงตัวเองได้ แต่มือผมมันไปเร็วกว่าใจคิดไง หมอเงยหน้ามอง ยิ้มหวาน
ใช่ ยิ้มหวานเอามากๆ แถมยังขยิบตาเจ้าชู้ให้ด้วย ผมปล่อยมือทันที หมอหัวเราะ ก้าวลงเรือไป ผมก้าวตามไปติดๆ ปิดท้ายด้วยวิกเซอร์
เรือแล่นไปตามทาง น้ำกระเซ็นตกกระทบผิวให้เย็นฉ่ำ หมอยังคงเป็นมนุษย์เนียนเอนหลังพิงต้นแขนผมในท่าสบายๆ มองวิวมองน้ำ ผมไม่ได้มองหมอ สายตาเพ่งตรงไปยังภูเขาเบื้องหน้า หมอหยิบมือถือออกมาถ่ายรูป
“ซันไรส์”
ได้ยินเสียงเรียกเบาๆ ผมหันไปมอง เห็นหมอยื่นมือถือไปตรงหน้าระหว่างเราสองคน บนหน้าจอคือหน้าหมอและหน้าผมที่หันไปมองพอดี
“ยิ้มหน่อย”
ยังไม่ทันที่กล้ามเนื้อส่วนใดบนใบหน้าผมจะได้ขยับหมอก็กดถ่ายดังแชะ ลดกล้องลงดู
สิ่งที่ได้คือหมอที่มีใบหน้ายิ้มแย้มตามสไตล์ และผมที่มีใบหน้านิ่งเรียบตามเดิม
“หล่อกว่าวิกเซอร์อีกนะเนี่ย”
ผมไม่รู้สึกภูมิใจเลยสักนิดสำหรับคำชมนั้น
ผมดึงสายตากลับมามองวิวภูเขาอีกรอบ รู้สึกมุมปากตัวเองจะขยับยกขึ้นยังไงพิกล
คิดว่านะ….
To be Con...
ซึนกว่าหงส์ซานก็ซันไรส์นี่แหละ ตั้งสติเวลาอ่านกันให้ดี ๆ นะคะ ซันไรส์ค่อนข้างจะอยู่กับภวังค์ความคิดในอดีต (ฉากอยู่กับปัจจุบันแต่เล่าย้อนให้เราฟังอีกที)
เม้นท์กันได้ตามอัธยาศัย เดี๋ยวไรท์จะหายตัวไปประมาณ 4-5 วันนะคะ ถ้าไม่หมดแรงซะก่อน จะอัพได้อีกทีวันที่ 25 ถ้าเอาชัวร์ๆ เลยก็วันที่ 26 ค่ะ :)
อีบุ๊ค(e-book) หงส์ซาน (จบแล้ว เนื้อหาเหมือนหนังสือทุกอย่าง)
(ราคา 339.- จากราคาปก 480.- เนื้อหานิยายมี 27 ตอน+ตอนพิเศษอีก 3 ตอน)
[>>ดาวน์โหลดอีบุ๊คที่นี่ค่ะ<<]
แฮทแท็กเรื่องนี้ #หงส์ซาน
ติดต่อ-ติดตามการอัพนิยายไรท์เตอร์ได้ที่นี่ค่ะ
เพจ : facebook.com/memew28
เฟส : facebook.com/memewfc
ทวิต : @Memew28
เมล : Memew28(แอท)gmail.com
instagram : Memew28
Line : Memew28
ปลื้มแรงกับคอมเม้นท์นี้ (ดึงแก้มมาจูบ โอ๊ะ! ขอโทษ น้ำลายติด)
ความคิดเห็น