NC

คำเตือนเนื้อหานิยาย

นิยายเรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหานิยาย

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HONGZAN "หงส์ซาน" (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #20 : หงส์ซาน #18 หมดความอดทน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 15.48K
      193
      12 ก.ค. 60


    ตอนที่ 18 หมดความอดทน




    พออิ่มมันก็ลากให้ผมเดินไปส่งที่รถ จริงๆ มันก็เป็นหน้าที่ของเมียที่ดีนั่นแหละ แต่ผมไม่เต็มใจเป็นเมียที่ดีของมันไงเลยไม่อยากจะทำ

     

    ซันไรส์เปิดประตูรถออก บ๊วยหันมามอง มือหนึ่งแตะบั้นเอวผมไว้แผ่วเบา ก้มลงมาสูบพลังจากผมหนึ่งดอก

     

    “รอนะ เฮียจะรีบกลับมาหา”

     

    “ใครเขารอ”

    ผมอุบอิบพูด มันได้ยินแน่ๆ หัวเราะแผ่วๆ ก้าวขึ้นรถไป นั่งนิ่งบนเบาะหลัง วิกเซอร์สตาร์ทเครื่อง บ๊วยหันมามอง ยิ้มให้นิดๆ แล้วรถคันนั้นก็เคลื่อนที่ออกไปช้าๆ

    ผมเดินกลับไปที่บ่อปลาตามเดิม


    น้องหงส์คร้าบบบบบบ” 

    เดินยังไม่ทันจะถึงก็ได้ยินเสียงร่าเริงของพี่หมอดังมาด้านหลัง ผมหันไปมอง พี่หมอเดินตรงเข้ามาหา ไม่ได้มามือเปล่า สะพายกระเป๋าเครื่องมือปริญญาตรีพยาบาลของพี่หมอมาด้วย (คือไม่ใช่เครื่องมือปฐมพยาบาลครับ เพราะเครื่องมือพี่แกอลังการมาก มีครบทุกอย่าง กระเป๋าจะใหญ่มากด้วย) แต่ไม่ทุกครั้งหรอก ขึ้นอยู่กับเคสที่เดินทางไปตรวจรักษา บางครั้งก็กระเป๋าเล็กๆ

     

    “พี่หมอ”

     

    รายนั้นโดดเข้ามาโอบกอดผมไว้แนบอกแน่น

     

    “ตัวยังเล็กเหมือนเดิมนะเรา”

     

    “เราเพิ่งจากกันเมื่อวันก่อนครับพี่หมอ ไม่ใช่สิบปี และอีกอย่าง ส่วนสูงผมไม่กระเตื้องมาตั้งนานแล้ว”

    ผมติงไป พี่หมอหัวเราะ ทิ้งกระเป๋าลงพื้นดังตุบ

     

    “กำลังจะไปรักษาหรือว่าไปมาแล้วถึงแวะมาหา เฮียเพิ่งออกไปเมื่อกี้”

     

    “พี่หมอเห็นแล้วครับ สวนกันเมื่อกี้ พี่หมอเพิ่งกลับมาจากบ้านคนไข้ ถูกเรียกตัวตั้งแต่ตีสี่”

     

    โห

     

    “คนเป็นหมอนี่ทำงานกันไม่เป็นเวลาเลยเนอะ ใครป่วยมาตอนไหนก็ต้องรีบไปรักษา นี่ถ้ากำลังกินข้าวหรือทำธุระส่วนตัวไม่ต้องทิ้งชามข้าวไปเลยเหรอ”

     

    พี่หมอยักไหล่

     

    “เรื่องปกติ จะกินอยู่กี่คำ มือถือดังเคสด่วนมา ก็ต้องวิ่งแนบ ขนาดทำกิจกรรมอย่างอื่นอยู่ยังต้องรีบเบรก”

     

    “อย่างเช่น?

    ผมถามอย่างใคร่รู้

     

    พี่หมอไม่ตอบด้วยคำพูด แต่มองมาด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ผมเบิกตา

     

    “บ้าแล้วพี่หมอ ปิดมือถือไว้สิ!!

     

    “เรื่องนั้นรอได้ แต่ชีวิตคนบางทีก็รอไม่ได้”

     

    มันก็จริง

     

    “พี่หมอนี่จริงจังกว่าที่ผมคิดนะ”

     

    พี่หมอยิ้ม จับสองไหล่ผมบีบเบาๆ ทำหน้าจริงจังยิ่งกว่าเดิม

     

    “เพราะงั้นจะคลอดเมื่อไหร่ ให้พี่หมอเป็นคนทำคลอดนะ”

     

    ผมขอคืนคำพูด ==;

     

    สงสัยว่าผมจะทำหน้าตรงกับสิ่งที่คิดไว้จัดพี่หัวเราะเสียงดังแล้วลูบพุงตัวเองป้อยๆ

     

    “หิวจัง”

    เอากับเขาสิ เสพูดไปเรื่องอื่นเฉย

     

    “งั้นเดี๋ยวผมไปบอกแม่ครัวให้”

    ผมทำท่าจะเดินไปหาแม่ครัว แต่พี่หมอเบรกไว้

     

    “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่หมอทำเอง”

     

    ผมตาโต

     

    “พี่หมอทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ”

    ขนาดผมยังทำไม่เป็นเลย

     

    พี่หมอขยิบตาเจ้าชู้ให้

     

    “จิ๊บๆ”

    แล้วหันไปทางซันไรส์

    “แต่ขอตัวซันไรส์ไปเป็นผู้ช่วยหน่อยได้ไหม”

     

    “เอาเลยครับตามสบาย”

    ผมรีบยกซันไรส์ใส่พานถวายพี่หมอทันที การมีซันไรส์อยู่ด้วย ทำให้อากาศอันบริสุทธิ์ของผมเบาบางลง ออกห่างบ้างก็ดี

     

    ซันไรส์มองหน้าผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ผมไม่สนใจ พี่หมอยิ้ม พยักหน้าชวนซันไรส์อีกรอบ

     

    ซันไรส์ไม่พูดอะไร เดินหน้านิ่งตามพี่หมอไปเงียบๆ

     

     

    #ซันไรส์

     

    “เล่นอะไรของคุณ”

    ผมถามด้วยคำถามเดิมๆ หมอหันมามองหน้าตาย ยักไหล่ให้นิดหนึ่ง

     

    “จิ๊บๆ?? ขนาดทอดไข่ดาวยังกลายเป็นไข่ดำ ยังมีหน้าไปโม้หงส์ซาน”

     

    “ฮ่าๆ อยากโม้บ้าง ฉันอยากกินสปาเก็ตตี้ ทำให้หน่อยสิ”

     

    ผมมองหน้าเขา และนี่คือสาเหตุที่หมอไปบ้านคนนู้นคนนี้บ่อยๆ มากกว่าอยู่บ้านตัวเองในช่วงเวลาอาหารเช้าเที่ยงหรือเย็น 

     

    เพราะหมอทำอาหารได้ห่วยแตกมาก

    เก่งในการรักษาคน แต่ไม่เก่งเอาซะเลยในการทำอาหาร (แต่ถ้าจำเป็นต้องอยู่บ้านจริงๆ หมอจะสั่งอาหารมาทาน แต่ส่วนใหญ่แม่บ้านจะทำให้) 

     

    “กะอีแค่เอาเครื่องปรุงมาผสมกัน ทำไมจะทำออกมาให้ดีไม่ได้ ทั้งที่การรักษาคนน่าจะยากกว่าอีก”

     

    “การรักษาคนมันอยู่ในสายเลือด และนายก็รู้ว่าผู้ชายทุกคนในสายเลือดฉันทำอาหารห่วยแตกกันทุกคน”

     

    ไม่เถียง

     

    ผมแทบกุมขมับ เดินเข้าครัวไปหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวม วันนี้ผมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กำลังจะพับแขนเสื้อแต่หมอขยับเข้ามาใกล้

     

    “เดี๋ยวฉันช่วย”

     

    ผมชะงัก จ้องนิ่งยังคนที่ขยับมาจับปลายแขนเสื้อผมไว้

     

    หมอเงยหน้า ยิ้ม

     

    “ถึงฉันจะทำอาหารไม่ได้เรื่อง แต่เรื่องถอดหรือใส่เสื้อผ้า ฉันเก่งนะ”

     

    ผมมะเหงกหน้าผากหมอเบาๆ อย่างที่คุณไป่หลงชอบทำกับหงส์ซานเวลาท่านหมั่นไส้

     

    แต่ก่อนผมไม่รู้ว่าท่านชอบทำทำไม

     

    แต่ตอนนี้ผมชักจะรู้สึกแล้ว

     

    หมอปล่อยมือจากแขนเสื้อผมไปกุมหน้าผากทันที ยู่หน้าใส่ ไม่เคยเห็นมาดนี้ของหมอมาก่อนจริงๆ ผมยิ้มนิดหนึ่ง หมอเลิกคิ้วแล้วยิ้ม

     

    “ยิ้มอะไร”

    ผมถามเสียงนิ่ง

     

    “เปล่า นานๆ ทีจะเห็นเสือยิ้มยากยิ้มสักที เสียดายถ่ายรูปไม่ทัน”

     

    ผมหน้าตึงเหมือนเดิม ทำท่าจะปลดกระดุมแขนเสื้อตัวเองต่อ แต่หมอหยุดมือผมไว้ก่อน ผมยอมยืนนิ่งให้เขาทำอีกที

     

    ปกติคนเป็นหมอต้องใส่เสื้อกาวน์ ต้องมีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ แต่หมอกันต์จะตัวหอมสะอาดตลอดเวลา ถ้าไม่ใส่เสื้อยืดก็เสื้อเชิ้ต และวันนี้เจ้าตัวก็ใส่เสื้อเชิ้ตมา สีดาร์กบลู ตัดกับผิวขาวๆ นั้นดี

     

    หมอค่อยๆ บรรจงแกะกระดุมจากข้อมือผม พับเป็นทบชนิดเนื้อผ้าไม่ยับเลยสักนิดขึ้นไปทีละชั้น กระทั่งมันขึ้นไปเหนือศอกให้ผมเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น ตรวจสอบ ผมขยับยื่นอีกข้างให้ทำดีๆ จ้องมองดวงหน้าของคนที่อยู่ต่ำลงไปไม่มาก

     

    “หลงเสน่ห์ฉันแล้วรึไงถึงได้มองไม่วางตาแบบนั้น”

     

    ผมชะงัก หมอเงยหน้ามอง

     

    “หลงเสน่ห์ฉันแล้วใช่ม้า”

     

    “เปล่า ผมกำลังมองหมอปัญญาอ่อนอยู่ต่างหาก”

    ผมแก้ตัว หมอยิ้ม เป็นคนที่ยิ้มง่าย ยิ้มไปกับทุกเรื่อง ยิ้มจนผมสงสัยว่าเขายิ้มออกมาจากใจจริงหรือแค่แยกเขี้ยวจนเป็นนิสัยกันแน่ หมอหลุบตาลงต่ำ ตบเบาๆ เมื่ออีกข้างแล้วเสร็จ

     

    ยังไม่ทันที่ผมจะได้ขยับทำอะไรต่อ เขาก็จับคอเสื้อผมดึงเบาๆ ให้ผมก้มหน้า แล้วปากของเราก็แนบผสานกันอีกครั้ง คุณหมอเอียงคอ ส่งลิ้นอุ่นๆ เข้ามาสำรวจหาไออุ่นภายในเพิ่มเติม

     

    “ออร์เดิร์ฟ เร็วเข้าเถอะ ฉันหิวแล้ว”

     

    ผมจ้องมองคนตรงหน้านิ่ง สูดลมหายใจเข้าปอด พยายามระงับบางสิ่งให้สงบลง ลงมือทำอาหารเงียบๆ

     

    หมอเดินไปหยิบแอปเปิ้ลเขียวในตู้เย็นมาหนึ่งลูก นำไปล้างจนสะอาด กัดกรวบจนได้ยินเสียงชัดเจน ผมไม่ได้สนใจคนด้านหลังอีก ใช้สมาธิกับการทำสปาเก็ตตี้ ทำง่ายไม่ยากหรอก เพียงแต่ถ้าจะทำให้อร่อยต้องใช้ใจทำ

     

    “ซันไรส์”

     

    ผมหยุดมือที่กำลังราดน้ำซอสลงบนจานหันไปมอง คุณหมอจับหัวผมไว้ แนบปากอีกรอบ ส่งผ่านบางสิ่งมาให้

     

    รสหวานๆ และกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์นั้นบอกได้ชัดเจนว่าเป็นแอปเปิ้ลเขียว

     

    “คำสุดท้าย แฟนหล่อ”

     

    ผมขมวดคิ้ว นิ่งคิด

     

    “มันต้องบอกว่า คำสุดท้ายแฟนสวยไม่ใช่รึไง” 

    จากสำนวนไทยที่ผมเคยเรียนมา ผมไม่ได้คายทิ้ง แต่เคี้ยวสิ่งนั้นกลืนลงคอ คนทำอาหารไม่ชอบทิ้งอาหารหรอก

     

    หมอส่ายหัว คลี่ยิ้ม

     

    “คำสุดท้ายแฟนหล่อ นับจากนี้ไปนายมีแฟนแล้ว หล่อด้วย”

    ผมวางสิ่งที่กำลังทำอยู่ลง มองหน้าหมอ ยกมือกอดอก เอียงคอ สบตาหมอด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

     

    “โทษที ในชีวิตนอกจากชวนผู้หญิงหลับนอนแล้วยังไม่เคยจีบใครมาเป็นแฟน จึงมั่นใจว่ายังไม่มีแฟน ไอ้หล่อด้วยยิ่งแล้วใหญ่”

     

    “ฉลาดน้อยจัง”

     

    ผมหน้าตึงกับคำนั้น

     

    “ประมวลคำพูดฉันให้ดีๆ สิซันไรส์ ฉันว่านายฉลาดพอกับความหมายที่ฉันพูดไปเมื่อกี้นะ”

     

    ผมมองตาเขา 

     

    “คุณกำลังจะเคลมผมเป็นแฟน”

     

    “ใช่”

    หมอตอบรับมาตรงๆ ผมพ่นลมหายใจแรง

     

    “ผมขอปฏิเสธ ข้อแรก ผมยังไม่อยากมีแฟน ข้อสองผมไม่ต้องการมีแฟนเป็นผู้ชาย ข้อสาม ผมไม่ได้ชอบหมอ และที่สำคัญ หมอไม่ใช่สเปกผม”

     

    หมอยิ้มหวาน

     

    “ไม่ใช่สเปกแต่ทำเซ็กส์ได้นะ เอาเป็นว่าตกลงตามนี้”

     

    “ผมขอปฏิเสธ”

     

    “ตามนั้น”

     

    “นี่คุณหมอ คุณจะมาใช้วิธีมัดมือชกเอาผมเป็นแฟนเหมือนที่คุณทำมาเรื่องอื่นๆ ไม่ได้นะ ผมไม่เล่นด้วย”

     

    หมอยิ้ม หันไปมองจานสปาเก็ตตี้ตัวเองที่ผมทำค้างไว้

     

    “เสร็จยัง ฉันหิวแล้ว”

     

    “คุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

    ผมจับแขนเขาให้หันมาคุยกันดีๆ

     

    “คุยแล้ว ตามนั้นแหละ ทำเร็วๆ ฉันหิว”

     

    “คุณหมอ!!

     

    “ฉันกินทั้งอย่างนี้เลยได้ไหม”

    พูดจบเขาก็หยิบส้อมที่ผมใช้จัดเส้นสปาเก็ตตี้ทำท่าจะคลุกซอส ผมรีบหยุดมือเขาไว้ทันที

     

    “ยังไม่เสร็จ”

     

    “ฉันหิว”

    มันไม่ใช่แค่คำพูด เพราะท้องหมอพากันร้องโครกครากออกมาให้ได้ยินจริงๆ

    “วันนี้แหกตาตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่อไปรักษา หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว”

     

    ผมถอนหายใจแรง เลิกสนใจเรื่องที่คุยกันเมื่อกี้มาทำสปาเก็ตตี้ให้แล้วเสร็จ

     

    ยังไงเสียปรบมือข้างเดียวไม่มีทางดังอยู่แล้ว ถ้าผมไม่เล่นด้วย ทุกอย่างก็จบ

     

    “เรียบร้อย”

    ผมยกจานไว้ในมือ หมอเตรียมจะรับ แต่ผมดึงคืน

    “จะไปนั่งกินในสวนกับหงส์ซานหรือจะนั่งกินที่นี่”

     

    “แล้วนายจะไปอยู่ที่ไหนระหว่างฉันกิน”

     

    “หน้าที่ผมคือดูแลหงส์ซานอย่างใกล้ชิดตามคำสั่งของเจ้านาย”

     

    “งั้นก็ไปกินกับหงส์ซาน”

    หมอตอบรับมาง่ายๆ

     

    ผมพยักหน้า

     

    “เดี๋ยวผมยกไปเอง คุณเดินนำไปก่อน”

     

    หมอยิ้ม พยักหน้า ก้าวนำไปโดยไม่อิดออด

     

    หงส์ซานหันมามอง

     

    “ทำอะไรกินครับพี่หมอ”

     

    “สปาเก็ตตี้”

     

    “โห ครั้งหน้าสอนผมบ้างสิ อยากทำเป็นบ้างเหมือนกัน”

     

    ผมหัวเราะหึๆ ในใจ ถ้าให้สองคนนี้เข้าครัว ผมว่าคุณไป่หลงอาจต้องทำประกันไฟไหม้ไว้หลายๆ เจ้าหน่อย เพราะจากประวัติที่สืบทราบมา

     

    ทำอาหารห่วยแตกพอกัน

     

    “ลองชิมไหม”

    คุณหมอใจดีชักชวน หงส์ซานส่ายหัว

     

    “ไม่ละ ผมอิ่มตื้อเลย ตามสบายครับ”

    แล้วลิงนั่นก็หันไปนั่งมองปลาต่อ ผมกำลังจะเดินไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิมของตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวก็ถูกรั้งชายเสื้อไว้

     

    หมอหัวเราะ

     

    “นายลืมอะไรไปอย่างนะซันไรส์”

     

    “อะไร!

    ผมกระแทกถามเสียงห้วน

     

    ผมมั่นใจว่าทำอาหารไม่เคยบกพร่องนะ

     

    หมอหัวเราะ ชี้ส้อมมาทางตัวผม ผมก้มมอง ชะงักนิดเพราะบนตัวผมมีผ้ากันเปื้อนสวมไว้อยู่ หมอหัวเราะอย่างขบขัน ผมหน้าร้อนผ่าว ไม่เคยทำเปิ่นแบบนี้มาก่อน รีบกระชากมันออกเดินลิ่วๆ กลับเอาไปเก็บ

     

    พอเรียบร้อยก็เดินกลับมายืนประจำตำแหน่ง หมอนั่งกินไปเงียบๆ ดูท่าจะหิวจริง เพราะไม่เกินห้านาทีไอ้ที่ทำมาจนพูนจานเมื่อกี้ก็หายลับไปราวกับถูกเสก

     

    “อิ่มหรือเปล่า”

    ในอนาคตผมว่าถ้าเรี่ยวแรงไม่พอทำอาชีพบอดี้การ์ด ผมจะไปเอาดีด้านการเป็นพ่อครัวให้คุณไป่หลงแทน อะไรที่เกี่ยวกับการกิน ผมใส่ใจเสมอ

     

    “อื้อเลย เมื่อกี้ล่อแอปเปิ้ลไปแล้วลูกหนึ่ง พอแล้วล่ะ เดี๋ยวจุก”

     

    ผมเห็นด้วย ยกจานเปล่าหันหลัง เดินเข้าครัวเพื่อนำไปล้าง ผมหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมอีกรอบ ได้ยินเสียงเปิดตู้เย็น ผมหันไปมอง เห็นหมอยืนคุ้ยหาอะไรอยู่ แล้วก็เดินกลับมาพร้อมแอปเปิ้ลเขียวแบบเดิม 

     

    “ฝากล้างหน่อย”

     

    “ขอผมล้างจานก่อน”

    ผมตอบรับนิ่งๆ ยืนล้างจานโดยมีหมอยืนกอดอกคอย

     

    “บางทีเราอาจต้องสลับกันนะ ฉันเป็นสามี นายเป็นภรรยา ผู้ชายอะไรทำงานบ้านเป็น ทำอาหารก็เก่ง เจ้าระเบียบอีกต่างหาก”

     

    ผมพ่นลมหายใจแรง หันไปมองนิ่งๆ ออร่าเหี้ยมโหดที่แม้แต่หมายังวิ่งหางจุกตูดใช้ไม่เคยได้ผลกับผู้ชายคนนี้หรอก

     

    “ผมไม่คิดจะเป็นสามีหรือภรรยาใคร”

    แล้วผมก็หันกลับมาล้างจานต่อ ยกสะเด็ดน้ำ หยิบผ้ามาเช็ดจนแห้ง วางเรียงกันไว้ในตู้ หยิบช้อนมาเช็ดจนแห้ง วางไว้ในถาดเก็บช้อน ผึ่งผ้าเช็ดจานไว้ หยิบแอปเปิ้ลของหมอมาบรรจงล้างจนสะอาด

     

    “จะให้หั่นด้วยหรือเปล่า”

     

    “ไม่ต้องหรอก”

     

    “ฟันเกหมด”

     

    “ฉันแข็งแรง ฟันได้ไม่เป็นไรหรอก”

    ผมชะงัก หันไปมอง คุณหมอฉีกยิ้มกว้าง ผมยัดแอปเปิ้ลลูกนั้นใส่มือหมอด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ปลดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้ที่เดิม เดินลิ่วๆ ออกไปหาหงส์ซานตามเดิม


    ผมลากเก้าอี้มานั่ง ฟังรายละเอียดงานที่วิกเซอร์อัดมาให้เงียบๆ     คุณหมอก้าวตามมาติดๆ ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ตีเนียนพิงหัวกับไหล่ผมเหมือนเดิม ได้กลิ่นหอมจางๆ ลอยมาจากตัวหมอ มันผสมเคล้ากันกับกลิ่นแอปเปิ้ลเขียวที่อีกคนกำลังกัดกรวบกิน 

     

    ผมเลิกสนใจคนข้างๆ เพ่งสมาธิไปยังเสียงที่กำลังฟังอยู่

     

    ผมนั่งนิ่งไม่ได้สนใจอะไร กระทั่งรู้สึกถึงแรงขยับจากคนข้างๆ ผมหันไปมอง คนที่อาศัยพิงไหล่ผมอยู่หลับตาพริ้ม ได้ยินเสียงฟี้ของลมหายใจเบาๆ

     

    ผมขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าหมอหลับเพราะหนังท้องตึงเกินไป หรือว่าเพราะต้องตื่นไปรักษาคนไข้ตั้งแต่เช้ามืดกันแน่ ผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม กำลังคิดอยู่ว่าจะเอายังไงกับสภาพหมอตอนนี้ดี

     

    “อ้าว พี่หมอหลับไปแล้ว”

    เสียงทักเบาๆ ของหงส์ซานปลุกคนข้างตัวผมให้สะลึมสะลือตื่น เขาอ้าปากหาวหวอด

     

    “เผลอหลับไปได้”

     

    “ถ้าง่วงไปนอนก่อนก็ได้ครับพี่หมอ”

     

    “เป็นความคิดที่ดี”

    แล้วหมอก็เดินตัวลอยๆ เข้าบ้านไป ผมไม่ได้สนใจหมออีก กดปิดสิ่งที่กำลังฟังอยู่เพราะมันจบพอดี หงส์ซานคงอยากนอนด้วยเหมือนกัน รายนั้นไปลากเสื่อออกมาปู พอๆ กับดึงผ้ารองและหมอนหนุนเล่นนอกบ้านออกมานอนด้วย

     

    สักพักรายนั้นก็เข้าภวังค์ไปด้วยอีกคน

     

    ได้ยินเสียงนกพากันร้องจิ๊บๆ ผมปิดเปลือกตาลง ได้ยินเสียงเมสเสจเบาๆ ผมล้วงหยิบมาเปิดดู

     

    มันเป็นข้อความจากคนที่เดินเข้าบ้านไปเมื่อกี้ ผมเปิดอ่าน

     

    ฉันรออยู่ในห้อง

     

    ผมหัวเราะขึ้นจมูก

     

    แล้วไง คิดว่าผมจะรีบวิ่งโร่เข้าไปหางั้นสิ

     

    ฝันไปเถอะ

     

    ผมยัดมือถือกลับใส่กระเป๋า แล้วนั่งนิ่งตามเดิม

     

    สายลมยังคงพัดไหวจนใบไม้ปลิวสะบัด เมฆยังคงล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าสีคราม ปลาคาร์ปยังคงแหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำ หงส์ซานยังคงหลับสนิทอยู่บนเสื่อผืนเดิม

     

    ฉันรออยู่ในห้อง

     

    ไหนว่าง่วง แล้วทำไมไม่นอน

     

    ฉันรออยู่ในห้อง

     

    แล้วตอนนี้เขายังรอผมอยู่ไหม

     

    ฉันรออยู่ในห้อง

     

    หรือว่าหลับไปแล้ว

     

    ฉันรออยู่ในห้อง

     

    โธ่เว้ย!!

     

    ผมดีดตัวลุกยืน แม้จะพยายามสงบอารมณ์ขนาดไหน แต่ภายในผมร้อนรุ่มไปหมด ผมรีบตรงดิ่งไปยังห้องรับแขกที่หมอใช้เป็นห้องนอนชั่วคราว เปิดประตูออกผลัวะ

     

    แต่ทั้งห้องว่างเปล่า 

     

    ผมหัวเสีย ปิดประตูห้องเสียงดัง

     

    ทั้งที่รู้อยู่ว่าโดนปั่นหัว แต่ผมก็ยังโง่หลงโดดลงไปในหลุมดักนั้นอีก

     

    ผมก้าวฉับๆ กำลังจะกลับไปหาหงส์ซานตามเดิม แต่เบรกกึก หันมองไปทางห้องนอนตัวเอง

     

    ถ้าหมอไม่ได้นอนในห้องรับแขก แล้วตอนนี้หมอไปอยู่ที่ไหน


    ผมหรี่ตา ก้าวช้าๆ ตรงไปยังห้องนอนตัวเอง จับลูกบิด หมุนเปิดออกช้าๆ

     

    ภายในห้องเย็นฉ่ำจากแอร์ที่ผมจำได้ว่าปิดไปแล้ว บนเตียงกว้างขนาดคิงไซส์มีเรือนร่างของคนแปลกหน้ามานอนอยู่ เขานอนหงาย ผ้าห่มคลุมไว้ถึงเอว มือถือหล่นอยู่ข้างๆ มือ ดวงตาปิดสนิท

     

    ผมเสยผมเบาๆ อย่างหงุดหงิด ขยับเข้าไปใกล้ ปลดปล่อยรังสีคุกคามเต็มที่ คร่อมร่างหมอไว้ เลื่อนมือไปยังลำคอ แค่สิบวิชีวิตหมอก็ถูกปลิดได้ง่ายๆ แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าใครจะจับได้ เพราะผมเก่งในเรื่องของการเก็บหลักฐานได้อย่างมิดชิด ชนิดที่จมูกหมาก็หาไม่เจอ

     

    หมอปรือตามอง ผมขยับมือกุมคอหมอแน่นขึ้น หมอกลืนน้ำลายจนรู้สึกได้ถึงลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลง

     

    หมอไม่ดิ้นรน ไม่ร้องขอชีวิต สายตาไม่มีความแปลกใจหรือตระหนกตกใจอะไรเลย มองมานิ่งๆ เท่านั้น

     

    “รู้ใช่ไหมว่าผมสามารถฆ่าคุณได้ง่ายๆ”

     

    หมอไม่ตอบ ขยับมือ ไม่ได้เลื่อนยกขึ้นมาดึงมือผมออก แต่เลื่อนลงไปยังเป้ากางเกงผมด้านล่าง ลูบไล้มันเบาๆ น้องผมกระตุกวูบ ผมบีบคอหมอแรงขึ้นจนหมอชะงัก

     

    สุดท้ายหมอก็ทนไม่ไหว เลื่อนมือขึ้นมาจับข้อมือผมไว้ สีหน้าบ่งบอกว่าเขากำลังจะหมดลมหายใจเอาจริงๆ ผมคลายมือออกก่อนเวลานั้นจะมาถึง หมออ้าปากกอบโกยเอาอากาศเข้าปอดทันที มันไม่น่าดูเลย ถ้าเป็นเหยื่อรายอื่น

     

    แต่กับคนตรงหน้าไม่ใช่ ดวงตาหมอดูปรอย กลีบปากได้รูปเผยออ้าจนเห็นลิ้นสีแดงภายในได้ชัดเจน แผงอกได้รูปไหวกระเพื่อมอย่างคนที่พยายามกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด

     

    มันดูยั่วยวนอย่างบอกไม่ถูก ผมหรี่ตา ก้มหน้าฉกกลีบปากนั้นทันที ส่งถ่ายลมหายใจที่ผมพรากทิ้งไปเมื่อกี้กลับคืนให้

     

    ผมจะทำให้เขาทรมานเจียนตายอีกครั้ง

     

    แต่ไม่ใช่ด้วยการบีบคอหรอกนะ

     

     

    ชั่วโมงครึ่งผ่านไป

     

    ผมนั่งพิงหลังกับหัวเตียง สองขาวางราบไปกับที่นอน ท่อนบนเปลือยเปล่าไม่ต่างกับคนที่นอนตะแคงข้างอยู่ข้างตัว ท่อนล่างกลืนหายไปกับผ้าห่ม ดวงตะวันสาดแสงแรงกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ ผมส่งกล้องจิ๋ว (จะเรียกว่ามินิโดรนก็ได้) ลงไปสำรวจหงส์ซานที่อยู่ข้างล่าง มองทุกอย่างผ่านมือถือ รายนั้นยังคงหลับสนิท ผมเรียกกล้องกลับคืน ปิดมือถือลง หันไปมองคนข้างตัว

     

    ไม่รู้ว่าผมไปมีอารมณ์มากมายกับคนไร้เสน่ห์แบบนี้ได้ยังไงกัน

     

    เป็นหมอ (แถมยังปัญญาอ่อนด้วย)

     

    เป็นผู้ชาย (ที่เป็นผู้ชายแท้ๆ อีกต่างหาก)

     

    เป็นเพื่อนสนิทกับเจ้านายด้วย ถ้าคุณไป่หลงรู้ขึ้นมาเขาจะว่ายังไง

     

    ผมพ่นลมหายใจแรง เลื่อนนิ้วลงไปเกลี่ยตรงรอยคิสมาร์คจางๆ บนต้นคอและแผงอกอีกคน

     

    ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำรอยคิสมาร์คได้ แต่ผิวของหมอเหมาะแก่การสร้างริ้วรอยแบบนี้จริงๆ

     

    ผมเลื่อนมือจากรอยคิสมาร์คตรงต้นคอเลื่อนขึ้นไปยังผิวแก้ม ไม่รู้ว่าหมอรำคาญหรือต้องการหาไออุ่น หมอจับมือผมไปกดเบาๆ ตรงซอกคอ นิ่งค้างไว้อย่างนั้น

     

    เขาดูผ่อนคลาย หลับสนิทจนผมอยากจะทิ้งตัวลงไปนอนด้วย แต่ผมเลือกที่จะดึงมือออกช้าๆ ลุกจากเตียง หยิบเสื้อผ้ามาใส่ ปรับให้มันเรียบร้อย หันไปมองคนที่กำลังหลับสนิท

     

    หน้าที่ของผมตอนนี้คือดูแลหงส์ซาน ไม่ใช่มาอยู่ตรงนี้

     

    ผมเดินออกจากห้องไป นั่งลงตรงตำแหน่งเดิมของตัวเอง ดวงตาของผมจ้องนิ่งอยู่ยังหงส์ซาน แต่ในมโนความคิด ตัวผมกำลังฝังร่างอยู่บนเตียงเคียงข้างใครอีกคนในห้องนอน

     

     

    #หงส์ซาน

     

    ผมสะดุ้งโหยงเพราะเสียงมือถือที่ดัง ผงกหัวลุกมอง คว้าหยิบมากดแนบหูโดยไม่มองเบอร์ กรอกเสียงแหบๆ ลงไป

     

    “นอนกลางวันอยู่เหรอ นี่ใกล้เที่ยงแล้วนะ ตื่นขึ้นมากินข้าวได้แล้ว”

     

    ผมขมวดคิ้วมองเบอร์ที่ไม่ได้ถูกเมมไว้นั้นงงๆ

     

    “ใคร”

    ผมถามกลับอู้อี้

     

    “หงส์ซาน”

     

    เสียงและสำเนียงแบบนี้

     

    “อาเฮีย!!” ผมดีดตัวลุกนั่ง “นี่เฮียเอาเบอร์อั๊วมาจากไหน”

     

    ได้ยินเสียงถอนหายใจของมันแรงอย่างเอือมระอา

     

    “หงส์ ไม่มีสามีคนไหนไม่มีเบอร์ของเมียตัวเองหรอกนะ”

     

    กูว่ามึงใช้คำผิดนะบ๊วย สามีต้องคู่กับภรรยา เมียน่ะใช้กับผัวเว้ย!!

     

    “โทรมามีไร”

    ผมถามกลับห้วนๆ ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ

     

    “เฮียคิดถึง”

     

    ครับ เบาๆ แต่คำนั้นมีอานุภาพทำให้สติที่กำลังพร่าเลือนของผมตื่นเต็มตา ตัวร้อนหน้าร้อนไปหมด ผมเม้มปาก ควานมือทึ้งหญ้าข้างตัวทิ้งไปสองสามต้นระบายไอร้อนที่กำลังกรุ่นขึ้นมาตอนนี้

     

    “ประสาท”

    ผมอุบอิบต่อว่าไป ได้ยินเสียงหัวเราะอีกรอบ

     

    “เป็นเด็กดีนะ เฮียจะรีบกลับไปหา”

     

    “ไม่ได้รอ”

    ผมว่ากลับไปเบาๆ ได้ยินเสียงหัวเราะอีกรอบตามด้วยเสียงเรียกชื่อมันของวิกเซอร์

     

    “แล้วเจอกัน แค่นี้ก่อน เฮียติดงาน”

    มันพูดแค่นั้นแล้ววางสายไป  

     

    ผมพยายามไม่เปิดปากที่กำลังจะยิ้มแหล่มิยิ้มแหล่ของตัวเอง ควานหาหญ้าอีกต้นมาดึงดังปึ้ด 

     

    “ถ้าจะเขินก็เขิน ไม่ต้องมาทำหน้าปัญญาอ่อนแล้วไปทำร้ายต้นหญ้าแบบนั้น”

     

    ผมชะงักกึก หันไปมองเจ้าของเสียง ซันไรส์ยืนกอดอก ทำหน้าเอือมระอาอยู่ไม่ห่าง

     

    มันก็ขยันดีเนอะ เฝ้ามองผมได้ตลอดเวลาจริงๆ

     

    “ใครเขิน มั่วแล้ว”

     

    ผมหันมองไปรอบๆ

     

    “อ้าว แล้วพี่หมอล่ะ ยังไม่ตื่นเหรอ”

     

    “กลับไปแล้ว”

     

    ผมพยักหน้าเข้าใจ ก่อนไปก็น่าจะปลุกกันสักหน่อย  

     

    “จะทานข้าวที่นี่หรือที่ห้องกินข้าว”

    ซันไรส์ใจดีถาม

     

    “ที่นี่ละกัน”

     

    มันไม่พูดอะไร เดินหายไปไม่ถึงสิบนาทีก็ได้อาหารมาเสิร์ฟ

     

    ผมนั่งกินเงียบๆ

     

    บนโต๊ะกินข้าวตัวเดียวกัน เมื่อเช้าผมนั่งกินกับไอ้บ๊วยสองคน แต่มาตอนนี้ผมนั่งกินคนเดียวเงียบๆ

     

    รู้สึกเหงาแฮะ

     

    ผมชักอยากให้บ๊วยมันมานั่งกินด้วยอีกคน ถึงจะกินกันไปกัดกันไปก็เถอะ แต่มันดูมีชีวิตชีวามากกว่านี้ 

     

    พออิ่มซันไรส์ก็ยกถาดเปล่าไปเก็บ ผมกลับไปนั่งว่างๆ ตามเดิม ชักอยากให้เวลาผ่านไปเร็วๆ

     

    ผมแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

     

    ดวงตะวันเลยหัวไปไม่มาก เที่ยงวันนี้บ๊วยมันกินข้าวที่ไหน กินกับใคร หรือกำลังนั่งทำงานหน้าเครียดอยู่ 

     

    เอาตามจริง ผมไม่ชอบตอนมันทำหน้าเครียดเลย ยิ้มหล่อกว่าอีก ทำให้ใบหน้าทุยๆ ของมันดูดีขึ้นเยอะ 

     

    เหอะ ป๊าม๊าก็ช่างสรรค์สร้าง เอาซะมันดูดีไปหมดทุกมุม

     

    หล่อกว่าผมอีก

     

    ใส่ชุดไหนก็หล่อ

     

    ไม่ใส่ก็หล่อ

     

    ผมชะงักความคิดตัวเองไว้กับที่

     

    ไม่ได้ชะงักเพราะคิดถึงภาพเปลือยของมันเมื่อกี้

     

    แต่ชะงักกับสิ่งที่วนเวียนอยู่ในสมองของผมตอนนี้ต่างหาก

     

    เดี๋ยวหงส์ซาน

     

    เดี๋ยวก่อน!!

     

    ผมดีดตัวลุกยืน เบิกตากว้าง

     

    ทำไมในหัวของผมตอนนี้ถึงมีแต่เรื่องของไอ้บ๊วยมันล่ะ!!!

     



    To be Con


    อัพนิยายครั้งหน้าจะลองใช้เน็ตของ Ais ดู เน็ตทรูตจวสโลว์มากกกกกกกก (อิชั่นจะร้องไห้) 

    เม้นท์กันให้ชื่นใจสักนิ้ดดดด 



    (>>จองหนังสือ คลิกที่นี่<<) 

    อีบุ๊ค(e-book) หงส์ซาน (จบแล้ว เนื้อหาเหมือนหนังสือทุกอย่าง)

    (ราคา 339.- จากราคาปก 480.- เนื้อหานิยายมี 27 ตอน+ตอนพิเศษอีก 3 ตอน)

    [>>ดาวน์โหลดอีบุ๊คที่นี่ค่ะ<<]




    ADD FAB เป็นแฟนคลับเรื่องนี้จิ้มน้องหงส์ได้เลย

    {ADD FAD}


    แฮทแท็กเรื่องนี้ #หงส์ซาน 




    ติดต่อ-ติดตามการอัพนิยายไรท์เตอร์ได้ที่นี่ค่ะ 

    เพจ : facebook.com/memew28

    เฟส : facebook.com/memewfc

    ทวิต : @Memew28

    เมล : Memew28(แอท)gmail.com

    instagram : Memew28

    Line : Memew28 


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×